“ไม่เลว เจ้าแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนแล้ว”ฉินลิ่วก่านมองเซียวติ้งอู่ด้วยความพึงพอใจ“ขอบคุณท่านอาที่ชื่นชมขอรับ”เซียวติ้งอู่ยิ้ม และกล่าวถามอย่างเป็นกังวลว่า “ท่านอามาถึงที่นี่กะทันหันเช่นนี้ ไม่ทราบมีเรื่อวอันใดขอรับ?”“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า!”ฉินลิ่วก่านเม้มปากเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า “ไป ไปตามองค์ชายหกมา”องค์ชายหกอย่างนั้นหรือ?สีหน้าของเซียวติ้งอู่พลันเปลี่ยนไปมาก และหันไปมองหยุนเจิงอันธพาลเฒ่านี่เรียกหาองค์ชายหกด้วยเหตุอันใดกันหรือว่าองค์ชายหกไปทำสิ่งใดให้เขาขุ่นเคืองอย่างนั้นหรือเมื่อเห็นเซียวติ้งอู่นิ่งไปเช่นนี้ ฉินลิ่วก่านจึงถลึงตาจ้องมอง ส่งเสียงตะคอกว่า “ยังยื่นนิ่งอยู่ทำไม หูเจ้าหนวกไปแล้วหรือไง?”หยุนเจิงเห็นเช่นนี้ก็รีบเดินมาด้านหน้าและกล่าวว่า “ข้าคือองค์ชายหกหยุนเจิง ไม่ทราบว่าหรงกั๋วกงเรียกหาข้ามีเรื่องอันใด?”“เจ้านะหรือองค์ชายหก?”ฉินลิ่วก่านหันหน้าไปมองหยุนเจิงอย่างพิจารณา ก่อนจะตบไหล่เซียวติ้งอู่ เผยให้เห็นฟันขาวอันแข็งแกร่งของเขา “เจ้าหาคนมาหลอกข้าให้ดีกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือ?”เซียวติ้งอู่รีบส่ายหน้า “หลานไม่กล้าขอรับ ผู้นี้คือองค์ชายหกจริงๆ ขอรับ”“หากเจ
หลังจากการควบม้าพุ่งไปอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า ฉินลิ่วก่านก็พาหยุนเจิงมาถึงหน่วยตีเหล็กแล้ว อันธพาลเฒ่าผู้นี้ยังคงควบม้าบุกเข้าไป องครักษ์หน่วยตีเหล็กเหล่านั้นก็ไม่กล้าขวางเขาเมื่อมาถึงหน่วยตีเหล็ก หยุนเจิงก็เจอกับคนคุ้นเคยจักรพรรดิเหวินช่างรวดเร็วทันใจจริงๆช่างเหล็กที่อยู่ที่ร้านตีเหล็กเหล่านั้น ตอนนี้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในหน่วยตีเหล็กของกรมโยธาแล้วหลังจากสอบถามเล็กน้อย หยุนเจิงก็เข้าใจถึงสถานการณ์ชัดเจนแล้ว ที่แท้อันธพาลเฒ่าฉินลิ่วก่านผู้นี้ไม่รู้ไปรู้ข่าวเรื่องเหล็กลวดลายบุปผานี้มาจากที่ใด จึงได้พรวดพราดบุกเข้ามาในหน่วยตีเหล็ก และต้องการให้พวกเขาตีดาบกวนอูให้เขาเล่มหนึ่งในขณะที่ช่างเหล็กเหล่านี้กำลังสอนให้คนในหน่วยตีเหล็กลวดลายบุปผา พวกเขาพลั้งปากพูดมากไปหน่อย พูดถึงเรื่องเหล็กลวดลายบุปผาลักษณะขนนกที่หยุนเจิงเคยกล่าวถึงให้กับช่างเหล็กในหน่วยฟังสุดท้ายเรื่องนี้ดันไปเข้าหูของฉินลิ่วก่านเข้าฉินลิ่วก่านต้องการให้ช่างเหล็กเหล่านี้สร้างอาวุธเหล็กลวดลายบุปผาชนิดให้เขาแต่ตอนนั้นหยุนเจิงเอ่ยถึงเหล็กลวดลายบุปผาลักษณะขนนกให้พวกเขาฟังเพียงคร่าวๆ เท่านั้น พวกเขาไม่สามารถสร้างออกมาไ
จักรพรรดิเหวินโบกพระหัตถ์อย่างเหลืออด ดวงตาจ้องมองไปที่ฉินลิ่วก่าน ตะคอกด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “เจ้าเฒ่า เจ้าคิดจะทำสิ่งใด?”เส้นเลือดผุดพรายขึ้นบนหน้าผากจักรพรรดิเหวินด้วยความโกรธ โกรธจนตัวสั่น จ้องมองไปที่ฉินลิ่วก่านอย่างดุร้ายดูจากท่าทางวางมาดเช่นนี้ ราวกับว่าจะลงดาบต่อสู้กับฉินลิ่วก่านแล้ว“ฝ่าบาท รู้อยู่แล้วยังแกล้งถามอีกหรือ?”ฉินลิ่วก่านทำสีหน้าท่าทางเล่นหน้าเล่นตายิ้มขี้เล่น “ฝ่าบาท ทอดพระเนตรดูสิ ดาบอันล้ำค่าเล่มแรกแห่งต้าเฉียนเรา องค์ชายหกประทานให้พระองค์แล้ว ในฐานะที่กระหม่อมเป็นขุนพลผู้ห้าวหาญคนแรกแห่งต้าเฉียน ควรได้รับดาบล้ำค่าเล่มที่สองถูกต้องหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“เจ้าเนี่ยนะขุนพลผู้ห้าวหาญคนแรก?”จักรพรรดิเหวินทั้งโกรธ อีกทั้งยังรู้สึกตลกขบขัน ดุด่าด้วยความโกรธว่า “เจ้าช่วยรักษายางอายตัวเองเอาไว้สักหน่อยได้หรือไม่?”“ขุนพลผู้ห้าวหาญคนแรกใยถึงไม่ใช่ข้ากันเล่า?” ฉินลิ่วก่านทำท่าทางขมึงทึงพลางกล่าว “พระองค์ก็ลองไปถามเหล่าขุนนางบู้บุ๋นดูสิ ว่ามีใครกล้าสู้กับข้าหรือไม่”ในขณะที่กล่าวนั้น อันธพาลเฒ่าผู้นี้หันไปมองรอบๆ หน่วยตีเหล็กราวกับว่ากำลังบอก หากใครกล้าบอกว่าเขาไ
อันที่จริงแล้วเหล็กลวดลายบุปผาลักษณะขนนกนั้นทำยากมากจนกระทั่งวันที่สามช่วงตะวันขึ้นอยู่เหนือศีรษะ ช่างเหล็กหลายพันคนทำล้มเหลวไปจนนับครั้งไม่ถ้วน กว่าจะทำดาบล้ำค่าที่อันธพาลเฒ่าผู้นี้ต้องการออกมาได้อีกอย่าง เหล็กลวดลายบุปผาลักษณะขนนกนี้ สำหรับหยุนเจิงแล้วยังนับว่าไม่ได้มาตรฐานสักเท่าไหร่อย่างไรก็ตาม หยุนเจิงก็ไม่กล้าคุยโวโอ้อวดอีกต่อไปแล้วขืนคุยโวโอ้อวดต่อไป ตาเฒ่าผู้นี้ต้องให้เขาทำดาบล้ำค่าให้อีกเล่มเป็นแน่ หากเป็นเช่นนั้น เอาชีวิตข้าไปเสียดีกว่าดาบทั้งเล่มถูกสร้างมาจากเหล็กลวดลายบุปผา อีกทั้งยังตีออกมาเป็นชิ้นเดียวอีกด้วยหยุนเจิงรู้สึกว่า ของสิ่งนี้แสดงถึงการตีเหล็กขั้นสูงสุดแห่งราชวงศ์ต้าเฉียนแล้ว โชคดีที่มาสร้างที่หน่วยตีเหล็กของกรมโยธา หากสร้างที่ร้านตีเหล็กของเขาแล้วล่ะก็ คาดว่าเวลาสองเดือนก็สร้างออกมาไม่ได้เมื่อสร้างดาบล้ำค่าออกมาได้สำเร็จ ฉินลิ่วก่านก็หัวเราะออกมาเสียงดังลั่นด้วยความดีใจ“วะฮ่าๆๆ ดาบล้ำค่า คู่ควรกับวีรบุรุษ!”ฉินลิ่วก่านเงยหน้ามองฟ้าหัวเราะเสียงกัง “เจ้าหนู ดูดีๆ ล่ะ ข้าจะสอนวิชาดาบสามสิบหกท่าสะท้านวายุให้เจ้า เจ้าอย่าหาว่าข้าไม่รักษาคำ
“ตกลงอันธพาลเฒ่าผู้นี้เป็นใครกันแน่?” หยุนเจิงกล่าวด้วยสีหน้าแปลกใจ “ข้าดูท่าแล้วอันธพาลเฒ่าผู้นี้แม้แต่กับเสด็จพ่อข้าเขาก็ไม่เกรงกลัว ข้ารู้สึกว่าเขามีโอกาสต่อสู้กับเสด็จพ่อข้าได้ตลอดเวลา”“ไม่ถึงขนาดต่อสู้หรอก แต่เขาแค่ไม่กลัวฝ่าบาทก็เท่านั้น”เยี่ยจื่อเม้มปากยิ้มก่อนกล่าว “เมื่อก่อนข้าเคยได้ยินพ่อตาข้าพูดถึงคนผู้นี้ บอกว่าคนผู้นี้ยังเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับฝ่าบาท ช่วยชีวิตฝ่าบาทในยามฝ่าบาทตกอยู่ในอันตรายมาได้หลายครั้งหลายครา หลังจากที่ฝ่าบาทครองบัลลังก์ เดิมทีตั้งใจจะพระราชทานตำแหน่งอ๋องต่างสกุลให้เขา แต่เขาก็ยืนยันที่จะไม่รับ ฝ่าบาทเองก็จนปัญญา จึงทำได้เพียงแต่งตั้งให้เขาเป็นท่านกั๋วกง...”พระเจ้าช่วย!อันธพาลเฒ่าผู้นี้เคยเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเสด็จพ่อด้วยอย่างนั้นหรือ!มินาล่ะว่าเหตุใดอันธพาลเฒ่าผู้นี้ถึงได้กำเริบสืบสานมากถึงเพียงนี้!เพียงแต่ว่าอันธพาลเฒ่าผู้นี้เป็นคนหยาบกระด้าง แถมยังเป็นคนฉลาดหลักแหลมมากอีกด้วย หากได้รับพระราชทานแซ่วัง คงจะอยู่ยาก!ได้รับพระราชทานแซ่วัง มิสู้เป็นได้ท่านกั๋วกงใช้ชีวิตอย่างสงบสุขหรอกรู้สึกว่าอันธพาลเฒ่าผู้นี้คล้ายกับขุนพลเฉิงเหยาจินผู
วันต่อมา ยามตะวันโด่งเหนือศีรษะ หยุนเจิงมาตามแผนที่ในเทียบเชิญ มาถึงจวนหรงกั๋วกงทันทีที่มาถึงเขาก็เห็นชายหนวดดกดำยืนรออยู่หน้าประตูจวนแล้วจ้องมองดีๆ คนผู้นี้ราวกับถอดรูปมาจากฉินลิ่วก่านไม่มีผิดแต่เป็นฉินลิ่วก่านในวัยหนุ่มเมื่อเห็นหยุนเจิงที่มากับองครักษ์ เขาก็รีบวิ่งไปหาและกล่าวถามว่า “ใช่องค์ชายหกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม”หยุนเจิงลงมาจากหลังม้า “เจ้าเป็นบุตรชายของหรงกั๋วกงหรือ?”“พ่ะย่ะค่ะ!”ชายหนวดดกดำพยักหน้า และโค้งคารวะ “ฉินชีหู่คารวะองค์ชายหก!”ฉินชีหู่หรือหยุนเจิงทำสีหน้าท่าทางหมดคำพูดชัดเจนเลย การนับรุ่นของตระกูลฉินเรีบงลำดับจากหนึ่งถึงสิบหรือไรกันหากครบสิบเอ็ดรุ่นแล้ว รุ่นต่อไปคงจะเป็นเจ้าสิบเอ็ดกระมัง“พี่ใหญ่ฉินเกรงใจเกินไปแล้ว”หยุนเจิงโบกมือพลางกล่าว “หรงกั๋วกงเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเสด็จพ่อ ระหว่างเรา ไม่จำเป็นต้องมากพิธีหรอก”“ฮ่าๆๆ ข้ารอคำนี้อยู่พอดี!”ฉินชีหู่หัวเราะเสียงดังขึ้น กอดไหล่หยุนเจิงอย่างมีน้ำใจไมตรี “องค์ชายหกรีบเข้าไปข้างในเถอะ ท่านพ่อข้ากับฝ่าบาทกำลังรอเจ้าอยู่!”“ห๊ะ!”หยุนเจิงตกใจ “เสด็จพ่อก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ?”“ก็ใช
ทั้งสองเห็นเช่นนี้ต่างก็ส่ายหน้าไปมาราวกับกลองสั่นก็มิปานหากทั้งสองกล้าเอ่ยปากบอกว่าอันธพาลเฒ่าผู้นี้โกงแล้วล่ะก็ มีหวังต้องถูกอันธพาลเฒ่าผู้นี้จับแขวนบนคานตากแห้งเป็นแน่“เจ้าเห็นหรือยัง!”ฉินลิ่วก่านอ้าปากหัวเราะสียงดังก่อนกล่าว “แม้แต่บุตรชายของเจ้ายังบอกเลยว่าข้าไม่ได้โกง!”จักรพรรดิเหวินหมดคำพูดแล้ว คร้านจะเถียงกับอันธพาลเฒ่าผู้นี้ “ได้ เจ้าชนะแล้ว พอเจ้าใจแล้วกระมัง รีบให้เด็กในจวนเจ้าเตรียมสุราอาหารได้แล้ว ข้าหิวจะแย่อยู่แล้ว!”“ดูเจ้าพูดเข้าสิ เจ้ามาถึงจวนข้าแล้ว จะขาดสุราอาหารได้อย่างไรกันเล่า”ฉินลิ่วก่านหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะหันไปที่ฉินชีหู่ “ยังไม่รีบไปสั่งให้คนยกสุราอาหารมาอีก ไม่ได้ยินที่ฝ่าบาดพูดหรือว่าหิวจะตาอยู่แล้วนั่น”ฉินชีหู่ใช้ทักษะแวบหายตัวไปภายในชั่วพริบตาอย่างไร้ร่องรอยหยุนเจิงเห็นเช่นนี้ก็อดที่จะรู้สึกเห็นใจฉินชีหู่ไม่ได้เขาต้องถูกอันธพาลเฒ่านี่ฏิบัติแบบใดถึงฝึกทักษะหายตัวไปอย่างแปลกประหลาดเยี่ยงเทพได้เช่นนี้ไม่นานนัก สุราอาหารก็ได้จัดเตรียมพร้อมแล้วฉินลิ่วก่านตั้งใจให้บ่าวรับใช้ในจวนออกไปทั้งหมดส่วนจักรพรรดิเหวินเองก็รับสั่งให้องครักษ์ทุกคนอ
เวลาห้าปีมาแล้วที่จักรพรรดิเหวินกับฉินลิ่วก่านไม่ได้เจอกันเมื่อทั้งสองมีโอกาสได้นั่งร่ำสุรากันจึงดีใจจนลืมตัวไปเลยหยุนเจิงและฉินชีหู่ที่อยู่ด้วยกันกับทั้งสอง ดูเหมือนว่าไม่มีโอกาสพูดแทรกได้เลยจักรพรรดิเหวินกับฉินลิ่วก่านร่ำสุราชนจอกกันจนเมามากแล้ว อันธพาลเฒ่ายกจอกสุราซดไปอีกสองสามอึก คล้ายกับว่ายังไม่พอ จึงยกไหขึ้นซดทั้งไห“เจ้านี่ก็จริงๆ เลยนะ หลายปีที่ผ่านมาไม่เคยเข้าวังไปร่ำสุรากับข้าบ้างเลย ทั้งยังไม่ให้ข้ามาที่นี่อีก!”“ข้า...ข้าจะเอาหน้าที่ไหนไปเจอเจ้าล่ะ! ให้ตายเถอะ ในปีนั้นหากข้าไม่ต่อยเจ้าสารเลวนั่น จนสารเลวนั่นบีบบังคับให้จักรพรรดิไปออกศึกเองล่ะก็ ตอนหลังคงไม่เกิดเรื่องขึ้นหรอก!”“เหอะ หากข้าไม่ยืนกรานจะไปเอง ต่อให้เจ้าต่อยขุนนางบู้บุ๋นทั้งท้องพระโรงมันก็ไม่มีประโยชน์หรอก”“ไม่จริง ไม่ใช่! ในเหล่าบรรดาขุนนางทั้งหมด ก็มี...ก็มีข้านี่แหละที่ห้ามไม่ให้เจ้าไปออกศึกได้ เจ้าว่าข้า...ข้าไม่ห้ามเจ้าหรือ?”“เจ้าหน่ะ...ห้ามไม่ได้หรอก! ข้าแค่มาคิดเสียใจทีหลังก็คือเรื่องที่ข้าให้เจ้าช่วยข้าเฝ้าเมืองหลวงแทนข้า ไม่ให้เจ้าไปซั่วเป่ยกับข้าด้วย! หากว่าเจ้าไป...หากว่าเจ้าไปซั่วเป่
“เช่นนั้นพวกเรามารอดูกันเถอะ!” หยุนลี่พยายามฝืนยิ้มเล็กน้อย จักรพรรดิเหวินใช้หางตามองหยุนลี่แวบหนึ่ง ก่อนจะถามต่อว่า “จ้าวจี๋ เจ้าคิดว่าหยวนกุยเป็นอย่างไร?” “เอ่อ…” จ้าวจี๋ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะตอบว่า “หยวนกุยอาจไม่เหมาะกับภารกิจใหญ่โต แต่ตำแหน่งนายทหารม้ายังพอเหมาะสมอยู่พ่ะย่ะค่ะ” พูดตามตรง จ้าวจี๋เองก็ไม่ได้ให้ค่าหยวนกุยนัก ไม่เพียงแต่หยวนกุย แม้แต่หยวนฉงเขาก็ยังดูถูก แม้หยวนฉงเคยเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งซ้ายถุนเว่ย แต่ในสายตาของเขา หยวนฉงเป็นเพียงนักรบเถื่อนเท่านั้น “ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน” จักรพรรดิเหวินยิ้มเล็กน้อยโดยไม่กล่าวอะไรเพิ่มเติม ไม่นาน เสียงกลองก็ดังขึ้น พร้อมกันนั้น นาฬิกาทรายก็เริ่มนับเวลา ทว่า นาฬิกาทรายนี้แตกต่างจากนาฬิกาทรายสมัยใหม่ มันเป็นเพียงกรวยที่เรียบง่าย กำหนดเวลาตามน้ำหนักของทรายที่ไหลออกมา เมื่อได้ยินเสียงกลอง โจวเต้ากงก็รีบนำทัพจากระยะ 500 เมตรพุ่งไปยังจุดรวมพลทันที เสียงกีบม้าที่กระหึ่มก่อให้เกิดฝุ่นคละคลุ้ง หยุนเจิงและพวกไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่นั่งชมอยู่บนกำแพงเมืองอย่างสงบ สำหรับการประลองประเภทนี้ หยุนเจิงไม่ได้สนใจอะไรมากนั
วันถัดมา หลังจากที่จ้าวจี๋นำกองทัพมาถึง การแสดงศิลปะการต่อสู้ก็พร้อมเริ่มต้นการแสดงครั้งนี้แบ่งออกเป็นสามช่วงการจัดทัพ การชนทัพ และการทดสอบยิงธนูบนหลังม้าทางราชสำนักส่งทหารม้า 5,000 นาย โดยมีจ้าวจี๋เป็นแม่ทัพหลัก โจวเต้ากงและหยวนกุยเป็นแม่ทัพรองกองทัพมณฑลทางเหนือส่งทหารม้าอีก 5,000 นาย นำโดยแม่ทัพหยูซื่อจง โดยแบ่งเป็นทหารของหยูซื่อจง 2,000 นาย ขบวนส่งเจ้าสาวจากเป่ยหวน 2,000 นาย และทหารกองเลือดอีก 1,000 นายการประลองรอบแรกเป็นการจัดทัพจักรพรรดิเหวินนั่งอยู่บนกำแพงเมืองในท่าทางอ่อนแอ ขณะที่หยุนเจิง หยุนลี่ เจียเหยา และจ้าวจี๋นั่งอยู่ด้านข้างในตำแหน่งที่ลึกเข้าไปเล็กน้อย“จ้าวจี๋ เจ้ามั่นใจว่าจะชนะขนาดนั้นเลยหรือ?”จักรพรรดิเหวินสวมเสื้อคลุม มีผ้าห่มขนแกะคลุมอยู่ พลางเอนตัวสอบถามจ้าวจี๋เดิมทีจ้าวจี๋ควรจะเข้าร่วมการแสดงศิลปะการต่อสู้ในลานกว้างนอกเมือง แต่เขาคิดว่าการจัดทัพเพียงอย่างเดียวไม่จำเป็นต้องลงมือเอง จึงขออนุญาตชมอยู่บนกำแพงเมืองจ้าวจี๋ทำท่าจะลุกขึ้น แต่จักรพรรดิเหวินยกมือห้ามไว้ “ไม่ต้องลุก นั่งตรงนั้นแหละดีแล้ว”จ้าวจี๋รับคำสั่งก่อนจะนั่งลงอย่างสำรวมและตอบว่า “ห
หยุนเจิงพยักหน้าเบาๆเมื่อเห็นว่าหยุนเจิงไม่ได้แสดงอาการต่อต้าน จักรพรรดิเหวินจึงเผยรอยยิ้มพึงพอใจ พลางตบไหล่หยุนเจิง “เมื่อกลับไปยังเมืองหลวง ข้าจะให้พี่สามของเจ้าทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทน! เจ้าจะคว้าโอกาสไว้ได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเองแล้ว!”ให้เจ้าสามเป็นผู้สำเร็จราชการแทน?หยุนเจิงมองจักรพรรดิเหวินด้วยความประหลาดใจเจ้าเฒ่านี่กำลังคิดจะทำอะไรกันแน่?เจ้าสามได้เป็นผู้สำเร็จราชการแทน เช่นนั้นคงไม่พ้นต้อง…เมื่อคิดเช่นนั้น ใบหน้าของหยุนเจิงก็พลันปรากฏความเข้าใจแจ่มแจ้ง“ลูกขอบพระทัยเสด็จพ่อมากพ่ะย่ะค่ะ!”หยุนเจิงถอยหลังไปเล็กน้อย พลางทำความเคารพจักรพรรดิเหวินด้วยความนอบน้อมเขาเข้าใจเจตนาของจักรพรรดิเหวินแล้ว!การให้เจ้าสามเป็นผู้สำเร็จราชการแทน จะทำให้เจ้าสามฉวยโอกาสกวาดล้างผู้ที่คิดต่าง!ถึงเวลานั้น ขุนนางในราชสำนักเหล่านั้นอาจเกิดความไม่พอใจในตัวพี่เจ้าสาม แล้วหันมาสนับสนุนตนเองแทนตาเฒ่านี่ช่างวางแผนปูทางไว้ให้ตนเองจริงๆ!“พอแล้ว เข้าใจเช่นนี้ก็ดีแล้ว”จักรพรรดิเหวินมองหยุนเจิงด้วยความพึงพอใจ ก่อนถามด้วยความคาดหวัง “เจ้าได้คิดวิธีที่จะทำให้ข้าวางใจไปยังเป่ยหว
“หาอะไร!”จักรพรรดิเหวินพูดด้วยความหงุดหงิด “อย่าหาว่าข้าไม่เตือน หากพี่สามของเจ้าถึงกับไม่อยากเป็นองค์รัชทายาทเพราะเจ้า ต่อไปเรื่องยุ่งเหยิงทั้งหมด เจ้าก็รับผิดชอบเองแล้วกัน!”“คงไม่ถึงขนาดนั้นกระมังพ่ะย่ะค่ะ?”หยุนเจิงได้แต่ยิ้มทั้งน้ำตาเจ้าสามเพื่อจะได้ตำแหน่งองค์รัชทายาท อะไรที่ทำได้เขาก็ทำทั้งนั้นแค่เล่นงานเขาเล็กน้อย จะถึงขั้นไม่อยากเป็นองค์รัชทายาทเลยหรือ?ถ้าให้เจ้าสามขึ้นเป็นจักรพรรดิ แล้ววันใดศัตรูต่างชาติบุกเข้ามา เขาจะไม่คิดอยากเป็นจักรพรรดิอีกหรืออย่างไร?“ไม่ถึงขนาดนั้นบ้าอะไร!”จักรพรรดิเหวินพ่นลมอย่างไร้มารยาท “ในประวัติศาสตร์ทุกยุคทุกสมัย เว้นแต่พวกที่ใกล้ล่มสลาย ไม่มีองค์รัชทายาทที่ไร้น้ำยาเท่านี้มาก่อน! ข้าบอกเจ้าแล้วว่าเขายังมีประโยชน์มากนัก ต่อไปเจ้าจงสงบเสงี่ยมหน่อย อย่าเล่นงานพี่สามของเจ้าโดยไม่มีเหตุผล!”บางครั้งเมื่อคิดถึง ก็อดสงสารเจ้าสามไม่ได้ไม่รู้ว่า หากเจ้าสามรู้ความจริงเข้า จะถึงกับเป็นบ้าหรือไม่แม้ว่าจะไม่ขัดขวางหยุนเจิงเล่นงานเจ้าสาม แต่ทุกเรื่องต้องมีขอบเขต!โชคดีที่พี่เจ้าสามยังอายุน้อยหากเจ้าสามอายุเท่าตนเอง เกรงว่าคงถูกเจ้าลูกอกตัญ
หยุนลี่พลันเข้าใจแจ่มแจ้ง มองจักรพรรดิเหวินด้วยความนับถือเต็มใบหน้าเสด็จพ่อช่างมีความคิดล้ำลึกยิ่งนัก!แม้กระทั่งเรื่องนี้ก็ยังทรงคำนึงถึง!“เสด็จพ่อทรงมีสายตากว้างไกล ลูกนับถือจนสุดหัวใจพ่ะย่ะค่ะ!”หยุนลี่กล่าวด้วยความจริงใจนี่หาใช่คำเยินยอไม่ แต่เป็นความนับถืออย่างแท้จริงเพียงเรื่องเดียว กลับมีจุดประสงค์มากมายถึงเพียงนี้“เจ้าสาม เจ้ายังอ่อนประสบการณ์เกินไป…”จักรพรรดิเหวินถอนหายใจเบาๆ “เรื่องนี้เจ้ายังต้องเรียนรู้จากเจ้าหกให้มาก! หากเจ้าหกมีเพียงกำลังทหารแข็งแกร่ง ข้าก็หาได้หวาดกลัวเขาไม่! แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในตัวเจ้าหกลูกอกตัญญูผู้นี้คือสมองของเขา เขามักคิดการณ์ไกลอยู่เสมอ เขาอยู่ในจวนปี้ปัวมาสองสิบกว่าปี ข้าคิดว่าเขาคงใช้เวลาส่วนใหญ่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องเหล่านี้…”ในข้อนี้ หยุนลี่เองก็เห็นด้วยไม่มีใครรู้เท่ากับเขาว่าเจ้าหกมีความเจ้าเล่ห์เพียงใดไอ้สารเลวนี้ เมื่อก่อนในจวนปี้ปัวทำตัวขี้ขลาดแน่นอนว่าคงหมกมุ่นอยู่แต่การวางแผนเล่นงานผู้อื่น!ไม่เช่นนั้น ไอ้สารเลวนี้จะมีความเจ้าเล่ห์ได้ถึงเพียงนี้หรือ?“เสด็จพ่อสั่งสอนได้ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ!”หยุนลี่กล่าวด้วยความละอาย
"นี่..." หยุนลี่อ้าปากค้างไปชั่วขณะ แต่ไม่สามารถเอ่ยอะไรออกมาได้ เขารู้ดีว่าจักรพรรดิเหวินตรัสอย่างมีเหตุผล ตระกูลใหญ่และขุนนางไม่ได้สนใจว่าใครจะขึ้นเป็นฮ่องเต้ พวกเขาสนแต่ผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น ตอนนี้หยุนเจิงมีกองกำลังที่แข็งแกร่ง หากเขาก่อกบฏ เกรงว่าตระกูลใหญ่และขุนนางหลายคนจะเข้าข้างหยุนเจิง บางตระกูลที่มีความทะเยอทะยาน อาจถึงขั้นร่วมมือกันยกทัพก่อกบฏ แค่หยุนเจิงคนเดียวก็จัดการได้ยากมากอยู่แล้ว ถ้าหลังบ้านของเรายังมีปัญหาเพิ่มเติม ราชสำนักอาจไม่มีแม้แต่แรงที่จะต่อต้านเลยก็เป็นได้ หยุนลี่ครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดก็ตัดสินใจกัดฟันพูดว่า "ลูกจะเชื่อเสด็จพ่อ! เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ลูกจะทำทุกวิถีทางเพื่อลดอำนาจของพวกตระกูลใหญ่และขุนนาง!" เอาเป็นว่าทำตามนี้! ถ้าไม่จัดการกับพวกตระกูลใหญ่และขุนนาง เงินทองของตัวเองจะมาจากไหน? เพราะนั่นมันตั้งสี่แสนตำลึงเงินนะ! เงินที่ยึดมาได้จากพวกตระกูลใหญ่และขุนนาง บางส่วนจะสามารถเข้ากระเป๋าของตัวเองได้ เพื่อชดเชยความเสียหาย ส่วนหนึ่งสามารถนำเข้าคลังหลวง เพื่อนำไปเตรียมการกองทัพและป้องกันหยุนเจิง! "ถูกต้องแล้ว!" จักรพรรดิเห
“เฮ้อ…” จักรพรรดิเหวินถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะตบมือหยุนลี่เบาๆ แล้วถามต่อ "เจ้าไปคุยกับเจ้าหกมาเป็นอย่างไรบ้าง?" พอพูดถึงเรื่องนี้ ไฟโทสะที่หยุนลี่เพิ่งกดไว้ก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง แต่โชคดีที่เขาเพิ่งพ่นเลือดไปสองครั้งและปลอบใจตัวเองมาพอสมควร เลยไม่ถึงกับพ่นเลือดออกมาอีก ถึงจะโกรธแค่ไหน แต่หยุนลี่ก็ยังเล่าเรื่องข้อตกลงระหว่างเขากับหยุนเจิงออกมา "ไอ้ลูกอกตัญญูช่างกล้าบ้าบิ่น!" พอจักรพรรดิเหวินได้ฟังเรื่องราวจากหยุนลี่ ก็โมโหจนหายใจแรง "เสด็จพ่ออย่าทรงกริ้ว ขอให้รักษาพระวรกายไว้ก่อนเถิด..." หยุนลี่รีบยื่นมือไปช่วยประคองลมหายใจของจักรพรรดิเหวินให้สงบลง จักรพรรดิเหวินพ่นลมหายใจอย่างแรงอยู่พักใหญ่ จนในที่สุดก็เริ่มสงบลงได้ หลังจากนั้นไม่นาน จักรพรรดิเหวินก็หันไปมองหยุนลี่ด้วยสีหน้าเย็นชา "พรุ่งนี้เจ้าเด็กอกตัญญูยังต้องมาคารวะข้า เจ้าคิดว่าถ้าข้าให้คนซุ่มรอไว้ก่อน จะมีโอกาสจับมันได้ครั้งเดียวหรือไม่?" "ไม่ได้เด็ดขาด!" หยุนลี่รีบห้ามพระองค์จากความคิดบ้าคลั่งนั้น "เสด็จพ่อก็ทรงเห็นแล้วว่าเจ้าหกระวังตัวตลอดเวลา หากจับตัวมันไม่ได้ในการลงมือครั้งเดียว จะยิ่งทำให้มันโกรธแค้น ใน
เมื่อกลับถึงจวนพัก หยุนลี่ก็ระบายความโกรธด้วยการฟันหิมะอย่างบ้าคลั่ง น่าขายหน้า! ขายหน้าสิ้นดี! ทั้งชีวิตนี้เขาไม่เคยขายหน้าขนาดนี้มาก่อน เขารู้ว่าในการมาฟู่โจวครั้งนี้จะต้องถูกหยุนเจิงหลอก แต่ไม่คิดว่าจะโดนเล่นงานถึงขนาดนี้ ทั้งเงิน ทั้งข้าว ทั้งที่ดิน... ตัวเองยังสมควรเป็นองค์รัชทายาทอยู่อีกหรือ? เขากลายเป็นตัวตลกเต็มประตู! น่าชิงชัง! น่าชิงชังที่สุด! หยุนลี่ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ เลือดลมภายในร่างพลุ่งพล่านไม่หยุด "พรวด..." เมื่อความโกรธทำให้เลือดลมตีขึ้น หยุนลี่ก็ทนไม่ไหวและพ่นเลือดออกมาคำใหญ่ ร่างของหยุนลี่เซไปมาจนเกือบล้มลงกับพื้น โชคดีที่ในจังหวะที่ร่างกำลังจะทรุดลง เขาปักดาบลงพื้น ใช้ดาบค้ำยันตัวเองไว้ พร้อมคุกเข่าข้างหนึ่ง "องค์รัชทายาทเพคะ!" เหล่าข้ารับใช้รีบร้องตะโกนด้วยความตื่นตกใจ ก่อนกรูเข้ามาหา "ไสหัวไป ไสหัวไปให้หมด..." หยุนลี่ตะโกนเสียงต่ำ ขณะที่ปาดคราบเลือดที่มุมปากออกอย่างลวกๆ เขาไม่ต้องการให้ใครเห็นสภาพอันน่าอับอายของตัวเอง เขาคือองค์รัชทายาทแห่งแผ่นดิน ต่อให้เป็นอย่างไรก็ยังต้องรักษาหน้าตาไว้ เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของหยุนลี่ บรรด
เมื่อเจอคำขู่ของหยุนเจิง หยุนลี่ถึงกับตัวสั่นไปทั้งร่างด้วยความโกรธ ลังเลอยู่นาน ในที่สุดหยุนลี่ก็กัดฟันยอมรับ "ตกลง สี่ล้านตำลึง! เหมือนกับเรื่องเสบียง ให้ชำระภายในสิ้นปี!" เมื่อพูดประโยคนี้ออกมา หยุนลี่แทบกระอักเลือด เขาเคยคิดไว้ว่าจะพึ่งจางซูผู้เป็นเหมือนเทพเจ้าแห่งทรัพย์สมบัติเพื่อหาเงินได้อย่างมหาศาล ตอนนี้ เงินหาได้มาก็จริง แต่ยังไม่ทันได้ใช้ให้คุ้ม เจ้าสุนัขตัวนี้ก็มาจ้องตาเป็นมันแล้ว แถมยังต้องควักทุนสำรองออกมา และไปยืมเงินจากคนอื่นอีก! "ทีนี้มาพูดเรื่องช่างฝีมือกันเถอะ!" หยุนเจิงยิ้มอย่างพึงพอใจ "อย่ามาพูดเรื่องไปหาเอาจากกรมโยธาเลย แค่ช่างต่อเรือสองพันคนเอง ไม่ใช่ว่าสร้างเรือรบสองพันลำ! ข้าอาจไม่ยุ่งเรื่องในราชสำนัก แต่ก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ยากสำหรับเจ้า" ไม่ยาก? ในใจหยุนลี่ด่าไม่หยุด นี่มันช่างต่อเรือที่มีการลงทะเบียนเอาไว้! ล้วนมีทะเบียนช่างฝีมืออยู่! ไม่ใช่พวกผู้อพยพสองพันคน! "หนึ่งพัน!" หยุนลี่พยายามระงับโทสะ "จะเคลื่อนย้ายคนที่มีทะเบียนช่างฝีมือเยอะๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย! การควบคุมช่างต่อเรืออาจไม่เข้มงวดเท่าช่างทำเกราะ แต่ถ้ามีทะเบียนติดตัว..."