เสนาบดีหลางหันไปมองเย่หลิน เขาหยุดเกาเคราแพะน่าเกลียดนั่นได้เสียทีเมื่อหันมามองสบตาบุตรสาวคนโต
“เจ้าว่าอย่างไรนะ ระหว่างทางเกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ”
“ลูกถูกคนลอบฆ่าถึงสองครั้งเจ้าค่ะ”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ!! มันเกิดขึ้นได้เช่นไร”
เสนาบดีหลางตกใจเล็กน้อยและหันไปมองฮูหยินที่นั่งบีบผ้าเช็ดหน้าอยู่ในมือแต่สายตายังมองไปที่เย่หลินไม่วางตากับบุตรสาวที่นั่งไม่นิ่งตั้งแต่เมื่อครู่นี้
“เจ้าค่ะ โจรชั่วนั่นถูกสั่งให้มาฆ่าลูก อีกกลุ่มหนึ่งถูกสั่งให้มา…ทำลายโฉมหน้าของลูก”
“ดังนั้นเจ้าจะบอกว่า!!….ที่ใบหน้าเจ้า”
หลางเย่หลินลุกขึ้นมาและค่อย ๆ เปิดใบหน้าของนางออกให้ทั้งหมดในห้องโถงดู แผลที่ยาวบนใบหน้าของนางนั้นสร้างความตกใจให้กับเสนาบดีหลางเป็นอย่างมากแต่กลับทำให้หลางเสี่ยวหงลอบยิ้มอย่างสะใจส่วนฮูหยินนั้นนั่งตัวแข็งทื่อราวกับหินแกะสลักก็มิปาน
“พ่อบ้านต้าเซิ่ง…เจ้า…รีบไปเรียกหมอมาเร็วเข้า รีบไปเรียกมาดูใบหน้าให้นางหน่อย”
“ขอรับนายท่าน”
“อย่าเลยเจ้าค่ะท่านพ่อ”
“ไม่ได้!! ใบหน้าของสตรีเป็นสิ่งสำคัญเจ้าจะ…”
“แผลนี้ย่อมต้องมีคนชดใช้ลูกเข้าใจเจ้าค่ะ แต่มิใช่ตอนนี้ และแผลนี้ลูกเองก็มีทางรักษาให้หายได้เจ้าค่ะท่านพ่ออย่าได้เรียกท่านหมอมาเลยจะถูกผู้คนสงสัยเอาเสียเปล่า ๆ ว่าข้าที่พึ่งก้าวเข้าเมืองหลวงมาก็บาดเจ็บ เกรงว่าเรื่องนี้คงไม่ปกติท่านว่าหรือไม่เจ้าคะ..ท่านพ่อ”
“เอ่อ….ที่เจ้าพูดมามันก็ถูก เช่นนั้น…ใบหน้านี้…”
“ท่านพ่อ ลูกจับคนร้ายที่ทำร้ายลูกเอาไว้ได้ มันยอมรับสารภาพถึงคนที่บงการด้วยเจ้าค่ะ”
เป็นครั้งแรกที่หลางเสี่ยวหงตกใจจนหน้าซีดอยู่ที่เก้าอี้ เย่หลินสังเกตเห็นกิริยานั้นได้ทันเวลาก่อนที่จะพยักหน้าให้หย่าหลีนำคนร้ายที่ถูกมัดเข้ามาพร้อมกับคนของศาลต้าหลี่ที่เดินเข้าจวนมาพร้อมกับคนร้ายได้ทันเวลา
“นะ…นี่คือ…”
“ท่านเสนาบดี คนร้ายผู้นี้ถูกคนส่งมา บอกว่าเป็นผู้ที่ลอบทำร้ายบุตรสาวของท่านขอรับข้าน้อยจึงนำมาให้พยานในที่เกิดเหตุชี้ตัวเพื่อนำไปสอบสวนต่อ”
“พวกมันพูดไม่ได้ แต่ชี้ตัวได้ขอรับท่านเสนาบดี”
“เหตุใดจึงพูดไม่ได้”
“พวกมันถูกตัดลิ้นไปขอรับ”
“ตัดลิ้น!!”
เย่หลินหันไปมองคนร้ายที่นางพึ่งคุยกับมันไปเมื่อวาน ฝีมือโม่จางหยวนเป็นแน่ที่ทำเช่นนี้ ให้พวกมันชี้ตัวได้แต่ห้ามพูดเรื่องอื่น ๆ หรือว่าเขาจะรู้อะไรมา
“เย่หลิน คนผู้นี้..”
“ใช่เจ้าค่ะ เขาพาคนร้ายอีกนับสิบคนล้อมรถม้าข้าในป่าก่อนลงจากเขาฉีซางและบอกข้าเองว่ามีคนจะให้เขาทำลายหน้าของข้าจนเป็นเช่นนี้”
เสนาบดีหลางหันไปมองคนร้ายพร้อมกับชี้ไปที่คนร้ายทันที
“เจ้า….ผู้ใดเป็นผู้สั่งการพวกมัน!!”
คนร้ายผู้นั้นหันไปทางคุณหนูสามสกุลหลางซึ่งนางเบี่ยงตัวหนีและทำเป็นไม่เห็นมันแต่สายตาของเสนาบดีหลางย่อมรู้ดีว่าคนร้ายหมายถึงผู้ใด เขาแทบจะไม่เชื่อว่าเรื่องนี้จะเป็นฝีมือนางจนกระทั่งเสียงกระแอมของหลางฮูหยินดังขึ้น
“อะฮึ่ม!!….อาศัยเพียงแค่คนร้ายคนเดียวที่ถูกจับตัดลิ้นไปแล้ว ท่านพี่จะแน่ใจได้เช่นไรว่ามันมิได้โกหก หรือว่าถูกสั่งให้มาที่นี่”
“หลางฮูหยิน นี่ท่านกำลังสงสัยในการทำงานของศาลต้าหลี่อยู่งั้นหรือ”
หลางฮูหยินลืมนึกไปว่ายังมีใต้เท้าลั่วที่เป็นเจ้าหน้าที่ศาลอยู่ตรงนี้ด้วย นางจึงรีบหันกลับมาพูดด้วยท่าทีประจบทันที
“มิได้ ๆ ใต้เท้าลั่วข้ามิได้หมายถึงเรื่องนั้น เพียงแต่ว่าจู่ ๆ เหตุใดพวกท่านจึงได้นำตัวคนร้ายมาได้ทั้ง ๆ ที่เรื่องนี้เกิดขึ้นห่างไกลเมืองหลวง”
“มีคนส่งคนร้ายมาให้ข้า พวกเขาบอกว่าคุณหนูรองขาดคนขับรถม้าเข้าเมืองเพราะถูกพวกคนร้ายฆ่าตายจนหมดนางจึงไม่สามารถมาถึงตามกำหนดเวลาได้ เรื่องนี้ข้ามีการตรวจสอบแล้ว คนขับรถม้าของคุณหนูรองเป็นพยานในเหตุการณ์เพราะพวกเขาเป็นผู้ส่งคนร้ายมาให้ข้าที่ศาลต้าหลี่”
หลางฮูหยินยืนกำหมัดแน่นราวกับถูกน้ำเย็นสาดใส่ แม้จะอยากช่วยบุตรสาวแก้ตัวแต่ก็ทำไม่ได้ ในตอนนี้คงต้องขอร้องให้ผู้ที่พึ่งมาใหม่ช่วยเท่านั้น
“เย่หลิน เรื่องนี้…”
“ขอบคุณใต้เท้าที่เป็นธุระให้ ข้าน้อยหวังว่าท่านจะตัดสินคดีนี้อย่างเป็นธรรมและจับคนร้ายที่แท้แจริงมาลงโทษ…ให้จงได้”
เย่หลินคารวะให้ใต้เท้าลั่วก่อนจะหันไปเหยียดยิ้มให้กับหลางฮูหยินอย่างท้าทาย ใช่ นางมาที่นี่เพื่อประกาศสงครามกับหลางฮูหยินและแก้แค้นผู้ที่บังอาจปองร้ายนาง
“เย่หลิน เรื่องนี้….พ่อคิดว่าอย่าพึ่งทำเป็นเรื่องใหญ่จะดีกว่า”
“ท่านพ่อ ท่านพูดเองว่าหน้าตาของสตรีเป็นเรื่องสำคัญ ลูกถูกคนร้ายทำร้ายจนหน้ามีบาดแผลยาว นี่เป็นหลักฐานสำคัญที่ลูกมีแต่ท่านกลับบอกว่าไม่อยากให้ลูกทำเป็นเรื่องใหญ่ ราวกับว่าท่านรู้ว่าผู้ใดอยู่เบื้องหลังเรื่องในครั้งนี้”
หลางเสี่ยวหงทรุดตัวลงกับเก้าอี้ทันทีอย่างน่าสงสัย เดิมทีใต้เท้าลั่วก็มิได้สนใจนางแต่เมื่อคนร้ายที่เอาแต่มองไปที่นางและคำพูดบางอย่างของคุณหนูรองสกุลหลางทำให้เขานึกสงสัย แต่เพราะสายตาของเสนาบดีหลางที่มองมาเขาจึงพอจะทราบแล้วว่าเรื่องนี้คงคลี่คลายได้ไม่ง่ายนัก แต่หน้าที่ของเขาคือสอบสวนคดีจะปล่อยไปก็คงไม่ได้ต่อให้เป็นเรื่องในครอบครัวก็มิอาจยกเว้นได้
“เช่นนั้น เจ้า!! บอกข้ามา…ชี้ตัวก็ได้ ผู้ที่จ้างวานเจ้าอยู่ในนี้หรือไม่”
คนร้ายหันไปมองหลางเสี่ยวหงด้วยความโกรธที่นางไม่คิดจะช่วยเขาเลยสักนิด ตอนนี้หลางเสี่ยวหงมีอาการกลัวอย่างเห็นได้ชัดจนหลางเย่หลินนึกสมเพชจึงได้พูดขึ้น
“เอาล่ะใต้เท้าลั่ว เรื่องนี้ข้าขอให้ท่านสอบสวนอย่างเงียบ ๆ ได้หรือไม่เจ้าคะ อย่างไรก็เป็นเรื่องของจวนเสนาบดีหากหลุดออกไป..คงจะไม่เป็นผลดีกับท่านพ่อข้าเท่าใดนัก”
“คุณหนูรอง ท่านเป็นผู้เสียหายในคดีนี้ข้าน้อยย่อมรับฟังว่าท่านจะจัดการเช่นไร”
"ท่านก็ลงโทษเขาตามโทษที่เขาควรได้รับ แม้ว่าครั้งนี้… "ผู้บงการ" จะยังไม่ถูกจับได้แต่ข้าคิดว่าพวกเขาคงไม่กล้าทำเรื่องเลวทรามเช่นนี้อีก ดังนั้นเรื่องนี้…จัดการเพียงเท่านี้เถอะเจ้าค่ะ"
“เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อน นักโทษผู้นี้จะถูกคุมขังอยู่ที่ศาลต้าหลี่ หากคุณหนูรองอยากจะสอบสวนเพิ่มเติมก็เชิญที่ศาลต้าหลี่ เช่นนั้นท่านเสนาบดีข้าน้อยขอลา”
“พ่อบ้านต้าไปส่งใต้เท้าหลี่หน่อยเร็ว ๆ เข้า”
“ขอรับนายท่าน ใต้เท้าเชิญทางนี้ขอรับ”
ครั้งนี้เย่หลินเพียงแค่ต้องการข่มขู่เสี่ยวหงเท่านั้นให้นางรู้ว่าเย่หลินทราบแล้วว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดคือเสี่ยวหง จากนี้นางจะได้ระวังตัวและไม่กล้าคิดจะทำในสิ่งที่เลวร้ายเช่นนี้อีก เสี่ยวหงดูโล่งใจที่เย่หลินไม่เอาเรื่องนางอีก นางรอดมาได้อย่างหวุดหวิดแต่ก็ต้องตั้งรับศึกที่ไม่ง่ายนี้อีกครั้ง
(จางเยี่ยน หลางเสี่ยวหง….นี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้น)
“ท่านพ่อเจ้าคะ ในเมื่อข้ามาที่จวนนี้แล้วเช่นนั้นที่พักของข้าเล่าเจ้าคะ ให้ข้าพักที่ใด”
“เอ่อ…เรื่องที่พัก”
เป็นอีกครั้งที่หลางเสี่ยวหงลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความไม่พอใจเพราะเรือนทางตะวันออกคือเรือนสำหรับคุณหนูใหญ่สกุลหลางเป็นของนางมาร่วมห้าปีแล้ว
“ไม่นะเจ้าคะท่านพ่อ เรือนใหญ่นั่นเป็นที่พักของลูก ไม่มีทางที่ลูกจะยอมเปลี่ยนห้องโดยเด็ดขาด”
หลางเย่หลินหันไปมอง นางคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าคนอย่างหลางเสี่ยวหงจะไม่ยอมแพ้ แต่ในเมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นไม่ว่านางจะอยากเสียหรือไม่ นางก็ต้องยอมเพราะว่า….