ดูแล้วอายุของจี้หย่าเอ๋อร์ไม่น่าจะมากนัก คาดว่านางน่าจะมีอายุประมาณยี่สิบต้นๆ หยวนซู่นี่จริงๆ แล้วก็เหมือนวัวแก่กินหญ้าอ่อน แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ใครให้เขาเป็นราชาโฉวฉือล่ะ?ไม่ต้องพูดถึงแค่สมัยโบราณ แม้แต่สมัยปัจจุบัน ถ้ามีเงินมีอำนาจ ก็มักจะมีการแต่งงานกับสาวรุ่นๆ เห็นหยุนเจิงจ้องมองไปที่จี้หย่าเอ๋อร์ จี้เหมี่ยวในใจรู้สึกดีใจทันที จึงรีบพูดแสดงความสุภาพ “ท่านอ๋อง จริงๆ แล้วบุตรีของข้าน้อยยังคงบริสุทธิ์อยู่...” “บริสุทธิ์?” หยุนเจิงมองไปที่จี้เหมี่ยวด้วยความประหลาดใจ นี่มันไม่จริงใช่ไหม? จี้หย่าเอ๋อร์ก็ถือว่าเป็นสาวงามคนหนึ่ง หยวนซู่ไม่ให้ความโปรดปรานนางหรือ? หรือว่า หยวนซู่ไม่สามารถทำได้แล้วหรือ? เห็นหยุนเจิงไม่เชื่อ จี้เหมี่ยวจึงรีบอธิบาย ความจริงแล้วจี้หย่าเอ๋อร์อายุไม่ถึงยี่สิบปี เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งอายุครบสิบแปดปี เดิมทีจี้หย่าเอ๋อร์จะถูกหมั้นกับหลานชายของขุนนางในราชสำนัก แต่เนื่องจากความบังเอิญ หยวนซู่ได้พบกับจี้หย่าเอ๋อร์ และจึงตัดสินใจแต่งตั้งนางเป็นสนมครอบครัวของจี้หย่าเอ๋อร์ไม่กล้าขัดขืน ต้องยอมรับตามที่หยวนซู่ต้องการ ผลก็คือ
สีหน้าของจี้เหมี่ยวเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่แล้วก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็วหลังจากที่เฝิงอวี้ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าของเขาก็แดงขึ้นเล็กน้อย เขาพยักหน้าและกล่าวว่า "งาม งามมาก!"หยุนเจิงยิ้มอย่างพอใจแล้วหันไปมองจี้เหมี่ยว "นี่คือเฝิงอวี้ เป็นแม่ทัพใหญ่ของข้า ข้าต้องการให้ท่านมอบบุตรีของท่านให้เขา เจ้าคิดว่าอย่างไร?" "ตามที่ท่านอ๋องต้องการ" จี้เหมี่ยวแม้จะรู้สึกผิดหวัง แต่ก็ไม่กล้าขัดขืน เขาเคยหวังว่า หยุนเจิงจะให้ความสนใจกับบุตรีของเขา ไม่คิดเลยว่า หยุนเจิงจะมอบบุตรีของเขาให้เฝิงอวี้โดยตรง แต่เมื่อคิดว่า เฝิงอวี้คือแม่ทัพของหยุนเจิง จี้เหมี่ยวจึงเริ่มรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย การได้พึ่งพิงแม่ทัพใหญ่ภายใต้บัญชาของหยุนเจิงก็นับว่าไม่เลว อย่างน้อยก็ถือว่ามีที่พึ่งพิงแล้วด้วยความสัมพันธ์นี้ บวกกับความดีที่เขามีในการยอมมอบเมืองให้ เขาก็ยังมั่นใจว่า ตระกูลจี้จะไม่ถึงขั้นล่มจม "ในเมื่อพวกเจ้าทั้งสองไม่มีข้อโต้แย้ง เรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้แล้วกัน!" หยุนเจิงหัวเราะเหอะๆ "เฝิงอวี้ ยังไม่ไปทักทายพ่อตาของเจ้าหรือ?" เฝิงอวี้รีบหันไปคำนับจี้เหมี่ยวและพูดว่า "ขอคำนับพ่อตาขอรับ!"
“รายงาน! รายงานด่วน! มีตั๊กแตนระบาดหนักในเป่ยหวน เป่ยหวนได้รวบรวมกำลังทหารม้าเหล็กจำนวนสองแสนนายที่ชายแดน ราชครูแห่งเป่ยหวนได้นำทัพด้วยตนเองมุ่งมาทางเมืองหลวงเพื่อขอเสบียง อีกไม่กี่วันก็จะมาถึงเมืองหลวงแล้วขอรับ!”“มาขอเสบียงต้องใช้กำลังพลทหารม้าเหล็กสองแสนนายเลยรึ เป่ยหวนสมควรตาย นี่มันกำลังข่มขู่ข้าชัดๆ!”“ฝ่าบาท ราชวงศ์ของเราเพิ่งประสบกับคดีที่องค์รัชทายาทกบฏ ภายในไม่มั่นคงเป็นอย่างยิ่ง เวลานี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเปิดศึกกับเป่ยหวนได้นะพ่ะย่ะค่ะ”“มีราชโองการ: ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ขุนนางในราชสำนักเร่งมาที่พระราชวังเพื่อประชุมด่วน หากผู้ใดล่าช้า มีโทษประหาร!”...ณ ที่พำนักขององค์ชายหก เรือนปี้ปัว ราชวงศ์ต้าเฉียน หยุนเจิ้งนั่งอยู่คนเดียวที่ศาลาในสวนแม้ว่าเขาจะยอมรับความจริงเรื่องทะลุมิติเวลามาได้แล้ว แต่ในใจยังคงรู้สึกหดหู่อยู่เล็กน้อยเหตุใดจึงทะลุมิติเวลามาอยู่ในร่างขององค์ชายที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้เล่า!ที่สำคัญคือ คนผู้นี้ยังบังเอิญได้รับจดหมายเลือดที่องค์รัชทายาททิ้งไว้เพื่อเปิดโปงเรื่ององค์ชายสามกล่าวหาว่าองค์รัชทายาทก่อกบฏ หลังจากนั้นก็ทำให้เขาถูกองค์ชายสามจับตามองอยู
ตอนมีชีวิตอยู่ก็คับอกคับใจมากอยู่แล้ว ยังจะตายอย่างคับอกคับใจอีก!“คนผู้นั้นไม่ได้ให้อันใดข้าเลยจริงๆ”หยุนเจิงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ข้าเดาว่าคนผู้นั้นถูกบีบบังคับจนไร้ทางเลือกแล้ว ถึงได้วิ่งเต้นมาหาข้าถึงที่เรือนนี้”หยุนลี่หรี่ตาพลางกล่าวเย้ยหยัน “เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่ออย่างนั้นหรือ?”หยุนเจิงแบมือสองข้างพลางกล่าว “ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ แต่ข้าเชื่อเช่นนั้น!”เมื่อเห็นท่าทางนี้ของหยุนเจิง นางกำนัลหลายคนก็ทำท่าทางเหมือนกับเห็นผีก็มิปานพระเจ้าช่วย!องค์ชายหกผู้อ่อนแอผู้นี้ช่างกล้ายิ่งนัก นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะกล้ากล่าววาจาเช่นนี้กับองค์ชายสามเมื่อวานเขาถูกองค์ชายสามตบหน้าฉาดใหญ่จนสมองเลอะเลือนไปแล้วกระมังเมื่อเห็นหยุนเจิงทำตัวแปลกไปเช่นนี้ สีหน้าของหยุนลี่พลันเคร่งขรึมลง เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า “นี่เจ้าดื้อรั้นจะไม่ยอมเอาของที่คนผู้นั้นให้เจ้าออกมาให้ข้าอย่างนั้นรึ?”“ก็ข้าไม่มี ข้าจะเอาให้เจ้าได้อย่างไรกันเล่า”หยุนเจิงยักไหล่ “เอาหล่ะ ข้ายังต้องไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ ไม่อยากฟังคำพูดไร้สาระของเจ้า! หากเจ้าคิดว่าข้ามีของที่เจ้าต้องการ เจ้าก็เรียกคนมาค้นหาเองเถอะ!”ขณะท
