ไม่นานนัก หยุนเจิงและพวกก็กลับมาถึงรถม้าของพวกเขาเมื่อพวกเขากลับมาถึง องค์ชายคนอื่นๆ ก็กลับมากันหมดแล้วแต่ละคนกลับมาพร้อมกับผลลัพธ์อันยอดเยี่ยมบนพื้นเต็มไปด้วยสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่มากมายแม้แต่เจ้าแปดที่อายุเพียงสิบสามปี ตรงหน้าเขาเต็มไปด้วยเหยื่อจำนวนไม่น้อยนอกจากหยุนเจิงแล้ว ก็มีเจ้าเก้าที่อายุเพียงสิบเอ็ดปีที่กลับมามือเปล่าเมื่อเห็นหยุนเจิงและพวกกลับมามือเปล่าเช่นนี้ ทุกคนต่างหัวเราะเย้ยหยันขึ้น “เจ้าหก เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่ได้เหยื่อมาสักตัว?”“ช่างไร้เหตุผลยิ่งนัก! น้องสะใภ้ก็ช่วยเจ้าแล้ว เหตุใดถึงไม่ได้เหยื่ออีกเล่า?”“ข้าว่าเจ้าหกเห็นแก่หน้าตา ก็เลยไม่สะดวกใจที่จะให้น้องสะใภ้ลงมือมากกว่า”“แต่ข้าเดาว่า เจ้าหกมีจิตใจเมตตา ทนที่จะฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไม่ได้เป็นแน่…”ต่อหน้าพระพักตร์จักรพรรดิเหวิน แม้องค์ชายทั้งหกจะมีความสำรวม แต่ความเย้ยหยันที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้นยังคงเผยออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนแม้แต่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเจ้าแปดก็ร่วมความครึกครื้นนี้ด้วยหยุนเจิงคร้านจะสนใจคนพวกนี้ จึงหันไปมองเยี่ยจื่อทั้งสองสบตากัน เยี่ยจื่ิอพยักหน้าเบาๆ หยุนเจิงจึงวางใจ
“ลูกยอมรับโทษพ่ะย่ะค่ะ”หยุนเจิงโค้งคำนับอีกครั้ง“ดี! ยอมรับโทษแต่โดยดีก็ดี!”จักรพรรดิเหวินพยักหน้าและตรัสด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “เจ้าหลบไปก่อน ประเดี๋ยวข้าจะจัดการเจ้าทีหลัง!”หยุนเจิงน้อมรับพระบัญชา พาเสิ่นลั่วเยี่ยนและพวกหลบไปอยู่ข้างๆ เยี่ยจื่อ“นี่มันเกิดอันใดขึ้นกับพวกเจ้ากันแน่?”เยี่ยจื่อกระซิบถามหยุนเจิงและเสิ่นลั่วเยี่ยนเสียงเบาด้วยความสงสัย“อย่าได้เอ่ยเลย!”เสิ่นลั่วเยี่ยนตอบอย่างไม่สบอารมณ์ พลางจ้องเขม็งไปที่หยุนเจิงด้วยความโกรธเกรี้ยวหยุนเจิงไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด แอบส่งสายตาเป็นนัยบอกให้เยี่ยจื่อรอดูละครฉากใหญ่ห๊ะ?เยี่ยจื่อไม่เข้าใจนัก และนางก็อดคิดสงสัยไม่ได้หรือหยุนเจิงจะมีแผนสำรองเอาไว้?ทว่า เหตุใดตอนนี้ถึงยังนิ่งสงบอยู่อีกและในขณะที่เยี่ยจื่อกำลังฉงนสงสัยอยู่นี้เอง จักรพรรดิเหวินลุกยืนขึ้นอย่างช้าๆมองดูเหยื่อเหล่านี้ที่วางอยู่ตรงหน้าโอรสของตนก็อดที่จะพยักหน้าไม่ได้“อืม ไม่เลวเลย! แต่ละคนไม่ทำให้ข้าผิดหวังเลยจริงๆ!”จักรพรรดิเหวินพลางพยักหน้า พลางเดินผ่านเหยื่อที่ตั้งอยู่ตรงหน้าขององค์ชายแต่ละคน ทั้งยังรับสั่งว่า “มู่ซุ่น รีบให้คนมานับจำ
มู่ซุ่นรายงานทีละคนนอกจากเจ้าแปดแล้ว จำนวนสัตว์ที่ถูกล่าของคนอื่นๆ ล้วนแต่ได้มานับสิบกว่าตัวทั้งสิ้นด้วยจำนวนสัตว์ที่ล่ามาได้จำนวนสิบแปดตัวของหยุนลี่นั้น เขาจึงมองทุกคนอย่างเย้ยหยันทว่า เจ้าแปดล่ามาได้เพียงแค่เก้าตัวเท่านั้นตามที่จักรพรรดิเหวินได้กล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้จำนวนสัตว์ที่เจ้าแปดและเจ้าเก้าล่ามาได้นับเป็นจำนวนสองเท่าหากคิดเช่นนี้ นั่นหมายความว่าหยุนลี่กับเจ้าแปดนับว่าเสมอกัน…“อืม ไม่เลว ไม่เลวเลย!”จักรพรรดิเหวินค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ สายตาจ้องมองไปที่หมีตัวที่หยุนลี่ล่ามาได้ และกล่าวกับเจ้าแปดว่า “เจ้าแปด แม้ว่าเจ้าและพี่สามของเจ้าจะเสมอกัน แต่พี่สามของเจ้าล่าหมีตัวหนึ่งมาได้ ข้าจะถือว่าพี่สามของเจ้าเป็นผู้ชนะ เจ้ามีความเห็นเช่นไร?”“ลูกมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ”แม้ในใจองค์ชายแปดจะไม่ยอมจำนน แต่ก็ทำได้เพียงแค่เก็บมันเอาไว้ภายในใจเท่านั้น “ฝ่าบาทเพคะ”ทันใดนั้นเองเหลียงเฟยก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “แม้เจ้าสามจะล่าหมีมาได้ แต่เจ้าแปดก็มีอายุเพียงแค่สิบสามปีเท่านั้น เขาล่าสัตว์มาได้ถึงเก้าตัว ก็นับว่ามีความสามารถที่หาได้ยากแล้วนะเพคะ”เมื่อได้ยินเหล
จักรพรรดิเหวินหันไปตรัสถามหยุนลี่หยุนลี่รีบกล่าวสิ่งที่ทั้งสองได้เดิมพันกันเอาไว้ออกมาทันทีสีพระพักตร์ของจักรพรรดิเหวินเคร่งขรึมลงมาก และตะคอกถามว่า “เจ้าหก นี่เจ้ากำลังอิจฉาริษยาพี่สามของเจ้าอยู่หรือไม่?”หยุนเจิงส่ายหน้าพลางกล่าว “ลูกมิบังอาจอิจฉาริษยาพี่สามพ่ะย่ะค่ะ”“แล้วเหตุใดเจ้าถึงเดิมพันกับพี่สามของเจ้า?” จักรพรรดิเหวินเค้นถามหยุนเจิงทำท่าทางคิดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างตะกุกตะกักว่า “คือลูก…ลูกแค่ไม่อยากเห็นพี่สามชนะ…”“ดูเหมือนเจ้าจะมีอคติกับพี่สามของเจ้ามากเลยสินะ!”จักรพรรดิเหวินหรี่ตาเล็กน้อยจ้องมองหยุนเจิงด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยจะดีนัก“ไม่ใช่นะพ่ะย่ะค่ะ ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ!”หยุนเจิงโบกมือปฏิเสธอย่างแรง “ลูกไม่ได้มีอคติกับพี่สามนะพ่ะย่ะค่ะ ลูกแค่ถูกพี่สามเยาะเย้ยว่าลูกล่าสัตว์ไม่ได้ ลูกก็เลยน้อยใจ ก็เลย…”“เหลวไหล!”หยุนลี่รีบแย้งทันที “ข้าไปเยาะเย้ยเจ้าตอนไหน ข้าหวังดีอยากจะแบ่งสัตว์ที่ล่ามาได้ให้เจ้าสองตัวด้วยซ้ำ แต่เจ้ากลับปฏิเสธน้ำใจ เจ้าหก ข้ารู้ว่าเจ้ามีอคติกับข้าตั้งแต่เจ้าถูกลอบสังหารในครั้งที่แล้ว แต่ข้ากล้าสาบานต่อสวรรค์ว่าข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข
เมื่อเห็นสีหน้าของหยุนลี่ผิดปกติไป องค์ชายองค์อื่นๆ ก็รีบยื่นคอมองดูของในหีบที่อยู่ในมือหยุนลี่ทันทีและเมื่อได้เห็นของล้ำค่าที่อยู่ในหีบนั้น องค์ชายองค์อื่นๆ ต่างก็ตกตะลึงพรึงเพริดขึ้นของล้ำค่าดังกล่าวที่อยู่ในหีบใบนี้ คือกิ่งต้นจิงเหลืองที่มีความหนาเท่าหัวแม่มือ!ของล้ำค่าอย่างนั้นหรือนี่คือของล้ำค่าอย่างที่จักรพรรดิเหวินกล่าวอย่างนั้นหรือต้องมีอันใดผิดพลาดเป็นแน่“บังอาจ!”ในขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึงพรึงเพริดอยู่นั้น ซูเฟยก็ตะโกนออกมาด้วยความโกรธว่า “มู่ซุ่น รีบให้คนไปตรวจสอบดูว่าใครกันที่กล้าบังอาจเปลี่ยนของล้ำค่าในหีบนี้ไป!”มู่ซุ่นเพียงแค่โค้งคารวะเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้เอ่ยปากเปล่งเสียงกล่าวอันใดออกมา“ยังยืนนิ่งอยู่ทำไมกันเล่า?”ซูเฟยจ้องเขม็งมู่ซุ่นด้วยความโกรธเกรี้ยว“ไม่ต้องตรวจสอบ!”ในที่สุดจักรพรรดิเหวินก็เอ่ยปากตรัสออกมาว่า “ของล้ำค่าในหีบนี้ ก็คือของสิ่งนี้ถูกต้องแล้ว!”หลังจากจักรพรรดิเหวินตรัสจบ บรรยากาศ ณ ที่นี้พลันเงียบสงัดลงทันทีนี่คือของล้ำค่าที่จักรพรรดิเหวินกล่าวถึงอย่างนั้นหรือนี่มันกิ่งต้นจิงเหลืองธรรมดาๆ กิ่งหนึ่งไม่ใช่หรอกหรือหยุนลี่เองก็
จักรพรรดิเหวินเหลือบมองเกาเหอและคนอื่นๆ แล้วถามเสียงเข้ม“เห็น...เห็นแล้ว”“เห็นหลายตัวเลย...”แต่ละคนตอบอย่างระมัดระวังจักรพรรดิเหวินถามอีกครั้ง “แล้วทำไมพวกเขาไม่นำสัตว์ที่ล่าได้กลับมาด้วย”เกาเหอคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตอบอย่างระมัดระวัง “องค์ชายหกและพระชายาองค์ชายหกบอกว่า ไม่ใช่สัตว์ที่พวกเขายิงได้ พวกเขา...จึงไม่ต้องการ”จักรพรรดิเหวินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามทหารองครักษ์หลายคนอย่างฉุนเฉียว “เป็นเพราะเจ้าหกไม่ต้องการนำกลับมา หรือเป็นเพราะชายาองค์ชายหกไม่ยอมให้เขาเอากลับมา”เมื่อเผชิญกับคำถามของจักรพรรดิเหวิน ทั้งหมดลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดขึ้นว่า“ทั้งองค์ชายหกและพระชายาองค์ชายหกต่างก็ไม่ต้องการเอามาพ่ะย่ะค่ะ”“พระชายาองค์ชายหกยังกล่าวชมเชยองค์ชายหกด้วย ว่าถึงแม้...แม้จะยิงธนูไม่เก่ง แต่ก็ยังมี...ความทระนง”“ใช่...”คนเหล่านี้ค่อนข้างเฉลียวฉลาดดีทีเดียวในเวลานี้ยังรู้จักรักษาเกียรติของเสิ่นลั่วเยี่ยนด้วยเมื่อได้ยินคำพูดของพวกเขา เสิ่นลั่วเยี่ยนกลับแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนีเห็นอยู่ชัดๆ ว่าหยุนเจิงเป็นผู้ที่ใช้อำนาจขัดขวางไม่ให้พวกเขานำสัตว์ที่ล่าได้กลับมาตอ
ทันทีที่จักรพรรดิเหวินบัญชา องครักษ์ทั้งห้าก็ถูกลากออกไป“ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตด้วย!”“ฝ่าบาทโปรดไว้...”องครักษ์ของหยุนลี่ยังคงร่ำไห้ร้องขอความเมตตาไม่หยุด ทว่าจักรพรรดิเหวินกลับเมินเฉยในไม่ช้า องครักษ์ทั้งหมดของหยุนลี่ก็ถูกประหารชีวิตมีศีรษะเปื้อนเลือดจำนวนมากถูกวางไว้ตรงนั้น ทำให้บรรยากาศในที่เกิดเหตุดูเคร่งขรึมอย่างยิ่งแม้ว่าองครักษ์ขององค์ชายคนอื่นจะไม่ได้ถูกประหารชีวิตในทันที แต่ผลลัพธ์ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันมากนักทุกคนรู้ดีว่าจักรพรรดิเหวินโกรธมาก ต่างก็ไม่กล้าออมมือ พวกเขาลงมือด้วยกำลังทั้งหมดผัวะ ผัวะ...เสียงแส้ไม้ดังสะท้านคลอไปกับเสียงกรีดร้องโหยหวนขององครักษ์องครักษ์เหล่านี้ก็ไม่ใช่ว่าถูกใส่ความพวกเขาทุกคนรู้ความจริง แต่ไม่มีผู้ใดพูดความจริงออกมาพวกเขาต่างสุมหัวกันกับเจ้านายเพื่อหลอกลวงจักรพรรดิเหวินอย่างไรก็ตาม องครักษ์เหล่านี้รู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นเพียงองครักษ์ จะกล้าเปิดโปงเจ้านายตัวเองได้อย่างไรครั้นได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด เกาเหอและคนอื่นๆ ก็ใจเต้นราวกับกลองเพล แอบนึกดีใจที่บังเอิญโชคดีโชคดีที่องค์ชายหกมีหลักการ
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็บอกมา ข้าอนุญาตให้เจ้ารับสมัครทหารจวนห้าร้อยนายเป็นการส่วนตัว เพราะมีจุดประสงค์ใด”จักรพรรดิเหวินถลึงตามองหยุนเจิงเอ้า!พูดไปพูดมา สุดท้ายก็หาเหตุผลมาลงโทษตัวเองน่ะสิแม่เอ้ย!ตัวเองต้องพลอยซวยกับคนโง่พวกนี้ด้วย!หยุนเจิงแอบถอนหายใจในใจ พูดแช่มช้า “ลูกรู้ว่าเสด็จพ่อเข้าใจและเห็นใจลูก ต้องการให้ลูกรับสมัครทหารจวนห้าร้อยนายเป็นการส่วนตัว เพื่อทำหน้าที่เป็นทหารส่วนตัวของลูกหลังจากที่ไปอยู่ซั่วเป่ย...”“ข้า...”จู่ๆ จักรพรรดิเหวินก็ยกไม้ขึ้น แทบจะหายใจไม่ออกด้วยความโกรธ จนพูดคำว่าข้าออกมาได้!เขานึกอยู่แล้วเชียวว่าทำไมเจ้าบ้านี่ถึงได้ใจป้ำในฉวินฟางย่วนขนาดนี้!แน่นอน เจ้าบ้านี่เข้าใจเจตนาของตัวเองผิดไปตั้งแต่ต้น“ข้าไม่เคยคิดที่จะส่งเจ้าไปที่ซั่วเป่ย!”จักรพรรดิเหวินโกรธจัด ตะโกนด้วยความโมโห “แต่เมื่อคืนก่อนเจ้ากลับก่อเรื่องวุ่นวายในฉวินฟางย่วน ตอนนี้ทุกคนในเมืองหลวงต่างก็รู้กันทั่วแล้วว่าข้าจะให้เจ้าไปรบที่ซั่วเป่ย! ทั้งเจ้าและข้ากลายเป็นขี้ปากคนหมดแล้ว! เจ้าบอกข้ามา ว่าตอนนี้ข้าควรให้เจ้าไป หรือไม่ให้เจ้าไป?”“อ๋า?”หยุนเจิงเงยหน้าขึ้น มองไปที่จักรพรรด
"พวกเจ้าลำบากกันมากจริงๆ!" หยุนเจิงกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น พลางหยุดบทสนทนาของสองพี่น้อง ทำให้หัวใจของเขารู้สึกอุ่นวาบ เสิ่นลั่วเยี่ยนยิ้มบางๆ ก่อนจะพูดขึ้น "ฝ่าบาท รีบไปดูเจ้าหนูน้อยของพวกเราเถิด..." ในระหว่างที่เสิ่นลั่วเยี่ยนพูด ฮูหยินเสิ่นก็อุ้มเด็กน้อยเข้ามาส่งให้หยุนเจิง หยุนเจิงยื่นมือออกไปโดยไม่รู้ตัว เพื่อจะรับเด็กมาอุ้ม แต่เมื่อมือยื่นออกไปแล้ว กลับชะงักค้างอยู่ตรงนั้น เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มอุ้มอย่างไรดี ในฐานะคนเป็นพ่อครั้งแรก เขาทั้งตื่นเต้นและประหม่า แม้แต่การอุ้มลูกก็กลัวว่าจะทำผิดวิธี และทำให้เด็กที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้รับบาดเจ็บ เมื่อเห็นท่าทางลำบากใจของหยุนเจิง ทุกคนรอบข้างก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ "ไม่เป็นไร!" ฮูหยินเสิ่นสังเกตเห็นความกังวลของหยุนเจิง จึงพูดปลอบพร้อมกับยื่นเด็กน้อยส่งให้เขา "เด็กไม่ได้เปราะบางอย่างที่เจ้าคิด อุ้มแบบข้านี่ก็พอแล้ว..." "โอ้ ได้ๆ..." หยุนเจิงมองดูท่าทางการอุ้มของฮูหยินเสิ่นอย่างละเอียด ก่อนจะรับเด็กมาด้วยความระมัดระวัง เขาอุ้มเด็กไว้ในอ้อมแขนด้วยความตื่นเต้นและความสงสัย พลางก้มหน้ามองลูกของตัวเอง บอกตาม
วันถัดมา หยุนเจิงและเจียเหยาก็นำคนเดินทางออกไป หยุนเจิงเร่งรีบที่จะกลับเมืองติ้งเป่ย จึงพาเพียงกองทหารองครักษ์ 200 นายเท่านั้น ปล่อยกองทัพส่วนใหญ่ที่เหลือไว้เบื้องหลัง ขบวนเดินทางด้วยความรวดเร็ว มุ่งหน้ากลับติ้งเป่ยอย่างเร่งด่วน พวกเขาเพิ่งผ่านด่านเป่ยลู่มาได้ไม่นาน ก็พบผู้ส่งสารจากติ้งเป่ยที่เดินทางมารายงานข่าว "ขอรายงานฝ่าบาท พระชายาอ๋องประสูติเมื่อช่วงบ่ายวานนี้ พระโอรสและพระชายาปลอดภัยดี!" ผู้ส่งสารรายงานด้วยความตื่นเต้น เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หยุนเจิงถึงกับชะงักเล็กน้อย เสิ่นลั่วเยี่ยนคลอดแล้ว? เจ้าหนูน้อยนี่ รีบร้อนจะเกิดเสียจริง! ทั้งที่ตนเองเร่งรีบกลับมาแทบตาย แต่สุดท้ายก็ไม่ทันช่วงเวลาที่ลูกคนแรกของตนเกิด คิดได้เช่นนี้ หยุนเจิงก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่เมื่อคิดว่าทั้งเสิ่นลั่วเยี่ยนและลูกปลอดภัยดี หินหนักในใจของหยุนเจิงก็เหมือนถูกยกออกไป "ยินดีกับฝ่าบาทด้วยพ่ะย่ะค่ะ!" เหล่ากองทหารองครักษ์พากันกล่าวแสดงความยินดีต่อหยุนเจิง เสิ่นลั่วเยี่ยนให้กำเนิดรัชทายาทแล้ว หมายความว่าอ๋องติ้งเป่ยมีทายาทสืบทอดแล้ว! พูดแบบไม่เกรงใจ หากหยุนเจิงเกิดเหตุ
"คำพูดเช่นนี้ หากตอบกลับไม่ดี อาจจบลงด้วยการถูกส่งตัวเข้าคุก เมื่อเห็นลู่เตี้ยนถูกกดดันจนพูดไม่ออก ขุนนางฝ่ายขวาผู้ปรึกษาพระราชกิจรีบลุกขึ้นกล่าว “ฝ่าบาท ราชสำนักมีบทกฎหมายของราชสำนัก พวกเราทั้งหลายล้วนเป็นขุนนางราชสำนัก หากไม่มีความผิด แม้แต่ฝ่าบาทยังไม่มีสิทธิ์บังคับให้พวกเราทั้งหลายออกแรงงานเช่นนี้ ฝ่าบาททรงปฏิบัติกับพวกเราทั้งหลายเช่นนี้ ย่อมเป็นการละเมิดบทกฎหมายของราชสำนัก” ไม่เสียชื่อขุนนางผู้ปรึกษาฝ่ายขวา ที่เปิดปากก็หยิบยกบทกฎหมายราชสำนักขึ้นมาอ้าง นี่คือกลยุทธ์ที่พวกขุนนางผู้มีหน้าที่ชี้แนะมักใช้อยู่เสมอ กฎหมายราชสำนักอยู่ที่นั่นหยุนเจิงยังไม่มีอำนาจแก้ไขกฎหมายราชสำนักได้ แม้เขาจะเป็นผู้บัญชาการเขตซั่วเป่ย และมีกฎหมายเฉพาะของตนเอง แต่กฎหมายของเขาก็ใช้ได้แค่ในเขตซั่วเป่ย ยิ่งไปกว่านั้น เขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือยังไม่ขึ้นกับเขตซั่วเป่ย “ข้าพูดแล้วว่า พวกเจ้าไม่ได้มีความผิด และข้าก็ไม่ได้จะให้พวกเจ้าไปออกแรงงาน นี่เรียกว่าการสัมผัสความทุกข์ยากของราษฎรต่างหาก!” หยุนเจิงมองชายคนนั้นด้วยสายตาเย็นชา “เมื่อไม่นานมานี้ เสด็จพ่อของข้าเสด็จมายังซั่วเป่ย
เมื่อได้ยินคำกล่าวแบบ “นักปราชญ์” ของหยุนเจิง ทุกคนถึงกับหันไปมองหน้ากันด้วยความงุนงง พวกเขาเข้าใจความหมายตามตัวอักษรของคำพูดนี้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่หยุนเจิงต้องการสื่อจริงๆ คืออะไร? ทุกข์ทนจิตใจ เหน็ดเหนื่อยกายา อดอยากเนื้อหนัง? หลังนิ่งอึ้งไปนาน ในที่สุดลู่เตี้ยนก็รวบรวมความกล้าเอ่ยขึ้นว่า “โปรดให้อภัยที่ข้าน้อยโง่เขลา ไม่ทราบฝ่าบาทหมายความว่าอย่างไร?” “ยังไม่เข้าใจอีกหรือ?” หยุนเจิงยิ้ม “ที่ชายแดนชิงนั้น ข้ามีเหมืองสำหรับเก็บรวบรวมถ่านหินร่วนแห่งหนึ่ง ข้าตั้งใจจะให้พวกท่านไปสัมผัสถึงความทุกข์ยากของราษฎรก่อน เพื่อที่เมื่อถึงเขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือ จะได้สามารถรับผิดชอบภารกิจที่เสด็จพ่อมอบหมายให้ได้อย่างดียิ่งขึ้น” เมื่อคำพูดของหยุนเจิงจบลง ใบหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนสีไปตามกัน เหมือง...เหมืองถ่านหิน? หยุนเจิงถึงกับต้องการให้พวกเขาไปทำงานเก็บถ่านหินในเหมือง? บ้าหรือเปล่า? คนเหล่านี้ต่ำสุดก็เป็นขุนนางตำแหน่งห้าขั้นล่างสุด แต่กลับให้พวกเขาไปทำงานเหมือง? นี่คิดจะใช้พวกเขาเป็นแรงงานเช่นนั้นหรือ? ในชั่วพริบตา ความหวาดกลัวและความโกรธผุดขึ้นในใจของทุ
"เมื่อได้ยินพวกเขาแนะนำตัวทีละคนๆ หยุนเจิงก็เอ่ยในใจว่าดีจริงๆ!แต่ละคนล้วนมีตำแหน่งในราชสำนักไม่น้อยเลย ต่ำสุดยังเป็นขุนนางตำแหน่งขั้นห้า ยิ่งไปกว่านั้น คนเหล่านี้ยังไม่ถือว่าแก่เลย อนาคตยังมีพื้นที่ให้ไต่เต้าขึ้นอีกมาก สำหรับหยุนเจิง นี่นับว่าเป็นของขวัญอันล้ำค่ามาก! ล้ำค่ายิ่งกว่าของขวัญที่เขาได้รับในวันแต่งงานเสียอีก! นี่สิถึงจะเรียกได้ว่าเป็นของขวัญแต่งงานที่แท้จริง! เมื่อทุกคนแนะนำตัวเสร็จ หยุนเจิงก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นกล่าวว่า “พระชายาอ๋องกำลังจะคลอด บัดนี้ข้าต้องรีบเดินทางกลับเมืองติ้งเป่ย วันนี้ก็ถือเสียว่าเป็นงานเลี้ยงต้อนรับล่วงหน้าสำหรับพวกท่านแล้วกัน” “ขอบพระทัยฝ่าบาท!” ทุกคนลุกขึ้นยืนทำความเคารพพร้อมเพรียงกัน ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ พวกเขาก็ถูกส่งมาแล้ว สถานการณ์ในเขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือเป็นอย่างไรนั้น ทุกคนต่างรู้กันดี เขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือนั้นในนามเป็นของราชสำนัก เจ้าหน้าที่ระดับต่างๆ ก็ได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนัก แต่ปัญหาคือ ด่านเป่ยลู่ขวางอยู่ตรงนั้น กองทัพและคำสั่งจากราชสำนักไม่สามารถผ่านด่านเป่ยลู่ไปถึงเขตป
“นี่คือรายชื่อของขวัญทั้งหมด ขอเชิญท่านอ๋องตรวจสอบพ่ะย่ะค่ะ” ในช่วงบ่าย อวี๋ฝูนำคนมาจัดการบันทึกรายการของขวัญที่ได้รับจากงานแต่งของหยุนเจิงจนเสร็จสิ้น “ดีมาก ทำงานได้คล่องแคล่วดี” หยุนเจิงรับสมุดเล่มเล็กมาด้วยรอยยิ้ม และไม่ลืมที่จะชมอวี๋ฝูก่อน “เป็นหน้าที่ของข้าน้อยอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” อวี๋ฝูตอบด้วยท่าทีเคารพ “เอาล่ะ ข้าจะตรวจดูเอง เจ้าถอยไปก่อนเถิด” “ข้าน้อยขอทูลลา!” อวี๋ฝูก้มตัวคำนับก่อนจะถอยออกไป หยุนเจิงเดินถือสมุดเล่มเล็กไปนั่งในลานบ้าน เปิดสมุดด้วยความคาดหวังเต็มเปี่ยม การแต่งงานระหว่างตนกับเจียเหยาเป็นการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้น ของขวัญที่ได้รับ ย่อมต้องมีระดับกันบ้าง! นี่น่าจะเป็นรายได้ไม่น้อยเลยทีเดียว! พูดก็พูดเถอะ เจ้าสามไม่ใช่กำลังขาดเงินอยู่หรือ? ถ้าเขาจัดงานแต่งทุกๆ ไม่กี่ปี เงินทองก็ไหลมาเทมาเองแล้วกระมัง? เฮ้อ! เป็นองค์รัชทายาททั้งที ยังไม่รู้จักหาเงินอีก เสียทีที่ได้ชื่อว่าเป็นองค์รัชทายาท หยุนเจิงแอบวิจารณ์หยุนลี่ในใจ ขณะพลิกเปิดสมุดเล่มเล็กอย่างช้าๆ จะเห็นได้ว่า อวี๋ฝูเป็นผู้ดูแลที่ยอดเยี่ยมมาก เขาไม่เพียง
ตอนนี้หยุนเจิงไม่มีเวลามากพอที่จะค่อยๆ แยกแยะว่าใครซื่อสัตย์หรือไม่ซื่อสัตย์ จึงต้องใช้วิธีการที่เด็ดขาด ฆ่าบางคน ให้รางวัลบางคน และกดดันบางคน! ว่าแต่จะฆ่าใคร ให้รางวัลใคร หรือกดดันใคร เขาเองก็ยังไม่แน่ใจนัก อย่างไรก็ตาม ในฟู่โจวที่กว้างใหญ่นี้ ย่อมต้องมีขุนนางที่ฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างแน่นอน ในภายหลัง เขาก็จะใช้คนเหล่านั้นมาเป็นเป้าหมายจัดการ ขุนนางใหม่มารับตำแหน่ง ย่อมต้องจุดไฟสามดวงให้ลุกโชน! ขณะที่หยุนเจิงกำลังครุ่นคิด เจียเหยาก็เดินเข้ามาหาเขา “พวกเราจะออกเดินทางเมื่อไรหรือ?” ทันทีที่มาถึง เจียเหยาก็ถามขึ้น “พรุ่งนี้เถอะ!” หยุนเจิงบีบขมับที่เริ่มปวดเล็กน้อย “วางใจเถอะ ข้าอยากกลับติ้งเป่ยมากกว่าเจ้าซะอีก!” “เรื่องนี้ข้าเชื่อ” เจียเหยายิ้มเล็กน้อย ก่อนถามต่อ “เจ้ากำลังปวดหัวเรื่องการบริหารฟู่โจวหรือ?” “ใช่แล้ว!” หยุนเจิงไม่ปฏิเสธ “ข้าเกิดมาเพื่อเป็นแม่ทัพนำทัพออกรบ เรื่องการปกครองบ้านเมือง ข้าไม่ถนัดเลยจริงๆ...” ในชีวิตก่อน มีคนสอนเขารบ แต่ไม่มีใครสอนเขาเรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน ยิ่งกว่านั้น ชายคนนี้ที่ร่างเดิมเป็นของเขาก็ไม่เคยเรียนร
หลังจากจักรพรรดิเหวินและหยุนลี่เสด็จออกจากหัวเมืองสี่ทิศไปแล้ว หยุนเจิงเองก็เตรียมตัวจะออกเดินทางเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ก่อนจะออกเดินทาง เขายังต้องจัดการเรื่องการบริหารบ้านเมืองในฟู่โจวให้เรียบร้อย อย่างน้อยต้องให้ขุนนางทุกระดับปฏิบัติหน้าที่ของตน ตอนนี้เขายังไม่มีเวลาหรือความคิดที่จะลงมือจัดการกับขุนนางเหล่านี้ หากออกแรงกดดันมากเกินไป เกรงว่าฟู่โจวอาจจะวุ่นวายจนควบคุมไม่อยู่ เขาต้องการให้ขุนนางเหล่านี้อยู่ในความสงบก่อน รอจนเขาจัดการเรื่องในมือเสร็จสิ้น ค่อยปรับเปลี่ยนขุนนางในฟู่โจวทีหลัง แม้ฟู่โจวจะเล็กน้อยเมื่อเทียบกับดินแดนนอกด่าน แต่ราชการในฟู่โจวย่อมซับซ้อนกว่าดินแดนนอกด่านมาก หากเร่งรีบเกินไป อาจทำให้เกิดปัญหาไม่จำเป็นได้ ด้วยเหตุนี้ หยุนเจิงจึงใช้โอกาสที่ขุนนางที่มาร่วมงานแต่งของเขาและเจียเหยายังไม่กลับ เรียกพวกเขามารวมตัวกันที่จวนของเขา เขาไม่ได้รู้จักขุนนางเหล่านี้ดีนัก จึงได้มอบหมายให้จี้หราน อดีตเจ้าเมืองฟู่โจว รักษาการในหน้าที่บริหารบ้านเมืองฟู่โจวไปก่อน หลังจากประกาศเรื่องนี้เสร็จ หยุนเจิงก็กล่าวเตือนขุนนางทั้งหลายว่า “ข้าเป็นคนที่นำทัพออกศึก อารมณ
“อืม เรื่องนี้เจ้าต้องใส่ใจให้มาก!” จักรพรรดิเหวินตรัสเตือน “อย่าปล่อยให้คนของเจ้าหกแฝงตัวอยู่รอบตัวเจ้าเพื่อสืบข่าวอีกต่อไป!” ในชั่วขณะนั้น หยุนลี่เริ่มคิดถึงผู้คนที่เคยร่วมวางแผนกำจัดหยุนเจิงกับเขาก่อนหน้านี้ เฉียวเหยียนเซียน ฮั่วเหวินจิ้ง... แม้กระทั่งหยวนกุยก็ยังไม่รอดพ้นจากความสงสัยของเขา แต่จากสถานการณ์ในปัจจุบัน ดูเหมือนว่าคนเหล่านี้ไม่มีใครแสดงพฤติกรรมน่าสงสัย หรือว่า คนของเจ้าหกที่แฝงตัวอยู่ จะซ่อนตัวได้ลึกถึงเพียงนี้? “กลับเมืองหลวงแล้วค่อยตรวจสอบอย่างละเอียดอีกที!” จักรพรรดิเหวินยกพระหัตถ์ขึ้นเล็กน้อยเป็นสัญญาณให้หยุนลี่วางใจ ก่อนจะมองเขาด้วยความอ่อนโยน “ข้ารู้ว่าเจ้าถูกเจ้าหกบีบเงินไปถึงสี่ล้านตำลึง ในใจเจ้าคงอึดอัดและเจ็บปวด ข้าจึงให้จางซูช่วยสร้างโรงกลั่นสุราไว้ กลับไป ข้าจะยกโรงกลั่นนั้นให้เจ้า” “เสด็จพ่อ เรื่องนี้... ลูกไม่อาจรับได้พ่ะย่ะค่ะ!” หยุนลี่ตกใจ รีบปฏิเสธพร้อมกับโบกมือไปมา “ไม่มีอะไรที่เจ้าจะรับไม่ได้! แผ่นดินนี้ข้าก็จะยกให้เจ้าแล้ว ข้ายังจะมาสนใจโรงกลั่นสุราอีกหรือ?” จักรพรรดิเหวินตรัสพร้อมส่ายพระพักตร์เบาๆ ก่อนจะกล่าวด้วยน