ไม่กี่วันถัดมา หยุนเจิงก็เตรียมพร้อมเกี่ยวกับเรื่องที่จะเดินทางไปซั่วเป่ยคนที่อยู่ทางด้านเขาเมาเอ่อร์ก็เคลื่อนไหวขึ้นแล้ว พวกเขารีบเร่งมือทำเสบียงอาหารแห้งเช่นนี้ก็สามารถประหยัดเวลาในการเดินทางได้ด้วยระหว่างนั้นหยุนเจิงก็ไปหาจางซูเอาสบู่มากล่องหนึ่ง จางซูเองก็ตัดสินใจแล้วว่าจะเดินทางไปซั่วเป่ยกับเขาเพียงแต่ว่า จางซูได้บอกกับหยุนเจิงอย่างชัดเจนแล้วว่าเขาไม่อาจลงสนามรบได้หากสงครามซั่วเป่ยลุกเป็นไฟขึ้นมา ไม่อาจทำการค้าได้ เขาก็จะกลับสำหรับเงื่อนไขนี้หยุนเจิงไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใดขอเพียงแค่จางซูไปซั่วเป่ยกับเขา เขาก็มีวิธีที่จะทำให้จางซูยอมอยู่ต่อและในขณะที่หยุนเจิงกำลังเตรียมตัวอย่างแข็งขัน วันไหว้พระจันทร์ก็ได้มาถึงแล้วงานเลี้ยงวันไหว้พระจันทร์ล้วนแต่จัดในยามรัตติกาลเท่านั้นญาติและเชื้อพระวงศ์ทุกคนต้องเข้าวังเพื่ออยู่ชมพระจันทร์กับจักรพรรดิเหวินเหล่านขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนสำคัญๆ ก็ได้รับเชิญเข้าร่วมเช่นกันเมื่อยามอาทิตย์ใกล้ตกดิน หยุนเจิงและเสิ่นลั่วเยี่ยนจึงนั่งรถม้าเดินทางเข้าวัง“เจ้าจำบทกลอนเหล่านั้นได้หรือยัง?”ในรถม้า เสิ่นลั่วเยี่ยนถามหยุนเจิงเรื่องบทกลอน
“เจ้าคิดว่าเสด็จพ่อโง่เขลาเบาปัญญาอย่างนั้นหรือ?”หยุนเจิงกรอกตามองบนใส่นางอีกครั้ง “ท่าทางเจ้าเป็นเช่นนี้เสด็จพ่อมองแค่แวบเดียวก็รู้แล้วว่าเจ้าทำขนมไหว้พระจันทร์ไม่เป็น! หากถูกจับได้นั่นหมายความว่าเจ้าหลอกลวงกษัตริย์! เจ้าลืมเรื่องล่าสัตว์ที่หนานย่วนไปแล้วหรือไง?”ขนมไหว้พระจันทร์เพียงชุดเดียวต่อให้ราคาแพงมากเพียงใดก็ไม่ได้มีค่ามากตามราคาดังนั้นที่ให้ทุกคนทำขนมไหว้พระจันทร์ด้วยตัวเองนำมาถวาย นับว่าเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ เพียงเท่านี้ยังจะไปให้คนอื่นทำให้ หากถูกจับได้ขึ้นมาเสด็จพ่อจะคิดเช่นไร“เอาล่ะๆ! เจ้าพูดถูก พอใจหรือยัง?”เสิ่นลั่วเยี่ยนแสยะปากทำเสียงฮึดฮัดออกทางจมูกอย่างไม่พอใจ “ข้าว่าเจ้าก็ไม่ได้มีความสามารถอันใด แต่ปากของเจ้ามันยอดเยี่ยมยิ่งนัก! ไม่ว่าจะพูดเช่นไรเจ้าก็มีเหตุผลที่สุดแล้วล่ะ!”“ก็ข้ามีเหตุผลจริงๆ หนิ่!”หยุนเจิงหัวเราะชอบใจขึ้นทั้งสองทะเลาพะกันมาตลอดทาง จนในที่สุดก็มาถึงวังหลวงแล้วงานเลี้ยงวันไหว้พระจันทร์ในปีนี้ถูกจัดขึ้นในสวนหลวงภายใต้การนำทางของคนในวัง ทั้งสองจึงเดินมาถึงสวนหลวงแล้ว“น้องหก น้องสะใภ้! พวกเจ้ามาสักทีนะ!”
ในตอนนี้หยุนลี่อยากจะตบหยุนเจิงให้ตายจริงๆเจ้าสุนัขบ้านี่!นี่เสียสติไปแล้วกระมังตนช่วยเตรียมขนมไหว้พระจันทร์มาให้ ยังกล้ามายิืมเงินตนอีกนี่เขาเสพติดการหลอกเงินตนไปแล้วหรืออย่างไรเสิ่นลั่วเยี่ยนที่อยู่ข้างๆ ก็ตกใจนิ่งอึ้งไปกับอาการสมองกลับของอย่างแปลกประหลาดนี้ของหยุนเจิงเช่นกันนี่เขายังไม่ตื่นจากฝันในเมื่อคืนหรืออย่างไรกันเขายังจะยืมเงินหยุนลี่อีกอย่างนั้นหรืออีกทั้งยังกล้าเอ่ยปากยืมถึงแสนตำลึงเขาคิดว่าหยุนลี่เห็นเขาเป็นน้องไปแล้วจริงๆ หรือ“น้องหก เจ้าอย่าทำให้พี่สามลำบากใจเลยนะ”หยุนลี่ระงับความโกรธเอาไว้ในใจ และกล่าวอย่างทุกข์ใจว่า “ตอนนี้พี่สามไม่มีเงินจริงๆ! อีกอย่าง พี่สามมางานเลี้ยงวันไหว้พระจันทร์ จะนำเงินมากมายเช่นนั้นติดตัวมาด้วยเหตุใดกันล่ะ?”หยุนเจิงกระพริบตาปริบๆ “ไม่เป็นไร พี่สามก็ไปยืมได้หนิ่!”“ห๊ะ?”เสิ่นลั่วเยี่ยนตกตะลึงพรึงเพริดขึ้น มองหยุนเจิงด้วยความสับสนตั้งแต่เกิดมานางไม่เคยเจอใครที่หน้าด้านเช่นนี้มาก่อนเลยจริงๆ!จะให้ไปยืมเงินคนอื่นเอามาให้เขายืมเนี่ยนะ?อีกอย่างมันก็ไม่ใช่เงินแค่สองสามร้อยตำลึงหรือพันตำลึงนั่นมันเงินหนึ่งแ
หยุนเจิงเข้าใจการขยิบตาของเขา จึงเดินไปหาหยุนลี่ทันทีเสิ่นลั่วเยี่ยนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินตามไปเช่นกันนางเองก็อยากเห็นเหมือนกันว่าหยุนเจิงจะถูกทำลายความฝันอย่างไร้ความปรานีลงเช่นไร!ภายใต้การนำทางของหยุนลี่ ในที่สุดพวกเขาก็เดินมาในที่ที่ลับตาคนหยุนลี่ฝืนเก็บความโกรธเอาไว้ในใจ และยื่นเงินปึกใหญ่ตรงหน้าหยุนเจิง “น้องหก เงินหนึ่งแสนตำลึง เจ้าลองนับดู”ห๊ะ?เมื่อเห็นหยุนลี่ยื่นเงินให้หยุนเจิงเช่นนี้ เสิ่นลั่วเยี่ยนก็ตกตะลึงพรึงเพริดขึ้นสองคนนี้เสียสติไปแล้วหรืออย่างไร!คนหนึ่งก็กล้าเอ่ยปากยืม อีกคนหนึ่งก็กล้ายื่นเงินหนึ่งแสนตำลึงให้ยืมนี่พวกเขากำลังฝันอยู่หรือว่านางกำลังฝันอยู่กันแน่นี่มันเรื่องอันใดกันแน่?หยุนลี่กลายเป็นคนดีตั้งแต่เมื่อไหร่แล้ว?นี่เรียกว่ายืมที่ไหนกันเล่า!เห็นได้ชัดว่าเอาเงินหนึ่งแสนตำลึงมาให้ฟรีๆ“ไม่ต้อง ไม่ต้องนับหรอก ข้าเชื่อใจพี่สาม!”หยุนเจิงหรี่ตายิ้มพลางรับเงินนั้นมา “ต้องขอบคุณพี่สามแล้ว!”เขาเชื่อว่าหนุนลี่ไม่กล้าให้เงินเขาขาดแม้แต่ตำลึงเดียว“ไม่เป็นไร!”หยุนลี่ฉีกยิ้มออกมาอย่างยากลำบาก และยื่นกล่องขนมไหว้พระจันทร์กล่องนั้นให้ห
ในสวนหลวงถูกจัดแต่งกลายเป็นงานเลี้ยงอย่างรื่นเริงเหล่าบรรดาเชื้อพระวงศ์และขุนนางจำนวนไม่น้อยมาถึงแล้วเมื่อเห็นหยุนเจิงและเสิ่นลั่วเยี่ยนมาถึง คนจำนวนไม่น้อยก็เข้ามาทักทายอย่างกระตือรือร้น“น้องหก อีกไม่กี่นานก็จะเดินทางไปซั่วเป่ยแล้ว เจ้าไปครั้งนี้ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เราจะได้เจอกันอีก”“องค์ชายหก ไปซั่วเป่ยครานี้ ถนอมตัวด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”“น้องสะใภ้ น้องหกต้องมอบให้เจ้าเป็นคนดูแลแล้ว เจ้าต้องปกป้องน้องหกให้ดีนะ ข้าในฐานะพี่ต้องขอบใจเจ้าแล้ว”“องค์ชายหก คืนนี้ต้องดื่มกันสักหน่อยแล้ว……”ทันใดนั้น ทั้งสองก็ดูเหมือนจันทราที่อยู่ท่ามกลางการห้อมล้อมของดวงดาราก็มิปานเผชิญหน้ากับการต้อนรับอย่างกระตือรือร้นเช่นนี้ เสิ่นลั่วเยี่ยนก็อดที่จะสับสนมึนงงไม่ได้สถานการณ์ไม่เหมือนกับที่นางได้จินตนาการเอาไว้เลย!นางยังคิดด้วยซ้ำว่าวันนี้คงหลีกหนีไม่พ้นการเยาะเย้ยของคนเหล่านี้!ในฐานะพระชายา นางเตรียมพร้อมรับมือและตอบโต้กับคนเหล่านี้มาแล้วด้วยซ้ำแต่สุดท้าย นึกไม่ถึงเลยว่าจู่ๆ คนเหล่านี้จะเปลี่ยนจากหลังมือเป็นหน้ามือเช่นนี้ความกระตือรือร้นอย่างน่าประหลาดใจนี้ ทำให้นางตั้งรับไม่ทันเลย
ยังดีที่เขาเชื่อถวายสบู่ ยังดีกว่าต้องมาหวาดกลัวลนลานต่อให้หยุนเจิงถวายสบู่แล้วผิดประเพณี แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ได้หลอกกษัตริย์อีกอย่าง อีกไม่นานหยุนเจิงก็จะไปซั่วเป่ยแล้ว ต่อให้เสด็จพ่อจะตำหนิลงโทษเขา ก็คงไม่ลงโทษถึงขั้นรุนแรงเมื่อคิดได้เช่นนี้ เสิ่นลั่วเยี่ยนก็โล่งอกไปเปราะหนึ่ง“เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ ลูกมีเรื่องจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ!”และในตอนีที่พวกเขากำลังถวายสบู่อยู่นั้นเอง องค์ชายสี่หยุนถิงก็ลุกพรวดขึ้นหือ?จักรพรรดิเหวินขมวดพระขนงเล็กน้อย มองหน้าหยุนถิงด้วยความสงสัย ก่อนจะโบกพระหัตถ์พลางกล่าวว่า “วันนี้เป็นวันงานเลี้ยงไหว้พระจันทร์ ข้าต้องการชมพระจันทร์และดื่มด่ำไปกับพวกเจ้าเท่านั้น ไม่พูดถึงเรื่องบ้านเมือง หากเจ้ามีเรื่องอันใดก็ค่อยว่ากันในท้องพระโรงวันพรุ่ง!”หยุนถิงส่ายหน้าและยืนหยัดที่จะกล่าว “เสด็จพ่อ เรื่องที่ลูกจะกราบทูลนี้ เกรงว่าไม่อาจกราบทูลในวันพรุ่งได้พ่ะย่ะค่ะ”เช่นนั้นหรือ?จักรพรรดิเหวินไม่พอพระทัย ตรัสอีกว่า “งั้นเจ้าก็ว่ามา มีเรื่องอันใดจะกราบทูลข้า?”หยุนถิงโค้งคารวะก่อนจะกล่าวว่า “เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ ขนมไหว้พระจันทร์ที่น้องหกถวาย พระชายาของน้อง
“ฮะ?”จักรพรรดิเหวินตกตะลึงนี่ใช้สำหรับอาบน้ำงั้นหรือกลิ่นของสิ่งนี้คล้ายกับกลิ่นขนมไหว้พระจันทร์ชัดๆกลิ่นดอกไม้แรงมากคงจะใส่ดอกไม้เพิ่มระหว่างการผลิตทำไมถึงกลายเป็นว่าสามารถใช้อาบน้ำได้ล่ะหยุนเจิงผลิยิ้มบางๆ และอธิบายว่า “ทั้งลูกและลั่วเยี่ยนเราทำขนมไหว้พระจันทร์ไม่เป็น กลัวว่าขนมไหว้พระจันทร์ที่ทำมาแบบลวกๆ จะไม่อร่อย ทำให้เสด็จพ่อและทุกคนเสียอารมณ์ จึงเลือกอย่างอื่นมาแทน ตั้งใจจะถวายให้กับเสด็จพ่อ““เมื่อไม่กี่วันก่อน พี่สามมาที่จวนของลูก บังเอิญรู้เข้าว่าลั่วเยี่ยนทำขนมไหว้พระจันทร์ไม่เป็น จึงช่วยทำเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้ลูกและลั่วเยี่ยนต้องเสียหน้า”“แต่ลูกไม่กล้าหลอกลวงเสด็จพ่อ และไม่อยากรู้สึกไม่ดีที่ต้องปฏิเสธน้ำใจของพี่สาม ก็เลยเก็บขนมไหว้พระจันทร์ไว้ ตั้งใจว่าจะเอากลับไปกินเอง ขนมไหว้พระจันทร์ที่พี่สามมอบให้ ลูกยังวางไว้ที่นั่น...”ขณะที่พูด หยุนเจิงก็กระวีกระวาดไปเอาขนมไหว้พระจันทร์ที่หยุนลี่ส่งมาเมื่อมองดูขนมไหว้พระจันทร์ในมือของหยุนเจิง จักรพรรดิเหวินก็ขมวดคิ้วอีกครั้งหัวใจของหยุนถิงก็เต้นแรงเช่นกันทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่า ตัวเองอาจตกหลุมพรางแล้ว!“เ
โดนเล่นงานแล้ว!ตัวเองโดนเจ้าสามกับเจ้าหกรวมหัวกันเล่นงานเข้าแล้ว!พวกเขาต้องจงใจจัดฉากการแสดงนี้ แล้วให้คนมาบอกคนของตัวเอง!พวกเขาอยากให้ตัวเองยั่วโมโหเสด็จพ่อให้ไม่พอใจ!ไอ้สารเลวสองคนนี้!สุมหัวกันจริงๆ?หลังจากสั่งให้หยุนถิงออกไป จักรพรรดิเหวินก็เงยหน้าขึ้นมองหยุนลี่อีกครั้ง “เจ้าสาม!”“ลูกมีความผิด เสด็จพ่อโปรดลงโทษด้วย!”หยุนลี่คุกเข่ารับผิดอย่างรู้สถานการณ์ทันที“เสด็จพ่อ พี่สามแค่มีเจตนาดี เสด็จพ่อโปรดอย่าตำหนิพี่สามเลย”หยุนเจิงเอ่ยปากขอร้องแทนหยุนลี่ทันทีสายสัมพันธ์แห่งความรักพี่น้องที่ลึกซึ้งของคนทั้งสอง ทำให้ทุกคนที่เห็นต่างก็ตะลึงงันหยุนเจิงเตะจนชีวิตของหยุนลี่เกือบจะหาไม่แล้ว!เมื่อก่อนทั้งสองคนแทบจะเป็นดั่งน้ำกับไฟที่เข้ากันไม่ได้!ตอนนี้ กลับกลายเป็นพี่น้องที่รักใคร่ปรองดองกัน?มันจะเหมือนฝันเกินไปแล้ว“เอาล่ะ! ลุกขึ้นเถอะ!”จักรพรรดิเหวินเหลือบมองลูกชายทั้งสองอย่างปลื้มใจ และพูดกับหยุนลี่ “เห็นแก่ความตั้งใจดีของเจ้า ข้าจะไม่สืบสาวราวเรื่องต่อแล้ว! คราวหน้าห้ามทำอีก!”“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!”หยุนลี่โค้งคำนับอย่างรวดเร็ว ในใจรู้สึกมีความสุขและเจ็บปวดไปพ
เมื่อได้ฟังโจวเต้ากงบ่นอย่างนี้ หยุนลี่ก็เดาได้ทันทีว่าเจ้านี่ต้องการพูดอะไรต่อไป ชัดเลย เขาคงจะมาขอเกราะจากตนแน่ๆ ใช่ไหม? “พอแล้วๆ!” หยุนลี่ขัดจังหวะคำพูดของโจวเต้ากง “ที่นี่ยังขาดเกราะอีกเท่าไหร่?” “หนึ่งหมื่นสามพันชุด” โจวเต้ากงตอบทันที “ขาดมากขนาดนี้เลย?” ใบหน้าของหยุนลี่กระตุกเล็กน้อย “ตามที่เจ้าพูด คนหนึ่งหมื่นที่ประจำอยู่ห่างออกไปสิบห้าลี้ก็แทบไม่มีเกราะเลยใช่ไหม?” “พ่ะย่ะค่ะ!” โจวเต้ากงพยักหน้า “หนึ่งหมื่นนั้นล้วนเป็นทหารที่เพิ่งเกณฑ์ใหม่ และตอนนี้กำลังฝึกซ้อมอยู่ที่นั่น…” ฝึกซ้อม? ใบหน้าของหยุนลี่มืดครึ้ม เกือบจะสบถออกมา ไม่มีเกราะป้องกัน นี่ก็เรียกว่าฝึกซ้อมหรือไงวะ? นี่มันเรียกว่าทิ้งข้าวเปลืองเบี้ยเลี้ยงมากกว่า! ถ้าเจ้าหกยกพลบุกมา จะหวังพึ่งคนพวกนี้ได้ไหม? พวกทหารนี่คงเป็นแค่เป้าซ้อมมือให้เจ้าหกไม่ใช่หรือไง? บ้าบอคอแตก! แนวป้องกันนี่ ไม่มีเสียยังจะดีกว่า! อย่างนี้ ราชสำนักยังประหยัดค่าใช้จ่ายได้มหาศาลอีกด้วย! หยุนลี่โมโหจนแทบจะระเบิด แต่ก็ไม่อาจระบายความโกรธใส่โจวเต้ากงได้ เรื่องนี้จะไปโทษโจวเต้ากงก็ไม่ได้! เกรา
ฟู่โจวหัวเมืองเมืองสี่ทิศนี่คือพื้นที่ที่ใกล้กับซั่วเป่ยที่สุดของฟู่โจว หยุนเจิงจะจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาที่ฟู่โจว การสร้างจวนอ๋องใหม่ในเวลาสั้นๆ เป็นไปไม่ได้ จึงต้องซื้อจวนจากเหล่าขุนนางใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศแทน เดิมทีเรื่องนี้ควรเป็นหน้าที่ของหยุนลี่ องค์รัชทายาท ที่จะช่วยดูแลจัดการ แต่หยุนลี่ไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย สั่งให้ขุนนางในกรมพิธีการตัดสินใจกันเอง เขาเกลียดชังหยุนเจิงจนแทบอยากสับร่างหยุนเจิงเป็นชิ้นๆ แล้วจะให้เขามาช่วยเลือกจวนให้อย่างนั้นหรือ? ถ้าให้ช่วยเลือกโลงศพแทน เขาคงรีบทำอย่างกระตือรือร้นแน่! หลังจากโยนเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ให้ขุนนางระดับล่างจัดการ หยุนลี่ก็พาคนเดินทางไปยังค่ายใหญ่หัวเมืองสี่ทิศ นับตั้งแต่จ้าวจี๋นำทัพไปยังเขตตะวันตกเฉียงเหนือ ฟู่โจวก็เหลือเพียงกองกำลังสามหมื่นนาย และกองกำลังทั้งสามหมื่นนายนี้ก็เกือบทั้งหมดประจำอยู่ในหัวเมืองสี่ทิศ หยุนลี่ไม่หวั่นเกรงที่จะถูกตำหนิเรื่องการติดต่อกับแม่ทัพในกองทัพโดยพลการ การตรวจสอบค่ายใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศ เป็นภารกิจที่จักรพรรดิเหวินมอบหมายให้เขาก่อนที่จะเดินทางไปยังซั่วเป่ย เมื่อหยุนลี่พาคนมา
“เสด็จพ่อ ที่ซั่วเป่ยขาดแคลนอาหารอย่างหนัก!” หยุนเจิงกล่าวด้วยสีหน้าทุกข์ใจ “ตอนนี้ลูกไม่ได้ดูแลแค่ชาวซั่วเป่ย แต่ยังต้องเลี้ยงดูคนในเขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือ อีกทั้งเป่ยหมัวถัว กุ่ยฟาง เป่ยหวน ทุกพื้นที่เหล่านี้…” “คำพูดพวกนี้ไปบอกพี่สามของเจ้าสิ อย่ามาพูดกับข้า!” จักรพรรดิเหวินไม่ฟังคำพร่ำบ่นของหยุนเจิง ตัดบทอย่างไร้เยื่อใย บอกกับเจ้าสาม? หยุนเจิงเบะปาก แค่มันเทศในห้องใต้ดินนี้ เจ้าสามจะซื้อไหวหรือ? ตามราคาที่ตนตั้งไว้ก่อนหน้า ถ้าเจ้าสามไม่จ่ายเงินออกมาสักหลายล้านตำลึง คงไม่มีทางซื้อมันเทศในห้องนี้ได้ ถ้าถึงขั้นนั้น เจ้าสามคงต้องกลายเป็นหัวหน้าแผนกปล้นบ้านประจำราชสำนักต้าเฉียนแน่! มองเห็นสีหน้าขัดใจของหยุนเจิง จักรพรรดิเหวินวางมันเทศในมือ พลางตบไหล่หยุนเจิงอย่างแรง “จงจำไว้ ประชาชนในเขตในก็ล้วนเป็นราษฎรในความดูแลของเจ้า!” นั่นไง! เริ่มมาล้างสมองกันอีกแล้ว! หยุนเจิงบ่นในใจ พลางเปลี่ยนเรื่องถาม “เสด็จพ่ออยากลองชิมรสมันเทศนี่ไหม?” “ตอนนี้เลย?” จักรพรรดิเหวินแปลกใจเล็กน้อย “อื้ม” หยุนเจิงพยักหน้า “มันเทศนี่ปอกเปลือกแล้วกินดิบได้ กินน้อ
ผ่านไปไม่กี่วัน พวกเขาก็เดินทางกลับถึงเมืองติ้งเป่ยจนได้ ด้วยเหตุที่จักรพรรดิเหวินทรงกำชับไว้ล่วงหน้า การเสด็จมายังเมืองติ้งเป่ยครั้งนี้จึงถูกปิดเป็นความลับอย่างเข้มงวด มีเพียงผู้คนในจวนอ๋องเท่านั้นที่รับทราบ ครั้นถึงเมืองติ้งเป่ย จักรพรรดิเหวินก็ไม่ได้รีบไปยังจวนอ๋องในทันที แต่กลับยืนกรานให้หยุนเจิงพาไปชมมันเทศเสียก่อน ถึงกับดึงตัวไปก็ยังไม่ยอม หยุนเจิงถึงกับเอ่ยว่าให้คนยกมันเทศมาถวายให้ทอดพระเนตรที่จวนก็ยังไม่ยอม ทั้งยังยืนกรานจะไปดูด้วยพระองค์เองที่ห้องใต้ดินเก็บมันเทศ หยุนเจิงเริ่มระแวงหนักว่าตาแก่นี้คงกลัวว่าตนจะยกมันเทศไม่กี่หัวมาหลอกให้พอพระทัย จึงต้องการไปตรวจดูคลังสำรองเสียก่อนว่าจะสามารถยึดมันเทศไปจากตนได้สักเท่าใด ด้วยการยืนกรานของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงจึงจำต้องพาไปยังสถานที่เก็บมันเทศแห่งหนึ่ง แม้ว่ามันเทศจะถูกแบ่งเก็บไว้ในห้องใต้ดินหลายแห่ง แต่สถานที่เหล่านั้นก็อยู่ติดกัน เพื่อให้สะดวกต่อการจัดการยามเฝ้ารักษา จักรพรรดิเหวินเพียงลงจากรถม้า ก็เห็นกองทหารจำนวนมากสวมเกราะพร้อมอาวุธครบมือ “เจ้าช่างเฝ้าแน่นหนาดีจริง! หรือเจ้ากลัวใครจะมาขโมยมันเทศของเจ
“จะใช้เงินมากมายขนาดไหนกัน?” “ก็เยอะจริงพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ลูกเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกใช้เงินไปมากขนาดนี้” หยุนเจิงทำหน้ามุ่ยเหมือนคนมีทุกข์ จนเยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ แทบอยากจะตีเขา เจ้าคนนี้นี่! พูดเกินจริงก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ! เสด็จพ่ออย่างไรก็เป็นถึงกษัตริย์ แม้จะไม่ทราบรายละเอียดว่าการสร้างเมืองใช้เงินเท่าไร แต่ก็น่าจะพอรู้คร่าวๆ อยู่บ้าง สิบล้านตำลึงขึ้นไป เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไร? นี่มันก็เหมือนกับการโกหกเสด็จพ่ออย่างโจ่งแจ้งเลยไม่ใช่หรือ? “พอแล้ว อย่ามาทำตัวพล่ามเป็นคนจนให้ข้าฟังเลย!” จักรพรรดิเหวินเหลือบมองหยุนเจิงด้วยหางตา “ข้าไม่ได้อยากได้เงินของเจ้าหรือธุรกิจทำเงินของเจ้า! และเจ้าก็อย่าหวังจะได้สักตำลึงจากข้าเลย ท้องพระคลังตอนนี้ไม่มีเงินให้เจ้าแล้ว!” พล่ามว่าจนหรือ? เขาอยากพล่ามว่าจนนักหรือ! ในปีนี้ ต้าเฉียนก็ถือว่าเจอภัยพิบัติไม่น้อย ใช้เงินไปเหมือนน้ำไหล ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสะสมจากหลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักคงอดอยากไปแล้ว! “ก็ได้ๆ!” หยุนเจิงพยักหน้ารับหลายครั้ง ในใจโล่งอกอย่างยิ่ง เขายังกลัวว่าเสด็จพ่อจะมาที่นี่เพื่อมารีดไถ โดยเ
วันถัดมา จักรพรรดิเหวินที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางก็ตื่นสายเล็กน้อย หลังจากรับประทานอาหารเช้าอย่างง่ายๆ จักรพรรดิเหวินก็ให้ทุกคนพาเดินสำรวจในเล่ออาน จักรพรรดิเหวินไม่ได้เปิดเผยฐานะตนเอง ไม่ได้พาผู้ติดตามมากมาย และยังปลอมตัวเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงความยุ่งยาก หลังจากเดินสำรวจรอบเมือง จักรพรรดิเหวินก็ค่อนข้างพอใจ ระหว่างเดินบนถนนในเมือง จักรพรรดิเหวินก็ย่อตัวลงดูอะไรบางอย่าง “นี่มันอะไรหรือ?” จักรพรรดิเหวินชี้ไปที่ปูนระหว่างก้อนอิฐสองก้อนแล้วถาม “นี่คือปูนซีเมนต์” หยุนเจิงอธิบาย “มันทำหน้าที่เหมือนกาวข้าวเหนียว แต่มีความแข็งแรงกว่าเล็กน้อย และหาง่ายกว่า ไม่เปลืองข้าว แค่ปริมาณการผลิตยังน้อยอยู่” “สิ่งนี้ใช้ได้ทีเดียว!” จักรพรรดิเหวินลุกขึ้นช้าๆ “เจ้าเคยคิดจะขายปูนซีเมนต์นี้ไปพื้นที่เขตในหรือไม่?” “นั่นคงยากหน่อย” หยุนเจิงส่ายหัว “ซั่วเป่ยยังขาดปูนนี้มาก จะเอาไปขายที่เขตในได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ส่วนใหญ่ใช้ในงานของราชสำนัก ชาวบ้านทั่วไปไม่จำเป็นต้องใช้” “เช่นนั้น มันเทศล่ะ?” จักรพรรดิเหวินมองหยุนเจิงด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่ามันเทศในซั่วเป่ยป
“ห้ะ?” หยุนเจิงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “วางใจเถอะ ข้ารู้ขอบเขตดี” จักรพรรดิเหวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นช่วงสำคัญที่เจ้าจะรวบรวมใจชาวเป่ยหวน แม้ข้าจะอยากไปบวงสรวงฟ้าดินที่เขาเทพหมาป่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลา ข้าเข้าใจดี” “เสด็จพ่อ นี่ไม่ใช่เรื่องของขอบเขตหรือไม่ขอบเขตนะพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงคร่ำครวญแทบล้มประดาตาย “เสด็จพ่อจะไปเยือนวังหลวงเป่ยหวน เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่เสด็จพ่อคิดดูเถิด หากเสด็จพ่อไป ลูกคงต้องนำทัพสักหมื่นสองหมื่นนายเพื่อคุ้มครองเสด็จพ่อใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? ทัพหมื่นสองหมื่นนาย เดินทางหน้าหนาว ต้องขนเสบียงและเสื้อผ้ากันหนาวแค่ไหน? ไปกลับอย่างไรเสียก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” นี่ยังไม่รวมว่าต้องออกเดินทางจากค่ายใหญ่เขาห่านป่าหวนกลับ! หากออกเดินทางจากที่อื่น เวลาก็ยิ่งนานกว่านี้! นี่เป็นการเดินทางของฮ่องเต้นะ! จะให้เดินทางเร่งด่วนตลอดทางก็ไม่ได้! ต่อให้เสด็จพ่ออยากไปจริง ก็ควรรอเวลาที่เหมาะสมกว่านี้! “สักสองเดือนก็สักสองเดือนเถอะ!” จักรพรรดิเหวินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างไรเสีย เจ้าก็ไม่จัดงานแต่งกับเจียเ
จักรพรรดิเหวินหยุดครู่หนึ่ง ก่อนถ่ายทอดคำที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนเคยกล่าวไว้ให้หยุนเจิงฟัง ผู้เลี้ยงแกะในมือนั้น ต้องมีผืนดิน หมาป่า แกะ และสุนัข! ผืนดิน คือกฎเกณฑ์ ขีดเส้นจำกัดไว้เป็นคอก หมาป่าคือภัยคุกคาม บอกฝูงแกะว่าอย่าได้วิ่งพล่าน ในพื้นที่ที่ขีดเส้นให้เท่านั้นจึงจะปลอดภัยจากหมาป่า แกะ คือหัวหน้าฝูง ขณะเลี้ยง หากควบคุมหัวหน้าฝูงได้ ฝูงแกะก็จะไม่หลงทาง สุนัขช่วยต้อนฝูงแกะ นำแกะที่ไม่เชื่อฟังกลับเข้าฝูง เมื่อได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงก็อดไม่ได้ที่จะตระหนักในทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จางฮว๋ายก็คือหัวหน้าฝูงแกะตัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิพระองค์ก่อนหรือเสด็จพ่อ ต่างก็ต้องการหัวหน้าฝูงตัวนี้เพื่อควบคุมฝูงแกะ ผ่านไปครู่หนึ่ง หยุนเจิงก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “เสด็จพ่อคงไม่ได้คิดจะส่งเกาซื่อเจินมาให้ลูกเป็นหัวหน้าฝูงใช่ไหม?” “เจ้าคิดว่าเกาซื่อเจินมีความสามารถจะเป็นหัวหน้าฝูงหรือ?” จักรพรรดิเหวินเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม กล่าวอย่างมีนัยว่า “หัวหน้าฝูงไม่ใช่ว่าใครจะเป็นได้!” เช่นนี้เองหรือ? หยุนเจิงครุ่นคิดอยู่ในใจ จริงแท้ เกาซื่อเจินไม่มีความสามาร
คนเราไม่ใช่หญ้าหรือไม้ ใครเลยจะไร้ซึ่งความรู้สึก? แต่ตราบใดที่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ หลายเรื่องก็จะมิอาจทำตามใจตนได้อีก เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะอื่นใดมากมาย สถานะแรกของเจ้าก็คือจักรพรรดิ! “ความจริง ลูกไม่ได้คิดถึงตำแหน่งนั้นมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ก็เพราะลูกเข้าใจสิ่งที่เสด็จพ่อพูด ลูกถึงไม่อยาก…” “เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่เจ้าเลือกเองได้หรือ?” จักรพรรดิเหวินตัดคำพูดของหยุนเจิงทันที “หากเจ้าไม่ขึ้นครองราชย์ แล้วผู้คนภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเป็นเช่นไร? บรรดาแม่ทัพผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่เหล่านี้ ใครเล่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจได้ นอกจากเจ้า?” เพราะผลงานสูงจนสั่นคลอนพระราชอำนาจใช่หรือไม่? หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา ในข้อนี้ เขาเองก็เห็นด้วย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแม่ทัพมากมายที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพียงเมื่อพวกเขาสิ้นชีวิต จักรพรรดิจึงจะวางใจได้ ไม่ฉะนั้น เมื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งเสียงเรียก ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว? “เรื่องในวันข้างหน้า ไว้ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงไ