นี่...เป็นเรื่องจริงหรือ?“ขอบคุณท่านอ๋อง!”ขณะที่ทุกคนยัคงยืนตกตะลึงอยู่ตรงนั้น ก็มีคนหนึ่งคุกเข่าลงทันที จากนั้นก็ตะโกนร้องไห้มีคนผู้นี้เป็นแกนนำ ทุกคนราวกับถูกปลุกให้ตื่นจากฝันชั่วพริบตานั้น ทุกคนคุกเข่าลงกันเป็นแถบ“ขอบคุณท่านอ๋อง”“ขอบคุณท่านอ๋องที่ตัดสินให้ข้า...”“ท่านอ๋องฉลาดปรีชา...”ทุกคนพากันคุกเข่าตะโกนร่ำร้องคนไม่น้อยต่างตื้นตันจนร้องไห้ออกมาเวลานี้ ความไม่เป็นธรรมและความโกรธแค้นในใจทุกคนต่างก็ได้ระบายออกมาแล้ว เหลือเพียงความยินดีและความตื้นตันเมื่อเห็นทุกคนคุกเข่าอยู่ที่พื้น นัยน์ตาเจียเหยาไหววูบเป็นประกายไอสารเลวสมควรตาย!ที่แท้ก็รออยู่ตรงนี้เอง!หยุนเจิงยกมือห้ามปรามทุกคน จากนั้นก็ชี้ไปที่หยางสวี่และนายบัญชี “ส่วนพวกสองคนนี้ ข้ามอบให้พวกเจ้าจัดการก่อน! พวกเจ้าโกรธก็ระบายความโกรธ มีแค้นก็ชำระแค้น อย่าทำให้ถึงตายก็พอแล้ว!”เมื่อได้ฟังคำของหยุนเจิง หยางสวี่และนายบัญชีตกใจจนขาอ่อน คุกเข่ากับพื้นร้องไห้อ้อนวอนไม่หยุดทว่า เดิมทีหยุนเจิงก็ไม่ได้สนใจพวกเขา เพียงแค่สั่งให้คนนำสองคนนี้มอบให้เหล่าคนงาน“ตีไอสัตว์เดรัจฉานนี่ให้ตาย!”ไม่รู้ผู้ใดตะโกนนำเป็นคน
ไม่ผิดจากที่คาดการณ์ ผ่านการแนะนำของทุกคน ชายชราชาวเป่ยหวนผู้หนึ่งกลายเป็นผู้ดูแลคนใหม่เจียเหยารู้จักชายชราผู้นี้ท่านผู้นี้ก่อนหน้านี้เคยเป็นหัวหน้าชนเผ่าแห่งหนึ่ง ได้รับความเคารพอย่างสูงจากคนในชนเผ่าดูแลโรงเตาเผา น่าจะไม่มีปัญหาใดหลังจากยืนยันตำแหน่งผู้ดูแลคนใหม่แล้ว หยุนเจิงสั่งเมี่ยวอินต่อหน้าทุกคน ให้นางกลับไปหานายบัญชีคนใหม่ส่งมาต่อไป หยุนเจิงก็มอบหมายงานต่างๆ ง่ายๆ จากนั้นก็พาคนจากไปส่วนหยางสวี่และนายบัญชี ก็ทิ้งไว้พักรักษาตัวที่นี่ก่อน รอให้หายดีแล้ว ค่อยเริ่มทำงาน“ทั้งบุญคุณทั้งอำนาจควบคู่กัน วิธีท่านอ๋องยอดเยี่ยม!”ระหว่างทางกลับ เจียเหยาก็กล่าวกับหยุนเจิงด้วยความโกรธและโมโหหยุนเจิงตักเตือนชาวเป่ยหวนที่ทำความเคารพให้นาง เป็นการแสดงอำนาจหยุนเจิงลงโทษสองคนที่ทุจริตอย่างหนักต่อหน้าทุกคน ไม่เพียงชดเชยค่าแรงของคนเหล่าคนงานให้ครบถ้วน ยังเพิ่มเงินพิเศษห้าสิบเหวินเป็นการชดเชยค่าอาหาร ถึงขั้นให้พวกเขาแนะนำผู้ดูแลคนใหม่กันเอง ล้วนเป็นการแสดงบุญคุณ!ทั้งบุญคุณทั้งอำนาจควบคู่กัน ได้รับหัวใจคนง่ายที่สุดผู้ดูแลคนใหม่ ย่อมต้องทำงานแทนเขาอย่างสุดความสามารถใช้ชาวเป่ยหวน
