หยุนเจิงรับเครื่องรางคุ้มภัยจากหยุนลี่ด้วยใบหน้าซาบซึ้งตรึงใจ ทว่าในใจกลับสบถสาปแช่งไม่หยุดหยุนลี่มอบเครื่องรางคุ้มภัยไม่พอ ยังเสนอต่อจักรพรรดิเหวินว่า “ในอดีตงานเลี้ยงเทศกาลไหว้พระจันทร์ล้วนเป็นการชมพระจันทร์ ประพันธ์บทกกวีหัวข้อการหวนกลับมาอยู่พร้อมกันอะไรทำนองนี้ วันนี้ลูกขอวิงวอนเสด็จพ่อ ให้ทุกคนประพันธ์บทกวีเพื่อเป็นการกล่าวอำลาน้องหกและภรรยา!”หลังจากพูดจบ หยุนลี่ก็ยิ้มให้หยุนเจิงอย่างมีเจตนาแอบแฝงไอ้เลวระยำหมา!คิดจะใช้โอกาสนี้รับของขวัญงั้นหรือของขวัญชิ้นนี้ เจ้าคงพอใจกระมัง?“ดี!”จักรพรรดิเหวินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ใครก็ได้ เตรียมพู่กันหมึกกระดาษแท่นฝนหมึกมา!”หลังจากได้รับคำสั่งของจักรพรรดิเหวิน นางกำนัลและขันทีในวังก็รีบไปนำสิ่งล้ำค่าทั้งสี่ในห้องหนังสือมาทันที“ใครจะเริ่มก่อน”จักรพรรดิเหวินเงยหน้ากวาดสายตามองทุกคน“กระหม่อมเริ่มก่อนพ่ะย่ะค่ะ!”สวีสือฝู่ลุกขึ้นมาที่โต๊ะ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วท่องบทกวีพร้อมกับเขียนบทกวีนั้นไปด้วยสวีสือฝู่เตรียมบทกวีไว้อย่างตั้งอกตั้งใจมาหลายวัน ย่อมไม่เลวอยู่แล้วทันทีที่บทกวีถูกปล่อยออกมา ก็ได้รับเสียงปรบมือจากทุกค
ใช้หลักการครอบครองกองกำลังรักษาเสถียรภาพของตนเพื่อปกป้องตัวเอง!แต่หากช่วงดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ระหว่างพ่อลูกหมดไป ถ้าเกิดจักรพรรดิเหวินบีบบังคับให้อับจนหนทาง งั้นเขาก็จะก่อกบฏ!หลังจากดื่มสุรากับจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงก็ไปดื่มกับหยุนลี่“พี่สาม ท่านล้ำหน้าไปหนึ่งก้าวจริงๆ!”หยุนเจิงลดเสียงลง พูดกับหยุนลี่ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า“น้องหกพูดอะไรของเจ้า!”หยุนลี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เมื่อเทียบกับน้องหกแล้ว พี่สามยังตามหลังอยู่มาก! ข้าไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน ว่าน้องหกจะน่ากลัวขนาดนี้!”ทั้งสองคนพูดซุบซิบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เมื่อจักรพรรดิเหวินเห็นแล้ว ก็รู้สึกมีความสุขเป็นพิเศษดูเหมือนว่าสองพี่น้องคู่นี้จะคืนดีกันแล้วจริงๆ!วิเศษ!พวกเขาคืนดีกันแล้ว ตำแหน่งรัชทายาทนี้ก็ถึงเวลาต้องกำหนดเสียที!“เช่นกันเช่นกัน!”หยุนเจิงยิ้มพลางชนแก้วกับหยุนลี่ แล้วกระซิบ “ท่านกลับแล้ว อย่าลืมเตรียมตั๋วเงินสองแสนตำลึงไว้ด้วย ดึกๆ ค่อยมาที่จวนข้า เราจะได้ร่ำสุรากันให้หนำใจ!”สองแสนตำลึง?สีหน้าของหยุนลี่เปลี่ยนไปทันที แต่แล้วก็กลับมายิ้ม “น้องหก เกรงว่าเจ้าจะเสียสติไปแล้วกระมัง”ไอ้เลวระยำหมานี่!นับวั
