แต่ว่า เพราะเป่ยหวนต้องหารเสบียงกองทัพและม้าศึกจำนวนมาก เจียเหยาจึงตัดแบ่งชนเผ่าของตัวเองนางยึดเอาปศุสัตว์จำนวนมากจากชนเผ่าของนาง เหลือไว้เพียงสัตว์จำพวกแพะบางส่วนจากนั้น นางก็กระจายชนเผ่าของนางไปยังชนเผ่าอื่น ไม่ขอร้องให้ชนเผ่าอื่นปฏิบัติดีต่อคนเหล่านี้ ขอแค่ให้คนของชนเผ่านางมีกิน อย่าปล่อยให้พวกเขาอดตายก็พอแล้วก่อนที่จะแยกย้ายคนเหล่านี้ เจียเหยารับปากกับพวกเขา สักวันจะชดใช้ให้พวกเขาเป็นสองเท่าผู้เฒ่ากล่าวจบ ก็กล่าวอย่างตะกุกตะกัก “องค์หญิงเจียเหยาบอกว่า จิ้งเป่ยอ่องของต้าเฉียนเป็น...คนดี ไม่มีทางฆ่าผู้บริสุทธิ์ ขอร้อง...ท่านอ๋องปล่อยพวกเรา...”คนดี?หยุนเจิงแทบจะหลุดหัวเราะเพราะประโยคของผู้เฒ่าแล้วเจียเหยากำลังแจกไพ่คนดีกับเขาไปทั่วโลกหรือ?เขาเป็นคนดีเสียที่ไหน!คิดว่า ภายในใจคนเป่ยหวน เขาก็คือปีศาจกระมัง?“วางใจ ข้าเคารพกฎของทุ่งหญ้าเสมอมา!”หยุนเจิงกลั้นรอยยิ้ม มองผู้เฒ่าอย่างไม่แยแส จากนั้นก็สั่งอวี๋ซื่อจง “ทิ้งม้าของพวกเขาไว้ ปศุสัตว์ที่เหลือ ฆ่าให้หมด! ให้พวกเขาได้กินอิ่มสักมื้อ!”“ใต้เท้า ไม่เอา!”เมื่อได้ฟังคำของหยุนเจิง ผู้เฒ่าร้องไห้คร่ำครวญหลั่งน้ำตา “พวก
เจียเหยาพาคนล่าถอยไม่หยุดพบกับชนเผ่าบางส่วนระหว่างทาง ก็ส่งคนไปช่วยชนเผ่าเหล่านี้อพยพระหว่างล่าถอย เจียเหยาได้ข่าวที่สายลับนำกลับมาทหารต้าเฉียนรับช่วงต่อคนชราอ่อนแอเหล่านั้น แล้วก็ไม่ได้ทำให้คนชราเหล่านั้นลำบากหลังจากได้รับข่าวนี้ เจียเหยาถอนหายใจยาว หินก้อนใหญ่ภายในใจก็วางลงสักทีสำหรับนางแล้ว การตัดสินใจครั้งนี้ยากลำบากมากแต่ด้วยความโชคดี การตัดสินใจนี้ถูกต้องแล้ว แม้เจียเหยาเกลียดหยุนเจิงจนอยากสับร่างเป็นหมื่นชิ้น แต่กล่าวถึงเรื่องนี้แล้ว นางควรขอบคุณหยุนเจิงด้วยความสัมพันธ์ของพวกเขากับต้าเฉียน ต่อให้หยุนเจิงไม่สนใจคนชราเหล่านั้น นางก็ไม่มีสิ่งใดให้กล่าวหากแม่ทัพหลักของทัพศัตรูเปลี่ยนเป็นคนอื่น เป็นไปได้มากว่าจะไม่ใช่ผลลัพธ์เช่นนี้แน่นอน ขอบคุณก็ส่วนขอบคุณ ถ้าพบกันในสนามรบ นางยังคงทำทุกวิถีทางเพื่อสังหารหยุนเจิงเพียงแต่ ตอนนี้นางไม่มีความมั่นใจแล้วมั้งเป่ยหวนล้วนไม่มีความมั่นใจในการเอาชนะหยุนเจิงแล้วเป่ยหวนต้องการเวลาเพื่อเลียบาดแผล แล้วก็ต้องการเวลากลับมาลุกขึ้นยืนใหม่อีกครั้งภายในสิบถึงยี่สิบปี พวกเขาไม่คิดจะไปหาต้าเฉียนเพื่อแก้แค้นนอกจาก ต้าเฉียนเกิดส
คนผู้นี้กล่าวไปร้องไห้ไปผู้ชายตัวโต ร้องไห้ราวกับเด็กคนผู้นี้กล่าวอย่างติดๆ ขัดๆ อยู่นาน จึงเล่าเรื่องทีหยุนเจิงดักซุ่มโจมตีโจมตีพวกเขาจบเจียเหยาถอนหายใจยังดี หยุนเจิงไม่ได้สังหารหมู่ชายหนุ่มของชนเผ่าแห่งนั้น“รอก่อน...”ท่ามกลางความโชคดี เจียเหยาพลันร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ “เจ้าบอกว่า หยุนเจิงปล่อยพวกเจ้าทั้งหมด?”หยุนเจิงมีเมตตาเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด?ในนี้ต้องมีเรื่องไม่ชอบมาพากล!“ขอรับ”คนผู้นั้นร้องไห้ “แต่วัวแพะของพวกเราถูกฆ่าทิ้งเกลี้ยงแล้ว...”“หยุนเจิงได้บอกสิ่งใดกับพวกเจ้าหรือไม่?”เจียเหยาไม่มีจิตใจสนใจวัวแพะเหล่านั้น รีบไถ่ถามคนผู้นั้นร้องไห้กล่าว “เขาบอกว่า หากพวกเราพบเขาอีกครั้ง เขาจะสังหารพวกเราทั้งหมด! หัวหน้าเผ่าเกรงว่าชนเผ่าอื่นจะถูกโจมตี จึงสังคนไปส่งข่าวให้ทุกชนเผ่า บอกว่าห้ามพวกเขาอพยมมาทางนี้เด็ดขาด...”เมื่อได้ยินคำกล่าวของคนผู้นี้ เจียเหยาใจกระตุกโดยพลันนางรู้เป้าหมายของหยุนเจิงแล้ว!หยุนเจิงจงใจ!เขาต้องการให้ชนเผ่าโดยรอบทุ่งหญ้าซิ่นหลินเดินทางไปยังฉวนหรงและแมนจูตอนเหนือทางนั้น!เขาต้องหารให้กุ่ยฟางไปปล้นชนเผ่าของพวกเขา ทำลายพันธมิตรร
ถัดไปสองวัน พวกหยุนเจิงโจมตีชนเผ่าหนึ่งอีกครั้งแต่ว่า ชนเผ่าแห่งนี้ได้ข่าวการบุกรุกของพวกเขาแล้ว ทั้งหมดหนีไปแล้วกระโจมของชนเผ่าแห่งนั้นยังอยู่ แต่คนและปศุสัตว์ล้วนหนีไปหมดเกลี้ยงแล้วมองดูร่องรอย น่าจะหนีไปทางตะวันตกแล้วพวกหยุนเจิงบุกมา นางจากกระโจมมากมายและอาหารประเภทเนื้อแห้ง ก็ไม่ได้รับสิ่งอื่นใดแต่ว่า นี่สำหรับหยุนเจิงแล้ว ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายสิ่งที่เขาต้องการก็คือผลลัพธ์นี้!หากเป่ยหวนยอมจำนนแล้ว สิ่งที่พวกเขาไม่ได้รับบนสนามรบ ล้วนได้มาด้วยการเจรจา!ตอนนี้ ยังไม่ต้องรีบ!ตอนที่หยุนเจิงเตรียมจะเรียกคนให้เผากระโจมเหล่านี้ หน่วยสอดแนมคนหนึ่งควบม้ามารายงาน “รายงานองค์ชาย มีทหารม้ากองหนึ่งกำลังมุ่งหน้าประชิดเข้ามาจากสถานที่ไกล! คำนวณดูคร่าวๆ น่าจะไม่ถึงห้าร้อยคน...”ไม่ถึงห้าร้อยคน?หยุนเจิงรู้สึกผิดปกติเล็กน้อยน่าจะไม่ใช่คนของพวกเขากระมัง?แม้เป่ยหวนพ่ายแพ้แล้ว แต่ถึงเช่นไรนี่ก็เป็นถิ่นฐานของเป่ยหวนต่อให้พวกเขาบังอาจเพียงใดก็ไม่ถึงขั้นหูหนวกตาบอดพาคนมาห้าร้อยคนหรอก!น่าจะเป็นชาวเป่ยหวนกระมัง?แต่ว่า เป่ยหวนคนเล็กน้อยเพียงเท่านี้มาเพื่อสิ่งใด?หรือว่า มาน้อมส่งพ
หยุนเจิงขมวดคิ้วมองเจียเหยา “เจ้าวิ่งมาหาข้าเช่นนี้ คงไม่ใช่เพราะเรื่องนี้กระมัง?”“ไม่ใช่อยู่แล้ว!”เจียเหยาสูดหายใจลึก พยายามทำให้ตัวเองสงบลง จากนั้นก็ค่อยๆ คุกเข่าลงกับพื้น “ข้าในนางองค์หญิงเจี้ยนกั๋ว ขอยอมจำนนต่อต้าเฉียนอย่างเป็นทางการ นี่คือตราสารยอมจำนนของเป่ยหวน ขอท่านอ๋อง...โปรดอ่าน!”เจียเหยากล่าวจบ ก็ค่อยๆ นำม้วนหนังสือออกมาจากหน้าอก สองมือชูม้วนหนังสือขึ้นสูงเดิมทีนี่ก็เป็นความอัปยศครั้งยิ่งใหญ่ทว่านางก็ยังคงเชิดหน้าขึ้น ราวกับว่า นี่เป็นความอัปยศครั้งสุดท้ายของนางหรือบางที นางกลัวว่าตอนที่ก้มหน้า น้ำตาจะหยดไหลลงมาเมื่อได้ฟังคำของเจียเยหา ทหารต้าเฉียนตื่นเต้นอย่างมากยอมจำนน!นี่คือการยอมจำนนที่แท้จริงแล้ว!ไม่เพียงเจรจาสันติ!พวกเขาตีเป่ยหวนจนยอมจำนนแล้ว!การยอมจำนนกะทันหันของเจียเหยา ทำให้หยุนเจิงนิ่งเงียบไปชั่วครู่ตามสถานการณ์ปกติแล้ว ตอนนี้เขาควรลงจากหลังม้าไปนั่งคุยกับเจียเหยาแต่เขาไม่ได้ทำเช่นนี้เจียเหยายอมจำยย เป็นทางเลือกที่ฉลาดมีปัญญาที่สุดเป่ยหวนโดนบีบบังคับจนกลายเป็นเช่นนี้แล้ว หากไม่ยอมจำนน ไม่รู้ต้องมีคนตายมากมายเท่าใดพวกเขาก่อเรื่องเช่
“ลูกไม้?”เจียเหยายิ้มอย่างโศกเศร้า “เดินข้าสามารถหนีไปไกลได้ เดิมก็สามารถรอจนพวกเจ้าล่าถอยค่อยพาคนกลับมาอีกครั้งได้ แต่ตอนนี้ข้าเป็นฝ่ายมาหาเจ้าเพื่อยอมจำนน เจ้ายังบอกว่าข้าเล่นลูกไม้?”หยุนเจิงสีหน้าเรียบเฉย “ในเมื่อไม่มีลูกไม้ใด เช่นนั้นก็ยกฉีเหยียนให้ข้าเถอะ!”เจียเหยาจับจ้องหยุนเจิงช่วงพริบตานั้น นางอยากจะโผเข้าไปโดยไม่สนทุกสิ่ง ตายตกไปพร้อมหยุนเจิงแต่สุดท้าย เจียเหยาก็พยามยามควบคุมความคิดนี้เอาไว้ไม่ต้องพูดถึงว่านางจะสามารถตายไปพร้อมกับหยุนเจิงได้หรือไม่ต่อให้นางทำเช่นนั้นได้จริง นางเองก็ไม่กล้าทำเมื่อสูญเสียหยุนเจิงไป ด้วยความโกรธของเหล่าลูกน้องหยุนเจิงจะทำทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่สนใจผลลัพธ์ เปิดฉากสังหารหมู่นองเลือดกับชนเผ่าทุกแห่งในทุ่งหญ้าต่อให้พวกเขาต้องให้อาหารม้าไปไล่ล่าติดตามไป ก็ไม่มีทางปล่อยทุกชนเผ่าในทุ่งหญ้าอีกทั้ง คนชราเหล่านั้น จะต้องเผชิญกับการสังหารหมู่“ถ้าหากเจ้าต้องการฉีเหยียนให้ได้ เช่นนั้นข้าก็ยกเข้าให้เจ้าแล้วกัน!”หลังพยายามควบคุมความวู่วามภายในใจ ในที่สุดเจียเหยาก็เลือกประณีประนอม “เจ้าจับข้าก่อนได้ ถึงเวลานั้น จะมีคนนำฉีเหยียนมาเปลี่ยนตัวก
เมื่อได้ฟังคำของหยุนเจิง ทุกคนสีหน้าดำอึมครึมอีกครั้งฉินชีหู่มองหยุนเจิงด้วยความสนอกสนใจ ในใจแอบคิดหนังหน้าของหยุนเจิงนี้ฝึกฝนออกมาได้เช่นไร!กล่าวคำนี้ออกมา นึกไม่ถึงว่าเขาจะไม่หน้าแดงสักนิด?หากให้เขาไป เขาคงเกรงใจที่จะพูดออกมาในทางกลับกันหยุนเจิง กลับพูดออกมาได้หน้าตาเฉยเจียเหยาใบหน้ากระตุกเล็กน้อย กัดฟันกล่าว “ข้าคุกเข่าดีแล้ว! ข้าเป็นองค์หญิงเจี้ยนกั๋ว ไม่มีสิทธิ์ยืนเจรจากับเจ้า! เจ้าบอกเงื่อนไขเจ้ามาเถอะ!”“ไม่ยืนจริงหรือ?”หยุนเจิงขมวดคิ้วเขากำลังสงสัยอย่างรุนแรง เจียเหยากำลังทำตัวหน้าสงสารผู้หญิงคนนี้คิดจะให้เขาเกิดความคิดถนอมหยกรักบุปผาขึ้นมาจริงๆเมื่อได้เช่นนี้ ดาบที่เขาลงใส่เป่ยหวนก็จะไม่ค่อยรุนแรงนักแต่น่าเสียดาย เวลานี้ เขาไม่มีทางถนอมหยกรักบุปผาเด็ดขาด“ในเมื่อเจ้ายินดีคุกเข่า เช่นนั้นก็คุกเข่าเถอะ!”หยุนเจิงมองเจียเหยาเงียบๆ ค่อยๆ กล่าวเงื่อนไขของตัวเองออกมานอกจากเงื่อนไขพื้นฐานของการยอมจำนน การจ่ายส่วย และตัวประกันแล้ว หยุนเจิงมุ่งเน้นไปที่ปากท้องเป่ยหวนอพยพคนหนึ่งแสนเข้าสู่ซั่วเป่ยต้าเฉียนรับประกันความมั่นคงในการครองชีพขั้นพื้นฐานให้กับหนึ่ง
เจียเหยาในเวลานี้ หมดสิ้นความหวังแล้วสำหรับนางแล้ว อยู่ต่อไปยิ่งทุกข์ทนนางผิดต่อเสด็จพ่อ ผิดต่อลูกหลานเป่ยหวนมองเจียเหยาน้ำตาไหลนองหน้า ในใจหยุนเจิงสั่นสะท้านบอกตามตรง จับผู้หญิงอย่างเจียเหยามารังแก เขาเองก็รู้สึกละอายใจไม่มากก็น้อยสำหรับเจียเหยา เขาเองก็รู้สึกนับถือหากพวกเขาไม่ใช่ศัตรูคู่อาฆาตกัน บางทีเขาอาจเกิดความคิดอยากจะทำเรื่องสายลมดอกไม้ หิมะพระจันทร์กับเจียเหยาแต่น่าเสียดาย ลิขิตแกล้งคนเขาทำเรื่องใดไป ใจเขารู้ดีบุญคุณความแค้นของเขาและเจียเหยา ทั้งชาตินี้ล้วนไม่มีทางแก้ไขเขาฆ่าพ่อและพี่ชายของเจียเหยา สองมือเปื้อนไปด้วยเลือดของคนเป่ยหวนยังหวังอยากให้เจียเหยาละทิ้งความโกรธแค้น เป็นเรื่องที่โง่งมไร้เดียงสาแล้ว“เห้อ...”ฉินชีหู่ถอนหายใจเบาๆ เดินจากไปเงี่ยบๆมารดาเขาสิ!สองคนนี้ทะเลาะกันเรื่องใด?เขาเป็นผู้ชาย เกือบจะร้องไห้เพราะพวกเขาแล้วให้พวกเขาทะเลาะกันไปเถอะ!เขาอย่าไปดูเรื่องครึกครื้นเลยอย่าว่าแต่ไม่ได้ดูเรื่องครึกครื้น กลับต้องดูจนน้ำตาไหลออกมาแทน เช่นนั้นคงต้องเสียหน้าเสียคนแล้วเห็นฉินชีหู่จากไป พวกชวีจื้อ ต่งกังพากันจากไปแม้พวกเขาเป็นศัตร
เมื่อได้ฟังโจวเต้ากงบ่นอย่างนี้ หยุนลี่ก็เดาได้ทันทีว่าเจ้านี่ต้องการพูดอะไรต่อไป ชัดเลย เขาคงจะมาขอเกราะจากตนแน่ๆ ใช่ไหม? “พอแล้วๆ!” หยุนลี่ขัดจังหวะคำพูดของโจวเต้ากง “ที่นี่ยังขาดเกราะอีกเท่าไหร่?” “หนึ่งหมื่นสามพันชุด” โจวเต้ากงตอบทันที “ขาดมากขนาดนี้เลย?” ใบหน้าของหยุนลี่กระตุกเล็กน้อย “ตามที่เจ้าพูด คนหนึ่งหมื่นที่ประจำอยู่ห่างออกไปสิบห้าลี้ก็แทบไม่มีเกราะเลยใช่ไหม?” “พ่ะย่ะค่ะ!” โจวเต้ากงพยักหน้า “หนึ่งหมื่นนั้นล้วนเป็นทหารที่เพิ่งเกณฑ์ใหม่ และตอนนี้กำลังฝึกซ้อมอยู่ที่นั่น…” ฝึกซ้อม? ใบหน้าของหยุนลี่มืดครึ้ม เกือบจะสบถออกมา ไม่มีเกราะป้องกัน นี่ก็เรียกว่าฝึกซ้อมหรือไงวะ? นี่มันเรียกว่าทิ้งข้าวเปลืองเบี้ยเลี้ยงมากกว่า! ถ้าเจ้าหกยกพลบุกมา จะหวังพึ่งคนพวกนี้ได้ไหม? พวกทหารนี่คงเป็นแค่เป้าซ้อมมือให้เจ้าหกไม่ใช่หรือไง? บ้าบอคอแตก! แนวป้องกันนี่ ไม่มีเสียยังจะดีกว่า! อย่างนี้ ราชสำนักยังประหยัดค่าใช้จ่ายได้มหาศาลอีกด้วย! หยุนลี่โมโหจนแทบจะระเบิด แต่ก็ไม่อาจระบายความโกรธใส่โจวเต้ากงได้ เรื่องนี้จะไปโทษโจวเต้ากงก็ไม่ได้! เกรา
ฟู่โจวหัวเมืองเมืองสี่ทิศนี่คือพื้นที่ที่ใกล้กับซั่วเป่ยที่สุดของฟู่โจว หยุนเจิงจะจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาที่ฟู่โจว การสร้างจวนอ๋องใหม่ในเวลาสั้นๆ เป็นไปไม่ได้ จึงต้องซื้อจวนจากเหล่าขุนนางใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศแทน เดิมทีเรื่องนี้ควรเป็นหน้าที่ของหยุนลี่ องค์รัชทายาท ที่จะช่วยดูแลจัดการ แต่หยุนลี่ไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย สั่งให้ขุนนางในกรมพิธีการตัดสินใจกันเอง เขาเกลียดชังหยุนเจิงจนแทบอยากสับร่างหยุนเจิงเป็นชิ้นๆ แล้วจะให้เขามาช่วยเลือกจวนให้อย่างนั้นหรือ? ถ้าให้ช่วยเลือกโลงศพแทน เขาคงรีบทำอย่างกระตือรือร้นแน่! หลังจากโยนเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ให้ขุนนางระดับล่างจัดการ หยุนลี่ก็พาคนเดินทางไปยังค่ายใหญ่หัวเมืองสี่ทิศ นับตั้งแต่จ้าวจี๋นำทัพไปยังเขตตะวันตกเฉียงเหนือ ฟู่โจวก็เหลือเพียงกองกำลังสามหมื่นนาย และกองกำลังทั้งสามหมื่นนายนี้ก็เกือบทั้งหมดประจำอยู่ในหัวเมืองสี่ทิศ หยุนลี่ไม่หวั่นเกรงที่จะถูกตำหนิเรื่องการติดต่อกับแม่ทัพในกองทัพโดยพลการ การตรวจสอบค่ายใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศ เป็นภารกิจที่จักรพรรดิเหวินมอบหมายให้เขาก่อนที่จะเดินทางไปยังซั่วเป่ย เมื่อหยุนลี่พาคนมา
“เสด็จพ่อ ที่ซั่วเป่ยขาดแคลนอาหารอย่างหนัก!” หยุนเจิงกล่าวด้วยสีหน้าทุกข์ใจ “ตอนนี้ลูกไม่ได้ดูแลแค่ชาวซั่วเป่ย แต่ยังต้องเลี้ยงดูคนในเขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือ อีกทั้งเป่ยหมัวถัว กุ่ยฟาง เป่ยหวน ทุกพื้นที่เหล่านี้…” “คำพูดพวกนี้ไปบอกพี่สามของเจ้าสิ อย่ามาพูดกับข้า!” จักรพรรดิเหวินไม่ฟังคำพร่ำบ่นของหยุนเจิง ตัดบทอย่างไร้เยื่อใย บอกกับเจ้าสาม? หยุนเจิงเบะปาก แค่มันเทศในห้องใต้ดินนี้ เจ้าสามจะซื้อไหวหรือ? ตามราคาที่ตนตั้งไว้ก่อนหน้า ถ้าเจ้าสามไม่จ่ายเงินออกมาสักหลายล้านตำลึง คงไม่มีทางซื้อมันเทศในห้องนี้ได้ ถ้าถึงขั้นนั้น เจ้าสามคงต้องกลายเป็นหัวหน้าแผนกปล้นบ้านประจำราชสำนักต้าเฉียนแน่! มองเห็นสีหน้าขัดใจของหยุนเจิง จักรพรรดิเหวินวางมันเทศในมือ พลางตบไหล่หยุนเจิงอย่างแรง “จงจำไว้ ประชาชนในเขตในก็ล้วนเป็นราษฎรในความดูแลของเจ้า!” นั่นไง! เริ่มมาล้างสมองกันอีกแล้ว! หยุนเจิงบ่นในใจ พลางเปลี่ยนเรื่องถาม “เสด็จพ่ออยากลองชิมรสมันเทศนี่ไหม?” “ตอนนี้เลย?” จักรพรรดิเหวินแปลกใจเล็กน้อย “อื้ม” หยุนเจิงพยักหน้า “มันเทศนี่ปอกเปลือกแล้วกินดิบได้ กินน้อ
ผ่านไปไม่กี่วัน พวกเขาก็เดินทางกลับถึงเมืองติ้งเป่ยจนได้ ด้วยเหตุที่จักรพรรดิเหวินทรงกำชับไว้ล่วงหน้า การเสด็จมายังเมืองติ้งเป่ยครั้งนี้จึงถูกปิดเป็นความลับอย่างเข้มงวด มีเพียงผู้คนในจวนอ๋องเท่านั้นที่รับทราบ ครั้นถึงเมืองติ้งเป่ย จักรพรรดิเหวินก็ไม่ได้รีบไปยังจวนอ๋องในทันที แต่กลับยืนกรานให้หยุนเจิงพาไปชมมันเทศเสียก่อน ถึงกับดึงตัวไปก็ยังไม่ยอม หยุนเจิงถึงกับเอ่ยว่าให้คนยกมันเทศมาถวายให้ทอดพระเนตรที่จวนก็ยังไม่ยอม ทั้งยังยืนกรานจะไปดูด้วยพระองค์เองที่ห้องใต้ดินเก็บมันเทศ หยุนเจิงเริ่มระแวงหนักว่าตาแก่นี้คงกลัวว่าตนจะยกมันเทศไม่กี่หัวมาหลอกให้พอพระทัย จึงต้องการไปตรวจดูคลังสำรองเสียก่อนว่าจะสามารถยึดมันเทศไปจากตนได้สักเท่าใด ด้วยการยืนกรานของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงจึงจำต้องพาไปยังสถานที่เก็บมันเทศแห่งหนึ่ง แม้ว่ามันเทศจะถูกแบ่งเก็บไว้ในห้องใต้ดินหลายแห่ง แต่สถานที่เหล่านั้นก็อยู่ติดกัน เพื่อให้สะดวกต่อการจัดการยามเฝ้ารักษา จักรพรรดิเหวินเพียงลงจากรถม้า ก็เห็นกองทหารจำนวนมากสวมเกราะพร้อมอาวุธครบมือ “เจ้าช่างเฝ้าแน่นหนาดีจริง! หรือเจ้ากลัวใครจะมาขโมยมันเทศของเจ
“จะใช้เงินมากมายขนาดไหนกัน?” “ก็เยอะจริงพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ลูกเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกใช้เงินไปมากขนาดนี้” หยุนเจิงทำหน้ามุ่ยเหมือนคนมีทุกข์ จนเยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ แทบอยากจะตีเขา เจ้าคนนี้นี่! พูดเกินจริงก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ! เสด็จพ่ออย่างไรก็เป็นถึงกษัตริย์ แม้จะไม่ทราบรายละเอียดว่าการสร้างเมืองใช้เงินเท่าไร แต่ก็น่าจะพอรู้คร่าวๆ อยู่บ้าง สิบล้านตำลึงขึ้นไป เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไร? นี่มันก็เหมือนกับการโกหกเสด็จพ่ออย่างโจ่งแจ้งเลยไม่ใช่หรือ? “พอแล้ว อย่ามาทำตัวพล่ามเป็นคนจนให้ข้าฟังเลย!” จักรพรรดิเหวินเหลือบมองหยุนเจิงด้วยหางตา “ข้าไม่ได้อยากได้เงินของเจ้าหรือธุรกิจทำเงินของเจ้า! และเจ้าก็อย่าหวังจะได้สักตำลึงจากข้าเลย ท้องพระคลังตอนนี้ไม่มีเงินให้เจ้าแล้ว!” พล่ามว่าจนหรือ? เขาอยากพล่ามว่าจนนักหรือ! ในปีนี้ ต้าเฉียนก็ถือว่าเจอภัยพิบัติไม่น้อย ใช้เงินไปเหมือนน้ำไหล ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสะสมจากหลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักคงอดอยากไปแล้ว! “ก็ได้ๆ!” หยุนเจิงพยักหน้ารับหลายครั้ง ในใจโล่งอกอย่างยิ่ง เขายังกลัวว่าเสด็จพ่อจะมาที่นี่เพื่อมารีดไถ โดยเ
วันถัดมา จักรพรรดิเหวินที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางก็ตื่นสายเล็กน้อย หลังจากรับประทานอาหารเช้าอย่างง่ายๆ จักรพรรดิเหวินก็ให้ทุกคนพาเดินสำรวจในเล่ออาน จักรพรรดิเหวินไม่ได้เปิดเผยฐานะตนเอง ไม่ได้พาผู้ติดตามมากมาย และยังปลอมตัวเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงความยุ่งยาก หลังจากเดินสำรวจรอบเมือง จักรพรรดิเหวินก็ค่อนข้างพอใจ ระหว่างเดินบนถนนในเมือง จักรพรรดิเหวินก็ย่อตัวลงดูอะไรบางอย่าง “นี่มันอะไรหรือ?” จักรพรรดิเหวินชี้ไปที่ปูนระหว่างก้อนอิฐสองก้อนแล้วถาม “นี่คือปูนซีเมนต์” หยุนเจิงอธิบาย “มันทำหน้าที่เหมือนกาวข้าวเหนียว แต่มีความแข็งแรงกว่าเล็กน้อย และหาง่ายกว่า ไม่เปลืองข้าว แค่ปริมาณการผลิตยังน้อยอยู่” “สิ่งนี้ใช้ได้ทีเดียว!” จักรพรรดิเหวินลุกขึ้นช้าๆ “เจ้าเคยคิดจะขายปูนซีเมนต์นี้ไปพื้นที่เขตในหรือไม่?” “นั่นคงยากหน่อย” หยุนเจิงส่ายหัว “ซั่วเป่ยยังขาดปูนนี้มาก จะเอาไปขายที่เขตในได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ส่วนใหญ่ใช้ในงานของราชสำนัก ชาวบ้านทั่วไปไม่จำเป็นต้องใช้” “เช่นนั้น มันเทศล่ะ?” จักรพรรดิเหวินมองหยุนเจิงด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่ามันเทศในซั่วเป่ยป
“ห้ะ?” หยุนเจิงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “วางใจเถอะ ข้ารู้ขอบเขตดี” จักรพรรดิเหวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นช่วงสำคัญที่เจ้าจะรวบรวมใจชาวเป่ยหวน แม้ข้าจะอยากไปบวงสรวงฟ้าดินที่เขาเทพหมาป่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลา ข้าเข้าใจดี” “เสด็จพ่อ นี่ไม่ใช่เรื่องของขอบเขตหรือไม่ขอบเขตนะพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงคร่ำครวญแทบล้มประดาตาย “เสด็จพ่อจะไปเยือนวังหลวงเป่ยหวน เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่เสด็จพ่อคิดดูเถิด หากเสด็จพ่อไป ลูกคงต้องนำทัพสักหมื่นสองหมื่นนายเพื่อคุ้มครองเสด็จพ่อใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? ทัพหมื่นสองหมื่นนาย เดินทางหน้าหนาว ต้องขนเสบียงและเสื้อผ้ากันหนาวแค่ไหน? ไปกลับอย่างไรเสียก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” นี่ยังไม่รวมว่าต้องออกเดินทางจากค่ายใหญ่เขาห่านป่าหวนกลับ! หากออกเดินทางจากที่อื่น เวลาก็ยิ่งนานกว่านี้! นี่เป็นการเดินทางของฮ่องเต้นะ! จะให้เดินทางเร่งด่วนตลอดทางก็ไม่ได้! ต่อให้เสด็จพ่ออยากไปจริง ก็ควรรอเวลาที่เหมาะสมกว่านี้! “สักสองเดือนก็สักสองเดือนเถอะ!” จักรพรรดิเหวินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างไรเสีย เจ้าก็ไม่จัดงานแต่งกับเจียเ
จักรพรรดิเหวินหยุดครู่หนึ่ง ก่อนถ่ายทอดคำที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนเคยกล่าวไว้ให้หยุนเจิงฟัง ผู้เลี้ยงแกะในมือนั้น ต้องมีผืนดิน หมาป่า แกะ และสุนัข! ผืนดิน คือกฎเกณฑ์ ขีดเส้นจำกัดไว้เป็นคอก หมาป่าคือภัยคุกคาม บอกฝูงแกะว่าอย่าได้วิ่งพล่าน ในพื้นที่ที่ขีดเส้นให้เท่านั้นจึงจะปลอดภัยจากหมาป่า แกะ คือหัวหน้าฝูง ขณะเลี้ยง หากควบคุมหัวหน้าฝูงได้ ฝูงแกะก็จะไม่หลงทาง สุนัขช่วยต้อนฝูงแกะ นำแกะที่ไม่เชื่อฟังกลับเข้าฝูง เมื่อได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงก็อดไม่ได้ที่จะตระหนักในทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จางฮว๋ายก็คือหัวหน้าฝูงแกะตัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิพระองค์ก่อนหรือเสด็จพ่อ ต่างก็ต้องการหัวหน้าฝูงตัวนี้เพื่อควบคุมฝูงแกะ ผ่านไปครู่หนึ่ง หยุนเจิงก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “เสด็จพ่อคงไม่ได้คิดจะส่งเกาซื่อเจินมาให้ลูกเป็นหัวหน้าฝูงใช่ไหม?” “เจ้าคิดว่าเกาซื่อเจินมีความสามารถจะเป็นหัวหน้าฝูงหรือ?” จักรพรรดิเหวินเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม กล่าวอย่างมีนัยว่า “หัวหน้าฝูงไม่ใช่ว่าใครจะเป็นได้!” เช่นนี้เองหรือ? หยุนเจิงครุ่นคิดอยู่ในใจ จริงแท้ เกาซื่อเจินไม่มีความสามาร
คนเราไม่ใช่หญ้าหรือไม้ ใครเลยจะไร้ซึ่งความรู้สึก? แต่ตราบใดที่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ หลายเรื่องก็จะมิอาจทำตามใจตนได้อีก เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะอื่นใดมากมาย สถานะแรกของเจ้าก็คือจักรพรรดิ! “ความจริง ลูกไม่ได้คิดถึงตำแหน่งนั้นมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ก็เพราะลูกเข้าใจสิ่งที่เสด็จพ่อพูด ลูกถึงไม่อยาก…” “เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่เจ้าเลือกเองได้หรือ?” จักรพรรดิเหวินตัดคำพูดของหยุนเจิงทันที “หากเจ้าไม่ขึ้นครองราชย์ แล้วผู้คนภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเป็นเช่นไร? บรรดาแม่ทัพผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่เหล่านี้ ใครเล่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจได้ นอกจากเจ้า?” เพราะผลงานสูงจนสั่นคลอนพระราชอำนาจใช่หรือไม่? หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา ในข้อนี้ เขาเองก็เห็นด้วย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแม่ทัพมากมายที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพียงเมื่อพวกเขาสิ้นชีวิต จักรพรรดิจึงจะวางใจได้ ไม่ฉะนั้น เมื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งเสียงเรียก ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว? “เรื่องในวันข้างหน้า ไว้ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงไ