ในตอนกลางคืน หยุนเจิงตั้งใจที่จะลงโทษเมี่ยวอินในพระตำหนักของหยวนซู่อย่างหนัก แต่น่าเสียดาย ที่มีคนมาหาเขาเพื่อรายงานเรื่องต่างๆ อยู่เรื่อยๆ เขาจึงต้องระงับเรื่องการลงโทษเมี่ยวอินเอาไว้ชั่วคราวอย่างไม่มีทางเลือก จนกระทั่งเกือบถึงรุ่งเช้า ตู๋กูเช่อก็ได้มาหาเขา ไฟใหญ่ในเมืองทั้งหมดถูกดับลงแล้ว พวกเขาได้เข้าควบคุมการป้องกันเมืองอย่างสมบูรณ์ ทหารที่ยอมจำนนส่วนใหญ่ถูกยึดอาวุธและเกราะ และถูกควบคุมดูแลรวมกันไว้พวกเขายังได้สอบปากคำทหารพิทักษ์พระราชวังที่ยอมจำนนและรายละเอียดทั้งหมดระหว่างสังหารหยวนซู่ การสังหารหยวนซู่ ความดีใหญ่ที่สุดยังคงเป็นของจี้เหมี่ยว เหยาชั่ว ซาติงสามคนนี้ เหยาชั่วและซาติงใช้โอกาสที่หยวนซู่หลับ โดยการอุดหายใจจนหยวนซู่ตาย จากนั้นเหยาชั่วก็สั่งการแทนหยวนซู่ และย้ายทหารพิทักษ์พระราชวังส่วนใหญ่ไปจับกุมเถียนถงที่ดูแลเมือง แล้วมอบหมายให้คนของจี้เหมี่ยว มาทำหน้าที่แทน จากนั้นใช้ชื่อของหยวนซู่ในการเรียกประชุมขุนนาง และใช้โอกาสนี้ในการฆ่าขุนนางที่ไม่ยอมจำนน แต่ว่าขุนนางเหล่านั้นไม่ได้ยอมให้ถูกฆ่าอย่างง่ายดาย พวกเขาต่อสู้กลับ หลังจากนั้นในเมืองก็เกิดการจลา
“เจ้าก็เลิกประจบข้าเถอะ” หยุนเจิงส่ายหน้ายิ้ม ก่อนสั่งว่า “กลับไปให้แต่ละแผนกจัดทำสถิติคร่าวๆ ดูว่ามีกำลังพลที่ยังไม่ได้แต่งงานและสร้างครอบครัวเท่าไหร่ คนที่เหลือไว้เพื่อรักษาความสงบต้องเน้นที่ยังไม่ได้สร้างครอบครัวเป็นหลัก…” คนเหล่านี้สามารถแต่งงานกับหญิงสาวแห่งโฉวฉือได้ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาชีวิตคู่ของพวกเขา และยังช่วยเร่งการผสมผสานระหว่างชนเผ่า อีกข้อหนึ่งคือ ทหารที่ถูกทิ้งไว้ที่นี่ ต้องมีบ้านอยู่ในซั่วเป่ย อย่างน้อยต้องมีพ่อแม่หรือพี่น้องที่บ้าน ไม่ใช่ตัวคนเดียว นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะพวกเขากำลังจะแต่งงานกับหญิงสาวจากแคว้นที่พวกเขาพึ่งทำลาย พวกเขาต้องทำให้ทหารเหล่านี้มีสิ่งที่ต้องพะวง ไม่เช่นนั้นอาจถูกคำพูดสตรีเคียงหมอนเป่าจนหลงผิดได้ อย่างไรก็ตาม หยุนเจิงยังคงยึดถือกฎเดิม การสร้างครอบครัวและตั้งหลักปักฐานนั้นทำได้ แต่ต้องแต่งงานด้วยการสู่ขอตามประเพณีอย่างถูกต้อง ห้ามไม่ให้ใครกระทำการผิดศีลธรรมเด็ดขาด หากกล้าทำ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าจะมีความดีความชอบมากแค่ไหน จะต้องถูกประหารสถานเดียว การพิชิตดินแดนแห่งนี้เป็นเพียงก้าวแรก การปกครองดินแดนนี้ใ
