เช้าวันต่อมาว่าราชการเช้า จักรพรรดิเหวินได้ประกาศกลางท้องพระโรงว่าพระองค์ตัดสินพระทัยจะมอบอำนาจให้หยุนเจิงเป็นคนรับสมัครทหารจวนส่วนตัวด้วยตัวเองไม่แปลกที่การตัดสินพระทัยของจักรพรรดิเหวินถูกขุนนางจำนวนมากคัดค้านการเกณฑ์ทหารจวนส่วนตัวนั้น มีเพียงแค่ตำแหน่งองค์รัชทายาทและท่านอ๋องเท่านั้นที่มีสิทธิ์กระทำได้!แต่หยุนเจิงไม่ได้มีตำแหน่งดังกล่าว มีสิทธิ์อันใดมาเกณฑ์ทหารจวนส่วนตัวด้วยแต่ไม่ว่าเหล่าขุนนางจะคัดค้านเพียงใดก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงการตัดสินพระทัยของจักรพรรดิเหวินได้ หลังจากเลิกการประชุม ซูเฟยก็รีบรุดไปหาสวีสือฝู่ทันทีการกระทำของจักรพรรดิเหวินทำให้นางรู้สึกถึงภัยคุกคามอันใหญ่หลวงแม้ก่อนหน้านี้จักรพรรดิเหวินจะเคยตรัสต่อหน้าขุนนางกลางท้องพระโรงว่าไม่มีทางมอบตำแหน่งองค์รัชทายาทให้หยุนเจิงเป็นอันขาด แต่ใครจะรู้ได้เล่า เกิดวันใดจักรพรรดิเหวินสมองกลับบ้าขึ้นมาอาจจะทำเช่นนั้นขึ้นก็ได้แม้แต่อำนาจในการเกณฑ์ทหารจวนส่วนตัวจักรพรรดิเหวินก็มอบให้กับหยุนเจิงไปแล้ว การแต่งตั้งให้หยุนเจิงเป็นองค์รัชทายาทก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เมื่อเห็นซูเฟยกลัดกลุ้มใจเช่นนี้ สวีสือฝู่กลับห
ระหว่างทางกลับ พวกตู้กุยหยวนทั้งสามคนใช้สายตาแปลกๆ มองหยุนเจิง ไม่รู้ว่าในใจกำลังพูดว่าหยุนเจิงนั้นโง่หรือว่ากำลังคิดเรื่องอื่นอยู่“พวกเจ้ากำลังคิดว่าข้าเป็นคนโง่ใช่หรือไม่”หยุนเจิงยิ้มถาม“อาจเป็นเพราะว่า องค์ชายมีความคิดอื่นร่วมด้วย!”ตู้กุยหยวนยิ้มขมขื่นไม่เอาชุดเกราะเกล็ดแต่เอาชุดเกราะหนังไม่โง่ไปหน่อยหรือหยุนเจิงหัวเราะ แล้วหันไปพูดว่า “พวกเจ้าทั้งสามคนล้วนเคยออกรบกับชาวเป่ยหวนที่ซั่วเป่ยมาหลายครา ข้าขอถามพวกเจ้าหน่อย พวกทหารม้าเป่ยหวนใส่ชุดเกราะประเภทใดเป็นหลัก”“แน่นอนว่าต้องเป็นชุดเกราะหนัง”อวี๋ซื่อจงตอบกลับ “แต่ทหารม้าเป่ยหวนใช้ชุดเกราะหนัง นั่นเป็นเพราะไม่มีทางเลือก! เป่ยหวนขาดแคลนชุดเกราะ ทหารบางนางไม่มีแม้กระทั่งชุดเกราะหนังใส่เสียด้วยซ้ำ”หยุนเจิงหัวเราะ แล้วถามอีกว่า “แล้วสิ่งที่น่าเกรงขามของทหารม้าเป่ยหวนอยู่ที่ใด”จั่วเริ่นตอบกลับ “ทหารม้าเป่ยหวนเคลื่อนไหวดุจลม เชี่ยวชาญในด้านการวิ่งระยะไกล มักจู่โจมใส่ชุดอ่อนของทหารฝ่ายเราโดยไม่รู้ตัวเสมอ …”เมื่อพูดถึงทหารม้าเป่ยหวน ทั้งสามต่างรู้สึกหดหู่ใจเป็นอย่างมากทหารม้าเป่ยหวนเป็นฝันร้ายของพวกเขาในอดีต กองท
คณะทูตเป่ยหวนไปแล้ว งานแต่งงานของหยุนเจิงก็ใกล้แล้วช่วงบ่ายวันนั้น ทางกรมก็ส่งคนมาตกแต่งจัดแจงจวนของหยุนเจิงส่วนจะตกแต่งและจัดแจงอย่างไรนั้นหยุนเจิงไม่ทราบและไม่ได้กังวลใจเรื่องนี้ด้วยหยุนเจิงชวยโอกาสที่หัวหน้าผู้ดูแลจวนถูกจักรพรรดิเหวินจัดการไปแล้ว เขาก็เลยให้เยี่ยจื่อเป็นหัวหน้าผู้ดูแลจวนชั่วคราวไปก่อน เพื่อที่จะได้ง่ายต่อการตรวจสอบคนในจวนเรื่องรับสมัครทหารนั้นหยุนเจิงฝากไว้กับพวกตู้กุยหยวนแล้ว เขาเองก็วางใจอีกทั้ง เรื่องนี้เขาไม่อาจใส่ใจมากเกินไปยิ่งเขาใส่ใจมากเพียงใด จักรพรรดิเหวินก็จะยิ่งไม่ไว้ใจเขามากขึ้นเท่านั้นในสองวันถัดมานั้น หยุนเจิงจะออกจากจวนแต่เช้ากลับมาก็ค่ำแล้วเพราะว่าอวี๋ซื่อจงกับจั่วเริ่นต้องติดตามตู้กุยหยวนไปรับสมัครทหาร คนที่คุ้มกันหยุนเจิงจึงได้เปลี่ยนเป็นกุยเหอกับโจวมี่อีกครั้งตอนนี้กุยเหอมอบใจให้เขาแล้ว ความแคลงใจต่อโจวมี่ก็มลายหายไป เขาไม่ต้องคอยระมัดระวังสองคนนี้ตลอดเวลาอีกแล้ว“ตั้งๆๆ…”ในร้านตีเหล็ก ช่างตีเหล็กหลายคนออกแรงตีเหล็กกันไม่หยุดในใจหยุนเจิงลอบภาวนาว่าครั้งนี้อย่าได้แตกอีกเลยพวกเขาลงแรงตีเหล็กดามัสกัสเพียงเล็กน้อยเพื่อใช้เป็
เป็นเพราะบิดาไม่มีเวลาฝึกขี่ม้าหรอกนะ ไม่เช่นนั้นจะทำให้คนขี้อวดอย่างเจ้าอกแตกตายให้ได้เลย!“เจ้ายังอยู่ที่นี่อีกหรือ!”เสิ่นลั่วเยี่ยนยืนอยู่ปากประตูร้านตีเหล็ก มองไปทางหยุนเจิงที่มีฝุ่นเต็มมอมแมมทั้งตัวอย่างหมดคำจะพูดพูดตามตรงว่าสภาพหยุนเจิงตอนนี้ดูมอมแมมเป็นอย่างมากแม้ว่าเขาจะไม่ได้ลงมือเอง แต่ในร้านตีเหล็กนี้มีฝุ่นผงเยอะมาก ทั้งยังร้อนระอุ เหงื่อกับฝุ่นคลุกเคล้ากันอยู่บนใบหน้าเขา ทำให้เขาดูสกปรกมอมแมม“เจ้ามาทำไมหรือ”หยุนเจิงรีบปัดป่ายฝุ่นผงบนใบหน้า ยิ้มถามขึ้นเสิ่นลั่วเยี่ยนแค่นเสียงเบา “เมื่อครู่ข้าไปที่จวนของเจ้า ได้ยินว่าองค์ชายหกของเราหมกมุ่นอยู่แต่การตีเหล็กทั้งวัน ข้าไม่มีทางเชื่อหรอก! ก็เลยมาดูกับตาตนเอง”ตีเหล็ก?ข้ากำลังขยับขยายเทคโนโลยี!เจ้าจะรู้อะไร!หยุนเจิงถากถางในใจสองสามคำ แล้วถามเสียงค่อย “ที่บ้านพวกเจ้าเตรียมตัวถึงไหนแล้ว ต้องการให้ทางข้าช่วยอะไรหรือไม่”“เหอะ เจ้ายังรู้จักถาม”เสิ่นลั่วเยี่ยนมองไปทางหยุนเจิงอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าคิดว่าองค์ชายหกจะลืมเรื่องงานอภิเษกของพวกเราไปเสียแล้ว!”ไม่เคยพบเจอคนประเภทนี้เลยจริงๆ!จักรพรรดิเหวินมีเมตตาให้เขาร
ไม่เพียงแต่จะดูดีแต่ยังแข็งมากด้วย!นี่เป็นความจริง!แต่พอเสิ่นลั่วเยี่ยนฟังแล้ว กลับรู้สึกว่ามันน่าตงิดใจทว่า นางเองก็ไม่รู้ว่าตรงไหนที่น่าตงิดใจไม่ช้า เสิ่นลั่วเยี่ยนก็ละทิ้งความคิดนั้น แล้วกวาดสายตาไปที่ปลายหัวหอกหยุนเจิงหัวเราะแล้วถามขึ้นว่า “เจ้าอยากจะทดสอบหอกของข้าด้วยตนเองหรือไม่”“ไม่ต้องแล้ว!”เสิ่นลั่วเยี่ยนส่ายหัวเบาๆ แล้วรีบสาวเท้าไปด้านหน้า ปลดหัวหอกออกจากด้ามอย่างว่องไว ยิ้มแก้มปริไปทางหยุนเจิงอย่างพบเห็นได้ยาก “หัวหอกนี่เจ้ามอบให้ข้าก็แล้วกัน!”“เจ้าไม่เกรงใจกันเลยสักนิด!”หยุนเจิงหัวเราะอย่างประหลาดใจแล้วถามขึ้นอย่างสงสัยว่า “เจ้าใช้หอกเป็นหรือ”“ข้าใช้ไม่เป็น?”เสิ่นลั่วเยี่ยนแค่นเสียงเบา แล้วพูดขึ้นอย่างเย่อหยิ่งว่า “เจ้าลองถามองค์รักษ์ของเจ้าสองคนนี้ดูสิ!”กุยเหอไม่รอให้หยุนเจิงถามก็รีบพูดขึ้นเลยว่า “พระชายาองค์ชายหกน่าจะเชี่ยวชาญในการใช้หอกยาว ท่านแม่ทัพเสิ่นในตอนนั้นก็มีเชื่อเสียงโด่งดังจากฝีมือการใช้หอกของตระกูลเสิ่น”หอกตระกูลเสิ่น?เรื่องนี้ หยุนเจิงไม่รู้เลยจริงๆหลังกจากที่หยุนเจิงครุ่นคิดไปเพียงครู่ ก็ยื่นมือไปทางเสิ่นลั่วเยี่ยน “คืนให้ข้าก่
หืม?หยุนเจิงสงสัยหรือว่ายังมีลับลมคมในอะไรอีกงั้นหรือ!เยี่ยจื่อนิ่งเงียบไปนาน ค่อยพูดขึ้นอย่างแช่มช้าว่า “องค์ชายคงไม่ทราบว่า พวกเขามีเพียงทหารหมื่นนายบุกเข้าโจมตีราชสำนักของเป่ยหวน ทำให้ท่านฉานอวี่ของเป่ยหวนพิโรธหนัก หลังจากที่พวกเขาตายและแพ้ในสนามรบ ท่านฉานอวี่สั่งให้ทหารม้าของเขาเหยียบย่ำกระดูกของพวกเขาจนเป็นเนื้อสับ! หลุมศพของพวกเขาเป็นเพียงเนินกองผ้า ดังนั้น วันครบรอบการเสียชีวิตของพวกเขาจึงนับจากวันที่เสื้อผ้าของพวกเขาถูกฝังลงดิน นับจากวันที่วิญญาณกลับคืนสู่มาตุภูมิน่ะ…”“นี่มัน…”หยุนเจิงตะลึงงัน พูดขึ้นอย่างรู้สึกผิดว่า “ข้าขออภัย ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย”เขารู้เพียงว่าสามพ่อลูกเสิ่นหนานเจิงตายได้อย่างสง่าผ่าเผย คิดไม่ถึงว่าจะหดหู่เพียงนี้มิน่าล่ะ กุยเหอถึงได้ส่งสัญญาณให้เขาใหญ่!เฮ้อ!ความแค้นนี้ มีเพียงต้องรอให้ไปถึงซั่วเป่ยก่อนค่อยชำระแทนพวกเขาแล้ว!“ไม่เป็นไรหรอก ข้ารู้ว่าองค์ชายไม่ทราบเรื่องนี้”เยี่ยจื่อพยายามเค้นรอยยิ้มออกมา“เช่นนั้น...พรุ่งนี้ข้าก็ต้องไปสักการะพวกแม่ทัพเสิ่นด้วย?” หยุนเจิงถามขึ้นอีกเยี่ยจื่อพูดว่า “ตามธรรมเนียมแล้ว องค์ชายกั
เมื่อกลับมาถึงบ้าน เสิ่นลั่วเยี่ยนก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติแปลกๆหลังจากที่นิ่งเงียบครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ เสิ่นลั่วเยี่ยนจึงจัดสินใจเคาะประตูห้องเยี่ยจื่อก่อนเปิดเข้าไปในตอนนี้เยี่ยจื่อเตรียมจะเข้านอนพอดี“เช้าวันพรุ่งก็ต้องไปสักการะพ่อตากับพี่ชายของเจ้า ใยเจ้าถึงยังไม่นอนพักผ่อนอีกล่ะ?”เยี่ยจื่อเห็นเสิ่นลั่วเยี่ยนเดินเข้ามาจึงยิ้มพลางเอ่ยปากถามเสิ่นลั่วเยี่ยนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจกล่าวว่า “พี่สะใภ้ ข้ารู้สึกว่าระหว่างพี่สะใภ้กับหยุนเจิงมีบางอย่างผิดปกติไป…”หืม?สาวน้อยผู้นี้จับได้แล้วอย่างนั้นหรือเยี่จื่อแอบสงสัย ก่อนจะมองเสิ่นลั่วเยี่ยนด้วยสีหน้าขี้เล่น “นี่เจ้าเห็นข้าอยู่แต่ในจวนองค์ชายหกทั้งวันทั้งคืนก็เลยรู้สึกหึงหวงเข้าแล้วใช่หรือไม่?”“หึงหวง!”เสิ่นลั่วเยี่ยนได้ยินเช่นนี้ก็ตกอกตกใจราวกับไปเหยียบหางแมวก็มิปาน “พี่สะใภ้คิดอะไรเช่นนั้น คนอย่างข้าจะไปหึงหวงเจ้ากุ้งขาอ่อนนั่นได้อย่างไรกันเล่า”แม้เย่ยจื่อจะเป็นพี่สะใภ้ของเสิ่นลั่วเยี่ยน แต่ทั้งสองมีความสัมพันธ์เป็นสหายที่สนิทสนมกันมากอยู่ต่อหน้าเยี่ยจื่อ เสิ่นลั่วเยี่ยนสามารถกล่าววาจาอย่างไม่ต้องกวาดกลัวต่อส
เยี่ยจื่อแอบยิ้ม ก้มหน้าไม่กล่าวสิ่งใดออกมาเมื่อเห็นว่าพี่สะใภ้เหมือนจะเห็นด้วยกับคำพูดของตนเอง เสิ่นลั่วเยี่ยนจึงกล่าวต่ออีกว่า “สิ่งที่เขาทำและเข้าตาข้ามากที่สุดในเมื่อก่อนก็มีเพียงแค่เหล็กลายบุปผาเท่านั้น…”เมื่อพูดถึงเหล็กลายบุปผานั้นขึ้น เสิ่นลั่วเยี่ยนก็เล่าให้พี่สะใภ้ฟังอย่างตื่นเต้นว่าเหล็กลายบุปผานั้นเก่งกาจมากเพียงใด อีกทั้งยังเริ่มจินตนาการว่าตนเองถืออาวุธศักดิ์สิทธิ์นั้นฆ่าสังหารไปทั่วทุกสารทิศอย่างแข็งแกร่งเกรียงไกรยิ่งเล่านางก็ยิ่งตื่นเต้น เสิ่นลั่วเยี่ยนเรื่องในร้านตีเหล็กให้นางฟังทั้งหมด“เจ้าบอกว่าเข้าให้เจ้าลองหอกนั่นด้วยตัวเองว่าหอกนั่นแข็งหรือไม่อย่างนั้นหรือ?”เยี่ยจื่อหน้าแดงเล็กน้อย มองสาวน้อยผู้โง่เขลาไร้เดียงสาผู้นี้ด้วยสีหน้าแปลกใจ“ก็ใช่น่ะสิ!”เสิ่นลั่วเยี่ยนพยักหน้า และกล่าวต่ออย่างไม่สบอารมณ์ว่า “อันที่จริงข้าควรจะลองด้วยมือของข้าเอง แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่ามีดองครักษ์นั้นของเขาจะมีปัญหาใดหรือไม่”“ค่อกแค่ก…”เยี่ยจื่อส่งเสียงไอค่อกแค่กออกมาอย่างเขินอาย กล่าวถามลองเชิงว่า “นี่ท่านแม่ยังไม่ได้บอกเรื่องระหว่างชายหญิงให้เจ้าฟังหรือ?”สตรีทุกค
นางรู้ดีว่า หากต้องการบีบให้กุ่ยฟางยอมจำนน จำเป็นต้องมีกำลังทหารมากพอที่จะกดดันพวกกุ่ยฟางหยุนเจิงจะต้องให้นางนำกองทหารม้าหมื่นนายออกไปยังกุ่ยฟางแน่นอนนางจึงต้องการซื้อเสบียงจากหยุนเจิงล่วงหน้า เพื่อใช้เป็นเสบียงสำหรับกองทัพหมื่นนายความตั้งใจของเจียเหยานั้นง่ายมากเมื่อนางเจรจาต่อรองกับกุ่ยฟางสำเร็จ และได้ผลประโยชน์จากกุ่ยฟางแล้ว นางจะนำทองคำและเงินมาชำระค่าเสบียงหรือในภายหลัง อาจคืนเสบียงให้หยุนเจิงแทนก็ได้พูดง่ายๆ คือขอล่วงหน้าก่อน!แต่อย่างไรก็ดี นางย่อมอยากใช้ทองคำและเงินซื้อเสบียงมากกว่าหลังจากเคยเผชิญความยากลำบากเพราะขาดเสบียง นางยอมสะสมเสบียงไว้มากกว่าเก็บทองคำและอัญมณี“จริงๆ แล้ว เสบียงของเราก็ขาดแคลนเช่นกัน”หยุนเจิงส่ายหน้ายิ้ม “เจ้าคิดหรือว่าเรามีเชลยครั้งนี้กี่คน? เจ้าคิดว่าเชลยเหล่านี้ไม่กินไม่ดื่มหรือ? หรือเจ้าคิดว่าข้าเป็นพวกเถื่อนทางเหนือ ที่พาเชลยกลับไปกินแทนอาหาร?”เชลยแสนคนเชียวนะ!ต้องใช้เสบียงมากแค่ไหนเพื่อเลี้ยงดูพวกเขา?และไม่ใช่ว่าพาเชลยพวกนี้กลับไปแล้วจะไม่ต้องใช้เสบียงตราบใดที่คนพวกนี้ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาก็ต้องกินเสบียงทุกวันนางยังคิดว่
หยุนเจิงไม่ชอบให้ใครมาต่อรองกับเขาโดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาไม่ชอบเจียเหยาให้มาต่อรองกับเขาเจียเหยาทำเป็นไม่เห็นสีหน้าที่แสดงความไม่พอใจของหยุนเจิง แล้วพูดขึ้นว่า “เรื่องเสบียงที่สามส่วน ข้ายอมตามเจ้า ส่วนอาวุธ ชุดเกราะ และม้าที่เรายึดได้จากที่นั่น เจ้าเอาไปห้าส่วน...”หยุนเจิงขมวดคิ้ว เตรียมจะปฏิเสธ แต่เจียเหยาก็รีบขัดขึ้นมา “อย่าเพิ่งปฏิเสธ ฟังข้าพูดให้จบก่อน!”“ได้ พูดมา!”หยุนเจิงฮึเบาๆ “ข้าจะดูว่าเจ้าจะโน้มน้าวข้าได้อย่างไร”เจียเหยาเงยหน้ามองท้องฟ้าไกลโพ้น สีหน้าเรียบเฉยพลางพูดว่า “ม้าที่ข้าให้เจ้าห้าส่วน ข้ารับรองว่าทุกตัวไม่มีบาดแผล! ชุดเกราะและอาวุธ ส่วนที่สมบูรณ์ข้าให้เจ้าไปทั้งหมด ของที่ชำรุดเสียหายจะเก็บไว้กับเราเอง”อ้อ?ยังมีข้อเสนอแบบนี้ด้วย?หยุนเจิงแปลกใจเล็กน้อยให้ม้าที่ไม่มีบาดแผลทั้งหมด?เงื่อนไขนี้ของเจียเหยา ดูน่าสนใจทีเดียว!ทว่า แบบนี้ไม่เหมือนนิสัยของเจียเหยาเลยสักนิด!หยุนเจิงคิดในใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนยิ้มและถามว่า “เจ้าแอบซ่อนของที่ยึดมาไว้เองหรือไม่?”เจียเหยาหันมามองเขา “พวกเจ้ายังมีคนเฝ้าอยู่ที่นั่น เจ้าว่าพวกเราจะแอบซ่อนของได้หรือ?”“ของที่ได้ม
“ขอรับ” ทัวฮวนและจู่หลู่รีบพยักหน้ารับคำเมื่อได้ยินพวกเขาเรียกนางว่า "ฮูหยินเจียเหยา" ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เจียเหยาก็โกรธจนแทบจะกัดฟันครั้งนี้นางถูกหยุนเจิงใช้ประโยชน์อย่างชัดเจนอย่างไรก็ตาม เจียเหยายังควบคุมตัวเองได้ ไม่แสดงอารมณ์ออกมา และยังพูดคุยหยอกล้อกับทัวฮวนและจู่หลู่อย่างเป็นกันเองหยุนเจิงมองภาพนี้อยู่ก็อดขำในใจไม่ได้ด้วยความเฉลียวฉลาดของเจียเหยา นางต้องเข้าใจความตั้งใจของเขาแน่แต่สิ่งเดียวที่เขาไม่แน่ใจคือ อีกสักพักนางจะขู่ฟ่อใส่เขาหรือไม่จากนั้น หยุนเจิงก็คุยเรื่องแผนการในอนาคตกับพวกเขาทว่า หยุนเจิงพูดเพียงแค่แนวทางคร่าวๆรายละเอียดปลีกย่อยทั้งหมด อย่างไรก็ต้องให้เจียเหยาเป็นคนจัดการหลังจากพูดคุยเรื่องงานจนจบ ทุกคนก็รับประทานอาหารจนเต็มอิ่มเมื่อทัวฮวนและคนอื่นๆ ออกไปแล้ว หยุนเจิงก็ถามเจียเหยาด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนนี้เจ้ารู้ความตั้งใจของข้าแล้วใช่ไหม?”เข้าใจแล้วหรือยัง?เจียเหยายิ้มแห้งๆแน่นอนว่านางเข้าใจหยุนเจิงตั้งใจใช้นางจัดการกุ่ยฟาง และนางก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงการถูกหยุนเจิงใช้นางไม่เพียงเข้าใจเรื่องนี้ แต่ยังเข้าใจเหตุผลที่หยุนเจิงต้องแสร้งทำเป็นคู่ส
เมื่อหยุนเจิงส่งสัญญาณให้ ทุกคนจึงค่อยนั่งลงหยุนเจิงตั้งใจจะดึงมือกลับที่โดนบีบจนแทบเสียรูป แต่เจียเหยากลับไม่ยอมปล่อยให้ตายเถอะ!ผู้หญิงคนนี้จิตพยาบาทจริงๆ!หยุนเจิงอดทนกับความเจ็บปวดที่มือ ก่อนจะเริ่มแนะนำทัวฮวนและเหมิงตัวให้เจียเหยารู้จักส่วนจู่หลู่ เจียเหยารู้จักอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องแนะนำ“ข้าลือชื่อตำหนักเจียเหยามานาน วันนี้ได้พบนับว่าเป็นบุญสามชาติ”ทัวฮวนยิ้มพลางกล่าวคำประจบเจียเหยาเจียเหยายิ้มละมุน “เจียเหยาก็ลือชื่อท่านเสนาบดีมานาน อยากพบท่านนานแล้ว แต่ก็ไม่มีโอกาสเสียที วันนี้ต้องขอบคุณท่านอ๋องที่ทำให้ได้พบ”“พอเถอะๆ พวกเราเป็นคนครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนั้น”หยุนเจิงหัวเราะพลางหยุดการพูดคุยของทั้งสอง “ยากนักที่พวกเราจะได้มานั่งด้วยกันวันนี้ ต้องดื่มสักหน่อย! องค์หญิง ไปหยิบถ้วยเหล้ามาให้ข้าหน่อย”พูดจบ หยุนเจิงก็ชี้ไปยังที่วางถ้วยเหล้าเจียเหยาบีบมือของหยุนเจิงแรงๆ อีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบถ้วยเหล้ามา แล้วกลับมานั่งข้างหยุนเจิงเหมือนเดิมทัวฮวนเมื่อเห็นดังนั้นก็รีบลุกขึ้นหยิบเหยือกเหล้า เตรียมจะรินให้เจียเหยาและหยุนเจิง“ท่านเสนาบดีไม่ต้อง
อย่าว่าแต่เจียเหยาเลย แม้แต่พวกเขาเองก็ยังรู้สึกว่าหยุนเจิงทำเกินไปการที่สามารถเอาชนะกุ่ยฟางได้ในครั้งนี้ เป่ยหวนมีส่วนสำคัญอย่างมากหากไม่มีเป่ยหวนช่วยดึงความสนใจ ในระหว่างที่พวกเขากำลังรบกับโฉวฉือและแคว้นต้าเย่ว์ กุ่ยฟางอาจโจมตีอวี่ซื่อจงจนแตกพ่าย หรืออาจลอบตีค่ายใหญ่ที่แย้นฮุ่ยซานจนตัดเส้นทางล่าถอยของพวกเขาโดยสิ้นเชิงในสถานการณ์เช่นนี้ ที่หยุนเจิงยังทำตัวเข้มงวดกับเป่ยหวน ถือว่าไร้น้ำใจอย่างมากที่เจียเหยาไม่ระเบิดอารมณ์ออกมาทันที ก็ถือว่านางควบคุมตัวเองได้ดีแล้ว“เจ้าจะทำท่าขู่ใส่ข้าอีกแล้วใช่ไหม?”หยุนเจิงหรี่ตาลงเล็กน้อย มองเจียเหยาด้วยแววตาเตือน“ข้าจะกล้าได้อย่างไร!”เจียเหยาตอบด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “ท่านจิ้งเป่ยอ๋องไร้พ่าย หากข้ากล้าขู่ใส่ท่าน เป่ยหวนของข้าคงเต็มไปด้วยศพในไม่ช้า ข้ามีสิทธิ์ไปขู่ใส่ท่านหรือ?”“รู้อย่างนี้ก็ดีแล้ว!”หยุนเจิงกล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เจ้าชอบฟังข้าแค่ครึ่งๆ กลางๆ แล้วก็มาทำเสียงประชดประชันใส่ข้า เจ้าเป็นโรคหลงผิดว่าตัวเองถูกทำร้ายหรืออย่างไร?”เจียเหยาพยายามกลั้นความโกรธ พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ท่านจิ้งเป่ยอ๋องมีสิ่งใดจะพูดอีก
เจียเหยาและอวี่ซื่อจงรวมกันสามารถจับเชลยศึกได้ทั้งหมด 13,000 นายพวกเขายังสังหารทหารข้าศึกที่ดื้อดึงต่อสู้อีกประมาณ 3,000 นายเดิมทีพวกเขาต้องการจับเชลยเพิ่มอีก แต่เสบียงแห้งที่พวกเขานำมามีจำกัด จึงต้องแบ่งปันให้เชลยเพื่ออย่างน้อยพวกเขาจะมีแรงเดินทางดังนั้น แม้จะยังมีเชลยให้จับได้อีกมาก แต่พวกเขาก็ไม่ได้ไล่ตามต่อเชลยที่พวกเขาจับได้เกือบทั้งหมดเป็นทหารราบที่ล้าหลังส่วนทหารม้าของข้าศึกนั้นหลบหนีได้รวดเร็วเกินไป พวกเขาไม่สามารถตามทัน“อืม ไม่เลว!”หยุนเจิงยิ้มอย่างพอใจ ก่อนถามต่อ “พวกเจ้าที่โจมตีหน่วยของมู่ลี่จวี มีความสูญเสียแค่ไหน?”อวี่ซื่อจงตอบ “หน่วยของเราสูญเสียไปกว่า 3,000 นาย และยังมีทหารบาดเจ็บเล็กน้อยอีกกว่า 1,000 นายที่เราปล่อยไว้ในพื้นที่เพื่อรักษาตัว พร้อมกับดูแลผู้บาดเจ็บสาหัส”“เราสูญเสียไปกว่า 5,000 นาย”เจียเหยารายงานต่อทันที “ในศึกครั้งก่อนเรามีผู้บาดเจ็บสาหัสหลายร้อยนายที่ไม่สามารถรอดชีวิตได้ ในศึกครั้งนี้คาดว่าจะมีทหารบาดเจ็บสาหัสที่รอดไม่ถึงครึ่ง และยังมี…”“พอแล้ว พอแล้ว! ไม่ต้องพูดละเอียดขนาดนั้น”หยุนเจิงขัดคำพูดของเจียเหยา แล้วถามต่อ “ในศึกครั้งนี้
จู่หลู่โค้งคำนับขอบคุณหยุนเจิงก่อน แล้วพูดอย่างลำบากใจว่า “กระหม่อมเข้าใจถึงความเมตตาของท่านอ๋อง แต่เสบียงอาหารสำหรับกองทัพสองหมื่นนายนี้ มันช่าง…”“ข้าได้เสบียงมาจากศึกครั้งนี้ จะจัดสรรให้พวกเจ้า”หยุนเจิงขัดคำพูดของจู่หลู่ ด้วยท่าทางที่ทรงอำนาจโดยไม่ต้องแสดงความโกรธ “เมื่อเจ้าจัดเตรียมกองทัพเสร็จแล้ว เจ้าจะยังขาดเสบียงอีกหรือ? หากเจ้าออกทัพช่วยรัฐมนตรี รัฐมนตรีได้เสบียงมา จะไม่มีส่วนของเจ้าได้อย่างไร?”ในตอนนี้ ทัวต๋าได้สิ้นชีวิตไปแล้วยังไม่ทราบว่าใครจะได้เป็นราชาองค์ใหม่ของกุ่ยฟางแต่ไม่ว่าใครจะขึ้นเป็นราชาองค์ใหม่ของกุ่ยฟางก็ไม่มีพลังที่จะสู้รบต่อได้อีกแล้วหากราชาองค์ใหม่ของกุ่ยฟางฉลาด ก็ควรมาหาเขาเพื่อเจรจาสงบศึกหากกุ่ยฟางต้องการสงบศึก ก็ต้องยอมสละบางอย่างออกมาหากกุ่ยฟางไม่สงบศึก ก็ให้ทัวฮวนยกทัพไปโจมตีเองหากมีกองทัพเป่ยหมัวถัวของจู่หลู่ช่วยสนับสนุน การปราบปรามกุ่ยฟางที่ใกล้ตายก็เป็นเรื่องง่ายถึงตอนนั้น พวกเขาก็จะสามารถใช้เสบียงที่ปล้นจากกุ่ยฟางมาเลี้ยงกองทัพของตัวเองได้เมื่อจู่หลู่รู้ว่าหยุนเจิงได้เตรียมการทุกอย่างไว้ให้เรียบร้อย เขาก็กล่าวขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า ค
สองวันต่อมา จู่หลู่ที่ได้รับคำสั่งก็รีบควบม้าพร้อมกับองครักษ์ไม่กี่คนมาพบหยุนเจิงก่อนที่จู่หลู่จะมาถึง ทัวฮวนได้นำเชลยกุ่ยฟางจัดพิธีศพให้กับทัวต๋าน่าเสียดายที่สภาพอากาศในตอนนี้ไม่เอื้อให้สามารถนำร่างของทัวต๋ากลับไปฝังกุ่ยฟางได้สุดท้าย ทัวฮวนเป็นผู้นำในการสร้างโลงศพให้ทัวต๋าด้วยตัวเอง และฝังร่างเขาในพื้นที่นั้นการกระทำของทัวฮวนกลับช่วยให้หยุนเจิงได้รับความจงรักภักดีจากเชลยกุ่ยฟางกลุ่มใหญ่ซึ่งนี่เป็นผลลัพธ์ที่หยุนเจิงยินดีที่จะเห็นเมื่อจู่หลู่มาถึง หยุนเจิงก็พาทัวฮวนและเหมิงตัวจัดงานเลี้ยงในกระโจมใหญ่ชั่วคราวเพื่อต้อนรับเขาหลังจากแนะนำทัวฮวนและเหมิงตัวให้จู่หลู่รู้จัก หยุนเจิงก็เข้าสู่หัวข้อสำคัญทันที“กองทัพใหญ่ของกุ่ยฟางถูกเราทำลายทั้งหมดแล้ว! ข้าจำคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้าได้ ข้าจะมอบดินแดนเฉวียนหรงให้อยู่ในปกครองของเจ้า…”“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”หยุนเจิงยังพูดไม่ทันจบ จู่หลู่ก็ลุกขึ้นด้วยความตื่นเต้นและกล่าวขอบคุณ“ฟังข้าพูดให้จบก่อน!”หยุนเจิงยกมือหยุดจู่หลู่ ก่อนจะพูดต่อ “ทหารแห่งเป่ยหมัวถัวมีความกล้าหาญเพียงพอ แต่ไม่เข้าใจการรบ ข้าจะส่งรองผู้ช่วยสองคนไปช่วยเจ้าเตรี
เมื่อเห็นทั้งสองคน ทหารยามที่อยู่หน้ากระโจมรีบคำนับ“ไม่ต้องมากพิธี!”หยุนเจิงโบกมือ แล้วพาเมี่ยวอินเข้าไปในกระโจมแม้ว่าทัวต๋าจะฟื้นสติได้สองสามวันแล้ว แต่สีหน้าของเขายังคงดูแย่มาก แทบไม่มีเลือดฝาด ดูเหมือนคนที่ใกล้สิ้นใจเต็มทีเมื่อเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามา ทัวต๋าถามอย่างแผ่วเบา “หยุน... หยุนเจิง?”นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบกันแต่ทัวต๋าก็สามารถตัดสินได้ทันทีว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้คือจิ้งเป่ยอ๋อง หยุนเจิง“ใช่แล้ว!”หยุนเจิงพยักหน้า พร้อมจ้องทัวต๋าด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าคงได้ยินข่าวว่ากองทัพของเจ้าพ่ายแพ้ทั้งสายแล้วใช่หรือไม่? หากยังไม่ทราบ ข้าก็ยินดีบอกให้เจ้าฟัง”ทัวต๋ารู้ข่าวการพ่ายแพ้ของกองทัพแนวหน้าแล้วจริงๆอีกทั้ง ยังรู้ด้วยว่าพวกเขาพ่ายแพ้อย่างไรแม้ว่าเขาจะไม่เคยออกจากกระโจม แต่ก็ได้ยินทหารยามที่อยู่นอกกระโจมพูดถึงเรื่องนี้ไม่น้อย“เจ้าต้องการ…ให้ข้ายอมจำนนหรือ?”ทัวต๋าพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา หายใจรัว พร้อมกับคาดเดาจุดประสงค์ของหยุนเจิงได้“ใช่แล้ว!”หยุนเจิงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าจะไม่พูดอ้อมค้อมกับเจ้า ตราบใดที่เจ้ายอมรับเงื่อนไขของข้า ข้าก็จะให้โอกาสเจ้าแ