อีกทั้ง โรงงานเตาเผาให้ที่กินที่พัก พวกเขาก็ไม่ต้องท้องหิวประหยัดค่าแรงเหล่านั้น ชีวิตของพวกเขาก็จะค่อยๆ กลับมาเป็นเหมือนเดิมเมื่อนับดูแล้ว พวกเขาใช้ชีวิตได้ดีกว่าตอนอยู่เป่ยหวนจริงๆเมื่อคิดเช่นนี้ เจียเหยาก็ว่างใจแล้วกลับถึงชายแดนกู้ หยุนเจิงตามเจียเหยามาพบผู้ฝึกเหยี่ยวหลายคนที่นางพามาทองคำที่เจียเหยานำมาก็อยู่ที่พวกเขาด้วยเช่นกันอีกอย่าง คนเหล่านี้ยังนำเหยี่ยวขาวมาสามตัวมีเหยี่ยวขาวสามตัวนี้ ต่อไประหว่างหยุนเจิงและเจียเหยาก็สามารถส่งข้อมูลเร่งด่วนได้สะดวกขึ้นมากแต่ว่า ต่อให้ใช้เหยี่ยวขาวในการส่งข่าวโดยเฉพาะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถส่งข้อมูลได้ร้อยทั้งร้อยต่อให้บอกว่าเก่งกาจเพียงใด แต่เหยี่ยวขาวก็เป็นแค่สัตว์ปีเท่านั้นเป็นสัตว์ปีก ก็มีความเสี่ยงที่ข้อมูลที่ส่งไปจะหล่นหายดังนั้น เจียเหยาจึงได้เสนอแนะ ตอนที่ส่งเหยี่ยวขาวออกไปส่งข่าวโดยเฉพาะ ก็ต้องส่งคนมาแจ้งข่าวด้วยหากเหยี่ยวขาวทำส่งข้อมูลมาถึง พวกเขาก็ยังสามารถทำการเตรียมตัวและจัดการได้ล่วงหน้าหากเหยี่ยวขาวหายไป ก็ยังได้รับข่าวจากคนที่ตามมาข้างหลังแม้จะช้าไปสักหน่อย แต่อย่างน้อยก็ยังได้รับข้อมูลที่ส่งมาสำหรั
เช้าวันที่สอง เจียเหยาไปจากชายแดนกู้หยุนเจิงก็เริ่มระดมกำลังทหารอย่างแข็งขันเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทำสงครามในเมื่อศัตรูคิดทำสงคราม เช่นนั้นก็ทำสงครามเถอะ!ถึงเช่นไร เสบียงอาหารของกองทหารมณฑลทางเหนือนับว่าเพียงพอลงมือก่อนได้เปรียบ!“สั่งการ ตู๋กูเช่อย้ายนักเรียนหนึ่งร้อยคนจากสำนักศึกษาเตรียมทหารรีบไปยังชายแดนกู้ ไปไม่ถึงภายในห้าวัน ประหาร!”“สั่งการ ฟู่เทียนเหยียน ชวีจื้อ เฝิงอวี้ รีบเตรียมทหารและม้า พกพาเสบียงอาหารและวัตถุปัจจัย เข้าประจำการอยู่ด้านตะวันตกของทุ่งหญ้ามู่หม่า! ตั้งค่ายตรงนั้น!”“สั่งการ เติ่งเป่านำกองทหารม้า พกพาเสบียงและวัตถุปัจจัย เข้าประจำการค่ายเขาห่านป่าหวนกลับ!”“สั่งการ จั่วเริ่นย้ายทหารราบห้าพันคนจากด่านเป่ยลู่ ออกเดินทางสัมภาระเบา ภายในสิบวัน จำเป็นต้องเดินทางถึงติ้งเป่ย! เจ้าหน้าที่รักษาด่านเป่ยลู่ เว่ยหยูรักษาการชั่วคราว!”“เกาเหอ โจวมี่ พวกเจ้าสองคนเตรียมทหารกองหนุนสองหมื่นนายทันที พรุ่งนี้เช้ารีบไปคุ้มกันส่งเสบียงที่ติ้งเป่ย...” “……”คำสั่งแต่ละข้อที่มาจากปากหยุนเจิงถ่ายทอดออกไปฟังคำสั่งของหยุนเจิง ทุกคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดหวั่นไม่มีใ
สี่วันให้หลัง ตู๋กูเช่อนำนักเรียนหนึ่งร้อยคนควบม้าเร็วมาถึงชายแดนกู้หยุนเจิงเมื่อได้รับข่าว ก็รีบพาคนกลับชายแดนกู้ทันทีไม่รอให้พวกตู๋กูเช่อทำความเคารพ หยุนเจิงยกมือห้ามพวกเขา “เวลาคับขัน พวกเราเรื่องยาวพูดย่อ!”“ขอรับ!”ทุกคนพากันรับคำสั่ง ตั้งหน้าตั้งตารอฟังสถานการณ์“ต่งกัง!”หยุนเจิงเงยหน้ามองต่งกัง “นักเรียนหนึ่งร้อยคนนี้ มอบให้เจ้าแล้ว!”“ขอรับ!”