ภายในตำหนัก จักรพรรดิเหวินเรียกเหล่าขุนนางมารวมตัวกันด่วนเพื่อหารือรับมือเรื่องเป่ยหวนขอเสบียงอาหารณ ตอนนี้จักรพรรดิเหวินกำลังปวดเศียรเวียนเกล้าเป็นอย่างยิ่งหากมอบเสบียงให้เป่ยหวน ก็เท่ากับว่าสนับสนุนศัตรูของแคว้นต้าเฉียนแต่หากไม่มอบเสบียงให้ เป่ยหวนก็ไม่มีทางรอดในเหมันตฤดูที่จะมาถึง และต้องลงทางใต้เพื่อปล้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เมื่อถึงตอนนั้น ทางเหนือที่กำลังทำการฟื้นฟูมาเป็นเวลาหลายปี คงต้องเข้าสู่สงครามอันวุ่นวายอีกครั้งแคว้นต้าเฉียนเพิ่งจะประสบกับแผนการก่อกบฏขององค์รัชทายาท ศึกภายในยังไม่นิ่ง ตอนนี้หากต้องทำศึกกับเป่ยหวน โอกาสชนะมีน้อยมาก และแม้ว่าจะชนะ ก็เกรงว่าจะเป็นชัยชนะที่น่าสังเวชและในขณะที่จักรพรรดิเหวินกำลังปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่นั้น ฝ่ายสงครามกับฝ่ายสันติก็กำลังโต้เถียงกันอย่างไม่มีใครยอมใครอย่างไรก็ตาม ฝ่ายสันติมีความได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัดจักรพรรดิเหวินฟังการโต้เถียงนี้จนปวดเศียรเวียนเกล้า อีกทั้งยังไม่อาจได้และในตอนนี้เอง ซูเฟยร้องห่มร้องไห้เดินพรวดพราดเข้ามาโดยไม่สนการขัดขวางขององครักษ์ที่อยู่ด้านหน้าตำหนักแต่อย่างใดเลย “ฝ่าบาท ได้โปรดให้ควา
หากไม่หนีจะอยู่ทำหอกอันใดในวังหลวงล่ะ?หากอยู่ในวังหลวงต่อ ก็ต้องถูกฆ่าตายเป็นแน่!หนี!ต้องหนี!สายตาของจักรพรรดิเหวินดุดันขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชา จ้องมองหยุนเจิงพลางกล่าว “เจ้าลูกทรพี เหตุใดเจ้าถึงไม่พูด เราจะให้เจ้าพูด ให้โอกาสเจ้าอธิบาย!”หยุนเจิงรับกับความโกรธโค้งคำนับพลางกล่าว “ลูกไม่อยากอธิบายพ่ะย่ะค่ะ และไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายด้วย! ไม่ว่าอย่างไร ลูกก็บังอาจทำร้ายพี่สามเช่นนั้น ไปแล้ว! ลูกยอมรับโทษพ่ะย่ะค่ะ!”เมื่อได้ยอนคำพูดนี้ของหยุนเจิง สวีสือฝู่ก็อดที่จะทำเสียงเหอะๆ อยู่ในใจไม่ได้ สวะไร้ประโยชน์ก็ยังเป็นสวะไร้ประโยชน์อยู่วันยังค่ำ!ให้โอกาสไปแล้วก็ไม่ใช้ทว่า ต่อให้ให้โอกาสคนไร้ประโยชน์อธิบายมันก็ไร้ค่าอยู่ดี!เขาตัดสินใจอย่างแน่วแน่ให้จักรพรรดิเหวินถอดยศฐาบรรดาศักดิ์องค์ชายไร้ประโยชน์นี้ให้เป็นสามัญชนคนธรรมดาสวีสือฝู่ครุ่คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโค้งคำนับและกล่าวว่า “ฝ่าบาท ในเมื่อองค์ชายหกยอมรับโทษแล้ว โปรดฝ่าบาทลดยศฐาบรรดาศักดิ์องค์ชายหกเป็นสามัญชนคนธรรมดา เพื่อไม่ให้คนอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง!”“โปรดฝ่าบาทลดยศฐาบรรดาศักดิ์องค์ชายหกเป็นสามัญชนเพื่อไม่
เช่นนั้น ให้เริ่มที่หยุนเจิงเป็นคนแรกเลยก็แล้วกัน!คำพูดของหยุนเจิงทรงพลัง ดังก้องไปทั้งตำหนักเมื่อได้ยินคำพูดของหยุนเจิง ความเป็นวีรบุรุษก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นในใจของคนหลายคนแม่ทัพหลายคนไม่ได้สนิทมักคุ้นกับหยุนเจิง ยากมากที่จะได้รับความชื่นชมจากพวกเขาไม่นานนักหลายคนต่างเอ่ยปากกล่าวออกมาว่า“ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่า มีความเป็นไปได้สูงว่าเรากับเป่ยหวนจะเปิดศึกรบกัน! หากองค์ชายหกลงสนามออกรบด้วยตัวเอง จะเป็นการเพิ่มขวัญกำลังใจให้กองทัพได้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”“กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท! องค์ชายหกมีฐานะสูงศักดิ์ แต่ยังใจกล้าออกรบไม่กลัวตาย กระหม่อมเป็นชาวต้าเฉียน จะเสียดายชีวิตได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ?”“ได้โปรดฝ่าบาทอนุญาตองค์ชายหกด้วยพ่ะย่ะค่ะ เพื่อเป็นการเพิ่มขวัญกำลังให้ให้เหล่าทหาร!”ในขณะที่แม่ทัพกล่าวนั้น ก็มีเสียงสนับสนุนปรากฏขึ้นไม่น้อยโดยเฉพาะฝ่ายบู๊พวกเขาไม่ได้หวังว่าหยุนเจิงจะฆ่าศัตรูในสนาม แต่หยุนเจิงสามารถทำให้ขวัญกำลังของกองทัพแข็งแกร่งขึ้นได้จริงๆสำหรับทางเหนือที่อาจเปิดศึกสงครามได้ตลอดเวลานั้น เรื่องนี้เป็นข่าวดีอย่างไม่ต้องสงสัยเลยเมื่อได้ยินคำพูดนี้ขอ
ซูเฟยสีหน้าเปลี่ยนทันที รีบร้อนพูดขึ้นว่า “ฝ่าบาทเพคะ แม้ว่าลี่เออร์จะไม่เป็นไรมาก แต่…”“หุบปาก!”จักรพรรดิเหวินเบิกพระเนตรจ้องไปที่ซูเฟย “เจ้าหกนิสัยเช่นไร ขุนนางบู๊บุ๋นทั่วทั้งราชสำนักต่างรู้ดี! หากวันนี้ไม่ใช่ว่าเกิดเรื่อง เจ้าหกจะกล้าทำเช่นนี้กับเจ้าสามหรือ ข้าก็ไม่อยากไล่ถามถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้แล้ว เรื่องนี้จบเพียงเท่านี้!”ซูเฟยชะงักงัน ตอนนี้นางยิ้มไม่ออกแล้วจักรพรรดิเหวินปรามซูเฟยแล้วก็โบกพระหัตถ์ไปยังหยุนเจิงอย่างเหนื่อยล้า “แล้วเจ้าก็กลับไปขอโทษที่สามของเจ้าด้วย เรื่องนี้ก็ให้มันผ่านไปเช่นนี้เถอะ!”ซวยแล้ว!แสดงเกินบทบาท!หยุนเจิงค่อยๆ มองไปทางสวีสือฝู่กับซูเฟย หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสองพี่น้องนี้จะกระโดดขึ้นมาคัดค้านแม้ว่าสวีสือฝู่กับซูเฟยไม่กล้าดื้อดึงสุดขีดอีก แต่คำพูดของจักรพรรดิเหวินเมื่อครู่นี้ได้ตัดความคิดที่จะเรียกร้องให้จักรพรรดิเหวินลดหยุนเจิงเป็นเพียงสามัญชนแล้วจากนี้ย่อมมีโอกาสจัดการหยุนเจิง!พอหยุนเจิงเห็นว่าคาดหวังอะไรจากคนตัวดีสองคนนี้ไม่ได้เลย เขาจึงคุกเข่าลง “ตุ้บ“ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่มีพระทัยกว้างขวาง!”หยุนเจิงพูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “แต
สีหน้าของจี้เหมี่ยวเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่แล้วก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็วหลังจากที่เฝิงอวี้ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าของเขาก็แดงขึ้นเล็กน้อย เขาพยักหน้าและกล่าวว่า "งาม งามมาก!"หยุนเจิงยิ้มอย่างพอใจแล้วหันไปมองจี้เหมี่ยว "นี่คือเฝิงอวี้ เป็นแม่ทัพใหญ่ของข้า ข้าต้องการให้ท่านมอบบุตรีของท่านให้เขา เจ้าคิดว่าอย่างไร?" "ตามที่ท่านอ๋องต้องการ" จี้เหมี่ยวแม้จะรู้สึกผิดหวัง แต่ก็ไม่กล้าขัดขืน เขาเคยหวังว่า หยุนเจิงจะให้ความสนใจกับบุตรีของเขา ไม่คิดเลยว่า หยุนเจิงจะมอบบุตรีของเขาให้เฝิงอวี้โดยตรง แต่เมื่อคิดว่า เฝิงอวี้คือแม่ทัพของหยุนเจิง จี้เหมี่ยวจึงเริ่มรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย การได้พึ่งพิงแม่ทัพใหญ่ภายใต้บัญชาของหยุนเจิงก็นับว่าไม่เลว อย่างน้อยก็ถือว่ามีที่พึ่งพิงแล้วด้วยความสัมพันธ์นี้ บวกกับความดีที่เขามีในการยอมมอบเมืองให้ เขาก็ยังมั่นใจว่า ตระกูลจี้จะไม่ถึงขั้นล่มจม "ในเมื่อพวกเจ้าทั้งสองไม่มีข้อโต้แย้ง เรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้แล้วกัน!" หยุนเจิงหัวเราะเหอะๆ "เฝิงอวี้ ยังไม่ไปทักทายพ่อตาของเจ้าหรือ?" เฝิงอวี้รีบหันไปคำนับจี้เหมี่ยวและพูดว่า "ขอคำนับพ่อตาขอรับ!"
