ระหว่างทางกลับ พวกตู้กุยหยวนทั้งสามคนใช้สายตาแปลกๆ มองหยุนเจิง ไม่รู้ว่าในใจกำลังพูดว่าหยุนเจิงนั้นโง่หรือว่ากำลังคิดเรื่องอื่นอยู่“พวกเจ้ากำลังคิดว่าข้าเป็นคนโง่ใช่หรือไม่”หยุนเจิงยิ้มถาม“อาจเป็นเพราะว่า องค์ชายมีความคิดอื่นร่วมด้วย!”ตู้กุยหยวนยิ้มขมขื่นไม่เอาชุดเกราะเกล็ดแต่เอาชุดเกราะหนังไม่โง่ไปหน่อยหรือหยุนเจิงหัวเราะ แล้วหันไปพูดว่า “พวกเจ้าทั้งสามคนล้วนเคยออกรบกับชาวเป่ยหวนที่ซั่วเป่ยมาหลายครา ข้าขอถามพวกเจ้าหน่อย พวกทหารม้าเป่ยหวนใส่ชุดเกราะประเภทใดเป็นหลัก”“แน่นอนว่าต้องเป็นชุดเกราะหนัง”อวี๋ซื่อจงตอบกลับ “แต่ทหารม้าเป่ยหวนใช้ชุดเกราะหนัง นั่นเป็นเพราะไม่มีทางเลือก! เป่ยหวนขาดแคลนชุดเกราะ ทหารบางนางไม่มีแม้กระทั่งชุดเกราะหนังใส่เสียด้วยซ้ำ”หยุนเจิงหัวเราะ แล้วถามอีกว่า “แล้วสิ่งที่น่าเกรงขามของทหารม้าเป่ยหวนอยู่ที่ใด”จั่วเริ่นตอบกลับ “ทหารม้าเป่ยหวนเคลื่อนไหวดุจลม เชี่ยวชาญในด้านการวิ่งระยะไกล มักจู่โจมใส่ชุดอ่อนของทหารฝ่ายเราโดยไม่รู้ตัวเสมอ …”เมื่อพูดถึงทหารม้าเป่ยหวน ทั้งสามต่างรู้สึกหดหู่ใจเป็นอย่างมากทหารม้าเป่ยหวนเป็นฝันร้ายของพวกเขาในอดีต กองท
คณะทูตเป่ยหวนไปแล้ว งานแต่งงานของหยุนเจิงก็ใกล้แล้วช่วงบ่ายวันนั้น ทางกรมก็ส่งคนมาตกแต่งจัดแจงจวนของหยุนเจิงส่วนจะตกแต่งและจัดแจงอย่างไรนั้นหยุนเจิงไม่ทราบและไม่ได้กังวลใจเรื่องนี้ด้วยหยุนเจิงชวยโอกาสที่หัวหน้าผู้ดูแลจวนถูกจักรพรรดิเหวินจัดการไปแล้ว เขาก็เลยให้เยี่ยจื่อเป็นหัวหน้าผู้ดูแลจวนชั่วคราวไปก่อน เพื่อที่จะได้ง่ายต่อการตรวจสอบคนในจวนเรื่องรับสมัครทหารนั้นหยุนเจิงฝากไว้กับพวกตู้กุยหยวนแล้ว เขาเองก็วางใจอีกทั้ง เรื่องนี้เขาไม่อาจใส่ใจมากเกินไปยิ่งเขาใส่ใจมากเพียงใด จักรพรรดิเหวินก็จะยิ่งไม่ไว้ใจเขามากขึ้นเท่านั้นในสองวันถัดมานั้น หยุนเจิงจะออกจากจวนแต่เช้ากลับมาก็ค่ำแล้วเพราะว่าอวี๋ซื่อจงกับจั่วเริ่นต้องติดตามตู้กุยหยวนไปรับสมัครทหาร คนที่คุ้มกันหยุนเจิงจึงได้เปลี่ยนเป็นกุยเหอกับโจวมี่อีกครั้งตอนนี้กุยเหอมอบใจให้เขาแล้ว ความแคลงใจต่อโจวมี่ก็มลายหายไป เขาไม่ต้องคอยระมัดระวังสองคนนี้ตลอดเวลาอีกแล้ว“ตั้งๆๆ…”ในร้านตีเหล็ก ช่างตีเหล็กหลายคนออกแรงตีเหล็กกันไม่หยุดในใจหยุนเจิงลอบภาวนาว่าครั้งนี้อย่าได้แตกอีกเลยพวกเขาลงแรงตีเหล็กดามัสกัสเพียงเล็กน้อยเพื่อใช้เป็
เป็นเพราะบิดาไม่มีเวลาฝึกขี่ม้าหรอกนะ ไม่เช่นนั้นจะทำให้คนขี้อวดอย่างเจ้าอกแตกตายให้ได้เลย!“เจ้ายังอยู่ที่นี่อีกหรือ!”เสิ่นลั่วเยี่ยนยืนอยู่ปากประตูร้านตีเหล็ก มองไปทางหยุนเจิงที่มีฝุ่นเต็มมอมแมมทั้งตัวอย่างหมดคำจะพูดพูดตามตรงว่าสภาพหยุนเจิงตอนนี้ดูมอมแมมเป็นอย่างมากแม้ว่าเขาจะไม่ได้ลงมือเอง แต่ในร้านตีเหล็กนี้มีฝุ่นผงเยอะมาก ทั้งยังร้อนระอุ เหงื่อกับฝุ่นคลุกเคล้ากันอยู่บนใบหน้าเขา ทำให้เขาดูสกปรกมอมแมม“เจ้ามาทำไมหรือ”หยุนเจิงรีบปัดป่ายฝุ่นผงบนใบหน้า ยิ้มถามขึ้นเสิ่นลั่วเยี่ยนแค่นเสียงเบา “เมื่อครู่ข้าไปที่จวนของเจ้า ได้ยินว่าองค์ชายหกของเราหมกมุ่นอยู่แต่การตีเหล็กทั้งวัน ข้าไม่มีทางเชื่อหรอก! ก็เลยมาดูกับตาตนเอง”ตีเหล็ก?ข้ากำลังขยับขยายเทคโนโลยี!เจ้าจะรู้อะไร!หยุนเจิงถากถางในใจสองสามคำ แล้วถามเสียงค่อย “ที่บ้านพวกเจ้าเตรียมตัวถึงไหนแล้ว ต้องการให้ทางข้าช่วยอะไรหรือไม่”“เหอะ เจ้ายังรู้จักถาม”เสิ่นลั่วเยี่ยนมองไปทางหยุนเจิงอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าคิดว่าองค์ชายหกจะลืมเรื่องงานอภิเษกของพวกเราไปเสียแล้ว!”ไม่เคยพบเจอคนประเภทนี้เลยจริงๆ!จักรพรรดิเหวินมีเมตตาให้เขาร
ไม่เพียงแต่จะดูดีแต่ยังแข็งมากด้วย!นี่เป็นความจริง!แต่พอเสิ่นลั่วเยี่ยนฟังแล้ว กลับรู้สึกว่ามันน่าตงิดใจทว่า นางเองก็ไม่รู้ว่าตรงไหนที่น่าตงิดใจไม่ช้า เสิ่นลั่วเยี่ยนก็ละทิ้งความคิดนั้น แล้วกวาดสายตาไปที่ปลายหัวหอกหยุนเจิงหัวเราะแล้วถามขึ้นว่า “เจ้าอยากจะทดสอบหอกของข้าด้วยตนเองหรือไม่”“ไม่ต้องแล้ว!”เสิ่นลั่วเยี่ยนส่ายหัวเบาๆ แล้วรีบสาวเท้าไปด้านหน้า ปลดหัวหอกออกจากด้ามอย่างว่องไว ยิ้มแก้มปริไปทางหยุนเจิงอย่างพบเห็นได้ยาก “หัวหอกนี่เจ้ามอบให้ข้าก็แล้วกัน!”“เจ้าไม่เกรงใจกันเลยสักนิด!”หยุนเจิงหัวเราะอย่างประหลาดใจแล้วถามขึ้นอย่างสงสัยว่า “เจ้าใช้หอกเป็นหรือ”“ข้าใช้ไม่เป็น?”เสิ่นลั่วเยี่ยนแค่นเสียงเบา แล้วพูดขึ้นอย่างเย่อหยิ่งว่า “เจ้าลองถามองค์รักษ์ของเจ้าสองคนนี้ดูสิ!”กุยเหอไม่รอให้หยุนเจิงถามก็รีบพูดขึ้นเลยว่า “พระชายาองค์ชายหกน่าจะเชี่ยวชาญในการใช้หอกยาว ท่านแม่ทัพเสิ่นในตอนนั้นก็มีเชื่อเสียงโด่งดังจากฝีมือการใช้หอกของตระกูลเสิ่น”หอกตระกูลเสิ่น?เรื่องนี้ หยุนเจิงไม่รู้เลยจริงๆหลังกจากที่หยุนเจิงครุ่นคิดไปเพียงครู่ ก็ยื่นมือไปทางเสิ่นลั่วเยี่ยน “คืนให้ข้าก่
หืม?หยุนเจิงสงสัยหรือว่ายังมีลับลมคมในอะไรอีกงั้นหรือ!เยี่ยจื่อนิ่งเงียบไปนาน ค่อยพูดขึ้นอย่างแช่มช้าว่า “องค์ชายคงไม่ทราบว่า พวกเขามีเพียงทหารหมื่นนายบุกเข้าโจมตีราชสำนักของเป่ยหวน ทำให้ท่านฉานอวี่ของเป่ยหวนพิโรธหนัก หลังจากที่พวกเขาตายและแพ้ในสนามรบ ท่านฉานอวี่สั่งให้ทหารม้าของเขาเหยียบย่ำกระดูกของพวกเขาจนเป็นเนื้อสับ! หลุมศพของพวกเขาเป็นเพียงเนินกองผ้า ดังนั้น วันครบรอบการเสียชีวิตของพวกเขาจึงนับจากวันที่เสื้อผ้าของพวกเขาถูกฝังลงดิน นับจากวันที่วิญญาณกลับคืนสู่มาตุภูมิน่ะ…”“นี่มัน…”หยุนเจิงตะลึงงัน พูดขึ้นอย่างรู้สึกผิดว่า “ข้าขออภัย ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย”เขารู้เพียงว่าสามพ่อลูกเสิ่นหนานเจิงตายได้อย่างสง่าผ่าเผย คิดไม่ถึงว่าจะหดหู่เพียงนี้มิน่าล่ะ กุยเหอถึงได้ส่งสัญญาณให้เขาใหญ่!เฮ้อ!ความแค้นนี้ มีเพียงต้องรอให้ไปถึงซั่วเป่ยก่อนค่อยชำระแทนพวกเขาแล้ว!“ไม่เป็นไรหรอก ข้ารู้ว่าองค์ชายไม่ทราบเรื่องนี้”เยี่ยจื่อพยายามเค้นรอยยิ้มออกมา“เช่นนั้น...พรุ่งนี้ข้าก็ต้องไปสักการะพวกแม่ทัพเสิ่นด้วย?” หยุนเจิงถามขึ้นอีกเยี่ยจื่อพูดว่า “ตามธรรมเนียมแล้ว องค์ชายกั
เมื่อกลับมาถึงบ้าน เสิ่นลั่วเยี่ยนก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติแปลกๆหลังจากที่นิ่งเงียบครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ เสิ่นลั่วเยี่ยนจึงจัดสินใจเคาะประตูห้องเยี่ยจื่อก่อนเปิดเข้าไปในตอนนี้เยี่ยจื่อเตรียมจะเข้านอนพอดี“เช้าวันพรุ่งก็ต้องไปสักการะพ่อตากับพี่ชายของเจ้า ใยเจ้าถึงยังไม่นอนพักผ่อนอีกล่ะ?”เยี่ยจื่อเห็นเสิ่นลั่วเยี่ยนเดินเข้ามาจึงยิ้มพลางเอ่ยปากถามเสิ่นลั่วเยี่ยนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจกล่าวว่า “พี่สะใภ้ ข้ารู้สึกว่าระหว่างพี่สะใภ้กับหยุนเจิงมีบางอย่างผิดปกติไป…”หืม?สาวน้อยผู้นี้จับได้แล้วอย่างนั้นหรือเยี่จื่อแอบสงสัย ก่อนจะมองเสิ่นลั่วเยี่ยนด้วยสีหน้าขี้เล่น “นี่เจ้าเห็นข้าอยู่แต่ในจวนองค์ชายหกทั้งวันทั้งคืนก็เลยรู้สึกหึงหวงเข้าแล้วใช่หรือไม่?”“หึงหวง!”เสิ่นลั่วเยี่ยนได้ยินเช่นนี้ก็ตกอกตกใจราวกับไปเหยียบหางแมวก็มิปาน “พี่สะใภ้คิดอะไรเช่นนั้น คนอย่างข้าจะไปหึงหวงเจ้ากุ้งขาอ่อนนั่นได้อย่างไรกันเล่า”แม้เย่ยจื่อจะเป็นพี่สะใภ้ของเสิ่นลั่วเยี่ยน แต่ทั้งสองมีความสัมพันธ์เป็นสหายที่สนิทสนมกันมากอยู่ต่อหน้าเยี่ยจื่อ เสิ่นลั่วเยี่ยนสามารถกล่าววาจาอย่างไม่ต้องกวาดกลัวต่อส
เยี่ยจื่อแอบยิ้ม ก้มหน้าไม่กล่าวสิ่งใดออกมาเมื่อเห็นว่าพี่สะใภ้เหมือนจะเห็นด้วยกับคำพูดของตนเอง เสิ่นลั่วเยี่ยนจึงกล่าวต่ออีกว่า “สิ่งที่เขาทำและเข้าตาข้ามากที่สุดในเมื่อก่อนก็มีเพียงแค่เหล็กลายบุปผาเท่านั้น…”เมื่อพูดถึงเหล็กลายบุปผานั้นขึ้น เสิ่นลั่วเยี่ยนก็เล่าให้พี่สะใภ้ฟังอย่างตื่นเต้นว่าเหล็กลายบุปผานั้นเก่งกาจมากเพียงใด อีกทั้งยังเริ่มจินตนาการว่าตนเองถืออาวุธศักดิ์สิทธิ์นั้นฆ่าสังหารไปทั่วทุกสารทิศอย่างแข็งแกร่งเกรียงไกรยิ่งเล่านางก็ยิ่งตื่นเต้น เสิ่นลั่วเยี่ยนเรื่องในร้านตีเหล็กให้นางฟังทั้งหมด“เจ้าบอกว่าเข้าให้เจ้าลองหอกนั่นด้วยตัวเองว่าหอกนั่นแข็งหรือไม่อย่างนั้นหรือ?”เยี่ยจื่อหน้าแดงเล็กน้อย มองสาวน้อยผู้โง่เขลาไร้เดียงสาผู้นี้ด้วยสีหน้าแปลกใจ“ก็ใช่น่ะสิ!”เสิ่นลั่วเยี่ยนพยักหน้า และกล่าวต่ออย่างไม่สบอารมณ์ว่า “อันที่จริงข้าควรจะลองด้วยมือของข้าเอง แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่ามีดองครักษ์นั้นของเขาจะมีปัญหาใดหรือไม่”“ค่อกแค่ก…”เยี่ยจื่อส่งเสียงไอค่อกแค่กออกมาอย่างเขินอาย กล่าวถามลองเชิงว่า “นี่ท่านแม่ยังไม่ได้บอกเรื่องระหว่างชายหญิงให้เจ้าฟังหรือ?”สตรีทุกค
สุสานของเสิ่นหนานเจิงสามพ่อลูกอยู่ที่ภูเขาต้าเจียนในเขตนอกเมืองหลวงพวกเขาออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ ใช้เวลาชั่วยามครึ่งกว่าจะถึงจุดหมายสุสานของสามพ่อลูกสร้างอยู่ติดกันสุสานของเสิ่นหนานเจิงตั้งออกมาด้านหน้าเล็กน้อย ส่วนสุสานของบุตรชายทั้งสองอยู่ซ้ายขวาด้านหลังเล็กน้อยเมื่อมองไปแล้วราวกับบุตรชายทั้งสองตามผู้เป็นพ่อมาออกรบก็มิปานหยุนเจิงมองไปที่ป้ายสุสานที่สลักชื่อเสิ่นหนานเจิงแล้วก็อดที่จะสะอึกสะอื้นไม่ได้สุดท้ายเสิ่นหนานเจิงต้องมาตายในศึกรบทางเหนือไม่รอให้ฮูหยินเสิ่นสั่ง เหล่าบรรดาบ่าวรับใช้และสาวใช้ต่างนำของเซ่นไหว้ไปวางไว้หน้าป้ายสุสานทั้งสามเมื่อมองดูสุสานของพ่อลูกทั้งสาม ฮูหยินเสิ่นก็ทนกับความเสียใจไม่ได้จนน้ำตาคลอเบ้าขึ้นแม้สามพ่อลูกจะตายไปในสนามรบเป็นเวลาห้าปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่นึกถึงจุดจบของทั้งสามที่ต้องตายไปอย่างไร้ซากศพ ในใจของฮูหยินเสิ่นก็อดที่จะโศกเศร้าขึ้นไม่ได้ผ่านไปครู่ใหญ่ ฮูหยินเสิ่นจึงจุดธูปสามดอก ปักหน้าป้ายสุสานของทั้งสามป้ายละดอก จากนั้นคุกเข่าลงหน้าป้ายสุสานของเสิ่นหนานเจิงกล่าวพึมพำโดยไม่ได้ส่งเสียงออกมาแต่อย่างใดหยุนเจิงได้แต่คาดเด