ต่งกังรับคำสั่งเวลานี้ หยุนเจิงก่อนหน้านี้ได้มอบหมายให้เขาแล้วเขาต้องใช้นักเรียนหนึ่งร้อยคนนี้เป็นโครงสร้าง จากนั้นก็โยกย้ายสี่พันคนจากกองหนุน บวกกับทหารองครักษ์เดิมที่หยุนเจิงมี จัดตั้งเป็นกองทัพองครักษ์ส่วนตัวหยุนเจิงไม่ได้ต้องการการคุ้มกันมากมาย แต่ต้องการใช้การศึกแทนการฝึกฝนหากจับเชลยศึกได้ คนเหล่านี้ต้องแยกย้ายออกไปทั้งหมด มีคนเหล่านี้เป็นโครงสร้าง นำเชลยศึกจากทัพศัตรูเข้าสู่กองกำลังของพวกเขา จัดตั้งกองทัพรับใช้ขนาดใหญ่มากขึ้นมีคนเหล่านี้เป็นโครงสร้าง กองทัพรับใช้ก็จะไม่วุ่นวายความคิดของหยุนเจิงง่ายมากพยายามลดจำนวนการเสียของชาวต้าเฉียนไม่นาน ต่งกังก็พาหนึ่งร้อยคนนั้นไปรอจนพวกต่งกังจากไปแล้ว ตู๋กูเช่อจึงถาม
วันที่สอง ตู๋กูเช่อต้องการพาทหารคนสนิทของเขาไปไล่ตามกองทัพใหญ่เคลื่อนตัวไปยังทุ่งหญ้ามู่หม่าตู๋กูเช่อขยับตัวไปข้างหน้า หยุนเจิงดึงตู๋กูเช่อไว้อีกครั้ง กำชับอย่างเป็นจริงเป็นจัง “จำเอาไว้ ศึกครั้งนี้เป็นศึกทำลายแคว้น! เวลาที่สมควรโหดเหี้ยมก็ต้องโหดเหี้ยม!”ตู๋กูเช่อพยักหน้าหนักแน่น “องค์ชายวางใจ ข้าเข้าใจแล้ว!”สนทนากับตู๋กูเช่ออีกสองสามประโยค หยุนเจิงจึงพาตู๋กูเช่อจากไปศึกครั้งนี้ หยุนเจิงแบ่งทหารเป็นสองเส้นทางชั่วคราวตู๋กูเช่อนำทัพใหญ่หนึ่งเส้นทาง เขานำทัพใหญ่อีกเส้นทางทว่า เขายังต้องทำการวางแผนบางส่วน ถือโอกาสรอจั่วเริ่นนำทัพมาถึง แล้วก็ให้เวลาต่งกังเตรียมคนและม้ามากขึ้น จากนั้นค่อยไปค่ายเขาห่านป่าหวนกลับรวมตัวกับพวกอวี๋ซื่อจงสองวันให้หลัง หยุนเจิงพาเมี่ยวอินย้อนกลับไปติ้งเป่ยสงครามครั้งนี้ เป็นไปได้มากว่าจะต้องสู้กันจนถึงช่วงฤดูหนาวก่อนออกเดินทาง หยุนเจิงจำเป็นต้องไปเยี่ยมผู้หญิงของเขาและลูกที่ยังไม่ลืมตาดูโลกคนนั้นพวกเสิ่นลั่วเยี่ยนได้รับข่าวที่แนวหน้ากำลังจะเริ่มเปิดศึกแล้วหยุนเจิงเพิ่งเข้าประตู เสิ่นลั่วเยี่ยนเดินออกมาอย่างรวดเร็ว“พระชายา ช้าหน่อย...”ด้านห
เมี่ยวอินยิ้ม “ให้ข้าตั้งครรภ์ คาดว่าคงเป็นเวลาที่ใต้หล้าสงบสุขแล้ว”นางมีวิชาเหอหวนกง ขอแค่นางไม่อยากตั้งครรภ์ ไม่ว่าจะทำซ้ำไปซ้ำมากับหยุนเจิงก็ไม่มีทางตั้งครรภ์พวกเสิ่นลั่วเยี่ยนไม่วางใจหยุนเจิงที่รบอยู่แนวหน้า นางย่อมไม่วางใจเช่นกันตราบใดที่หยุนเจิงรบอยู่แนวหน้า นางไม่มีทางตั้งครรภ์นางต้องการคุ้มครองอยู่ข้างกายผู้ชายของพวกนางเสิ่นลั่วเยี่ยนนิ่งเงียบ หันไปมองหยุนเจิงด้วยความโกรธ “ครั้งนี้เจ้าต้องตีพวกโฉวฉื่อให้หนัก! ทำให้พวกเขาไม่กล้าปีหน้าทำศึกอีก!”หากปีหน้าทำสงครามอีก นางก็สามารถชุดสวมเกราะเข้าสนามรบได้แล้วน่าเสียดาย หลายแคว้นพวกนี้ต้องหาเรื่องสู้กันปีนี้ให้ได้ยังไปเคยประสบพบกับการทุบตีโหดร้ายของหยุนเจิง ไม่รู้จักเจ็บ!เห็นท่าทางของเสิ่นลั่วเยี่ยน หยุนเจิงและเมี่ยวอิดอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขณะที่ทั้งสองคนหัวเราะกันอย่างเบิกบานใจ ด้านนอกมีเสียงตื่นตระหนกลอยเข้ามากะทันหัน “พระชายา ไม่ดีแล้ว...”หยุนเจิงฟังออกว่าเป็นเสียงของซินเซิงซินเซิงตอนนี้เป็นบ่าวคนสำคัญของจวน ทุกคนรู้จักนางดี เยี่ยจื่อเองก็มีเจตนาอบรมนางให้เป็นผู้ดูแลบ้าน หลายครั้งนางล้วนติดตามอยู่ข้างกายเยี่ยจ
เยี่ยจื่อตั้งครรภ์ สำหรับจวนอ๋องแล้ว เป็นเรื่องที่น่ายินดีใช้คำพูดของฮูหยินเสิ่น หยุนเจิงกำลังจะต้องนำทัพออกศึกอีกแล้ว เยี่ยจื่อตั้งครรภ์เวลานี้ นี่เป็นนิมิตหมายที่ดีแม้หยุนเจิงจะไม่งมงาน ทว่าภายในใจก็ดีใจอย่างมากเขาได้กลายเป็นพ่อคนอีกแล้ว!อีกทั้ง เยี่ยจื่อและเสิ่นลั่วเยี่ยนไม่เหมือนกันเสิ่นลั่วเยี่ยนคิดติดตามหยุนเจิงไปออกศึก ความจริงไม่อยากตั้งครรภ์ทว่าเยี่ยจื่ออยากมีลูกที่เป็นของพวกเขาสักคนมาโดยตลอดตอนนี้เยี่ยจื่อตั้งครรภ์แล้ว นางก็นับว่าสมปรารถนาแล้วด้วยความดีใจ หยุนเจิงสั่งให้คนเรียกเฉินปู้มาการหมดสติกะทันหันของเยี่ยจื่อครั้งนี้ เป็นเพราะทำงานหนักมากเกินไปเขาจำเป็นต้องลดภาระหน้าที่ให้กับเยี่ยจื่อ ให้เฉินปู้รับช่วงต่องานจากมือเยี่ยจื่อ ไม่อาจปล่อยให้เยี่ยจื่อทำงานหนักต่อไป“ไม่ได้ร้ายแรงเจ้าที่เจ้าคิด”เยี่ยจื่อพักผ่อนอยู่บนเตียง ปล่อยให้หยุนเจิงกุมมือนางตามใจชอบ “สองวันนี้ต้องปรับย้ายทรัพยากรณ์แต่ละอย่าง บวกกับแต่ละท้องที่ทำการเตรียมตัวเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วง หลายเรื่องเหน็ดเหนื่อยมากมายมาพร้อมกัน ข้าจึง...”“เช่นนั้นก็ไม่ได้”หยุนเจิงตัดบทเยี่ยจื่ออย่างเอาแต
“จะใช้เงินมากมายขนาดไหนกัน?” “ก็เยอะจริงพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ลูกเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกใช้เงินไปมากขนาดนี้” หยุนเจิงทำหน้ามุ่ยเหมือนคนมีทุกข์ จนเยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ แทบอยากจะตีเขา เจ้าคนนี้นี่! พูดเกินจริงก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ! เสด็จพ่ออย่างไรก็เป็นถึงกษัตริย์ แม้จะไม่ทราบรายละเอียดว่าการสร้างเมืองใช้เงินเท่าไร แต่ก็น่าจะพอรู้คร่าวๆ อยู่บ้าง สิบล้านตำลึงขึ้นไป เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไร? นี่มันก็เหมือนกับการโกหกเสด็จพ่ออย่างโจ่งแจ้งเลยไม่ใช่หรือ? “พอแล้ว อย่ามาทำตัวพล่ามเป็นคนจนให้ข้าฟังเลย!” จักรพรรดิเหวินเหลือบมองหยุนเจิงด้วยหางตา “ข้าไม่ได้อยากได้เงินของเจ้าหรือธุรกิจทำเงินของเจ้า! และเจ้าก็อย่าหวังจะได้สักตำลึงจากข้าเลย ท้องพระคลังตอนนี้ไม่มีเงินให้เจ้าแล้ว!” พล่ามว่าจนหรือ? เขาอยากพล่ามว่าจนนักหรือ! ในปีนี้ ต้าเฉียนก็ถือว่าเจอภัยพิบัติไม่น้อย ใช้เงินไปเหมือนน้ำไหล ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสะสมจากหลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักคงอดอยากไปแล้ว! “ก็ได้ๆ!” หยุนเจิงพยักหน้ารับหลายครั้ง ในใจโล่งอกอย่างยิ่ง เขายังกลัวว่าเสด็จพ่อจะมาที่นี่เพื่อมารีดไถ โดยเ
วันถัดมา จักรพรรดิเหวินที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางก็ตื่นสายเล็กน้อย หลังจากรับประทานอาหารเช้าอย่างง่ายๆ จักรพรรดิเหวินก็ให้ทุกคนพาเดินสำรวจในเล่ออาน จักรพรรดิเหวินไม่ได้เปิดเผยฐานะตนเอง ไม่ได้พาผู้ติดตามมากมาย และยังปลอมตัวเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงความยุ่งยาก หลังจากเดินสำรวจรอบเมือง จักรพรรดิเหวินก็ค่อนข้างพอใจ ระหว่างเดินบนถนนในเมือง จักรพรรดิเหวินก็ย่อตัวลงดูอะไรบางอย่าง “นี่มันอะไรหรือ?” จักรพรรดิเหวินชี้ไปที่ปูนระหว่างก้อนอิฐสองก้อนแล้วถาม “นี่คือปูนซีเมนต์” หยุนเจิงอธิบาย “มันทำหน้าที่เหมือนกาวข้าวเหนียว แต่มีความแข็งแรงกว่าเล็กน้อย และหาง่ายกว่า ไม่เปลืองข้าว แค่ปริมาณการผลิตยังน้อยอยู่” “สิ่งนี้ใช้ได้ทีเดียว!” จักรพรรดิเหวินลุกขึ้นช้าๆ “เจ้าเคยคิดจะขายปูนซีเมนต์นี้ไปพื้นที่เขตในหรือไม่?” “นั่นคงยากหน่อย” หยุนเจิงส่ายหัว “ซั่วเป่ยยังขาดปูนนี้มาก จะเอาไปขายที่เขตในได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ส่วนใหญ่ใช้ในงานของราชสำนัก ชาวบ้านทั่วไปไม่จำเป็นต้องใช้” “เช่นนั้น มันเทศล่ะ?” จักรพรรดิเหวินมองหยุนเจิงด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่ามันเทศในซั่วเป่ยป
“ห้ะ?” หยุนเจิงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “วางใจเถอะ ข้ารู้ขอบเขตดี” จักรพรรดิเหวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นช่วงสำคัญที่เจ้าจะรวบรวมใจชาวเป่ยหวน แม้ข้าจะอยากไปบวงสรวงฟ้าดินที่เขาเทพหมาป่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลา ข้าเข้าใจดี” “เสด็จพ่อ นี่ไม่ใช่เรื่องของขอบเขตหรือไม่ขอบเขตนะพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงคร่ำครวญแทบล้มประดาตาย “เสด็จพ่อจะไปเยือนวังหลวงเป่ยหวน เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่เสด็จพ่อคิดดูเถิด หากเสด็จพ่อไป ลูกคงต้องนำทัพสักหมื่นสองหมื่นนายเพื่อคุ้มครองเสด็จพ่อใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? ทัพหมื่นสองหมื่นนาย เดินทางหน้าหนาว ต้องขนเสบียงและเสื้อผ้ากันหนาวแค่ไหน? ไปกลับอย่างไรเสียก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” นี่ยังไม่รวมว่าต้องออกเดินทางจากค่ายใหญ่เขาห่านป่าหวนกลับ! หากออกเดินทางจากที่อื่น เวลาก็ยิ่งนานกว่านี้! นี่เป็นการเดินทางของฮ่องเต้นะ! จะให้เดินทางเร่งด่วนตลอดทางก็ไม่ได้! ต่อให้เสด็จพ่ออยากไปจริง ก็ควรรอเวลาที่เหมาะสมกว่านี้! “สักสองเดือนก็สักสองเดือนเถอะ!” จักรพรรดิเหวินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างไรเสีย เจ้าก็ไม่จัดงานแต่งกับเจียเ
จักรพรรดิเหวินหยุดครู่หนึ่ง ก่อนถ่ายทอดคำที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนเคยกล่าวไว้ให้หยุนเจิงฟัง ผู้เลี้ยงแกะในมือนั้น ต้องมีผืนดิน หมาป่า แกะ และสุนัข! ผืนดิน คือกฎเกณฑ์ ขีดเส้นจำกัดไว้เป็นคอก หมาป่าคือภัยคุกคาม บอกฝูงแกะว่าอย่าได้วิ่งพล่าน ในพื้นที่ที่ขีดเส้นให้เท่านั้นจึงจะปลอดภัยจากหมาป่า แกะ คือหัวหน้าฝูง ขณะเลี้ยง หากควบคุมหัวหน้าฝูงได้ ฝูงแกะก็จะไม่หลงทาง สุนัขช่วยต้อนฝูงแกะ นำแกะที่ไม่เชื่อฟังกลับเข้าฝูง เมื่อได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงก็อดไม่ได้ที่จะตระหนักในทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จางฮว๋ายก็คือหัวหน้าฝูงแกะตัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิพระองค์ก่อนหรือเสด็จพ่อ ต่างก็ต้องการหัวหน้าฝูงตัวนี้เพื่อควบคุมฝูงแกะ ผ่านไปครู่หนึ่ง หยุนเจิงก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “เสด็จพ่อคงไม่ได้คิดจะส่งเกาซื่อเจินมาให้ลูกเป็นหัวหน้าฝูงใช่ไหม?” “เจ้าคิดว่าเกาซื่อเจินมีความสามารถจะเป็นหัวหน้าฝูงหรือ?” จักรพรรดิเหวินเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม กล่าวอย่างมีนัยว่า “หัวหน้าฝูงไม่ใช่ว่าใครจะเป็นได้!” เช่นนี้เองหรือ? หยุนเจิงครุ่นคิดอยู่ในใจ จริงแท้ เกาซื่อเจินไม่มีความสามาร
คนเราไม่ใช่หญ้าหรือไม้ ใครเลยจะไร้ซึ่งความรู้สึก? แต่ตราบใดที่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ หลายเรื่องก็จะมิอาจทำตามใจตนได้อีก เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะอื่นใดมากมาย สถานะแรกของเจ้าก็คือจักรพรรดิ! “ความจริง ลูกไม่ได้คิดถึงตำแหน่งนั้นมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ก็เพราะลูกเข้าใจสิ่งที่เสด็จพ่อพูด ลูกถึงไม่อยาก…” “เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่เจ้าเลือกเองได้หรือ?” จักรพรรดิเหวินตัดคำพูดของหยุนเจิงทันที “หากเจ้าไม่ขึ้นครองราชย์ แล้วผู้คนภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเป็นเช่นไร? บรรดาแม่ทัพผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่เหล่านี้ ใครเล่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจได้ นอกจากเจ้า?” เพราะผลงานสูงจนสั่นคลอนพระราชอำนาจใช่หรือไม่? หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา ในข้อนี้ เขาเองก็เห็นด้วย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแม่ทัพมากมายที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพียงเมื่อพวกเขาสิ้นชีวิต จักรพรรดิจึงจะวางใจได้ ไม่ฉะนั้น เมื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งเสียงเรียก ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว? “เรื่องในวันข้างหน้า ไว้ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงไ
หยุนเจิงเล่าเรื่องนี้กินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ระหว่างนั้น จักรพรรดิเหวินแทบไม่พูดแทรก เพียงแต่ทานหม้อไฟร้อนๆ พร้อมจิบสุราไปพลาง จนกระทั่งหยุนเจิงพูดจบ จักรพรรดิเหวินจึงวางตะเกียบลง พร้อมมองหยุนเจิงตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าสงสัย “เสด็จพ่อ มองลูกเช่นนี้ทำไม?” หยุนเจิงถูกมองจนขนลุก ในใจแอบคิดว่า หรือว่าตาแก่คนนี้จะมีแผนร้ายอีกแล้ว “ใครสอนเรื่องพวกนี้ให้เจ้า?” จักรพรรดิเหวินมีสีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “อย่ามาอ้างว่าหนังสือแปลกประหลาดเล่มนั้นสอนเจ้า ข้าไม่เชื่อว่าหนังสือจะมีเรื่องพวกนี้!” ศาสตร์แห่งจักรพรรดิ! นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะเรียนรู้จากหนังสือได้ และอาจารย์ก็ไม่สามารถสอนเรื่องพวกนี้ กระทั่งองค์ชายส่วนใหญ่ยังไม่มีโอกาสได้ศึกษาเรื่องศาสตร์แห่งจักรพรรดิอย่างลึกซึ้ง แล้วหยุนเจิงที่เคยใช้เวลาอยู่แต่ในจวนปี้ปัวนั้น ใครกันที่สอนเรื่องพวกนี้ให้เขา? หรือว่าเขาจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้เอง? หยุนเจิงหัวเราะเบาๆ “เมื่อก่อนลูกไม่มีอะไรทำ ก็มักอ่านพงศาวดารบ่อยๆ เรื่องพวกนี้ลูกเรียนรู้มาจากพงศาวดาร” “ไร้สาระ!” จักรพรรดิเหวินตอบกลับอย่างไม่สุภาพ “หากเรียนรู้เรื่อง
จากทางใต้จนถึงซั่วเป่ยระยะทางไกลถึงเพียงนี้ ระหว่างทางไม่มีความช่วยเหลือจากทางการ หรือทางการไม่อนุญาตให้ผ่าน เหล่าผู้ประสบภัยแม้จะมีปีกบิน ก็ใช่ว่าจะบินมาถึงซั่วเป่ยได้ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลย ทั้งหมดเป็นเรื่องที่พี่สามของเจ้าจัดการ” จักรพรรดิเหวินหัวเราะเยาะตนเองเบาๆ “พอเถอะ อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้อีก! เจ้าพูดวกไปวนมานานนักแล้ว มีข้ออ้างอะไรที่ดีกว่านี้หรือไม่?” ยังจะพูดถึงเรื่องนี้อีกหรือ? เรื่องนี้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยหรือไร? หยุนเจิงในใจเต็มไปด้วยความอึดอัด จึงไม่อยากแต่งเรื่องอ้างใดๆ อีก กล่าวตรงๆ ว่า “ลูกไม่ปิดบังเสด็จพ่อแล้ว ลูกไม่อยากจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาเลยสักนิด! ลูกคิดว่าลูกกับเจียเหยาแค่มีสถานะเป็นสามีภรรยาก็เพียงพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องจัดงานสมรสใหญ่โตให้เปลืองแรงและสิ้นเปลืองทรัพย์สินหรอก” จักรพรรดิเหวินหรี่ตาลงเล็กน้อย สีหน้าดูไม่สบอารมณ์ มองหยุนเจิงพร้อมกล่าวว่า “ข้าลำบากวุ่นวายเตรียมงานมานานถึงเพียงนี้ แม้แต่ปีใหม่ยังไม่ได้อยู่ฉลองในเมืองหลวง แต่ต้องมาเตรียมงานสมรสให้เจ้า หากเจ้าไม่จัดพิธีสมรส ข้าก็คงกลายเป็นคนหน้าไม่อายแล้ว! เจ้าลองพูดดูสิ ว
จักรพรรดิเหวินให้เวลาหยุนเจิงคิดเหตุผลมาแก้ตัวอย่างเต็มที่ พระองค์เองก็ค่อยๆ ลิ้มรสอาหารอย่างไม่รีบร้อน “เนื้อนี้ค่อนข้างเหนียวไปหน่อย” จักรพรรดิเหวินเคี้ยวเนื้อในปากแล้วกลืนลงไป จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ดูท่าว่าข้าจะแก่แล้วจริงๆ ฟันของข้าไม่เหมือนเดิมแล้ว” “……” หยุนเจิงหน้ามืด หัวเราะอย่างขื่นขมพลางมองไปที่จักรพรรดิเหวิน “ลูกจะให้คนไปหาในเมืองดูดีไหมพ่ะย่ะค่ะ ว่ามีลูกวัวอยู่บ้างหรือเปล่า แล้วให้พวกเขาเชือดมันสดๆ เอาเนื้อมาถวาย?” เหนียวอะไรกัน! ไม่ใช่ว่ากำลังอ้อมค้อมจะบอกว่าตนเองโตพอที่จะไม่ฟังคำสั่งแล้วหรือไร? จักรพรรดิเหวินหยุดมือเล็กน้อย ก่อนจะมองหยุนเจิงด้วยสายตาทั้งขบขันและหงุดหงิด “เจ้าตั้งใจจะยั่วข้าใช่ไหม?” “มิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงส่ายหัวพร้อมยิ้ม “เสด็จพ่อเสด็จมาไกลถึงเพียงนี้ ลูกจะไม่รับรองเสด็จพ่ออย่างดีได้หรือพ่ะย่ะค่ะ?” “ช่างเถอะ! ข้าไม่กล้าสั่งให้เจ้าเชือดลูกวัวเพื่อมารับรองข้าหรอก” จักรพรรดิเหวินเอ่ยอย่างเรียบๆ “วัวเป็นรากฐานของเกษตรกรรม รอให้ลูกวัวโตแล้วใช้มันไถนาเพื่อประโยชน์ของราษฎรจะดีกว่า!” แค่นี้ก็จบแล้วไม่ใช่หรื
บัดนี้ ในห้องเหลือเพียงพวกเขาสี่คนแล้วจักรพรรดิเหวินหันไปมองเมี่ยวอินอีกครั้ง “เจ้าคือเมี่ยวอินใช่หรือไม่? ข้าจำได้ว่า ข้าได้มีพระราชโองการแต่งตั้งเจ้าเป็นชายารองของเจ้าหกแล้วไม่ใช่หรือ? เมื่อเห็นข้าแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่เรียกเสด็จพ่อสักคำ?” เมี่ยวอินค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองจักรพรรดิเหวินด้วยสีหน้าซับซ้อน “หากพระองค์เป็นหญิงสาวธรรมดาเฉกเช่นหม่อมฉัน พระองค์จะสามารถเรียกคำว่าเสด็จพ่อออกมาจากปากได้หรือเพคะ?” “ก็คงยากที่จะพูดออกมา” จักรพรรดิเหวินไม่ได้โกรธ “ข้าได้สั่งประหารครอบครัวของเจ้า แต่ข้าก็ได้ประหารลูกชายของตัวเองเช่นกัน!” “แม้ข้าจะเสียใจ แต่ข้าจะไม่ยอมรับผิดต่อเจ้า และจะไม่ร้องขอการให้อภัยจากเจ้า!” “ข้ายังคงยืนยันคำเดิม ไม่ว่ารัชทายาทองค์ก่อนจะถูกใส่ร้ายจนต้องก่อกบฏหรือไม่ แต่ตราบใดที่เขาชักธงขึ้นแล้ว เรื่องนี้ย่อมไม่มีทางย้อนกลับไปได้!” “ข้าเป็นผู้นำครอบครัว แต่เหนือสิ่งอื่นใด ข้าคือกษัตริย์ของแผ่นดินนี้!” คำพูดของจักรพรรดิเหวินหนักแน่นดุจหินผา แม้แต่เขาเองก็ไม่คิดว่าเมื่อมาถึง สิ่งแรกที่เขาต้องเผชิญคือเรื่องของเมี่ยวอิน “ใช่เพคะ!” เมี่ยวอินยิ้มเจื่อน “ห