ดูแล้วอายุของจี้หย่าเอ๋อร์ไม่น่าจะมากนัก คาดว่านางน่าจะมีอายุประมาณยี่สิบต้นๆ หยวนซู่นี่จริงๆ แล้วก็เหมือนวัวแก่กินหญ้าอ่อน แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ใครให้เขาเป็นราชาโฉวฉือล่ะ?ไม่ต้องพูดถึงแค่สมัยโบราณ แม้แต่สมัยปัจจุบัน ถ้ามีเงินมีอำนาจ ก็มักจะมีการแต่งงานกับสาวรุ่นๆ เห็นหยุนเจิงจ้องมองไปที่จี้หย่าเอ๋อร์ จี้เหมี่ยวในใจรู้สึกดีใจทันที จึงรีบพูดแสดงความสุภาพ “ท่านอ๋อง จริงๆ แล้วบุตรีของข้าน้อยยังคงบริสุทธิ์อยู่...” “บริสุทธิ์?” หยุนเจิงมองไปที่จี้เหมี่ยวด้วยความประหลาดใจ นี่มันไม่จริงใช่ไหม? จี้หย่าเอ๋อร์ก็ถือว่าเป็นสาวงามคนหนึ่ง หยวนซู่ไม่ให้ความโปรดปรานนางหรือ? หรือว่า หยวนซู่ไม่สามารถทำได้แล้วหรือ? เห็นหยุนเจิงไม่เชื่อ จี้เหมี่ยวจึงรีบอธิบาย ความจริงแล้วจี้หย่าเอ๋อร์อายุไม่ถึงยี่สิบปี เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งอายุครบสิบแปดปี เดิมทีจี้หย่าเอ๋อร์จะถูกหมั้นกับหลานชายของขุนนางในราชสำนัก แต่เนื่องจากความบังเอิญ หยวนซู่ได้พบกับจี้หย่าเอ๋อร์ และจึงตัดสินใจแต่งตั้งนางเป็นสนมครอบครัวของจี้หย่าเอ๋อร์ไม่กล้าขัดขืน ต้องยอมรับตามที่หยวนซู่ต้องการ ผลก็คือ
“ขอรับ!” ตู๋กูเช่อรับคำทันที ไม่นาน ทหารม้าสามร้อยนายก็ขี่ม้าออกไป พุ่งตัวไปที่ประตูเมืองทันทีจนกระทั่งพวกเขามาถึงประตูเมือง ทหารที่อยู่บนกำแพงเมืองก็ยังไม่เริ่มโจมตี เมื่อแน่ใจว่าเหล่าศัตรูยอมแพ้จริงๆ หยุนเจิงจึงสั่งให้กองทัพหลักเริ่มเข้าสู่เมืองเพื่อเข้าควบคุมการป้องกันเมือง จนกระทั่งทหารจากกองทัพเหนือขึ้นไปยึดกำแพงเมืองและเริ่มควบคุมการป้องกันเมือง หยุนเจิงจึงนำผู้ติดตามเดินเข้าไปข้างหน้า เมื่อเห็นหยุนเจิงเดินมากับการล้อมรอบจากผู้ติดตาม คนในเมืองต่างก็กลัวและก้มตัวลงต่ำ แม้จะเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบหยุนเจิง แต่พวกเขาก็เกือบจะมั่นใจได้ทันทีว่าเป็นจิ้งเป่ยอ๋องหยุนเจิง หยุนเจิงเงยหน้าขึ้นมองคนที่คุกเข่าลงและกลัวกลัว “พวกเจ้าเปิดประตูเมืองและยอมแพ้ ข้าพอใจมาก! ต้าเฉียนเรามีแค่ประโยคเดียวว่า ผู้ที่รู้จักสถานการณ์เป็นคนที่มีความสามารถ! ลุกขึ้นเถิด!” “ขอบพระทัยท่านอ๋อง!” คนทั้งหลายกล่าวพร้อมกันและลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง เมื่อยืนขึ้นแล้ว จี้เหมี่ยวยังคงยกหัวหยวนซู่มาด้วยความเคารพและพูดว่า “นี่คือหัวหยวนซู่ ท่านอ๋องกรุณาตรวจสอบ” ทหารองครักษ์เดินเข้ามาข้างหน
หยุนเจิงและตู๋กูเช่อมาถึงแนวหน้าในทันที แม้ว่าพวกเขายังไม่ได้เข้าเมือง แต่ก็สามารถได้ยินเสียงความวุ่นวายที่ดังมาจากในเมืองอวี้เฟิง ศัตรูได้จุดไฟบนกำแพงเมืองเพื่อป้องกันพวกเขาโจมตีในเวลากลางคืน หยุนเจิงใช้ดวงตาพันลี้ สามารถเห็นความตื่นตระหนกของทหารบนกำแพงอย่างชัดเจน พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองอวี้เฟิง แต่ก็สามารถยืนยันได้ว่า การโจมตีในช่วงกลางวันของพวกเขาประสบผลสำเร็จ “มารดามันสิ อย่าทำให้พวกเขาต้องพ่ายแพ้ทั้งสองฝ่ายเลยนะ!” หยุนเจิงวางดวงตาพันลี้ลงและบ่นพึมพำ ฉินชีหู่ยิ้มเยาะเย้ยได้ใจ "พ่ายแพ้ทั้งสองฝ่ายนั่นแหละดี เช่นนั้น เราก็จะได้..." “จะได้บ้าอะไรล่ะ” ตู๋กูเช่อขัดคำพูดของฉินชีหู่ "ทั้งหมดนี้คือเชลยของพวกเรา! เมืองก็ของพวกเรา เสบียงและสมบัติก็ของพวกเรา คนในเมืองก็ของพวกเรา..." "ถูกต้อง!" หยุนเจิงพยักหน้าแรงๆ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโลภ "ของพวกเราทั้งหมด ล้วนเป็นของพวกเรา!" ฉินชีหู่เห็นหยุนเจิงและตู๋กูเช่อที่มีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล จึงรู้สึกงงงวย พวกศัตรูโกลาหล พวกเขายังต้องเป็นกังวลด้วยหรือ? ทว่า หากตามที่พวกเขาพูด มันก
“ฝ่าบาท กระหม่อมทำผิดสิ่งใดกัน?”ขุนนางฝ่ายบรรณาการคุกเข่าลงกับพื้นเสียงดังตึก "กระหม่อมทำทุกอย่างก็เพื่อฝ่าบาททั้งสิ้น..."“เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือ? เจ้าน่ะอยากบุกออกไปยอมจำนนใช่หรือไม่?” หยวนซู่ในสภาพเหมือนคนเสียสติ จ้องขุนนางคนนั้นตาเขม็ง “เจ้าคิดจะยอมแพ้? ข้าจะไม่มีวันให้โอกาสเจ้า!”พูดจบ หยวนซู่ก็เร่งองครักษ์ด้วยความโมโห “รีบลากขุนนางกบฏคนนี้ไปตัดหัวเดี๋ยวนี้!”ไม่ว่าขุนนางคนนั้นจะวิงวอนอย่างไร หยวนซู่ก็ไม่ไหวติงเมื่อเห็นว่าการวิงวอนไม่เป็นผล ขุนนางคนนั้นก็ระเบิดความโกรธออกมา ปล่อยให้องครักษ์ลากตัวเขาออกไปพลางตะโกนด่าทอเสียงดัง “หยวนซู่! ไอ้ราชาหน้าโง่! เจ้าตายอย่างสงบไม่ได้แน่! ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่ปรโลก...”หยวนซู่โกรธจนคุมตัวเองไม่อยู่ พุ่งลงมาจากบัลลังก์ วิ่งออกจากท้องพระโรงพร้อมตะโกนสั่งองครักษ์เสียงดัง “จับกบฏคนนี้มาประหารแบบม้าลากแยกร่าง! ข้าจะให้มันตายโดยไม่มีชิ้นดี!!!”เมื่อเห็นหยวนซู่ที่แทบจะเสียสติ ขุนนางจำนวนไม่น้อยต่างก็รู้สึกหวาดผวาในใจไม่มีใครรู้ว่าคำพูดไหนของตัวเองอาจไปกระตุ้นความโกรธของหยวนซู่ที่เกือบจะคลุ้มคลั่งไม่มีใครรู้ว่าตัวเองจะกลายเป็นคนต่อไปที่ถูก
ข่าวจากฝ่ายทหารป้องกันเมืองถูกส่งมาถึงราชสำนักอย่างรวดเร็วในขณะนี้ หยวนซู่และเหล่าขุนนางแห่งโฉวฉือกำลังประชุมหารือหาทางแก้ไขขุนนางในราชสำนักตอนนี้เหลือน้อยลงไปเกือบครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้บางส่วนหลบหนีไปพร้อมครอบครัวก่อนที่กองทหารมณฑลเหนือจะเข้าปิดล้อมเมือง บางส่วนถูกหยวนซู่ประหารด้วยข้อหาก่อกบฏ และอีกบางส่วนเพียงแค่โชคร้ายถูกหยวนซู่จับผิดในยามอารมณ์เสีย จึงถูกส่งตัวเข้าคุกแล้!เมื่อเผชิญกับการล้อมเมืองของกองทหารมณฑลเหนือ หยวนซู่และขุนนางแห่งโฉวฉือต่างก็หวาดกลัวและเมื่อได้รับข่าวจากทหารป้องกันเมืองเพิ่มเติม บรรยากาศแห่งความตื่นตระหนกก็ปกคลุมไปทั่วราชสำนัก“จะทำอย่างไรดี จะทำอย่างไรดี...”สีหน้าของหยวนซู่ดูแย่มาก สภาพจิตใจก็ไม่ปกติ บางครั้งดูหดหู่ บางครั้งก็เหมือนคนเสียสติตอนนี้ หยวนซู่พึมพำเหมือนคนเสียสติอีกครั้งหลายวันมานี้ หยวนซู่นอนไม่หลับทั้งคืน ทุกวันเขาใช้ชีวิตด้วยความหวาดระแวง กลัวว่าจะถูกคนในเมืองตัดหัวไปถวายหยุนเจิงเพื่อแลกกับรางวัลหยวนซู่ไม่รู้เลยว่าตัวเองสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายมากี่ครั้งแล้วเขาเคยฝันถึงการที่ตัวเองถูกหยวนเว่ยลูกชายแท้ๆ ของเขาตัดหัว
"ยิง!"พร้อมกับคำสั่งเสียงดัง พลทหารคนหนึ่งดึงเชือกปล่อยกลไกของเครื่องยิงหินด้วยแรงเต็มที่ชั่วพริบตา ด้านหนึ่งของเครื่องยิงหินเหวี่ยงลงอย่างแรง ส่งก้อนหินขนาดเกือบ 70 ชั่งพุ่งตรงไปยังเครื่องยิงหินบนกำแพงเมืองเมื่อเถียนถงเห็นก้อนหินที่พุ่งเข้ามา สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที"ถอยไป! รีบถอยออกไป!"เถียนถงตะโกนสุดเสียง สั่งให้ทหารรอบเครื่องยิงหินถอยออกไปในขณะที่ทหารต่างแตกตื่นวิ่งหนี ก้อนหินขนาดใหญ่ก็พุ่งลงมาด้วยแรงมหาศาลทว่า เนื่องจากมุมยิงคลาดเคลื่อนเล็กน้อย ก้อนหินจึงไม่ได้พุ่งโดนเครื่องยิงหินบนกำแพง แต่กลับพุ่งใส่ทหารผู้หนึ่งที่กำลังหนีตายจนเสียชีวิตทันที พร้อมทั้งสร้างหลุมลึกไว้บนพื้นของกำแพงเมื่อเห็นเพื่อนทหารเสียชีวิตอย่างสยดสยอง สีหน้าของเหล่าทหารป้องกันเมืองก็ซีดเผือดไม่มีใครคาดคิดว่าเครื่องยิงหินของศัตรูจะยิงมาถึงระยะไกลขนาดนี้ในขณะที่พวกเขากำลังตะลึงงัน ทหารกองทหารมณฑลเหนือก็เริ่มปรับมุมของเครื่องยิงหินเพียงชั่วครู่ ก้อนหินก้อนใหญ่อีกก้อนก็พุ่งลงมาอย่างรุนแรงครั้งนี้ ก้อนหินก้อนนั้นพุ่งโดนเครื่องยิงหินบนกำแพงเมืองอย่างแม่นยำ"ตูม..."เสียงระเบิดดังลั่น ตามมา
ภายใต้การเร่งรัดของตู๋กูเช่อ เพียงเวลาแค่วันกว่าๆ เครื่องยิงหินสองเครื่องก็สร้างเสร็จกลุ่มของเติ่งเป่าที่มาด้วย หลายคนเคยมีประสบการณ์สร้างเครื่องยิงหินมาก่อน เครื่องยิงหินที่สร้างในครั้งนี้มีขนาดใหญ่กว่า และดูเหมือนจะยิงได้ไกลกว่าหลังจากทดลองยิงอย่างง่าย พวกเขาก็พอจะเข้าใจระยะยิงและพลังของเครื่องยิงหินเมื่อเทียบกับเครื่องยิงหินที่สร้างในสมรภูมิแม่น้ำซัวเล่ยหยวน ถือว่ามีความก้าวหน้าไม่น้อยสามารถยิงก้อนหินที่มีน้ำหนักประมาณ 60-70 ชั่ง ไปได้ไกลราวๆ 300 เมตรระยะยิงนี้สำหรับเครื่องยิงหินบนกำแพงเมืองอวี้เฟิงแล้ว ถือเป็นฝันร้าย"ดันขึ้นไป แล้วเริ่มทุบได้เลย!"หยุนเจิงที่รอจนทนไม่ไหวแล้ว ออกคำสั่งทันทีทันทีที่คำสั่งของหยุนเจิงถูกส่งออกไป ทหารจำนวนมากก็เริ่มดันเครื่องยิงหินเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้าๆเมื่อเห็นเครื่องยิงหินที่กองทหารมณฑลเหนือดันเข้ามา ทหารป้องกันเมืองอวี้เฟิงก็เริ่มลนลานแม่ทัพเถียนถงที่ป้องกันเมืองเห็นทหารรอบๆ แสดงความหวาดกลัวออกมา ก็รีบตะโกนว่า "กลัวอะไรกัน! ศัตรูมีเครื่องยิงหินแค่สองเครื่องเท่านั้น เรามีเครื่องยิงหินอยู่บนกำแพงตั้งเยอะ ยังจะไปกลัวเครื่องยิงหินแ
รวมกับกำลังพลของพวกเขาเองแล้ว การระดมทหารเจ็ดถึงแปดหมื่นพร้อมแรงงานชาวบ้านน่าจะเป็นไปได้เมื่อถึงตอนนั้น การประกาศว่าเป็นกองทัพแสนหนึ่งพร้อมบุกกดดันชนเผ่าโม่ซี น่าจะสร้างความกดดันได้ไม่น้อยคงต้องดูปฏิกิริยาของชนเผ่าโม่ซีก่อนในเวลานี้ ถ้าเลี่ยงการโจมตีได้ เขาก็จะไม่เลือกโจมตีอย่างแน่นอนพวกเขาเพิ่งตีโฉวฉือได้ และจับเชลยศึกได้มากมาย ย่อมต้องใช้เวลาเพื่อจัดการความยุ่งเหยิงนี้รอให้จัดการกองงานยุ่งเหยิงพวกนี้ให้เสร็จสิ้นเสียก่อน อย่าว่าแต่เปิดศึกเลย แค่พวกเขาขยับตัวนิดหน่อย ชนเผ่าโม่ซีก็คงต้องตัวสั่นงันงกแล้ว...สองวันต่อมา หยุนเจิงเดินทางถึงนอกเมืองอวี้เฟิง โดยมีกองทหารองครักษ์และทหารม้าชั้นยอดสองพันนายคุ้มกัน และได้พบกับตู๋กูเช่อระหว่างทาง พวกเขาเจอเข้ากับกองกำลังต่อต้านขนาดเล็กแต่กองทหารองครักษ์ของหยุนเจิงไม่ได้ลงมือเลย ทหารม้าชั้นยอดเพียงสองพันนายก็สามารถกำจัดกองกำลังต่อต้านนี้ได้หมดหลังจากทักทายกันสั้นๆ ตู๋กูเช่อก็เริ่มรายงานสถานการณ์ปัจจุบันให้หยุนเจิงฟังในตอนนี้ กองกำลังป้องกันเมืองอวี้เฟิงที่เป็นทหารจริงๆ มีอยู่ประมาณสองหมื่นนายทหารสองหมื่นนายนี้ประกอบด้วยคนที่หย