หยุนเจิงตอบด้วยความสัตย์ซื่อพวกเขามีพี่น้องสิบเอ็ดคนจริงๆ แต่ว่าเจ้าเจ็ดและเจ้าสิบต่างก็เสียชีวิตตั้งแต่ยังเยาว์วัยองค์รัชทายาทก็ปลิดชีพตัวเองจากการก่อกบฏที่ล้มเหลวพี่น้องสิบเอ็ดคน สวรรคตไปแล้วสามพระองค์!เจ้าสิบเอ็ดอายุน้อยที่สุด เพิ่งอายุเพียงห้าขวบนิดๆ เท่านั้น“ถูกต้อง! สิบเอ็ดคน!”จักรพรรดิเหวินถอนหายใจช้าๆ และพูดกับตัวเองว่า “เจ้าคงไม่มีทางเป็นองค์รัชทายาทแน่นอน เจ้าสิบเอ็ดก็ยังเล็กเกินไป เจ้าบอกข้ามาสิ เจ้าพี่น้องอีกหกคนที่เหลือของเจ้า ใครสามารถรับภาระหนักในการเป็นองค์รัชทายาทได้?”“หา?”หยุนเจิงมองจักรพรรดิเหวินด้วยความประหลาดใจ ในหัวของเขาหมุนติ้วอย่างรวดเร็วตาแก่นี่คิดจะทำบ้าอะไร?เรื่องการแต่งตั้งองค์รัชทายาท ท่านมาถามข้าทำไมกัน?ท่านไปถามเหล่าขุนนางของท่านสิ!ไม่เช่นนั้น ท่านก็ไปถามนักเลงเฒ่าฉินลิ่วก่านนั่นสิ!ตาแก่ จะมาทำแบบนี้ไม่ได้นะ!นี่ไม่ใช่การขุดหลุมฝังตัวเองงั้นหรือ?“หาอะไรของเจ้า?”จักรพรรดิเหวินจ้องหยุนเจิงตาเขม็ง “ข้าถามเจ้าอยู่นะ!”“คือว่า...”หยุนเจิงมองจักรพรรดิเหวินด้วยความขมขื่น “เสด็จพ่อ เรื่องการแต่งตั้งองค์รัชทายาท แม้แต่ขุนนางคนสำค
เมื่ออยู่ต่อหน้าคำถามฆ่าตัวตายของจักรพรรดิเหวินแล้ว หยุนเจิงเองก็ตกอยู่ในห้วงความคิดตาแก่คนนี้ เหตุใดถึงเอาแต่รังแกบุตรชายของตนเองเนี่ย!คำถามนี้จะตอบอย่างไร?เขาพูดประเด็นของปัญหาให้กับตนออกมาแล้ว!หากตนตอบไปว่าเชื่อเจ้าสามอย่างไม่มีเงื่อนไข แค่ฟังก็รู้แล้วว่าเป็นเรื่องไร้สาระ!แต่หากเขาตอบว่าไม่เชื่อเจ้าสาม เช่นนั้นก็เท่ากับว่ากำลังทูลฟ้องจักรพรรดิเหวินว่าเขาเพียงแค่แสร้งทำเหมือนไกล่เกลี่ยกับเจ้าสาม ทว่าในใจยังเกลียดชังเจ้าสามอยู่น่ะสิ?จะตอบอย่างไรก็ดูจะไม่ใช่หนทางที่ดีสักเท่าไรหยุนเจิงปวดกบาล เขาคิดแล้วคิดอีก จู่ๆ ก็เหยียดริมฝีปากเผยรอยยิ้มออกมา “เสด็จพ่อ ไม่แน่ลูกอาจไม่มีชีวิตรอดถึงตอนนั้นก็ได้ แล้วลูกจะคิดมากเรื่องนี้ทำไมกัน?”“เจ้า…”จักรพรรดิเหวินหมดคำจะพูด แขนขยับเล็กน้อยราวกับกำลังครุ่นคิดว่าจะฟาดหยุนเจิงสักสองฝ่ามือดีหรือไม่“สักวันข้าต้องตายเพราะคนโง่อย่างพวกเจ้าแน่ๆ!”จักรพรรดิเหวินจ้องเขาตาเขม็งอย่างไม่พอพระทัย สุดท้ายก็หยุดความปรารถนาที่จะฟาดเขาเอาไว้ได้“เสด็จพ่ออย่าทรงกริ้วพ่ะย่ะค่ะ”หยุนเจิงรีบลุกพรวดขึ้นมาทำท่าตื่นตกใจเห็นท่าทีเช่นนี้ของหยุนเจิงแล้
“ลูกเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ”หยุนเจิงพยักหน้าอีกครั้ง ในใจหมดคำจะพูดตาเฒ่าคนนี้!พูดประโยคนี้มากี่ครั้งกี่หนแล้ว!ตนไม่คิดจะแย่งตำแหน่งองค์รัชทายาทอยู่แล้ว!ไม่จำเป็นต้องย้ำเตือนซ้ำๆ หรอกกระมัง?“เจ้าไม่เข้าใจ!”จักรพรรดิเหวินส่ายศีรษะเบาๆ “ที่ข้าพาเจ้ามากินข้าวที่ตำหนักตงกงในวันนี้ถือว่าเป็นการพาเจ้ามาสัมผัสการเป็นองค์รัชทายาทสักครั้งหนึ่ง เจ้าเข้าใจหรือไม่?”“หา?”หยุนเจิงมองจักรพรรดิเหวินอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกขอประทานโทษนะ นี่คือความหมายของการพาตนมากินข้าวที่ตำหนักตงกงน่ะหรือ?บ้าบอสิ้นดี!แค่มากินข้าวที่ตำหนักตงกง ก็ถือว่าได้สัมผัสการเป็นองค์รัชทายาทแล้ว?แม้จะเป็นการพูดจาให้โอกาสล้มๆ แล้งๆ ก็ไม่เป็นเช่นนี้นี่!คิดว่าตนโง่เขลามากหรือไงกัน!“ช่างเถอะ ไม่พูดพวกนี้กับเจ้าแล้ว!”จักรพรรดิเหวินส่ายศีรษะ กล่าวต่ออีกว่า “ต่อจากนี้ไป ข้าจะทดสอบพี่น้องพวกนั้นของเจ้าอีกสักหน่อย! หากเจ้ากล้านำเรื่องที่ข้าพูดกับเจ้าในวันนี้ไปบอกพวกเขาแม้ครึ่งคำล่ะก็ เจ้าระวังศีรษะของเจ้าได้เลย!”“พ่ะย่ะค่ะ!”หยุนเจิงตอบรับทันใด ทว่าในใจกลับบ่นพึมพำอยู่ลับๆทดสอบพี่น้องพวกนั้นของตน?เกรงว่าคงทด
“รังแกอะไรกัน ไม่มี”หยุนเจิงปฏิเสธโดยไม่คิด แล้วจ้องไปที่เยี่ยจื่ออย่างหมดคำพูดพี่สาวมาของจริงหรือนี่!“พวกเจ้าคุยกันเถอะ ข้าไปทำงานต่อล่ะ”เยี่ยจื่อยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วหายตัวไปในพริบตาใบหน้าของหยุนเจิงกระตุกเล็กน้อย ในใจเต็มไปด้วยความคิดชั่วร้ายรอให้ออกจากเมืองจักรพรรดิก่อนเถอะ ดูซิว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร!“ท่านยังกล้าบอกว่าไม่อีกรึ?”เสิ่นลั่วเยี่ยนแค่นเสียงหึ “พี่สะใภ้จะปดข้าหรือ?”“พี่สะใภ้ต้องเข้าใจผิดแน่ๆ” หยุนเจิงแก้ตัว “ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้เสียหน่อยว่าช่วงนี้ข้าถูกทรมานจนใกล้ตายแล้ว! ข้าจะมีกะจิตกะใจรังแกพี่สะใภ้ได้อย่างไรกัน!”“ยังจะแก้ตัวอีก?”เสิ่นลั่วเยี่ยนทำตาดุพร้อมกวาดมองไปที่หยุนเจิงอย่างเหี้ยมโหดหยุนเจิงหมดคำพูด เอ่ยหัวเราะฮ่าๆ อย่างขมขื่นว่า “พี่สะใภ้พูดอะไรกับเจ้ากัน? เจ้าบอกว่าข้ารังแกนาง อย่างน้อยก็ต้องมีเหตุผลหน่อยกระมัง?”มารดามันเถอะ!สู้แม่นางนี่ไม่ไหวจริงๆ!องค์รักษ์ทั้งจวนของตนก็ยังสู้นางไม่ได้!หวังว่าตนเองก็สามารถพบเจอกับยอดฝีมือ ช่วยบูรณาการทุกอย่างให้ตนกลายเป็นยอดฝีมือไร้เทียมทานภายในค่ำคืนเดียวได้จริงๆหากสู้นางได้ล่ะก็ จะตีบั้นท้ายของ
หยุนเจิงเอ่ยยิ้มแย้ม “ต่อไปเราก็จะร่วมเรียงเคียงหมอนกันแล้ว หากเรื่องนี้เจ้ายัง…”“ใครจะร่วมเรียงเคียงหมอนกับท่านกัน?”เสิ่นลั่วเยี่ยนขวยเขินกำลังจะสะบัดมือหยุนเจิงออกโดยสัญชาตญาณ ทว่าหยุนเจิงกลับจับเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อยอย่างหน้าไม่อาย“อย่าขัด เจ้ายิ่งขัดข้ายิ่งชอบ”หยุนเจิงเห่าหอนอยู่ในใจ ทว่ากลับไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา “เจ้าต้องปรับนิสัยจริงๆ แล้วนะ เจ้าพูดเรื่องนี้ต่อหน้าข้าน่ะไม่เป็นไร แต่หากเจ้าไปพูดต่อหน้าเสด็จพ่อคิดว่าเสด็จพ่อจะคิดอย่างไร?”“อย่าเอาฝ่าบาทมากดขี่ข้านักเลย!”เสิ่นลั่วเยี่ยนไม่พอใจ ทว่าแรงขัดขืนก็น้อยลงด้วยหยุนเจิงส่ายศีรษะอย่างจริงจัง “ไม่ได้เอาเสด็จพ่อมากดขี่เจ้า เพียงแต่ไม่หวังให้เจ้าทำตัวไม่รู้จักแบ่งแยก ทำให้เสด็จพ่อไม่พอพระทัย”เสิ่นลั่วเยี่ยนเบะปากแค่นเสียงเย็นชา “ฝ่าบาทอยู่ ข้าจะพูดเรื่องพวกนี้หรือไง?”โอ๊ะ แม่นางนี่ไม่โง่นี่!หยุนเจิงแอบยิ้มในใจแล้วกล่าวว่า “หากเสด็จพ่อกำชับเจ้าให้สืบสานสายตระกูลให้กับข้า เจ้าคงไม่ตอบว่า ‘ใครจะสืบสานสายตระกูลให้เขากัน?’ หรอกกระมัง”เสิ่นลั่วเยี่ยนอ้าปากเล็กน้อยพูดไม่ออกในบัดดลอย่าว่านะจักรพรรดิเหวินอาจจะกำชับ
ยามเช้า หยุนเจิงไปที่จวนเสิ่นตั้งแต่เช้าจวนเสิ่นในบัดนี้ก็ตกแต่งไปด้วยกลิ่นอายมงคลเช่นเดียวกันแล้วภายใต้การนำทางของคนรับใช้ในตระกูลเสิ่น ทำให้หยุนเจิงมาถึงสนามฝึกซ้อมวรยุทธ์ของตระกูลเสิ่นขณะนี้เสิ่นลั่วเยี่ยนกำลังถือหอกลายเมฆฝึกซ้อมคนจวนเสิ่นสิบกว่าคนที่ถูกคัดเลือกมาอยู่พวกเขาไม่ได้ใส่เกราะ เพียงแค่มัดกระสอบไว้ที่แขนกับเท้าเท่านั้นเมื่อเห็นหยุนเจิงเดินเข้ามา ฝูงชนพลันหยุดฝึกซ้อมแล้วคำนับให้กับหยุนเจิงหยุนเจิงยังไม่ทันเอ่ยปากพูด จู่ๆ เสิ่นลั่วเยี่ยนก็ตะโกนเสียงดุอย่างอ่อนโยนว่า “ฝึกต่อไป! พวกเจ้าฟังข้าให้ดี! ไม่มีคำสั่งจากแม่ทัพ พลทหารห้ามถอดเกราะ! หากมีครั้งต่อไปอีก ข้าจะลงโทษด้วยกฎของกองทหาร!”โอ้โห่!แม่นางคนนี้มีความเป็นหัวหน้าแม่ทัพอยู่นะเนี่ย!ใบหน้าของหยุนเจิงมีรอยยิ้มวาบผ่าน จากนั้นหันไปพูดต่อฝูงชนว่า “ฟังคุณหนูของพวกเจ้า”เมื่อมีคำสั่งจากหยุนเจิง ฝูงชนจึงรีบฝึกซ้อมต่อหยุนเจิงเองก็ไม่รบกวนพวกเขา เพียงแค่นั่งมองพวกเขาฝึกซ้อมอยู่ข้างๆ ตามลำพังการฝึกซ้อมของเสิ่นลั่วเยี่ยนนั้นง่ายมาก เพียงแค่ให้คนสิบกว่าคนนี้ตั้งค่ายคุ้มกันเสาไม้ต้นหนึ่ง โดยมีนางโจมตีเสาไม้ต้นนั้
บุรุษผู้นี้หากได้ครอบครองอำนาจกองทหารของซั่วเป่ยจะต้องยิ่งใหญ่ทะยานสู่ฟ้าแน่นอน!ฮ่าๆ!จักรพรรดิเหวินเอ๋ยจักรพรรดิเหวิน!พระองค์ทรงรังแกให้ตระกูลเสิ่นโดดเดี่ยวทั้งตระกูล ทว่ากลับไม่คิดว่าจะมอบคนยอดเยี่ยมคนหนึ่งมาให้ตระกูลเสิ่น!คนทำนายไม่สู้สวรรค์ทำนายจริงๆ!ดูท่าแล้วตนสามารถเตรียมตัวทำเรื่องออกจากเมืองจักรพรรดิได้อย่างวางใจแล้ว!ฮูหยินเสิ่นมีความสุขอยู่ในใจ จากนั้นจู่ๆ ก็ขัดคำพูดของหยุนเจิง “องค์ชายหก ท่านคิดว่าจื่อเออร์เป็นอย่างไร?”หืม?เปลือกตาของหยุนเจิงกระตุกเล็กน้อยเกิดอะไรขึ้น?เหตุใดจู่ๆ นางถึงได้ถามเช่นนี้?หรือว่านางดูออกว่าตนมีความสนใจต่อเยี่ยจื่อ?นางกำลังลองเชิงตนอยู่?ไม่หรอกน่า!นางไม่อยู่ในจวนของตนเสียหน่อยจะอ่านความรู้สึกของตนออกได้อย่างไร?หยุนเจิงเงียบขรึมพลางเอ่ยยิ้มแย้มว่า “พี่สะใภ้เป็นคนดี ฉลาดปราดเปรื่อง ทำงานเรียบร้อย! เรื่องต่างๆ ภายในจวนของข้าล้วนแต่มีพี่สะใภ้คอยดูแล ข้าวางใจมาก!”“ดูท่าแล้วองค์ชายจะประทับใจจื่อเออร์มากนะ!”ฮูหยินเสิ่นยิ้มๆ แล้วจ้องหยุนเจิงด้วยแววตาทรงพลัง “องค์ชายจะยอมรับจื่อเออร์ให้เป็นพระชายารองหรือไม่?”โครม!เสียงฟ้าผ
จวนเสิ่นกว้างใหญ่มาก ไม่เล็กไปกว่าจวนองค์ชายหกของหยุนเจิงเลยขณะที่เสิ่นลั่วเยี่ยนพาหยุนเจิงไปคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมในจวนอยู่นั้น นางพลันเอ่ยถามอย่างอยากรู้อยากเห็นว่า “ท่านแม่ข้าพูดอะไรกับท่านรึ? แถมยังให้ท่านไปคิดดูดีๆ อีก?”พูดอะไรน่ะหรือ?พูดว่าให้ข้ารับพี่สะใภ้รองของเจ้าน่ะสิ!หยุนเจิงแอบยิ้มในใจทว่าคำพูดนี้ เขาไม่มีทางพูดออกมาอยู่แล้วมิเช่นนั้น เสิ่นลั่วเยี่ยนต้องทุบตนเป็นแน่!“นางให้ข้าไปทูลขอเสด็จพ่อไม่ให้ข้าไปซั่วเป่ย…”หยุนเจิงแต่งเรื่องเองเสิ่นลั่วเยี่ยนเองก็ไม่แปลกใจพลางเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “ท่านผลักฝ่าบาทและตัวท่านไปถึงจุดที่อันตรายที่สุดแล้ว ท่านไปทูลขอฝ่าบาทตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร?”“ดังนั้นข้าจึงไม่มีหนทางไงเล่า!”หยุนเจิงถอนหายใจอย่างหมดหนทาง“ตอนนี้รู้แล้วหรือว่าไม่มีหนทาง? ไปทำอะไรมาอยู่ตั้งนานล่ะ?”เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เสิ่นลั่วเยี่ยนก็โมโหขึ้นมาเคยเห็นคนวอนหาที่ตาย แต่ไม่เคยเห็นคนวอนหาที่ตายขนาดนี้มาก่อน!“ก็ตอนนั้นข้าเมาสุรานี่?”หยุนเจิงยิ้มๆ “ไปกันเถอะ เราไปเดินเล่นในเมืองกัน ดูซิว่าเจ้ามีอะไรต้องซื้อหรือไม่”“ไม่ไป!”เสิ่นลั่วเยี่ยนยังคงแน่วแ
"เมื่อได้ยินพวกเขาแนะนำตัวทีละคนๆ หยุนเจิงก็เอ่ยในใจว่าดีจริงๆ!แต่ละคนล้วนมีตำแหน่งในราชสำนักไม่น้อยเลย ต่ำสุดยังเป็นขุนนางตำแหน่งขั้นห้า ยิ่งไปกว่านั้น คนเหล่านี้ยังไม่ถือว่าแก่เลย อนาคตยังมีพื้นที่ให้ไต่เต้าขึ้นอีกมาก สำหรับหยุนเจิง นี่นับว่าเป็นของขวัญอันล้ำค่ามาก! ล้ำค่ายิ่งกว่าของขวัญที่เขาได้รับในวันแต่งงานเสียอีก! นี่สิถึงจะเรียกได้ว่าเป็นของขวัญแต่งงานที่แท้จริง! เมื่อทุกคนแนะนำตัวเสร็จ หยุนเจิงก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นกล่าวว่า “พระชายาอ๋องกำลังจะคลอด บัดนี้ข้าต้องรีบเดินทางกลับเมืองติ้งเป่ย วันนี้ก็ถือเสียว่าเป็นงานเลี้ยงต้อนรับล่วงหน้าสำหรับพวกท่านแล้วกัน” “ขอบพระทัยฝ่าบาท!” ทุกคนลุกขึ้นยืนทำความเคารพพร้อมเพรียงกัน ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ พวกเขาก็ถูกส่งมาแล้ว สถานการณ์ในเขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือเป็นอย่างไรนั้น ทุกคนต่างรู้กันดี เขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือนั้นในนามเป็นของราชสำนัก เจ้าหน้าที่ระดับต่างๆ ก็ได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนัก แต่ปัญหาคือ ด่านเป่ยลู่ขวางอยู่ตรงนั้น กองทัพและคำสั่งจากราชสำนักไม่สามารถผ่านด่านเป่ยลู่ไปถึงเขตป
“นี่คือรายชื่อของขวัญทั้งหมด ขอเชิญท่านอ๋องตรวจสอบพ่ะย่ะค่ะ” ในช่วงบ่าย อวี๋ฝูนำคนมาจัดการบันทึกรายการของขวัญที่ได้รับจากงานแต่งของหยุนเจิงจนเสร็จสิ้น “ดีมาก ทำงานได้คล่องแคล่วดี” หยุนเจิงรับสมุดเล่มเล็กมาด้วยรอยยิ้ม และไม่ลืมที่จะชมอวี๋ฝูก่อน “เป็นหน้าที่ของข้าน้อยอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” อวี๋ฝูตอบด้วยท่าทีเคารพ “เอาล่ะ ข้าจะตรวจดูเอง เจ้าถอยไปก่อนเถิด” “ข้าน้อยขอทูลลา!” อวี๋ฝูก้มตัวคำนับก่อนจะถอยออกไป หยุนเจิงเดินถือสมุดเล่มเล็กไปนั่งในลานบ้าน เปิดสมุดด้วยความคาดหวังเต็มเปี่ยม การแต่งงานระหว่างตนกับเจียเหยาเป็นการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้น ของขวัญที่ได้รับ ย่อมต้องมีระดับกันบ้าง! นี่น่าจะเป็นรายได้ไม่น้อยเลยทีเดียว! พูดก็พูดเถอะ เจ้าสามไม่ใช่กำลังขาดเงินอยู่หรือ? ถ้าเขาจัดงานแต่งทุกๆ ไม่กี่ปี เงินทองก็ไหลมาเทมาเองแล้วกระมัง? เฮ้อ! เป็นองค์รัชทายาททั้งที ยังไม่รู้จักหาเงินอีก เสียทีที่ได้ชื่อว่าเป็นองค์รัชทายาท หยุนเจิงแอบวิจารณ์หยุนลี่ในใจ ขณะพลิกเปิดสมุดเล่มเล็กอย่างช้าๆ จะเห็นได้ว่า อวี๋ฝูเป็นผู้ดูแลที่ยอดเยี่ยมมาก เขาไม่เพียง
ตอนนี้หยุนเจิงไม่มีเวลามากพอที่จะค่อยๆ แยกแยะว่าใครซื่อสัตย์หรือไม่ซื่อสัตย์ จึงต้องใช้วิธีการที่เด็ดขาด ฆ่าบางคน ให้รางวัลบางคน และกดดันบางคน! ว่าแต่จะฆ่าใคร ให้รางวัลใคร หรือกดดันใคร เขาเองก็ยังไม่แน่ใจนัก อย่างไรก็ตาม ในฟู่โจวที่กว้างใหญ่นี้ ย่อมต้องมีขุนนางที่ฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างแน่นอน ในภายหลัง เขาก็จะใช้คนเหล่านั้นมาเป็นเป้าหมายจัดการ ขุนนางใหม่มารับตำแหน่ง ย่อมต้องจุดไฟสามดวงให้ลุกโชน! ขณะที่หยุนเจิงกำลังครุ่นคิด เจียเหยาก็เดินเข้ามาหาเขา “พวกเราจะออกเดินทางเมื่อไรหรือ?” ทันทีที่มาถึง เจียเหยาก็ถามขึ้น “พรุ่งนี้เถอะ!” หยุนเจิงบีบขมับที่เริ่มปวดเล็กน้อย “วางใจเถอะ ข้าอยากกลับติ้งเป่ยมากกว่าเจ้าซะอีก!” “เรื่องนี้ข้าเชื่อ” เจียเหยายิ้มเล็กน้อย ก่อนถามต่อ “เจ้ากำลังปวดหัวเรื่องการบริหารฟู่โจวหรือ?” “ใช่แล้ว!” หยุนเจิงไม่ปฏิเสธ “ข้าเกิดมาเพื่อเป็นแม่ทัพนำทัพออกรบ เรื่องการปกครองบ้านเมือง ข้าไม่ถนัดเลยจริงๆ...” ในชีวิตก่อน มีคนสอนเขารบ แต่ไม่มีใครสอนเขาเรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน ยิ่งกว่านั้น ชายคนนี้ที่ร่างเดิมเป็นของเขาก็ไม่เคยเรียนร
หลังจากจักรพรรดิเหวินและหยุนลี่เสด็จออกจากหัวเมืองสี่ทิศไปแล้ว หยุนเจิงเองก็เตรียมตัวจะออกเดินทางเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ก่อนจะออกเดินทาง เขายังต้องจัดการเรื่องการบริหารบ้านเมืองในฟู่โจวให้เรียบร้อย อย่างน้อยต้องให้ขุนนางทุกระดับปฏิบัติหน้าที่ของตน ตอนนี้เขายังไม่มีเวลาหรือความคิดที่จะลงมือจัดการกับขุนนางเหล่านี้ หากออกแรงกดดันมากเกินไป เกรงว่าฟู่โจวอาจจะวุ่นวายจนควบคุมไม่อยู่ เขาต้องการให้ขุนนางเหล่านี้อยู่ในความสงบก่อน รอจนเขาจัดการเรื่องในมือเสร็จสิ้น ค่อยปรับเปลี่ยนขุนนางในฟู่โจวทีหลัง แม้ฟู่โจวจะเล็กน้อยเมื่อเทียบกับดินแดนนอกด่าน แต่ราชการในฟู่โจวย่อมซับซ้อนกว่าดินแดนนอกด่านมาก หากเร่งรีบเกินไป อาจทำให้เกิดปัญหาไม่จำเป็นได้ ด้วยเหตุนี้ หยุนเจิงจึงใช้โอกาสที่ขุนนางที่มาร่วมงานแต่งของเขาและเจียเหยายังไม่กลับ เรียกพวกเขามารวมตัวกันที่จวนของเขา เขาไม่ได้รู้จักขุนนางเหล่านี้ดีนัก จึงได้มอบหมายให้จี้หราน อดีตเจ้าเมืองฟู่โจว รักษาการในหน้าที่บริหารบ้านเมืองฟู่โจวไปก่อน หลังจากประกาศเรื่องนี้เสร็จ หยุนเจิงก็กล่าวเตือนขุนนางทั้งหลายว่า “ข้าเป็นคนที่นำทัพออกศึก อารมณ
“อืม เรื่องนี้เจ้าต้องใส่ใจให้มาก!” จักรพรรดิเหวินตรัสเตือน “อย่าปล่อยให้คนของเจ้าหกแฝงตัวอยู่รอบตัวเจ้าเพื่อสืบข่าวอีกต่อไป!” ในชั่วขณะนั้น หยุนลี่เริ่มคิดถึงผู้คนที่เคยร่วมวางแผนกำจัดหยุนเจิงกับเขาก่อนหน้านี้ เฉียวเหยียนเซียน ฮั่วเหวินจิ้ง... แม้กระทั่งหยวนกุยก็ยังไม่รอดพ้นจากความสงสัยของเขา แต่จากสถานการณ์ในปัจจุบัน ดูเหมือนว่าคนเหล่านี้ไม่มีใครแสดงพฤติกรรมน่าสงสัย หรือว่า คนของเจ้าหกที่แฝงตัวอยู่ จะซ่อนตัวได้ลึกถึงเพียงนี้? “กลับเมืองหลวงแล้วค่อยตรวจสอบอย่างละเอียดอีกที!” จักรพรรดิเหวินยกพระหัตถ์ขึ้นเล็กน้อยเป็นสัญญาณให้หยุนลี่วางใจ ก่อนจะมองเขาด้วยความอ่อนโยน “ข้ารู้ว่าเจ้าถูกเจ้าหกบีบเงินไปถึงสี่ล้านตำลึง ในใจเจ้าคงอึดอัดและเจ็บปวด ข้าจึงให้จางซูช่วยสร้างโรงกลั่นสุราไว้ กลับไป ข้าจะยกโรงกลั่นนั้นให้เจ้า” “เสด็จพ่อ เรื่องนี้... ลูกไม่อาจรับได้พ่ะย่ะค่ะ!” หยุนลี่ตกใจ รีบปฏิเสธพร้อมกับโบกมือไปมา “ไม่มีอะไรที่เจ้าจะรับไม่ได้! แผ่นดินนี้ข้าก็จะยกให้เจ้าแล้ว ข้ายังจะมาสนใจโรงกลั่นสุราอีกหรือ?” จักรพรรดิเหวินตรัสพร้อมส่ายพระพักตร์เบาๆ ก่อนจะกล่าวด้วยน
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น จักรพรรดิเหวินทรงส่งคนมาแจ้งว่า พระองค์จะเสด็จออกจากหัวเมืองสี่ทิศในวันนี้ เมื่อได้รับข่าวนี้ หยุนเจิงถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก อย่างไรก็ตาม ก่อนเสด็จจากไป จักรพรรดิเหวินได้ทรงมีพระบัญชาให้โจวเต้ากงนำกองทัพไปประจำการแนวหน้าที่จูโจว และให้จ้าวจี๋นำกองทัพกลับไปยังตะวันตกเฉียงเหนือ กองกำลังในมือของหยุนเจิงมีมากพออยู่แล้ว หากปล่อยให้กองทัพสามหมื่นนายในจูโจวอยู่ภายใต้การควบคุมของหยุนเจิงด้วย อาจทำให้เกิดข้อสงสัยขึ้นมาได้ สำหรับเรื่องนี้ หยุนเจิงไม่มีความคิดเห็นใดๆ เมื่อสองวันก่อน ตอนที่เขาเข้าไปถวายพระพรจักรพรรดิเหวิน พระองค์ก็ได้ทรงบอกเรื่องนี้ไว้แล้ว อย่างไรเสีย โจวเต้ากงก็ได้ส่งข่าวลับมาให้เขาทราบอยู่ก่อนแล้ว หากเขาต้องการบุกจูโจวจริงๆ โจวเต้ากงก็คงจะนำกองทัพยอมจำนนเสียเอง หลังจากทานมื้อเช้า หยุนเจิงและเจียเหยาก็นำขุนนางทั้งหลายออกไปส่งจักรพรรดิเหวิน หยุนลี่ และคณะเจ้าหน้าที่กระทรวงพิธีการออกจากหัวเมืองสี่ทิศ ก่อนจากกัน หยุนเจิงก็รักษาคำพูดโดยการคืนป้ายทองคำให้แก่จักรพรรดิเหวิน และกระซิบพูดบางอย่างกับหยุนลี่ ไม่นานหลังจากออกจากหัวเม
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่พูดจบ หยุนลี่ก็รู้สึกเสียใจในทันที ตอนนี้เขาควรจะแสดงความอ่อนข้อให้ไอ้สุนัขนี่แท้ๆ! ทำไมถึงปล่อยให้คำพูดไม่กี่คำของมันทำให้ตนต้องมาต่อกรกับมันอีกแล้วล่ะ? เฮ้อ! เจ้าไอ้สุนัขนี่ เวลาพูดจามันช่างยั่วโมโหจริงๆ! “ได้ๆ” หยุนเจิงหัวเราะเสียงดัง “เช่นนั้นข้าขอไปส่งพี่สามด้วยตนเอง” “ไม่ต้องลำบากน้องหกหรอก!” หยุนลี่รีบปฏิเสธ ไม่อยากอยู่ต่อให้นานไปกว่านี้ เกรงว่าจะถูกเล่นงานอีก “ก็ได้!” หยุนเจิงไม่ดึงดัน “อ้อ จริงสิ พี่สาม ตอนเดินทางผ่านจูโจว ก็อย่าลืมช่วยข้าเก็บหนี้ด้วยนะ” เก็บหนี้? เมื่อได้ยินสองคำนี้ หยุนลี่แทบจะกระโดดขึ้นมาด่ามารดา ถ้าเสด็จพ่อไม่เตือน เขาคงไม่รู้เลยว่าตัวเองถูกเจ้าไอ้สุนัขนี่หลอกอีกแล้ว! ไร้ยางอาย! หยุนลี่สบถอย่างโมโหในใจ แต่ใบหน้ายังคงสงบนิ่ง “น้องหกไม่ต้องห่วง พี่สามในฐานะองค์รัชทายาท ก็แพ้เดิมพันเจ้าต่อหน้าผู้คนไปแล้ว พี่สามจะผิดคำพูดได้อย่างไร?” หยุนลี่เริ่มตระหนักว่าการพูดคุยกับหยุนเจิงก็มีข้อดีอยู่บ้าง อย่างน้อย มันช่วยฝึกความอดทนของเขาได้เป็นอย่างดี “ขอบคุณพี่สามมาก!” ใบหน้าของหยุนเจิงเต็มไปด
จวนอ๋องขณะที่หยุนเจิงและเจียเหยากำลังเตรียมตัวทานมื้อค่ำ หยุนลี่ก็นำคนมาส่งรางวัลที่จักรพรรดิเหวินมอบให้ การที่จักรพรรดิเหวินให้หยุนลี่ องค์รัชทายาท มาส่งรางวัลด้วยตัวเอง ทำให้เจียเหยารู้สึกตื่นเต้นและคาดหวังอยู่ไม่น้อย รางวัลอะไรก็ไม่สำคัญ ขอแค่เป็นของที่มีค่าและขายได้ก็พอ แต่เมื่อขันทีอ่านรายชื่อสิ่งของที่เป็นรางวัลเสียงดัง เจียเหยาก็ถึงกับอึ้งไป หวีหยกขาวประดับทองคำ ปิ่นทองคำประดับดอกไม้ เครื่องประดับปิ่นทองที่แกว่งไปมาได้ ต่างหูแก้ว รวมถึงแป้งฝุ่นและเครื่องประทินโฉม... ทั้งหมดล้วนเป็นของใช้สำหรับผู้หญิง! แม้ว่าสิ่งของเหล่านี้จะมีค่าอยู่บ้าง แต่ทำไมนางกลับรู้สึกว่ารางวัลนี้แฝงความนัยบางอย่าง เมื่อขันทีอ่านรายชื่อรางวัลจนจบ เจียเหยาก็ยังไม่สามารถตั้งสติกลับมาได้ “เจียเหยา ควรขอบคุณเสด็จพ่อได้แล้ว” หยุนเจิงเตือนจากด้านข้าง ในตอนนี้เอง เจียเหยาจึงได้สติกลับมา “ลูกขอบพระคุณเสด็จพ่อสำหรับรางวัล” เจียเหยาขอบคุณด้วยรอยยิ้มฝืนๆ หยุนเจิงยิ้มพลางเดินไปหาหยุนลี่ “พี่สาม ท่านมาถูกเวลาพอดี พวกเรากำลังจะทานมื้อค่ำ! หากพี่สามไม่รังเกียจ ทำไมไม่ร่วมโต๊ะทา
หยุนลี่พยักหน้าอย่างหนักแน่น “ลูกจะฝึกฝนตนเองอย่างจริงจัง และจะไม่ทำให้เสด็จพ่อผิดหวังเป็นอันขาด!” “อืม!” จักรพรรดิเหวินพยักหน้าเบาๆ ก่อนถามต่อ “แล้วเจ้าคิดว่า ข้าควรให้รางวัลเจียเหยาอย่างไรดี?” “เอ่อ?” คำถามนี้ของจักรพรรดิเหวินทำให้หยุนลี่ถึงกับงงงัน ควรให้รางวัลเจียเหยาอย่างไร? เรื่องนี้ยังต้องถามด้วยหรือ? ก็คงแค่ให้ตามธรรมเนียมพอเป็นพิธีเท่านั้นมิใช่หรือ? หรือว่าจะต้องให้รางวัลใหญ่โตกับเจียเหยาจริงๆ? สิ่งที่ให้กับเจียเหยา สุดท้ายก็จะตกไปอยู่กับเจ้าหกอยู่ดีมิใช่หรือ? การให้รางวัลใหญ่กับเจียเหยา มีความแตกต่างอะไรกับการสนับสนุนศัตรูโดยตรงกันเล่า? เหตุผลง่ายๆ เช่นนี้ ตนยังเข้าใจ เสด็จพ่อจะไม่เข้าใจได้อย่างไร? แต่เสด็จพ่อกลับถามเช่นนี้ ตกลงว่าเสด็จพ่อมีความตั้งใจอะไรแฝงอยู่กันแน่? หยุนลี่เต็มไปด้วยความสงสัยในใจ พยายามคิดอย่างหนักถึงเจตนาของจักรพรรดิเหวิน คิดไปคิดมา หัวใจของหยุนลี่พลันสะดุ้งขึ้น หรือว่า... เสด็จพ่อกำลังคิดจะดึงเจียเหยาเข้ามาอยู่ฝ่ายเดียวกับพระองค์? หากต้องให้รางวัลใหญ่กับเจียเหยา ดูเหมือนเหตุผลเดียวที่เป็นไปได้ก็คือเรื่อง