หลังจากกลับมาถึงจวน หยุนเจิงก็เรียกเกาเหอมาหา และกระซิบข้างหูของเกาเหอไม่กี่คำเกาเหอเหลือบมองหยุนเจิงด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ แล้วรีบวิ่งไปที่โรงนาเสิ่นลั่วเยี่ยนกำลังเล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์ในคืนนี้ให้เยี่ยจื่อฟังอย่างตรงไปตรงมา แต่ซินเซิงกลับเดินเข้ามา “จื่อฮูหยิน องค์ชายหกบอกว่าอยู่ๆ เขาก็ฉุกคิดถึงเรื่องบางอย่างได้ ให้ท่านไปหาที่ห้องหนังสือ”“เรื่องอะไร”เสิ่นลั่วเยี่ยนถามอย่างสงสัยซินเซิงส่ายหัวเล็กน้อย “องค์ชายไม่ได้พูดอะไร แต่ดูจากท่าทางขององค์ชาย คงเป็นเรื่องด่วน”เสิ่นลั่วเยี่ยนขมวดคิ้ว “เขาจะมีเรื่องด่วนอะไรได้!”“เอาล่ะ เจ้ากลับห้องไปพักผ่อนเถอะ!”เยี่ยจื่อเม้มริมฝีปากยิ้มๆ “พวกเจ้ากำลังจะเดินทางไปซั่วเป่ยเร็วๆ นี้ คงมีเรื่องมากมาย ข้าจะไปดูหน่อยว่ามีเรื่องด่วนอะไร ไม่เสียเวลาแล้ว”หลังจากพูดจบ เยี่ยจื่อก็เร่งรุดไปที่ห้องหนังสือเยี่ยจื่อเพิ่งเดินไปถึงห้องหนังสือ ยังไม่ทันจะได้สอบถามหยุนเจิง เกาเหอก็เคาะประตูเสียก่อนหยุนเจิงรับกระสอบป่านที่เกาเหอส่งให้ และสั่งเกาเหอว่า “ยืนเฝ้าที่ประตู ห้ามไม่ให้ใครเข้ามา! รวมทั้งพระชายาด้วย!”“ขอรับ!”เกาเหอรับคำสั่ง แล้วเฝ้าประตูท
เยี่ยจื่อพูดไม่ออก “ท่านโดนเขาหลอกเอาเงินไปกี่ตำลึงแล้ว? เขายังจะได้รับเงินอีกสองแสนตำลึงงั้นหรือ?”เพียงแค่สองแสนตำลึงงั้นหรือ?ทั่วทั้งราชสำนักแคว้นต้าเฉียน จะมีสักกี่คนที่มีเงินถึงสองแสนตำลึง?แม้ว่าหยุนลี่จะมีอสังหาริมทรัพย์มากมายภายใต้ชื่อของเขา แต่เงินสองแสนตำลึงก็สามารถทำให้หยุนลี่เจ็บปวดอย่างมากเช่นกันหยุนลี่ถูกเขาหลอกเอาเงินจำนวนมากขนาดนี้ ซึ่งถึงขั้นหักกระดูกของเขาได้อย่างแน่นอนความจริงแล้ว หยุนลี่ถูกหยุนเจิงหลอกจนกระดูกหักจริงๆแม้ว่าเขามีอสังหาริมทรัพย์มากมาย แต่ค่าใช้จ่ายของเขาก็มากเช่นกัน! จำเป็นต้องจ่ายค่าน้ำชาตลอดทั้งวัน และยังต้องจ่ายค่าพบปะเข้าสังคมอีก ค่าใช้จ่ายในจวนจึงมีจำนวนมากโดยเฉพาะ ช่วงนี้ถูกหยุนเจิงหลอกเอาเงินอยู่บ่อยๆ วันแต่งงานของหยุนเจิง เขาก็แทบกระอักเลือดไปครั้งหนึ่งแล้วเมื่อกลับถึงบ้านจึงให้พ่อบ้านนำสมุดบัญชีออกมาดู หยุนลี่จึงได้รู้ว่าในจวนเหลือเงินไม่ถึงสามแสนตำลึงแล้ว!ทรัพย์สินในบ้านของตัวเอง ถูกเจ้าหกไอ้ระยำหมาเอาไปจนหมด! ความโมโหของหยุนลี่ แทบกระอักเลือดออกมาตรงนั้นหลังจากที่พยายามอดกลั้นความโกรธ หยุนลี่ก็ให้พ่อบ้านนำตั๋วเงินแปดหม
การมาเยี่ยมเยียนกลางดึกของหยุนลี่ ทำให้เสิ่นลั่วเยี่ยนตกใจอย่างมากพวกเขามีมิตรภาพพี่น้องที่ลึกซึ้งจริงๆ งั้นหรือ?เพิ่งดื่มเหล้าในวังเสร็จ หยุนลี่ก็มาดื่มเหล้ากับหยุนเจิงที่จวนงั้นหรือ?สองคนนี้ กำลังทำบ้าอะไรกันแน่?แต่ว่า หยุนเจิงและหยุนลี่ต่างก็ไม่เคยอธิบายต่อนางหยุนเจิงกลัวว่าเจ้าสามจะได้กลิ่นคาวเลือดจากห้องหนังสือ จึงจงใจพาเจ้าสามมายังด้านในห้องรับแขกข้างห้องโถงเพื่อคุยกันเพียงลำพังตอนนี้ทั้งสองได้หงายไพ่ใส่กันอย่างสมบูรณ์แล้ว จึงไม่มีความสุภาพที่จอมปลอมอีกต่อไปแล้วหยุนเจิงหยิบตำราโลหิตออกมา หยุนลี่ก็หยิบตั๋วเงินสองแสนตำลึงออกมามีท่าทางของมือหนึ่งจ่ายเงิน มือหนึ่งแลกของเพื่อให้สมจริงมากยิ่งขึ้น หยุนเจิงจงใจทำให้ตำราโลหิตสกปรกโสโครก และยับยู่ยี่“เจ้าหก ก่อนเจ้าจะไป เจ้าคงไม่ไปพูดอะไรกับเสด็จพ่อใช่ไหม?”หยุนลี่ถามด้วยความไม่วางใจ“พี่สามวางใจได้ ข้าไม่มีทางได้เป็นองค์รัชทายาท จะทำเรื่องแบบนั้นไปทำไมกัน?”หยุนเจิงเลิกคิ้วแล้วยิ้ม “เจ้าและข้าต่างก็รู้ดี ตอนนี้พวกเราไม่สนว่าใครจะทำลายใคร ต่างก็ดูไม่ดีในสายตาของเสด็จพ่อ เจ้าคิดเห็นเหมือนกันหรือไม่?”“ท
“ไม่มีอะไร”หยุนเจิงยิ้มตาหยีและพูดว่า “พูดคุยความรู้สึกกันระหว่างพี่น้องเท่านั้น”“ความรู้สึกงั้นหรือ?”เสิ่นลั่วเยี่ยนเบ้ปาก “ข้าว่าพวกท่านกำลังสมคบคิดกันเพื่อฉ้อโกงผู้อื่นอีกแล้วสิ!”หยุนเจิงส่ายหน้าและหัวเราะ “สนมรัก เจ้าอคติกับพวกเรามากเกินไปแล้วนะ!”อคติบ้าบออะไร! เสิ่นลั่วเยี่ยนทำเสียงฮึดฮัดเขาและองค์ชายสาม ไม่ใช่คนดีอะไรเลยสักนิด! ...การประชุมราชสำนักวันที่สองสิ้นสุดลง จักรพรรดิเหวินประกาศให้โลกรู้เปลี่ยนการแต่งตั้งสนมซูตระกูสวีเป็นฮองเฮา แต่งตั้งหยุนลี่เป็นองค์รัชทายาทตำแหน่งองค์รัชทายาทที่เว้นว่างเกือบสามเดือน ในที่สุดก็มีเจ้าของแล้วแต่ว่า ตอนนี้ยังคงเป็นเพียงแค่การประกาศให้โลกรู้ตำแหน่งองค์รัชทายาทไม่ได้ดีไปกว่าผู้ใดหากจัดพิธีการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการแล้ว จึงจะถือว่าหยุนลี่เป็นองค์รัชทายาทโดยชอบธรรมผลลัพธ์เช่นนี้ เป็นไปตามที่หยุนเจิงคาดการณ์ไว้เพียงแต่ไม่ได้คาดคิดว่าจะมาถึงรวดเร็วเช่นนี้ดูท่าทางว่า คบไฟที่สุมเพิ่มเมื่อคืนนี้ จะเกิดผลในที่สุด! “เรื่องที่พวกท่านทำเมื่อคืน ก็เพื่อช่วยให้องค์ชายสามได้เป็นองค์รัชทายาทงั้นหรือ?”เมื่อได้รับข่าวเรื่
เรื่องของหยุนลี่ หยุนเจิงไม่มีความกังวลเลยแม้แต่น้อยเขาใกล้จะไปจากเมืองหลวงแล้ว หยุนลี่อยากทรมานอย่างไรก็แล้วแต่! ช่วงเวลาต่อมา หยุนเจิงต่างก็ยุ่งกับเรื่องที่จะไปซั่วเป่ยเที่ยงของวันถัดมา หยุนเจิงเพิ่งกินอาหารเที่ยงเสร็จ กำลังเตรียมจะไปดูว่าอาหารแห้งที่เตรียมไว้ที่เขาเมาเอ่อร์เป็นอย่างไรบ้างแล้ว คนเฝ้าประตูกลับเข้ามารายงานว่า“องค์ชาย คนจากตำหนักตงกงมาพ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาทใกล้จะมาถึงจวนแล้ว องค์ชายหกกรุณาเตรียมรับเสด็จด้วยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินคำพูดของคนเฝ้าประตู ใบหน้าของหยุนเจิงก็โมโหขึ้นมารับเสด็จ?เมื่อวานเจ้างี่เง่าหยุนลี่เพิ่งได้เป็นองค์รัชทายาท วันนี้ก็เลยรีบมาโอ้อวดแสนยานุภาพต่อหน้าตัวเองงั้นหรือ?ยังต้องรับเสด็จแม่งอีก?ทำไมเขาไม่ให้ตัวเองออกไปต้อนรับตั้งแต่ระยะสามลี้เลยเล่า?รับเสด็จใช่ไหม?ตรูจะดูว่ามรึงยังจะกล้าให้ตรูไปรับเสด็จอีกไหม! หยุนเจิงแอบก่นด่าในใจ และเรียกเยี่ยจื่อมาในทันที “รายงานทุกคนในจวน องค์รัชทายาทมาถึงแล้ว ให้ทุกคนตามข้าออกไปรับเสด็จ!”“รับเสด็จจริงๆ งั้นหรือ?”เยี่ยจื่อถามเสียงเบา“ยังต้องพูดเล่นอีกหรือ?”หยุนเจิงกลอกตา
แต่หยุนเจิงไม่ใช่ผู้อาวุโสของเขา! แต่ตอนที่กำหนดกฎหมายพิธีการ ผู้ใดจะนึกได้ว่าจะมีข้อยกเว้นแบบหยุนเจิง! ดังนั้น ราชสำนักแคว้นต้าเฉียนจึงยังไม่มีกฎระเบียบใดที่กำหนดให้ท่านอ๋องรุ่นเดียวกันต้องก้มครึ่งตัวเพื่อแสดงความเคารพต่อองค์รัชทายาทใบหน้าของหยุนลี่แสดงความโกรธเป็นระยะ เมื่อลังเลอยู่นาน จึงพยายามฝืนยิ้มออกมา “น้องหกพูดมีเหตุผล พอดีที่ว่าข้าเองก็ไม่ต้องการให้น้องหกทำความเคารพอย่างเป็นทางการต่อข้า พวกเราเข้าไปคุยกันในจวนดีกว่า!”“งั้นหรือ เช่นนั้นก็ช่างบังเอิญเสียจริง”หยุนเจิงหัวเราะแหะๆ และยกมือขึ้นนำทาง “เชิญองค์รัชทายาท”“เชิญน้องหก!”หยุนลี่พูดจาสุภาพอย่างจอมปลอม และก้าวเท้าเข้าด้านในไอ้โง่เอ๊ย! หยุนเจิงแอบก่นด่าในใจ พร้อมเดินตามเข้าไปในจวนขนาดเสด็จพ่อมาที่จวนของตัวเองยังไม่วางมาดเหมือนเขาเลยเขากลับวางมาดองค์รัชทายาทแล้วหรือนี่?เพิ่งได้เป็นองค์รัชทายาท แม้แต่พิธีแต่งตั้งยศก็ยังไม่ได้จัด เขาก็เริ่มทำหน้าใหญ่ใจโตแล้วงั้นหรือ?เขาไม่กลัวว่าเสด็จพ่อจะรู้ และปลดตำแหน่งองค์รัชทายาทของเขา! เขาคงคิดว่าตัวเองมั่นคงในตำแหน่งองค์รัชทายาทแล้วสินะ?ไม่รู้จ
เมื่อได้ฟังโจวเต้ากงบ่นอย่างนี้ หยุนลี่ก็เดาได้ทันทีว่าเจ้านี่ต้องการพูดอะไรต่อไป ชัดเลย เขาคงจะมาขอเกราะจากตนแน่ๆ ใช่ไหม? “พอแล้วๆ!” หยุนลี่ขัดจังหวะคำพูดของโจวเต้ากง “ที่นี่ยังขาดเกราะอีกเท่าไหร่?” “หนึ่งหมื่นสามพันชุด” โจวเต้ากงตอบทันที “ขาดมากขนาดนี้เลย?” ใบหน้าของหยุนลี่กระตุกเล็กน้อย “ตามที่เจ้าพูด คนหนึ่งหมื่นที่ประจำอยู่ห่างออกไปสิบห้าลี้ก็แทบไม่มีเกราะเลยใช่ไหม?” “พ่ะย่ะค่ะ!” โจวเต้ากงพยักหน้า “หนึ่งหมื่นนั้นล้วนเป็นทหารที่เพิ่งเกณฑ์ใหม่ และตอนนี้กำลังฝึกซ้อมอยู่ที่นั่น…” ฝึกซ้อม? ใบหน้าของหยุนลี่มืดครึ้ม เกือบจะสบถออกมา ไม่มีเกราะป้องกัน นี่ก็เรียกว่าฝึกซ้อมหรือไงวะ? นี่มันเรียกว่าทิ้งข้าวเปลืองเบี้ยเลี้ยงมากกว่า! ถ้าเจ้าหกยกพลบุกมา จะหวังพึ่งคนพวกนี้ได้ไหม? พวกทหารนี่คงเป็นแค่เป้าซ้อมมือให้เจ้าหกไม่ใช่หรือไง? บ้าบอคอแตก! แนวป้องกันนี่ ไม่มีเสียยังจะดีกว่า! อย่างนี้ ราชสำนักยังประหยัดค่าใช้จ่ายได้มหาศาลอีกด้วย! หยุนลี่โมโหจนแทบจะระเบิด แต่ก็ไม่อาจระบายความโกรธใส่โจวเต้ากงได้ เรื่องนี้จะไปโทษโจวเต้ากงก็ไม่ได้! เกรา
ฟู่โจวหัวเมืองเมืองสี่ทิศนี่คือพื้นที่ที่ใกล้กับซั่วเป่ยที่สุดของฟู่โจว หยุนเจิงจะจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาที่ฟู่โจว การสร้างจวนอ๋องใหม่ในเวลาสั้นๆ เป็นไปไม่ได้ จึงต้องซื้อจวนจากเหล่าขุนนางใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศแทน เดิมทีเรื่องนี้ควรเป็นหน้าที่ของหยุนลี่ องค์รัชทายาท ที่จะช่วยดูแลจัดการ แต่หยุนลี่ไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย สั่งให้ขุนนางในกรมพิธีการตัดสินใจกันเอง เขาเกลียดชังหยุนเจิงจนแทบอยากสับร่างหยุนเจิงเป็นชิ้นๆ แล้วจะให้เขามาช่วยเลือกจวนให้อย่างนั้นหรือ? ถ้าให้ช่วยเลือกโลงศพแทน เขาคงรีบทำอย่างกระตือรือร้นแน่! หลังจากโยนเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ให้ขุนนางระดับล่างจัดการ หยุนลี่ก็พาคนเดินทางไปยังค่ายใหญ่หัวเมืองสี่ทิศ นับตั้งแต่จ้าวจี๋นำทัพไปยังเขตตะวันตกเฉียงเหนือ ฟู่โจวก็เหลือเพียงกองกำลังสามหมื่นนาย และกองกำลังทั้งสามหมื่นนายนี้ก็เกือบทั้งหมดประจำอยู่ในหัวเมืองสี่ทิศ หยุนลี่ไม่หวั่นเกรงที่จะถูกตำหนิเรื่องการติดต่อกับแม่ทัพในกองทัพโดยพลการ การตรวจสอบค่ายใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศ เป็นภารกิจที่จักรพรรดิเหวินมอบหมายให้เขาก่อนที่จะเดินทางไปยังซั่วเป่ย เมื่อหยุนลี่พาคนมา
“เสด็จพ่อ ที่ซั่วเป่ยขาดแคลนอาหารอย่างหนัก!” หยุนเจิงกล่าวด้วยสีหน้าทุกข์ใจ “ตอนนี้ลูกไม่ได้ดูแลแค่ชาวซั่วเป่ย แต่ยังต้องเลี้ยงดูคนในเขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือ อีกทั้งเป่ยหมัวถัว กุ่ยฟาง เป่ยหวน ทุกพื้นที่เหล่านี้…” “คำพูดพวกนี้ไปบอกพี่สามของเจ้าสิ อย่ามาพูดกับข้า!” จักรพรรดิเหวินไม่ฟังคำพร่ำบ่นของหยุนเจิง ตัดบทอย่างไร้เยื่อใย บอกกับเจ้าสาม? หยุนเจิงเบะปาก แค่มันเทศในห้องใต้ดินนี้ เจ้าสามจะซื้อไหวหรือ? ตามราคาที่ตนตั้งไว้ก่อนหน้า ถ้าเจ้าสามไม่จ่ายเงินออกมาสักหลายล้านตำลึง คงไม่มีทางซื้อมันเทศในห้องนี้ได้ ถ้าถึงขั้นนั้น เจ้าสามคงต้องกลายเป็นหัวหน้าแผนกปล้นบ้านประจำราชสำนักต้าเฉียนแน่! มองเห็นสีหน้าขัดใจของหยุนเจิง จักรพรรดิเหวินวางมันเทศในมือ พลางตบไหล่หยุนเจิงอย่างแรง “จงจำไว้ ประชาชนในเขตในก็ล้วนเป็นราษฎรในความดูแลของเจ้า!” นั่นไง! เริ่มมาล้างสมองกันอีกแล้ว! หยุนเจิงบ่นในใจ พลางเปลี่ยนเรื่องถาม “เสด็จพ่ออยากลองชิมรสมันเทศนี่ไหม?” “ตอนนี้เลย?” จักรพรรดิเหวินแปลกใจเล็กน้อย “อื้ม” หยุนเจิงพยักหน้า “มันเทศนี่ปอกเปลือกแล้วกินดิบได้ กินน้อ
ผ่านไปไม่กี่วัน พวกเขาก็เดินทางกลับถึงเมืองติ้งเป่ยจนได้ ด้วยเหตุที่จักรพรรดิเหวินทรงกำชับไว้ล่วงหน้า การเสด็จมายังเมืองติ้งเป่ยครั้งนี้จึงถูกปิดเป็นความลับอย่างเข้มงวด มีเพียงผู้คนในจวนอ๋องเท่านั้นที่รับทราบ ครั้นถึงเมืองติ้งเป่ย จักรพรรดิเหวินก็ไม่ได้รีบไปยังจวนอ๋องในทันที แต่กลับยืนกรานให้หยุนเจิงพาไปชมมันเทศเสียก่อน ถึงกับดึงตัวไปก็ยังไม่ยอม หยุนเจิงถึงกับเอ่ยว่าให้คนยกมันเทศมาถวายให้ทอดพระเนตรที่จวนก็ยังไม่ยอม ทั้งยังยืนกรานจะไปดูด้วยพระองค์เองที่ห้องใต้ดินเก็บมันเทศ หยุนเจิงเริ่มระแวงหนักว่าตาแก่นี้คงกลัวว่าตนจะยกมันเทศไม่กี่หัวมาหลอกให้พอพระทัย จึงต้องการไปตรวจดูคลังสำรองเสียก่อนว่าจะสามารถยึดมันเทศไปจากตนได้สักเท่าใด ด้วยการยืนกรานของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงจึงจำต้องพาไปยังสถานที่เก็บมันเทศแห่งหนึ่ง แม้ว่ามันเทศจะถูกแบ่งเก็บไว้ในห้องใต้ดินหลายแห่ง แต่สถานที่เหล่านั้นก็อยู่ติดกัน เพื่อให้สะดวกต่อการจัดการยามเฝ้ารักษา จักรพรรดิเหวินเพียงลงจากรถม้า ก็เห็นกองทหารจำนวนมากสวมเกราะพร้อมอาวุธครบมือ “เจ้าช่างเฝ้าแน่นหนาดีจริง! หรือเจ้ากลัวใครจะมาขโมยมันเทศของเจ
“จะใช้เงินมากมายขนาดไหนกัน?” “ก็เยอะจริงพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ลูกเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกใช้เงินไปมากขนาดนี้” หยุนเจิงทำหน้ามุ่ยเหมือนคนมีทุกข์ จนเยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ แทบอยากจะตีเขา เจ้าคนนี้นี่! พูดเกินจริงก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ! เสด็จพ่ออย่างไรก็เป็นถึงกษัตริย์ แม้จะไม่ทราบรายละเอียดว่าการสร้างเมืองใช้เงินเท่าไร แต่ก็น่าจะพอรู้คร่าวๆ อยู่บ้าง สิบล้านตำลึงขึ้นไป เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไร? นี่มันก็เหมือนกับการโกหกเสด็จพ่ออย่างโจ่งแจ้งเลยไม่ใช่หรือ? “พอแล้ว อย่ามาทำตัวพล่ามเป็นคนจนให้ข้าฟังเลย!” จักรพรรดิเหวินเหลือบมองหยุนเจิงด้วยหางตา “ข้าไม่ได้อยากได้เงินของเจ้าหรือธุรกิจทำเงินของเจ้า! และเจ้าก็อย่าหวังจะได้สักตำลึงจากข้าเลย ท้องพระคลังตอนนี้ไม่มีเงินให้เจ้าแล้ว!” พล่ามว่าจนหรือ? เขาอยากพล่ามว่าจนนักหรือ! ในปีนี้ ต้าเฉียนก็ถือว่าเจอภัยพิบัติไม่น้อย ใช้เงินไปเหมือนน้ำไหล ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสะสมจากหลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักคงอดอยากไปแล้ว! “ก็ได้ๆ!” หยุนเจิงพยักหน้ารับหลายครั้ง ในใจโล่งอกอย่างยิ่ง เขายังกลัวว่าเสด็จพ่อจะมาที่นี่เพื่อมารีดไถ โดยเ
วันถัดมา จักรพรรดิเหวินที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางก็ตื่นสายเล็กน้อย หลังจากรับประทานอาหารเช้าอย่างง่ายๆ จักรพรรดิเหวินก็ให้ทุกคนพาเดินสำรวจในเล่ออาน จักรพรรดิเหวินไม่ได้เปิดเผยฐานะตนเอง ไม่ได้พาผู้ติดตามมากมาย และยังปลอมตัวเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงความยุ่งยาก หลังจากเดินสำรวจรอบเมือง จักรพรรดิเหวินก็ค่อนข้างพอใจ ระหว่างเดินบนถนนในเมือง จักรพรรดิเหวินก็ย่อตัวลงดูอะไรบางอย่าง “นี่มันอะไรหรือ?” จักรพรรดิเหวินชี้ไปที่ปูนระหว่างก้อนอิฐสองก้อนแล้วถาม “นี่คือปูนซีเมนต์” หยุนเจิงอธิบาย “มันทำหน้าที่เหมือนกาวข้าวเหนียว แต่มีความแข็งแรงกว่าเล็กน้อย และหาง่ายกว่า ไม่เปลืองข้าว แค่ปริมาณการผลิตยังน้อยอยู่” “สิ่งนี้ใช้ได้ทีเดียว!” จักรพรรดิเหวินลุกขึ้นช้าๆ “เจ้าเคยคิดจะขายปูนซีเมนต์นี้ไปพื้นที่เขตในหรือไม่?” “นั่นคงยากหน่อย” หยุนเจิงส่ายหัว “ซั่วเป่ยยังขาดปูนนี้มาก จะเอาไปขายที่เขตในได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ส่วนใหญ่ใช้ในงานของราชสำนัก ชาวบ้านทั่วไปไม่จำเป็นต้องใช้” “เช่นนั้น มันเทศล่ะ?” จักรพรรดิเหวินมองหยุนเจิงด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่ามันเทศในซั่วเป่ยป
“ห้ะ?” หยุนเจิงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “วางใจเถอะ ข้ารู้ขอบเขตดี” จักรพรรดิเหวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นช่วงสำคัญที่เจ้าจะรวบรวมใจชาวเป่ยหวน แม้ข้าจะอยากไปบวงสรวงฟ้าดินที่เขาเทพหมาป่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลา ข้าเข้าใจดี” “เสด็จพ่อ นี่ไม่ใช่เรื่องของขอบเขตหรือไม่ขอบเขตนะพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงคร่ำครวญแทบล้มประดาตาย “เสด็จพ่อจะไปเยือนวังหลวงเป่ยหวน เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่เสด็จพ่อคิดดูเถิด หากเสด็จพ่อไป ลูกคงต้องนำทัพสักหมื่นสองหมื่นนายเพื่อคุ้มครองเสด็จพ่อใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? ทัพหมื่นสองหมื่นนาย เดินทางหน้าหนาว ต้องขนเสบียงและเสื้อผ้ากันหนาวแค่ไหน? ไปกลับอย่างไรเสียก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” นี่ยังไม่รวมว่าต้องออกเดินทางจากค่ายใหญ่เขาห่านป่าหวนกลับ! หากออกเดินทางจากที่อื่น เวลาก็ยิ่งนานกว่านี้! นี่เป็นการเดินทางของฮ่องเต้นะ! จะให้เดินทางเร่งด่วนตลอดทางก็ไม่ได้! ต่อให้เสด็จพ่ออยากไปจริง ก็ควรรอเวลาที่เหมาะสมกว่านี้! “สักสองเดือนก็สักสองเดือนเถอะ!” จักรพรรดิเหวินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างไรเสีย เจ้าก็ไม่จัดงานแต่งกับเจียเ
จักรพรรดิเหวินหยุดครู่หนึ่ง ก่อนถ่ายทอดคำที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนเคยกล่าวไว้ให้หยุนเจิงฟัง ผู้เลี้ยงแกะในมือนั้น ต้องมีผืนดิน หมาป่า แกะ และสุนัข! ผืนดิน คือกฎเกณฑ์ ขีดเส้นจำกัดไว้เป็นคอก หมาป่าคือภัยคุกคาม บอกฝูงแกะว่าอย่าได้วิ่งพล่าน ในพื้นที่ที่ขีดเส้นให้เท่านั้นจึงจะปลอดภัยจากหมาป่า แกะ คือหัวหน้าฝูง ขณะเลี้ยง หากควบคุมหัวหน้าฝูงได้ ฝูงแกะก็จะไม่หลงทาง สุนัขช่วยต้อนฝูงแกะ นำแกะที่ไม่เชื่อฟังกลับเข้าฝูง เมื่อได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงก็อดไม่ได้ที่จะตระหนักในทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จางฮว๋ายก็คือหัวหน้าฝูงแกะตัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิพระองค์ก่อนหรือเสด็จพ่อ ต่างก็ต้องการหัวหน้าฝูงตัวนี้เพื่อควบคุมฝูงแกะ ผ่านไปครู่หนึ่ง หยุนเจิงก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “เสด็จพ่อคงไม่ได้คิดจะส่งเกาซื่อเจินมาให้ลูกเป็นหัวหน้าฝูงใช่ไหม?” “เจ้าคิดว่าเกาซื่อเจินมีความสามารถจะเป็นหัวหน้าฝูงหรือ?” จักรพรรดิเหวินเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม กล่าวอย่างมีนัยว่า “หัวหน้าฝูงไม่ใช่ว่าใครจะเป็นได้!” เช่นนี้เองหรือ? หยุนเจิงครุ่นคิดอยู่ในใจ จริงแท้ เกาซื่อเจินไม่มีความสามาร
คนเราไม่ใช่หญ้าหรือไม้ ใครเลยจะไร้ซึ่งความรู้สึก? แต่ตราบใดที่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ หลายเรื่องก็จะมิอาจทำตามใจตนได้อีก เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะอื่นใดมากมาย สถานะแรกของเจ้าก็คือจักรพรรดิ! “ความจริง ลูกไม่ได้คิดถึงตำแหน่งนั้นมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ก็เพราะลูกเข้าใจสิ่งที่เสด็จพ่อพูด ลูกถึงไม่อยาก…” “เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่เจ้าเลือกเองได้หรือ?” จักรพรรดิเหวินตัดคำพูดของหยุนเจิงทันที “หากเจ้าไม่ขึ้นครองราชย์ แล้วผู้คนภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเป็นเช่นไร? บรรดาแม่ทัพผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่เหล่านี้ ใครเล่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจได้ นอกจากเจ้า?” เพราะผลงานสูงจนสั่นคลอนพระราชอำนาจใช่หรือไม่? หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา ในข้อนี้ เขาเองก็เห็นด้วย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแม่ทัพมากมายที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพียงเมื่อพวกเขาสิ้นชีวิต จักรพรรดิจึงจะวางใจได้ ไม่ฉะนั้น เมื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งเสียงเรียก ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว? “เรื่องในวันข้างหน้า ไว้ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงไ