เมื่อกลับถึงจวน หยุนเจิงก็ไปหาเยี่ยจื่อเพื่อพูดคุยเรื่องการรับสมัครหมอความต้องการของหยุนเจิงนั้นเรียบง่ายมาก ยิ่งเยอะก็ยิ่งดี หากเก่งด้านการรักษาและเป็นวรยุทธ์ได้ก็ยิ่งดีสำหรับจะรับสมัครอย่างไรนั้น ก็มอบหมายให้เยี่ยจื่อจัดการได้เลยไม่ว่าเยี่ยจื่อจะข่มขู่หลอกล่อก็ดี หรือจะใช้เงินฟาดหัวก็ช่าง เขาล้วนไม่สนใจทั้งนั้น“ได้ เรื่องนี้ยกให้ข้าจัดการได้เลย!”เยี่ยจื่อตอบรับ “จริงสิ เจ้าอย่าเอาแต่เรียกข้าไปหาเจ้าที่ห้องกลางดึกกลางดื่นได้หรือไม่ มีเรื่องอะไรไว้ค่อยคุยกันตอนกลางวันไม่ได้หรือ”“ช่วงนี้ตอนกลางวันข้ายุ่งมาก! มีเวลาว่างแค่ตอนกลางคืนเท่านั้น” หยุนเจิงพูดด้วยรอยยิ้มอย่างมีเหตุผลที่พูดได้เต็มปาก แล้วถามว่า “ในจวนยังมีคนพูดซุบซิบนินทาอีกหรือไม่”เยี่ยจื่อส่ายศีรษะน้อยๆ พูดด้วยความเดือดดาล “ตอนนี้ยังไม่มี แต่พอนานวันเข้าก็บอกไม่ได้หรอก!”นางเป็นหญิงม่าย หยุนเจิงก็ยังอยู่ในวัยหนุ่มแน่นขืนนางเอาแต่วิ่งโร่ไปที่ห้องของหยุนเจิงกลางดึกกลางดื่นอยู่เช่นนี้ คงทำให้ผู้คนนินทาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้“เช่นนั้นหรือ”หยุนเจิงลูบคางใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดอย่างจริงจัง “เอาเช่นนี้ดีหรือไ
เมื่อมองตามแผ่นหลังของเยี่ยจื่อที่เดินไปไกล ซินเซิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดใจองค์ชายหกช่างน่าสงสารจริงๆเป็นถึงองค์ชายแท้ๆ แต่กลับก็ถูกรังแกบ่อยๆแม้แต่ฮูหยินเยี่ยยังกล้าชักสีหน้าใส่อยู่ข้างนอกต้องรองรับอารมณ์ของผู้อื่น พอกลับบ้านยังต้องรองรับอารมณ์ของฮูหยินเยี่ยอีก...เช้าวันรุ่งขึ้น หยุนเจิงได้ไปรายงานตัวที่กองทหารเสินอู่อีกหลังจากถูกนักเลงเฒ่าทรมานมาหลายวัน จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าการได้ศึกษายุทธวิธีการรบจากเซียวติ้งอู่ในกองทหารเสินอู่ก็ดีเหมือนกันตราบใดที่สามารถสลัดนักเลงเฒ่าให้หลุดพ้นได้ อะไรก็ดีหมด!“องค์ชายหก ช่วงนี้เจ้าคงไม่สบายกระมัง”ทันทีที่เขาเห็นหยุนเจิง เซียวติ้งอู่ก็ยิ้มอย่างมีความหมายลึกซึ้ง“อย่าพูดถึงเลย”หยุนเจิงโบกมือ “ข้าถูกตาเฒ่า...กั๋วกงทรมานจนเกือบตาย...”“ฮ่าๆ...”เมื่อได้ยินคำพูดของหยุนเจิง เซียวติ้งอู่ก็อดหัวเราะไม่ได้ “ทำใจให้ชินเถอะ พวกเราล้วนผ่านมาแล้ว”หยุนเจิงมองดูเขาโดยไม่พูดอะไร จากนั้นก็ถือโอกาสถามถึงเหตุการณ์ในอดีตระหว่างจักรพรรดิเหวินกับฉินลิ่วก่านเซียวติ้งอู่เป็นบุตรชายของเซียวว่านโฉว จึงเคยได้ยินผู้เป็นพ่อพูดถึงเหตุการณ์ในอดีตระหว
ฉินชีหู่ต่อสู้กับเซียวติ้งอู่ ขยิบตาและพูดกับหยุนเจิงสองสามคำ จากนั้นก็ไปตามหาเหยื่อคนต่อไป“เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”หลังจากที่ฉินชีหู่ไปแล้ว หยุนเจิงก็รีบถามอาการของเซียวติ้งอู่“ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ”เซียวติ้งอู่ปัดรอยเท้าบนหน้าอก และพูดอย่างไม่ถือสาว่า “ข้าเพียงอ่อนข้อให้เขาเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”“หา?”หยุนเจิงหลุดหัวเราะออกมา “พูดจริงใช่หรือไม่? เมื่อครู่เจ้าถูกตีจนร้องขอชีวิตเลยนะ”“จริงแท้แน่นอนเลย!”เซียวติ้งอู่เชิดคอและพูดโอ้อวดว่า “หากข้าทุ่มแรงกายทั้งหมดที่มี เจ้าคนโง่เง่านี่ต้องถูกชกจนฟันร่วงหมดปากแน่พ่ะย่ะค่ะ!”หยุนเจิงเอียงศีรษะยิ้มและถามว่า “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าไม่ชกเขาเล่า?”เซียวติ้งอู่โบกมือและพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “สองพ่อลูกมีนิสัยเหมือนกันจะตายไป! หากข้าชกเขา เขาต้องตามตื้อเพื่อประลองการต่อสู้กับข้าทุกวันแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”จริงหรือหลอกกันเนี่ย?หยุนเจิงเหลือบมองเซียวติ้งอู่ด้วยความเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งทว่า คำพูดของเซียวติ้งอู่เป็นความจริงด้วยนิสัยของฉินชีหู่แล้ว หากเขาแพ้ให้เซียวติ้งอู่ เขาจะต้องตามหาเซียวติ้งอู่เพื่อประลองยุทธ์ทุกวันแน่นอน
เช่นนั้นหรือ?หยุนเจิงครุ่นคิดแล้วถามว่า “เจ้าลองประมาณการดูสิ พวกเขาสามารถจ่ายเงินได้สักกี่ตำลึง?”“พ่อค้าต่างถิ่นหลายคนที่ข้ารู้จัก ทุกคนน่าจะกล้าเสี่ยงประมาณหนึ่ง หรือสองแสนตำลึงนะ?” จางซูตอบ และถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า “องค์ชายถามเรื่องนี้ทำไมกัน? พระองค์จะไม่ไปค้นบ้านและยึดทรัพย์ใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?”ยึดบ้านแกสิ!หยุนเจิงก่นด่าอยู่ในใจ จากนั้นก็พูดต่อว่า “ความหมายของข้าก็คือ เจ้าไม่ควรกินข้าวเพียงคนเดียว! เจ้าคนเดียวจะกินได้มากแค่ไหนกัน? หากเจ้าร่วมมือกับพ่อค้าต่างถิ่นรายใหญ่เหล่านี้ เจ้าขายให้พวกเขา พวกเขาค่อยกระจายต่อไปให้แต่ละเทศมณฑลของแคว้นต้าเฉียน ด้วยวิธีการนี้ การค้าจึงจะขยายใหญ่มากขึ้น...”“ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”จางซูพยักหน้า และพูดด้วยความขมขื่นว่า “แต่ของเล่นเหล่านี้ของเราเลียนแบบได้ง่ายเกินไป หากเป็นตัวข้าเอง ข้าก็คงไม่ยอมเอาของจากมือผู้อื่นไปขายต่อ! ข้าหาคนมาทำเลียนแบบแล้วขายเอง จะไม่ดีกว่าหรือ?”หยุนเจิงส่ายหัว และพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “การเลียนแบบที่ง่ายดายยังคงเป็นปัญหาจริงๆ แต่เจ้าควรเรียนรู้ที่จะบูรณาการอุตสาหกรรม...”พูดไปพูดมา หยุนเจิงจึงปลูกฝังทฤษฎีบูรณาการก
วันที่สอง หยุนเจิงไม่ได้ไปที่กองทหารเสินอู่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ในวังก็มีคนเข้ามางานแต่งงานของเขาและเสิ่นลั่วเยี่ยนเหลือเวลาอีกเพียงสามวันตามธรรมเนียมปฏิบัติของราชสำนักแคว้นต้าเฉียน ก่อนวันแต่งงานขององค์ชาย จำเป็นต้องไปที่ศาลบูรพกษัตริย์เพื่อกราบไหว้บรรพบุรุษทุกชั่วอายุคน เป็นการบอกกล่าววิญญาณของบรรพบุรุษที่อยู่บนสวรรค์ และเป็นการอธิษฐานขอพรจากบรรพบุรุษให้มีทายาทที่มั่งคั่งหยุนเจิงนั่งอยู่ตรงนั้นราวกับตุ๊กตาไม้ ให้คนในวังทรมานตัวเองได้ตามใจชอบเมื่อเห็นตัวเองจากในกระจกที่ถูกแต่งตัวจน ‘งานหยาดเยิ้ม’ หยุนเจิงกลับพยายามครุ่นคิดวิธีการผลิตกระจกขึ้นมาเพียงแต่น่าเสียดายที่เขาคิดออกเพียงคร่าวๆ เท่านั้นเขายังนึกวิธีการทำอย่างละเอียดไม่ได้หากรู้ล่วงหน้าว่าตัวเองจะทะลุมิติมาก็คงจะดีไม่น้อย!หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วยาม ในที่สุดหยุนเจิงก็ถูกจัดแต่งจนเสร็จเรียบร้อยนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้สวมเสื้อผ้าชุดที่สวยหรูหลังจากข้ามมิติมามันก็งดงามมากจริงๆแต่มันก็น่าเกลียดมากด้วยจริงๆ!หยุนเจิงพร่ำบ่นการแต่งตัวของตัวเองในใจกินอาหารเช้าแบบง่ายๆ หยุนเจิงก็ถูกพาไปยังศาลบูรพก
หยุนเจิงตอบด้วยความสัตย์ซื่อพวกเขามีพี่น้องสิบเอ็ดคนจริงๆ แต่ว่าเจ้าเจ็ดและเจ้าสิบต่างก็เสียชีวิตตั้งแต่ยังเยาว์วัยองค์รัชทายาทก็ปลิดชีพตัวเองจากการก่อกบฏที่ล้มเหลวพี่น้องสิบเอ็ดคน สวรรคตไปแล้วสามพระองค์!เจ้าสิบเอ็ดอายุน้อยที่สุด เพิ่งอายุเพียงห้าขวบนิดๆ เท่านั้น“ถูกต้อง! สิบเอ็ดคน!”จักรพรรดิเหวินถอนหายใจช้าๆ และพูดกับตัวเองว่า “เจ้าคงไม่มีทางเป็นองค์รัชทายาทแน่นอน เจ้าสิบเอ็ดก็ยังเล็กเกินไป เจ้าบอกข้ามาสิ เจ้าพี่น้องอีกหกคนที่เหลือของเจ้า ใครสามารถรับภาระหนักในการเป็นองค์รัชทายาทได้?”“หา?”หยุนเจิงมองจักรพรรดิเหวินด้วยความประหลาดใจ ในหัวของเขาหมุนติ้วอย่างรวดเร็วตาแก่นี่คิดจะทำบ้าอะไร?เรื่องการแต่งตั้งองค์รัชทายาท ท่านมาถามข้าทำไมกัน?ท่านไปถามเหล่าขุนนางของท่านสิ!ไม่เช่นนั้น ท่านก็ไปถามนักเลงเฒ่าฉินลิ่วก่านนั่นสิ!ตาแก่ จะมาทำแบบนี้ไม่ได้นะ!นี่ไม่ใช่การขุดหลุมฝังตัวเองงั้นหรือ?“หาอะไรของเจ้า?”จักรพรรดิเหวินจ้องหยุนเจิงตาเขม็ง “ข้าถามเจ้าอยู่นะ!”“คือว่า...”หยุนเจิงมองจักรพรรดิเหวินด้วยความขมขื่น “เสด็จพ่อ เรื่องการแต่งตั้งองค์รัชทายาท แม้แต่ขุนนางคนสำค
เมื่ออยู่ต่อหน้าคำถามฆ่าตัวตายของจักรพรรดิเหวินแล้ว หยุนเจิงเองก็ตกอยู่ในห้วงความคิดตาแก่คนนี้ เหตุใดถึงเอาแต่รังแกบุตรชายของตนเองเนี่ย!คำถามนี้จะตอบอย่างไร?เขาพูดประเด็นของปัญหาให้กับตนออกมาแล้ว!หากตนตอบไปว่าเชื่อเจ้าสามอย่างไม่มีเงื่อนไข แค่ฟังก็รู้แล้วว่าเป็นเรื่องไร้สาระ!แต่หากเขาตอบว่าไม่เชื่อเจ้าสาม เช่นนั้นก็เท่ากับว่ากำลังทูลฟ้องจักรพรรดิเหวินว่าเขาเพียงแค่แสร้งทำเหมือนไกล่เกลี่ยกับเจ้าสาม ทว่าในใจยังเกลียดชังเจ้าสามอยู่น่ะสิ?จะตอบอย่างไรก็ดูจะไม่ใช่หนทางที่ดีสักเท่าไรหยุนเจิงปวดกบาล เขาคิดแล้วคิดอีก จู่ๆ ก็เหยียดริมฝีปากเผยรอยยิ้มออกมา “เสด็จพ่อ ไม่แน่ลูกอาจไม่มีชีวิตรอดถึงตอนนั้นก็ได้ แล้วลูกจะคิดมากเรื่องนี้ทำไมกัน?”“เจ้า…”จักรพรรดิเหวินหมดคำจะพูด แขนขยับเล็กน้อยราวกับกำลังครุ่นคิดว่าจะฟาดหยุนเจิงสักสองฝ่ามือดีหรือไม่“สักวันข้าต้องตายเพราะคนโง่อย่างพวกเจ้าแน่ๆ!”จักรพรรดิเหวินจ้องเขาตาเขม็งอย่างไม่พอพระทัย สุดท้ายก็หยุดความปรารถนาที่จะฟาดเขาเอาไว้ได้“เสด็จพ่ออย่าทรงกริ้วพ่ะย่ะค่ะ”หยุนเจิงรีบลุกพรวดขึ้นมาทำท่าตื่นตกใจเห็นท่าทีเช่นนี้ของหยุนเจิงแล้
“ลูกเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ”หยุนเจิงพยักหน้าอีกครั้ง ในใจหมดคำจะพูดตาเฒ่าคนนี้!พูดประโยคนี้มากี่ครั้งกี่หนแล้ว!ตนไม่คิดจะแย่งตำแหน่งองค์รัชทายาทอยู่แล้ว!ไม่จำเป็นต้องย้ำเตือนซ้ำๆ หรอกกระมัง?“เจ้าไม่เข้าใจ!”จักรพรรดิเหวินส่ายศีรษะเบาๆ “ที่ข้าพาเจ้ามากินข้าวที่ตำหนักตงกงในวันนี้ถือว่าเป็นการพาเจ้ามาสัมผัสการเป็นองค์รัชทายาทสักครั้งหนึ่ง เจ้าเข้าใจหรือไม่?”“หา?”หยุนเจิงมองจักรพรรดิเหวินอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกขอประทานโทษนะ นี่คือความหมายของการพาตนมากินข้าวที่ตำหนักตงกงน่ะหรือ?บ้าบอสิ้นดี!แค่มากินข้าวที่ตำหนักตงกง ก็ถือว่าได้สัมผัสการเป็นองค์รัชทายาทแล้ว?แม้จะเป็นการพูดจาให้โอกาสล้มๆ แล้งๆ ก็ไม่เป็นเช่นนี้นี่!คิดว่าตนโง่เขลามากหรือไงกัน!“ช่างเถอะ ไม่พูดพวกนี้กับเจ้าแล้ว!”จักรพรรดิเหวินส่ายศีรษะ กล่าวต่ออีกว่า “ต่อจากนี้ไป ข้าจะทดสอบพี่น้องพวกนั้นของเจ้าอีกสักหน่อย! หากเจ้ากล้านำเรื่องที่ข้าพูดกับเจ้าในวันนี้ไปบอกพวกเขาแม้ครึ่งคำล่ะก็ เจ้าระวังศีรษะของเจ้าได้เลย!”“พ่ะย่ะค่ะ!”หยุนเจิงตอบรับทันใด ทว่าในใจกลับบ่นพึมพำอยู่ลับๆทดสอบพี่น้องพวกนั้นของตน?เกรงว่าคงทด