สองวันให้หลัง หยุนเจิงมอบหมายให้ตู๋กูเช่อจัดการงานที่เหลือ แล้วนำทัพ 80,000 นาย ซึ่งกล่าวอ้างว่าเป็น 100,000 นาย มุ่งหน้าสู่ป้อมซิ่งอัน บริเวณชายแดนตอนใต้ของโฉวฉือ ในกองทัพ 80,000 นายนี้ มีเพียง 20,000 นายที่เป็นกำลังจากกองทหารมณฑณทางเหนือ อีก 20,000 นายคือกองทัพบริวารที่ขยายกำลังขึ้นโดยใช้โครงสร้างจากกลุ่มของต่งกัง สิ่งนี้ต้องขอบคุณตู๋กูเช่อที่ก่อนหน้านี้โจมตีอย่างรวดเร็วใส่กองทัพใหญ่ของโหลวอี้ และยึดอาวุธและเกราะมาได้ไม่น้อย ไม่เช่นนั้น คงเป็นเรื่องยากที่จะระดมกำลังกองทัพบริวาร 20,000 นายนี้ได้ ส่วนอีก 40,000 คนล้วนเป็นแรงงานที่คอยขนส่งเสบียงและของใช้อย่างไรก็ตาม แรงงานเหล่านี้ล้วนเป็นชายฉกรรจ์ ในยามจำเป็น สามารถดึงชายฉกรรจ์เหล่านี้มาเสริมกำลังในกองทัพได้ทันที หยวนเว่ย ซึ่งเดิมถูกหยวนซู่จับขังคุก ก็ถูกหยุนเจิงพาตัวมาด้วย ตามที่จี้เหมี่ยวกล่าว ผู้บัญชาการป้อมซิ่งอัน หลี่เหวินโจว เป็นคนสนิทของหยวนเว่ย หวังว่าหลี่เหวินโจวจะรู้ความ และไม่ทำให้พวกเขาต้องใช้กำลัง หลังจากออกจากเมืองอวี้เฟิง หยุนเจิงสั่งการให้ฉินชีหู่นำกองทหารม้า 2,000 นาย คุมตัวหยวนเว่ยไปพบกับหลู
อย่างไรก็ตาม กำแพงของป้อมซิ่งอันค่อนข้างเรียบง่าย กำแพงลักษณะนี้ ด้านนอกเป็นหิน ด้านในอัดด้วยดินอัดแน่น ดูคล้ายขนมปังกรอบไส้ใน ป้อมซิ่งอันไม่ได้ใหญ่โตมาก สามารถรองรับกองกำลังทหารประมาณห้าถึงหกพันนายก็ถือว่าเต็มที่แล้ว เมื่อหยุนเจิงนำกองทัพมาถึง ฉินชีหู่ก็นำคนออกมาต้อนรับทันที “เสบียงแห้งเตรียมพร้อมหรือยัง?” ทันทีที่เห็นฉินชีหู่ หยุนเจิงก็ถามขึ้น “เตรียมพร้อมแล้ว!” ฉินชีหู่กล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “รอเพียงพวกเจ้าพักฟื้นเสร็จ เราก็สามารถเคลื่อนพลได้!” “ดีมาก!” หยุนเจิงยิ้มอย่างพอใจ “ให้กองทัพพักฟื้นหนึ่งวัน เช้าหลังจากวันพรุ่งนี้ เจ้านำกองทหารโลหิตร่วมกับกองของเติ่งเป่าเคลื่อนพล จงสร้างความโกลาหลให้ใหญ่เข้าไว้ ให้ชนเผ่าโม่ซีรู้ว่าเราบุกมาแล้ว!” แม้ว่ากองทหารโลหิตจะไม่เหมาะกับการเดินทางไกล แต่จำเป็นต้องส่งไป ต้องให้ชนเผ่าโม่ซีได้เห็นกำลังพลทหารม้าหนักแห่งต้าเฉียน! แสดงให้พวกเขาเห็นก่อนสักสองพันนาย! ส่วนจำนวนทหารม้าหนักที่แท้จริง มีเท่าไหร่นั้น ปล่อยให้ชนเผ่าโม่ซีเดาเอาเอง! ฉินชีหู่ขยับเข้าใกล้เล็กน้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “น้องชาย ข้าคิดว่าครั้งน
หยุนเจิงเป็นคนทำงานรวดเร็วฉับไว ในวันเดียวกัน หยุนเจิงก็สั่งขยายป้อมซิ่งอันทันที เนื่องจากวัสดุในพื้นที่มีจำกัด หยุนเจิงจึงสั่งให้สร้างกำแพงโดยใช้วิธีเดียวกับการสร้างกำแพงของป้อมซิ่งอัน ให้สร้างกำแพงรอบนอกก่อน แล้วค่อยปรับปรุงด้านในทีหลัง แรงงานพลเรือน 40,000 คน และผู้ลี้ภัยที่ติดตามมาคือกำลังสำคัญในการสร้างกำแพง หยุนเจิงมอบหน้าที่ขยายป้อมซิ่งอันให้หลี่เหวินโจว พร้อมส่งทหาร 5,000 นายของเขาเป็นผู้ควบคุมงาน เช้าตรู่ของวันถัดมา บริเวณรอบนอกของป้อมซิ่งอันก็เริ่มคึกคัก บางคนขนหิน บางคนขนดิน และบางคนเริ่มสร้างโรงงานชั่วคราวเพื่อเตรียมการก่อสร้างกำแพง หยุนเจิงพอใจกับประสิทธิภาพการทำงานของหลี่เหวินโจวมาก พอตกบ่าย ภูตเก้าก็ส่งคนกลับมารายงาน พวกเขาแอบลอบเข้าไปในป้อมยามแนวหน้าแห่งหนึ่ง และได้ยินจากการสนทนาของทหารในป้อมโดยบังเอิญว่า กำลังพลทั้งหมดของปู้วั่งต๋า รวมถึงสองป้อมยามแนวหน้ามีเพียง 3,000 นายเท่านั้น! การป้องกันของศัตรูค่อนข้างหละหลวม ดูเหมือนจะคิดว่าโฉวฉือไม่กล้าบุกชนเผ่าโม่ซี หากไม่กลัวว่าจะทำให้ศัตรูระแวง พวกเขาก็สามารถจัดการทหารในสองป้อมยามแนวหน้าได้
หากศัตรูถูกสกัดอยู่ในโกบีแห่งนี้เป็นเวลานาน คงไม่สามารถต้านทานได้นานนัก “ฝ่าบาท หากวันหน้าพวกเราจะบุกชนเผ่าโม่ซีจากเส้นทางนี้ คงไม่ใช่เรื่องง่าย!” หลูซิ่งเงยหน้ามองรอบด้าน พลางพูดกับหยุนเจิงด้วยความกังวล “ย่อมไม่ง่ายอยู่แล้ว” หยุนเจิงพยักหน้า “ปัญหาใหญ่ที่สุดคือน้ำ! หากบุกด้วยทหารราบยังพอไหว แต่หากเป็นกองทัพม้าคงต้องใช้รถบรรทุกน้ำจำนวนมาก...” “ข้าว่า พวกเจ้ากังวลเกินไปแล้ว” ฉินชีหู่พูดพลางตบปากตัวเอง “ที่นี่คงไม่ถึงกับไม่มีฝนตกทั้งปีหรอกใช่ไหม? รอให้ฝนตก พื้นที่นี้ก็น่าจะมีน้ำขังให้ใช้ แบบนั้นก็ค่อยบุกโจมตีก็ได้!” “……” เมื่อได้ยินคำพูดของฉินชีหู่ ทั้งสองคนถึงกับชะงักไป เหมือนจะ...จริงอย่างที่พูด! “ดูเหมือนพวกเราจะคิดมากเกินไปแล้ว!” หยุนเจิงหัวเราะเสียงดัง ความคิดพลันโล่งโปร่งขึ้นทันที ฉินชีหู่พูดถูก ถึงแม้ว่าฝนจะตกน้อย แต่ก็คงไม่ถึงกับไม่มีฝนทั้งปี ต่อให้ปีนี้ไม่มีฝนตก ก็ยังสามารถหวังพึ่งฝนในปีหน้าได้ อย่างไรก็ต้องมีช่วงเวลาที่ฝนตก! ตราบใดที่ชนเผ่าโม่ซีถอนกำลัง ในช่วงระยะสั้นพวกเขาก็คงไม่สามารถบุกโจมตีชนเผ่าโม่ซีครั้งใหญ่ได้ อืม ก็หวัง
ภายใต้แสงอาทิตย์ยามอัสดง ป้อมปู้วั่งต๋าถูกปกคลุมด้วยแสงสีทอง ภายใต้แสงสีทองนั้น ควันไฟจากการหุงหาอาหารลอยขึ้นในป้อม นั่นคือเหล่าทหารในป้อมปู้วั่งต๋ากำลังจุดไฟทำอาหาร ทหารในป้อมปู้วั่งต๋ายังคงมีท่าทีเกียจคร้านเหมือนเช่นเคย ก็โทษพวกเขาไม่ได้ เพราะทหารเหล่านี้ส่วนใหญ่ประจำการอยู่ที่ป้อมนี้มากว่าสิบปีแล้ว เป้าหมายของป้อมปู้วั่งต๋า มีเพียงโฉวฉือ แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา โฉวฉือไม่เคยส่งทหารข้ามโกบีใหญ่มาเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการโจมตี ผู้ที่ข้ามโกบีใหญ่มา ล้วนเป็นพ่อค้าที่สัญจรไปมาระหว่างโฉวฉือกับเผ่าต่างๆ แห่งแคว้นม่อซี อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่สองเดือนก่อน โฉวฉือได้ปิดพรมแดน ได้ยินว่าโฉวฉือดูเหมือนกำลังจะทำสงครามกับแคว้นต้าเย่ว์ โฉวฉือกังวลว่าในระหว่างที่ทำศึกกับแคว้นต้าเย่ว์ ชนเผ่าโม่ซีจะฉวยโอกาสโจมตีป้อมซิ่งอัน จึงได้ปิดพรมแดน ที่ผ่านมา เมื่อมีพ่อค้าเดินทางผ่าน พวกเขาก็ได้ประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ จากพ่อค้าเหล่านั้น บางครั้งก็เป็นทรัพย์สินทองเงิน บางครั้งก็เป็นของกินที่ถวายให้ อย่างไรก็ดี ทุกครั้งที่มีพ่อค้าเดินผ่าน พวกเขาจะได้รับผลประโยชน์เสมอ ตอนนี้โฉวฉือป
กองทหารม้า! กองทหารม้าจำนวนมหาศาล! มองไปไกลสุดสายตาก็ไม่เห็นจุดสิ้นสุด ตอนนี้ กองทหารม้าศัตรูบุกมาถึงระยะไม่ถึงสองร้อยเมตรจากกำแพงป้อมแล้ว เขาเห็นชุดเกราะและธงรบของศัตรูอย่างชัดเจน นี่มันกองทหารม้าของต้าเฉียนจริงๆ! ต๋าจ้านยืนนิ่งมองกองทหารม้าต้าเฉียนที่บุกเข้ามาด้วยความฮึกเหิมจนลืมแม้แต่จะสั่งการป้องกัน จนกระทั่งลูกธนูพุ่งผ่านข้างหูของเขาไป เขาถึงเหมือนตื่นจากฝัน “เร็ว เข้าไปป้องกันจุดที่พัง! ตั้งแนวป้องกัน! ตั้งแนวป้องกัน!” ต๋าจ้านตะโกนจนสุดเสียง แต่ก็ไร้ความหมายใดๆ “ตั๊งๆๆ……” เสียงระฆังเตือนภัยดังสนั่นไม่หยุด ทหารในป้อมปู้ต๋าวั่งพยายามตั้งแนวป้องกันอย่างสับสน แต่ก่อนจะตั้งแนวเสร็จ ฝนลูกธนูก็พุ่งเข้ามา ถัดมา กองทหารม้าต้าเฉียนบุกทะลุช่องกำแพงเข้ามา สังหารทหารป้อมเหมือนฟันผลไม้ “หนีเร็ว!” “หนีเร็วเข้า!” “ช่วยด้วย ช่วยด้วย…” ขวัญกำลังใจของทหารป้อมปู้วั่งต๋าถูกทำลายแทบจะในทันที มีเพียงไม่กี่คนที่ยังต้านไว้สุดชีวิต แต่ส่วนใหญ่เหมือนแมลงวันไร้หัว วิ่งหนีอย่างอลหม่าน ตั้งแต่วินาทีที่กองทหารม้าต้าเฉียนปรากฏตัว พวกเขาก็พ่ายแพ้โดยสิ้นเชิ
หญิงสาวนิ่งเงียบ ทำอย่างไรดี? นางเองก็อยากหาคนมาปรึกษา ว่าควรทำเช่นไรในสถานการณ์นี้ แต่เวลานี้… เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดสามารถให้คำตอบแก่นางได้ ไม่นึกเลยว่า… แผนการที่นางวางมาอย่างรอบคอบมายาวนาน กลับจะพังทลายลงในมือของหยุนลี่! เฮ้อ! นางทอดถอนใจยาวในใจ แต่ในดวงตากลับปรากฏประกายเย็นยะเยือก "ไม่ว่าอย่างไร… ฮั่วเหวินจิ้งต้องไม่มีชีวิตรอดไปถึงมือหยุนเจิง! หากไร้ซึ่งความกังวลเรื่องครอบครัว ฮั่วเหวินจิ้งจะต้องเปิดโปงเราทั้งหมดแน่!" นางรู้ดีว่าฮั่วเหวินจิ้งกำลังกังวลสิ่งใด สิ่งที่ฮั่วเหวินจิ้งกังวลที่สุดในตอนนี้ คือความปลอดภัยของครอบครัว เขาจึงไม่กล้าเปิดโปงนางออกไป แต่หากครอบครัวของฮั่วเหวินจิ้งถูกส่งไปถึงมือหยุนเจิงอย่างปลอดภัย เช่นนั้น เขาย่อมไม่มีเหตุผลใดให้ปิดปากอีกต่อไป! ระหว่างหยุนลี่กับหยุนเจิง นางเกรงกลัวหยุนเจิงมากกว่า เพราะหยุนเจิงคือผู้กุมอำนาจกองทัพ… หากหยุนเจิงรู้ว่า ผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้คือตัวนางเอง เช่นนั้น… นางคงหนีไม่พ้นความตาย! ไม่ใช่แค่หยุนเจิง… แม้แต่หยุนลี่ หรือแม้กระทั่งองค์จักรพรรดิ… ก็คงไม่ปล่อยนางไปเช่นกัน! เมื่อได้ยินเช่
สองวันต่อมา หยุนลี่ได้รับจดหมายตอบกลับจากหยุนเจิง เมื่อมองเนื้อหาในจดหมาย หยุนลี่แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง เขาถึงกับขยี้ตาหลายรอบ กลัวว่าตัวเองจะมองผิดไป ตกลงแล้ว! เจ้าหกสุนัขชั่วนั่นตอบตกลงจริงๆ! หยุนเจิงยอมจ่ายเงิน หนึ่งล้านสองแสนตำลึง พร้อมกับส่งตัวหยางหุยโจว เพื่อแลกกับอิสรภาพของฮั่วเหวินจิ้งและครอบครัวทั้งสิบสามชีวิต ท้ายจดหมาย หยุนเจิงยังกล่าวข่มขู่ หากครอบครัวฮั่วเหวินจิ้งมีอันเป็นไป อย่าได้โทษว่าเขาไม่ไว้หน้า! "ฮ่าๆๆ!" เมื่อแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้อ่านผิดไป หยุนลี่ถึงกับหัวเราะลั่น หนึ่งล้านสองแสนตำลึง แม้จะยังไม่เทียบเท่ากับจำนวนเงินที่เขาเคยถูกหยุนเจิงโกงไป แต่หนึ่งล้านสองแสนตำลึงก็เป็นเงินจำนวนไม่น้อย สำหรับเขาแล้ว นี่มีความหมายไม่น้อยนี่เป็นครั้งแรกที่เขาสามารถหลอกเอาเงินจากหยุนเจิงได้! และครั้งแรกนี้ก็เล่นไปถึง หนึ่งล้านสองแสนตำลึง! จะไม่ให้เขาดีใจได้อย่างไร!? ปากของฮั่วเหวินจิ้งแข็งเกินไป หากฆ่าฮั่วเหวินจิ้งทิ้งเพียงเพราะความโกรธ ก็มีแต่เสียเปล่า แต่ถ้าใช้เขามารีดเงินจากเจ้าหกได้… ไม่ใช่ว่าเป็นประโยชน์กว่าหรือ!? คิดไม่ถึงว่า มันสำเร
เมื่อหยุนเจิงกล่าวจบ ก็เล่าถึงข้อสันนิษฐานของตนให้เสิ่นควานฟัง นอกจากเหตุผลนี้แล้ว เขาก็นึกไม่ออกถึงสาเหตุอื่นเลย หยุนลี่คงไม่ถึงกับยากจนขนาดจับใครมาเรียกค่าไถ่จากเขาโดยไม่มีเหตุผลหรอกใช่ไหม? หากมีสิ่งผิดปกติ ย่อมต้องมีเงื่อนงำซ่อนอยู่! เมื่อได้ฟังคำพูดของหยุนเจิง เสิ่นควานก็อดไม่ได้ที่จะครุ่นคิด ว่ากันตามตรง ข้อสันนิษฐานของฝ่าบาทก็มีความเป็นไปได้อยู่มาก ฝ่าบาทจับตัวคนของหยุนลี่ แล้วเรียกค่าไถ่ หยุนลี่ก็ทำตามแบบเดียวกัน จับตัวคนที่เขาคิดว่าเป็นสายของฝ่าบาท แล้วเรียกค่าไถ่บ้าง? หรือว่านี่จะเป็นการใช้วิธีของศัตรูมาตอบโต้ศัตรูแบบที่ฝ่าบาทเคยพูดสินะ? “กราบทูลฝ่าบาท แม่ทัพอวี่ชื่อจงส่งสาสน์เร่งด่วนมา!” ในขณะนั้นเอง กองทหารองครักษ์นายหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน พร้อมถือจดหมายฉบับหนึ่งไว้ในมือ สาสน์ด่วนจากอวี่ชื่อจง? หรือว่าเจ้าสามคิดลงมือแล้ว!? เจ้าสามคงไม่บ้าถึงขั้นเปิดศึกในเวลานี้หรอกกระมัง? “นำมานี่!” หยุนเจิงรีบให้เสิ่นควานรับจดหมายมา เมื่อได้รับจดหมายจากเสิ่นควาน หยุนเจิงก็เปิดอ่านอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเห็นเนื้อหาในจดหมาย สีหน้าของเขากลั
อุทยานบุปผาหลวง หลังจากการประชุมเช้าเสร็จสิ้น จักรพรรดิเหวินรับสั่งให้คนไปแจ้งหยุนลี่ ให้มาเดินเล่นเป็นเพื่อน บิดาและบุตรก้าวเดินไปข้างหน้า ขณะที่มู่ชุ่นและขุนนางติดตามคนอื่นๆ จงใจเว้นระยะห่างออกไป "ฮั่วเหวินจิ้งยังไม่ยอมเปิดปากรึ?" จักรพรรดิเหวินทรงไขว้พระหัตถ์ไว้เบื้องหลัง ตรัสถามด้วยพระพักตร์เคร่งขรึม "ยังพ่ะย่ะค่ะ" หยุนลี่ส่ายศีรษะเบาๆ "ฮั่วเหวินจิ้งไม่กลัวทั้งไม้อ่อนและไม้แข็ง ยืนกรานไม่ยอมเปิดเผยรายชื่อพรรคพวก" จักรพรรดิเหวินตรัส "ในเมื่อฮั่วเหวินจิ้งไม่ยอมพูด เช่นนั้นก็เปลี่ยนวิธีเถิด!" เปลี่ยนวิธี? หยุนลี่มองจักรพรรดิเหวินด้วยความฉงน "เสด็จพ่อทรงมีแผนใด?" "แผนการวิเศษอะไรนั้นไม่มี มีแค่แผนโง่ๆ แผนหนึ่ง" จักรพรรดิเหวินแย้มสรวล "เจ้าหกไม่เคยเล่นงานเจ้ารึ? เช่นนั้นเจ้าก็เอาฮั่วเหวินจิ้งมาเล่นงานเขาบ้างสิ! ให้เขานำเงินมาไถ่ตัวฮั่วเหวินจิ้งและครอบครัวของเขา!" อืม? หยุนลี่ได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวินเช่นนั้น พลันเกิดประกายความคิด สามารถทำเช่นนี้ได้ด้วยรึ? "แผนนี้ของเสด็จพ่อแยบยลยิ่ง!" หยุนลี่รีบกล่าวคำเยินยอจักรพรรดิเวหิน ก่อนจะมีท่าทีล
"ข้าให้ความไว้วางใจเจ้าไม่น้อย แต่เจ้าเอาความภักดีไปให้สุนัขกินแล้วหรือ?" "ข้าทำผิดอะไรกับเจ้าหรือ?" ยิ่งพูดยิ่งโกรธ หยุนลี่กระทืบฮั่วเหวินจิ้งซ้ำอีกหลายครั้ง หากไม่ใช่เพราะต้องการเก็บชีวิตของมันไว้เพื่อรีดข้อมูล เขาคงสั่งให้จับมันไปประหารเจ็ดชั่วโคตรไปแล้ว! "แค่กๆ..." ฮั่วเหวินจิ้งถูกเตะซ้ำๆ จนกระอักเลือดออกมาเป็นสาย หยุนลี่พยายามข่มอารมณ์ไม่ให้เผลอฆ่ามันซะก่อน ตะคอกเสียงดัง "บอกมา! ยังมีพวกของเจ้ากี่คน!?" ฮั่วเหวินจิ้งนอนตัวสั่นอยู่บนพื้น แววตาเจ็บปวด "กระหม่อม...ไม่รู้จริงๆ... แค่กๆ..." กล่าวจบฮั่วเหวินจิ้งก็สำลักเลือดออกมาอีก "ไม่รู้? คิดว่าข้าเป็นคนโง่หรือไง!?" หยุนลี่มองฮั่วเหวินจิ้งด้วยสายตาเย็นชา "ข้ากำลังให้โอกาสเจ้า หากเจ้ายังไม่เห็นค่าของมัน ข้าไม่เพียงจะทำให้เจ้าอยู่ก็ไม่ได้ ตายก็ไม่ได้ แต่จะส่งคนไปสังหารทั้งตระกูลเจ้าให้สิ้นซาก!" น้ำเสียงของหยุนลี่เย็นเยียบดุจน้ำแข็ง เขาต้องรีดเอาข้อมูลออกมาให้ได้! ต้องรู้ให้แน่ชัดว่าข้างกายเขายังมีคนของเจ้าหกแฝงตัวอยู่อีกหรือไม่! "กระหม่อมไม่รู้จริงๆ!" ฮั่วเหวินจิ้งส่งเสียงคร่ำครวญ "ต่อให้ฝ่าบาทสั
ยามดึกสงัด ณ จวนองค์รัชทายาท แม้เวลาจะล่วงเข้าสู่เที่ยงคืนแล้ว แต่หยุนลี่ยังคงไม่ยอมนอน ฎีกาจากกรมกองต่างๆ ถูกส่งมารวมไว้ที่เขาทั้งหมด ปกติแล้วฎีกาเหล่านี้ก็มีไม่น้อยอยู่แล้ว แต่ช่วงนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ปริมาณฎีกาเพิ่มขึ้นจากเดิมเกือบเท่าตัว ที่สำคัญ เนื้อหาในฎีกาส่วนใหญ่มีเพียงเรื่องเดียว ขอเงิน! แม้เขาจะหาทางแก้ปัญหาเรื่องเงินไปบางส่วนแล้ว แต่เงินในท้องพระคลังยังคงร่อยหรอ ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าหกสุนัขชั่วนั่นคิดหาวิธีหลอกเอาเงินอยู่ตลอด! ขณะหยุนลีกำลังอ่านฎีกาชุดสุดท้าย ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอก "ขอทูลองค์รัชทายาทฝ่าบาท ฮั่วเหวินจิ้งถูกจับกุมแล้วพ่ะย่ะค่ะ!" เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของหยุนลี่ก็เปลี่ยนไปทันที ฮั่วเหวินจิ้ง! สารเลว! ที่แท้มันก็คือเขาจริงๆ ! "เข้ามา!" ประกายสังหารพุ่งวาบขึ้นในดวงตาของหยุนลี่ เขาแทบอยากฉีกทึ้งฮั่วเหวินจิ้งเป็นชิ้นๆ ยังดีที่เขาระแวดระวังไว้ก่อน ไม่เช่นนั้น ไม่รู้ว่าชายชั่วผู้นี้จะซ่อนตัวอยู่ข้างกายเขาอีกนานเท่าใด! สมควรตาย! ไม่นานนัก องครักษ์ผู้รายงานข่าวก็เดินเข้ามา "จับตัวได้เมื่อใด?
ณ ชั่วขณะนั้น หยุนลี่พลันเข้าใจถึงความยากลำบากของจักรพรรดิเหวิน เหล่าขุนนางในราชสำนักนั้น ทั้งต้องใช้งาน แต่ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ปล่อยให้พวกเขามีอำนาจมากเกินไป จำเป็นต้องหาจุดสมดุลระหว่างการใช้งานกับการควบคุมพวกเขา ในราชสำนัก ย่อมไม่อาจปล่อยให้ขุนนางผู้ใดมีอำนาจล้นฟ้า แม้แต่ผู้ที่เขาไว้วางใจที่สุด! … ยามโพล้เพล้ ณ จวนฮั่ว "ฮั่วผิง นี่ก็ใกล้ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว เจ้าจะออกไปไหน?" พ่อบ้านที่ประจำอยู่หน้าจวนฮั่วทักขึ้นเมื่อเห็นฮั่วผิงกำลังจูงม้าเทียมเกวียนออกจากจวน ฮั่วผิงตอบกลับ "ฟืนถ่านในจวนใกล้หมดแล้ว นายท่านสั่งให้ข้ารีบออกไปซื้อก่อนที่ฟ้าจะมืด" "เช่นนั้นเจ้าต้องรีบกลับมาให้ทันมื้อเย็นนะ ถ้าพลาดเวลาอาหารก็ต้องอดข้าวแล้ว" พ่อบ้านที่เฝ้าประตูเตือนขึ้น ฮั่วผิงยิ้มขื่นๆ พยักหน้ารับ ก่อนจะขับเกวียนออกไป ไม่นาน ฮั่วผิงก็มาถึงตลาดขายถ่านทางตอนใต้ของเมือง ขณะที่เขามาถึง ร้านค้าถ่านก็เตรียมจะปิดร้านกันแล้ว "พ่อค้า รอก่อน! ข้าจะซื้อถ่าน" ฮั่วผิงตะโกนเรียกพ่อค้าผู้กำลังจะปิดร้าน พ่อค้าหันมามอง ก่อนจะชะงักมือที่กำลังปิดประตูร้าน "พี่ฮั่ว ทำไมเจ้าถึง
แม้กู้ซิวจะคัดค้านอย่างหนัก แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนการตัดสินใจของหยุนลี่ได้ ท้ายที่สุด เรื่องนี้ก็ถูกกำหนดลงไป หยุนลี่ยังสั่งกำชับทั้งห้าว่าห้ามเผยแพร่เรื่องนี้ออกไป เมื่อทุกคนค่อยๆ ถอนตัวออกไป สวีสือฝู่กลับอ้างว่ามีเรื่องสำคัญต้องหารือกับหยุนลี่ และขออยู่ต่อ "ฝ่าบาท ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่?" สวีสือฝู่ขมวดคิ้ว ถามหยุนลี่ด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม "ตกปลา!" หยุนลี่เผยรอยยิ้มลึกลับ ดวงตามีแววเจ้าเล่ห์และภาคภูมิใจอยู่ลึกๆ ความกังวลของกู้ซิวนั้นช่างเกินเหตุไป เขาคือองค์รัชทายาทผู้สำเร็จราชการในฐานะผู้แทนพระองค์ และเป็นจักรพรรดิในอนาคต! ย่อมเข้าใจผลกระทบของเรื่องนี้เป็นอย่างดี ไม่มีทางโง่เขลาถึงขั้นปล่อยเงินปลอมเข้าสู่ตลาดโดยตรง "ตกปลา?" แววตาของสวีสือฝู่ฉายแววเย็นเยียบ "ฝ่าบาททรงสงสัยว่ามีคนในพวกเราห้าคนนี้ไม่น่าไว้วางใจหรือ?" "ไม่ ไม่ใช่!" หยุนลี่รีบโบกมือ "ข้าย่อมเชื่อใจท่านลุงและพ่อตาแน่นอน! ข้าเพียงแต่สงสัยฮั่วเหวินจิ้งเท่านั้น…" กล่าวพลาง หยุนลี่ก็เล่าถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่ฮั่วเหวินจิ้งพยายามบ่ายเบี่ยงไม่เดินทางไปฟู่โจว เขาถึงขั้นสงสัยว่า ครั้งก่อนท
หากกองทัพเกิดความวุ่นวายขนานใหญ่ ต้าเฉียนก็จะเข้าสู่กลียุคในไม่ช้า"พวกเจ้าดูเถิด!" หยุนลี่ใบหน้ามืดครึ้ม หยิบจดหมายสองฉบับบนโต๊ะส่งให้ทั้งห้าคนดู ทั้งห้าคนไม่กล้าชักช้า รีบรุดเข้ามาอ่านเนื้อหาในจดหมาย "สามล้านตำลึงเงิน เสบียงอาหารสองแสนชั่ง ช่างต่อเรือหนึ่งพันคน เขาช่างกล้าขอจริงๆ…" "ก็ต้องให้สิ! ไม่ให้แล้วจะทำอย่างไร? นี่ล้วนเป็นสิ่งที่องค์รัชทายาทฝ่าบาทรับปากไว้ไม่ใช่หรือ?" "ต่อให้รับปากแล้ว ก็ยังสามารถถ่วงเวลาไปก่อนได้มิใช่หรือ?" "จะถ่วงเวลาอย่างไร? หากถ่วงไปอีก ก็จะเลยฤดูกาลเพาะพันธุ์มันเทศแล้ว!" "ค่าไถ่ตัวหยางหุยโจวก็ต้องจ่าย หากปล่อยให้หยุนเจิงประหารหยางหุยโจว เช่นนั้นจะกระทบต่อพระเกียรติยศของฝ่าบาท…" ยังไม่ทันที่หยุนลี่จะเอ่ยถาม ทั้งห้าก็ถกเถียงกันขึ้นมาเอง การถ่วงเวลาออกไป ย่อมเป็นผลดีต่อพวกเขา แต่ปัญหาก็คือ หยุนเจิงได้เตือนมาในจดหมายแล้ว หากยังไม่ส่งเงิน เสบียง และช่างต่อเรือไปยังฟู่โจว ฤดูกาลเพาะพันธุ์มันเทศก็จะผ่านพ้นไป และหากต้องการมันเทศอีก ก็ต้องรอจนถึงปีหน้า ขณะที่ทั้งห้าคนยังวิตกกังวล หยุนลี่กลับเผยรอยยิ้มออกมา "ต้องให้แน่นอน! มันเทศต้