“เอาเช่นนี้ ข้าจะให้คนไปทำความสะอาดเรือนหลังให้เจ้า”“ท่านพ่อบอกกับข้าแล้ว ข้ามาที่นี่ในฐานะคุณหนูรองสกุลหลาง เจ้า…ท่านก็เห็นอยู่ว่าแม้แต่ใต้เท้าของศาลต้าหลี่ก็รู้จักข้า พวกท่านยังจะกล้าให้ “ผู้อื่น” ที่มิใช่บุตรคนโตพักอยู่เรือนนั้นอยู่งั้นหรือ หรือว่าการอยู่ในจวนเสนาบดีมาหลายปีนี้ จะไม่สามารถขัดเกลา…”“พอที!! เย่หลิน เรื่องนี้ค่อนข้างกะทันหันเกินไป เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน”“กะทันหันงั้นหรือ ท่านพ่อท่านเอ่ยผิดแล้วกระมังเจ้าคะก่อนหน้านี้ท่านส่งจดหมายไปบนเขาฉีซางที่ข้าอยู่ใช้เวลาค่อนเดือนและข้าเองก็ใช้เวลาลงเขามาร่วมห้าวัน พวกท่านไม่เพียงไม่จัดห้องพักให้แต่ยังมาใช้ข้ออ้างเช่นนี้ลูกคิดว่า…ลูกเสียใจยิ่งนักที่เป็นเช่นนี้”เสนาบดีหลางคิ้วกระตุกรุนแรงเมื่อได้ยินบุตรสาวที่ห่างหายจากจวนไปเกือบห้าปีพูดให้เขาได้สำนึก แม้ว่าจะไม่ได้เอ่ยตรง ๆ แต่วาจาราดยาพิษนั่นราวกับจะบอกขาว่านางมาที่นี่ด้วยฐานะใด “ข้าเข้าใจแล้ว เสี่ยวหง เจ้าย้ายออกมาไปอยู่เรือนหล
เสียงกรีดร้องของหลางเสี่ยวหงเรียกให้บ่าวไพร่ทั้งจวนมารวมตัวกันได้พร้อมกับพยายามไล่ผึ้งฝูงใหญ่ที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใดแต่ที่แน่ ๆ มันแฝงอยู่ในห้องนอนของหลางเสี่ยวหงอย่างไม่ต้องสงสัย บัดนี้ทั้งหลางฮูหยินและคุณหนูสามถูกผึ้งต่อยที่ใบหน้าจนเจ็บปวดและเริ่มมีแผลจำนวนมากแล้ว “ยังเป็นเสียงที่ฟังแล้วงี่เง่าและน่าสมเพช ผ่านไปกี่ปีก็น่ารังเกียจเช่นเดิมไม่เปลี่ยนเลย”เย่หลินเปิดจุกน้ำผึ้งและยื่นจากหน้าต่างเพื่อเรียกฝูงผึ้งให้บินกลับมา ผึ้งฝูงนี้นางเป็นผู้เลี้ยงเอาไว้เอง เหล็กในของผึ้งแต่ละตัวเคลือบ “พิษผึ้งฝากรัก” เอาไว้ มันจะทำให้ผู้ที่โดนต่อยมีตุ่มพุพอง ยิ่งกรีดเอาเหล็กในออกก็จะยิ่งลุกลามเป็นแผลใหญ่หากไม่ได้ยาถอนพิษของนาง ต่อให้เป็นบัวหิมะยอดเขาซีหวนก็ไม่มีทางทำให้แผลบนใบหน้าหายไปได้“แย่แล้วขอรับ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปพวกนางต้องตายแน่ ๆ”“ไม่ตายหรอก เจ้าดูสิ ฝูงผึ้งนั่นกลับไปหาเจ้าของแล้ว”“เจ้าของหรือขอรับ หรือว่า!!”“หึ”โม่จางหยวนมองอยู่ที่หลังคาเรือนใหญ่ เขาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ฝูงผึ้งบินกลับไปตามทิศทางที่มันมาทางทิศตะวันตกจากห้องของหลางเย่หลิน“ลูกเล่นนางช่างมีมากมายจนทำให้ข้าประหลาดใจไม่น้อย”
เสนาบดีหลางตกใจจนพูดไม่ออก แม้ว่าจะบอกว่าผึ้งต่อยแต่เขาไม่เคยเห็นผู้ใดถูกต่อยจนใบหน้าเสียโฉมเช่นที่เสี่ยวหงโดน เขาหันไปมองเย่หลินที่มองไปที่เสี่ยวหงและหันมามองเขา“น้องสาม เจ้าถูกต่อยขนาดนั้นข้าไม่แปลกใจเลยที่ข้าวของในห้องของเจ้า….หรือว่านี่คือแผนการทำร้ายข้าอีกเช่นนั้นหรือ ท่านพ่อเจ้าคะข้าควรจะทำเช่นไรดี เดิมทีก่อนมาที่นี่ก็ถูกลอบฆ่า เข้ามาในจวนก็ยัง….”“หลางเสี่ยวหง!! ข้าต้องการคำอธิบายในเรื่องนี้!!”“ท่านพ่อลูกไม่รู้เรื่องนะเจ้าคะ ลูกไม่รู้ว่าฝูงผึ้งนั่นมาจากที่ใด ลูกก็…”“หากเจ้าไม่รู้เหตุใดจึงไม่เรียกให้คนมาช่วยกำจัดแต่กลับหลอกพี่เจ้าเข้าไปในห้องโดยที่นางไม่รู้ หึ นางเอาของด้านในมาเผาก่อนที่พวกมันจะลุกลามไปทั่วจวนก็ทำถูกต้องแล้ว!!”“ท่านพ่อ ลูก…..”“เจ้าหุบปากไป แล้วไสหัวไปไกล ๆ จะไปไหนก็ไป จากนี้ไปอยู่เรือนหลัง เรือนเดิมที่เจ้ากับแม่เจ้าเคยอยู่ ไป!!!”“ท่านพี่!!”“ท่านพ่อ!!!”“พ่อบ้านต้าเซิ่ง”“ขอรับ”“ให้คนย้ายของของพวกนางไปที่เรือนหลัง ไม่มีคำสั่งข้าอย่าได้ให้ข้าเห็นพวกนางที่เรือนหน้าอีก”“ขอรับนายท่าน”“ท่านเสนาบดีท่านจะทำเช่นนี้กับพวกเราหาได้ไม่นะเจ้าคะ”เสนาบดีหลางเดินมา เม
“ท่าน!!….เหตุใดจึงมาโผล่เอาตอนนี้”เขาต่างหากที่ต้องตกใจ ใบหน้าที่เนียนผุดผ่องราวแสงจันทราบนท้องฟ้ายามราตรีตรงหน้านี้ต่างหากที่ทำเอาเขาถึงกับตกตะลึง แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยคิดว่านางต้องมีใบหน้าที่งดงามมาก แต่นึกไม่ถึงว่าจะงดงามมากกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้เช่นนี้ หลางเย่หลินเองก็ตกใจเมื่อเขาโผล่มาเช่นนี้เหมือนกัน“ท่าน!!…”นางพึ่งนึกออกว่าล้างหน้าออกไปหมดแล้วและมิได้สวมผ้าคลุมหน้า ดังนั้นในตอนนี้เขาจึงได้เห็นใบหน้าจริงของนาง“ข้าคิดเอาไว้แล้วเชียวว่าต้องไม่ปกติเป็นแน่ ตอนที่ข้าช่วยเจ้าตัวเจ้าไร้รอยแผลไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนหรือเลือดสักหยด จะเป็นไปได้เช่นไรที่จะมีรอยแผลน่าเกลียดบนใบหน้านั่น”“ท่านต้อง..”“เจ้าคิดว่าข้าจะมีโอกาสไปพูดกับผู้ใดงั้นหรือคุณหนูรอง ข้าเป็นองครักษ์ข้างกายเจ้านะ”“ข้างกายข้างั้นหรือแต่ในตอนที่ข้าเรียกท่านกลับไม่มา เช่นนี้นกหวีดนี่….”“เอ๋ ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่มาแต่เจ้าเรียกไม่ดูตาม้าตาเรือต่างหาก ในเวลานั้นที่เจ้ายืนเป่านกหวีดอยู่ที่ระเบียงหน้าเรือน เจ้าคงไม่ทันสังเกตคุณหนูสามที่แอบมองมาจากเรือนหลังสินะ”“หมายความอย่างไรนะ นี่นาง….แอบดูงั้นหรือ”“ใช่ โชคดีที่เจ้ายังสวมผ้าค
แม้ว่าท่าทีของเย่หลินจะยังนิ่งอยู่แต่ในใจนั้นนางแอบตกใจเล็กน้อยที่เสี่ยวหงรู้เรื่องนางกับโม่จางหยวนที่พบกันที่ระเบียงด้านหลังเรือนพัก พวกเขาเริ่มคุยกันในหลาย ๆ เรื่องแต่นางกลับคิดไม่ถึงว่าขนาดโม่จางหยวนจะระวังตัวถึงเพียงนี้แต่กลับไม่หลุดรอดพ้นสายตาของหลางเสี่ยวหง“เจ้าหลับฝันหรืออย่างไร ข้าน่ะหรือ…”“บุรุษภายใต้หน้ากากสีดำชุดดำที่ลอบมาพบเจ้าทุกค่ำคืน หากเรื่องนี้หลุดไปที่ท่านพ่อ ข้าคิดว่าเรื่องที่เจ้าจะเข้าวังคงเป็นไปไม่ได้และ….”“หลางเสี่ยวหง อย่าได้เอาเรื่องเหลวไหลเหล่านี้ไปรบกวนท่านพ่อให้เสียเวลาดีกว่า ในยามนี้คำพูดของเจ้ากับข้า ท่านพ่อจะฟังผู้ใดเจ้ายังนึกไม่ออกอีกหรือ แม้นว่าข้าจะพบบุรุษผู้นั้นจริงแล้วเช่นไรเล่า แค่เจ้าเห็นเพียงคนเดียวจะทำให้เกิดสิ่งใดได้ มันทำให้พิษบนใบหน้าเจ้าหายไปได้อย่างนั้นหรือ”“หลางเย่หลินนี่เจ้า!!…เจ้ายอมรับแล้วสินะว่านี่เป็นฝีมือของเจ้า”“เดี๋ยว ๆ ข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ เจ้ามาที่นี่เพื่อข่มขู่ข้าในเรื่องที่แม้แต่ผียังเป็นพยานให้เจ้าไม่ได้เลย แล้วยังมาโยนความผิดเรื่องแผลบนใบหน้าเจ้าให้กับข้าทั้ง ๆ ที่วันนั้น…เจ้าเป็นผู้ที่หลอกให้ข้ามารับเคราะห์ต่อจากเ
“ข้าเปล่านะ!!…ท่านพูดเองมิใช่หรือว่าเป็นองครักษ์ของข้า แล้วเหตุใด…”“คุณหนูรอง หากเสร็จสิ้นภารกิจนี้แล้วข้าก็ต้องไปเช่นกัน จากนั้น…”“ท่านก็จะไปเป็นองครักษ์ให้คนอื่น ๆ ต่องั้นหรือ”“หืม…เจ้าว่าอย่างไรนะ”หลางเย่หลินเผลอพูดจาเอาแต่ใจกับเขาไปจนทำให้โม่จางหยวนตกใจไปเล็กน้อยเมื่อหันมามองนาง แต่ตอนนี้เย่หลินเริ่มโมโหตัวเองที่เผลอพูดเรื่องบ้า ๆ นี้ออกไปกับเขา คงเป็นเพราะหลายวันมานี้นางคุยกับเขามากเกินไป จนลืมว่าสักวันหนึ่งเขาจะต้องไป“ข้า…ไม่มีอะไรข้าจะไปนอนแล้ว”“เดี๋ยวสิหลางเย่หลิน”เขาดึงแขนนางเอาไว้ น่าแปลกที่ครั้งนี้เย่หลินมิได้ปัดมือเขาออกแต่นางกลับยืนนิ่งราวกับว่ากำลังสับสนบางอย่าง“ข้าอยากรู้ว่าเจ้าโมโหเรื่องใดกันแน่”“ข้ามิได้โมโห ท่านก็รู้ว่ารอบด้านมีคนดักมองมาที่นี่ ข้าต้องระวังตัว”“งั้นหรือ แต่ข้าบอกเจ้าแล้วว่าข้าเปิดเผยตัวตนกับผู้อื่นได้”“แต่ข้าไม่อยาก!!….”เป็นอีกครั้งที่เขาหันมามองใบหน้านาง เย่หลินหลบตาเขาเป็นครั้งแรกและสะบัดแขนจนหลุดก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องทันทีโดยทิ้งเข้าเอาไว้นอกระเบียง“ทีเจ้ายังอยากจะเข้าร่วมงานคัดเลือกชายาองค์ชายนั่นเลยมิใช่หรือ เหตุใดต้องทำเป็นโมโห
“ท่านลดดาบลงก่อนองครักษ์โม่ นางแค่ปากมากไปเท่านั้นอย่าไปถือสาคนเช่นนางเลย”“หรือจะให้ข้าทำให้นางพูดไม่ได้เหมือนคนร้ายพวกนั้น”“อย่าพึ่งวู่วาม ลดดาบท่านลงก่อน”เขาค่อย ๆ ลดดาบลงตามที่นางสั่งและเก็บดาบเข้าไปทันที เสียงเก็บดาบทำเอาเสี่ยวหงสะดุ้งสุดตัวเพราะความกลัว โม่จางหยวนหันไปและคำนับเสนาบดีหลาง“ข้าน้ององครักษ์ลับประจำตัวคุณหนูรองโดยคำสั่งของแม่ชีอี้ซิน คารวะท่านเสนาบดีหลาง”“อะไรนะ องครักษ์ลับของแม่ชีอี้ซินงั้นหรือ”“ขอรับ ข้ารับคำสั่งแม่ชีอี้ซินให้ดูแลติดตามและอารักขาคุณหนูรองตลอดทางที่กลับเมืองหลวงนี้ คนขับรถม้าและผู้ที่จับคนร้ายตลอดจนผู้ที่ตัดลิ้นพวกมัน คือพวกข้าขอรับ”เสนาบดีอึ้งไปเล็กน้อยและค่อย ๆ หันมามองใบหน้าของหลางเย่หลินเพื่อขอคำยืนยันจากนาง“เป็นเรื่องจริงเจ้าค่ะท่านพ่อ อาจารย์ส่งพวกเขามาอารักขาข้าเจ้าค่ะ เดิมทีพวกเขามีสามคนแต่เพราะภารกิจนี้เป็นภารกิจลับ พวกเขาจึงไม่ปรากฏตัว และที่ลูกต้องพบกับเขาทุกคืนก็เพราะเรียกเขามาถามไถ่ความปลอดภัยรอบ ๆ จวนของเราเจ้าค่ะ"“เจ้า…เจ้าให้พวกเขาคุ้มกันจวนเราด้วยงั้นหรือ”“ขอรับท่านเสนาบดี ความปลอดภัยของคุณหนูรองเป็นหน้าที่ของพวกข้า และแน่น
หลางเย่หลินนึกแปลกใจ นี่ไม่ใช่เพียงครั้งแรกที่องครักษ์หนุ่มถามนางในเรื่องนี้“องครักษ์โม่ ท่านคงมิได้มีเรื่องบาดหมางกับพวกราชวงศ์หรือพวกองค์ชายในวังหลวงหรอกใช่หรือไม่”“ข้าน่ะหรือ เหตุใดเจ้าจึงถามเช่นนั้นเล่าคุณหนู”“ท่านถามเรื่องนี้กับข้าหากจำไม่ผิดน่าจะเป็นครั้งที่สามแล้ว”“ข้าก็แค่นึกสงสัย ว่าเจ้า…ต้องการจะเข้าวังไปเป็นพระชายาองค์ชายจริง ๆ เพื่อจะได้เอาชนะน้องสาวเจ้า หรือเพียงเพราะอยากหลุดพ้นจากสกุลหลางกันแน่ จุดประสงค์ของเจ้า…ยิ่งคิดข้าก็ยิ่งไม่เข้าใจ”“ท่านไม่จำเป็นต้องเข้าใจ”“ความแค้นของเจ้ามันจะยิ่งจมดิ่งจนทำร้ายตัวเองหรือไม่ เจ้าคิดหรือไม่ว่าหากเจ้าได้รับคัดเลือกแล้ว…จะไม่มีทางกลับหลังแล้วนะ อิสระที่เจ้าพูดก็จะไม่มี”“ข้าแค่อยากใช้การเลือกคู่สมรสในครั้งนี้เป็นการเดิมพัน แม่ลูกคู่นั้นไม่ได้อยากให้ข้ามาที่นี่ แต่เสนาบดีหลางต้องการให้ข้าเข้ารับคัดเลือกเพียงแค่เป็นพิธีเท่านั้น เขาหวังอยากให้เสี่ยวหงสมรสกับองค์ชายที่มีอำนาจพอที่จะหยิบยื่นอำนาจให้เขาได้ แต่หากว่าเสี่ยวหงได้อภิเษกกับองค์รัชทายาท ข้าเองก็อยากจะเดิมพันในครั้งนี้…”“เจ้า….คิดจะ…นี่เจ้าไม่ได้มององค์ชายคนอื่น เป้าหมายของ
สิบสองปีผ่านไป / วังหลวง“องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ”กังลี่เที่ยวมองหาองค์ชายใหญ่ที่กำลังฝึกวิชาอยู่ในสวนแต่จู่ ๆ ก็หายไปจากสายตาของเขาหลังจากที่เขาถูกฝ่าบาทเรียกไปเพื่อสั่งงานบางอย่างก่อนที่พระองค์จะเสด็จเข้าไปที่ท้องพระโรงเพื่อประชุมราชสำนัก“ข้าอยู่นี่อาจารย์กังลี่”“องค์ชายเซียวหยาง ลงมาเถิดพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาทกำลังประชุมราชสำนักเช้าอยู่ หากว่าพบพระองค์อยู่ตรงนี้จะถูกลงโทษนะพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าพึ่งถูกเสด็จแม่ไล่ออกมาจากตำหนักเพราะว่านางกำลังจะให้นมน้องของข้า มาปีนต้นไม้ก็ถูกท่านพบเข้าอีก เฮ้อ ชีวิตองค์ชายในวังนี่แสนลำบาก หรือว่าข้าควรจะขอเสด็จพ่อไปฝึกที่กองทัพบูรพาของท่านลุงเจิ้งหลิงดีเล่ากังลี่”“ลงมาก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”“องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ”“เป่ากง!!”“รีบลงมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมีบางอย่างให้ทอดพระเนตรพ่ะย่ะค่ะ”“สิ่งใดงั้นหรือ หากว่าเป็นหนังสือวิชายุทธ์เช่นวันเก่าข้าไม่เอาแล้วเพราะข้าอ่านหมดแล้ว”“หน้ากากที่พระององค์สั่งให้กระหม่อมไปทำให้เสร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ว่าอย่างไรนะ จริงหรือเป่ากงเสร็จแล้วงั้นหรือแล้วทำไมไม่รีบบอกเล่า”“จ้าวเซียวหยาง” องค์ชายใหญ่ซึ่งเป็นพระโอรสของฮ่องเต้จ้าวซางหยวนและฮองเฮาเซี
“หา!! เจ้าว่าอย่างไรนะ แล้วทำไมไม่รีบบอกเล่า แล้วเหตุใดจึงเอาไปวางไว้ที่เดียวกับยาทาแผล”“โม่จางหยวน!! นี่ท่านแน่ใจแล้วใช่หรือไม่ว่ามิได้จงใจจะฆ่าหม่อมฉัน”“เย่หลินข้าเปล่านะ ข้าก็แค่….”“ออกไปเลย แล้วไปเรียกหย่าหลีมาให้หม่อมฉัน!!”เรือนใหญ่“เรื่องมันก็เป็นเช่นนี้”“ดังนั้นในตอนนี้….”องค์รัชทายาทนั่งที่โต๊ะพร้อมกับเซี่ยเจิ้งหลิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เพื่อฟังเรื่องที่พระองค์เล่าให้ฟัง เซี่ยเย่หลินไล่องค์ชายออกมาเพราะว่าเขาทำนางบาดเจ็บและหยิบขวดยามาผิดนางจึงโกรธและไล่เขาออกมาจากห้อง“ตอนนี้…”“สาวใช้ของนางกำลังทำแผลให้นางอยู่ข้างใน เจ้าช่วยข้าหน่อยสิเจิ้งหลิง”“เฮ้อ องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเองก็ไม่ได้ต่างจากพระองค์นะพ่ะย่ะค่ะ หากว่าหลินเอ๋อร์โกรธเข้าล่ะก็…”“แต่เจ้าเป็นพี่ชายนางนะ”“พระองค์เป็นถึงพระสวามียังถูกไล่ออกมาจากห้องเลยนะพ่ะย่ะค่ะ คิดว่านางจะ…”“เจ้าไปลองดูหน่อย ไปสิ เร็ว ๆ เข้า”“เอ่อ….องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่ามีวิธีที่ดีกว่านั้นนะพ่ะย่ะค่ะ เรื่องเช่นนี้พระองค์ควรจะ….”เซี่ยเจิ้งหลิงกระซิบบางอย่างกับองค์ชาย โม่จางหยวนเริ่มยิ้มออกมาและพยักหน้าอย่างรู้ทัน เขาหันมามองหน
เมืองหลวงหลังจากพิธีอภิเษกที่กองทัพบูรพาผ่านไปสิบวันองค์รัชทายาทก็ได้เสด็จกลับเมืองหลวงพร้อมกับพระชายาเซี่ยหลิงเย่ ขบวนนำเสด็จถูกจัดขึ้นอย่างสมพระเกียรติเพราะในครั้งนี้กองทัพบูรพาที่ยิ่งใหญ่ของรองแม่ทัพเซี่ยเจิ้งหลิงจัดขบวนทัพเข้าเมืองหลวงด้วยตัวเอง เมื่อขบวนรถม้าขององค์รัชทายาทเข้าสู่ประตูเมืองหลวงก็ได้รับการต้อนรับอย่างคับคั่งจากชาวบ้านในเมืองหลวงที่ทราบมาก่อนหน้านี้แล้ว“ตื่นเต้นเหรอเย่หลิน”“คิดไม่ถึงว่าจะได้กลับมาอีกครั้งเพคะ หม่อมฉัน…”“ถึงอย่างไรเจ้าก็หนีวังหลวงไม่พ้นแล้วล่ะพระชายา ทางที่ดีทำใจและยอมรับเสียเถอะ”“หม่อมฉันขอบพระทัยพระองค์ที่ทรงประทานแซ่เซี่ยให้หม่อมฉันและพี่ใหญ่เพคะ”“นั่นเป็นสิ่งที่เสด็จพ่อทรงประทานให้แม่ทัพเซี่ยผู้เฒ่ามิใช่ข้า สิ่งที่ข้าจะมอบให้เจิ้งหลิงกับเจ้าน่ะ คือสิ่งนั้นต่างหากเล่า”องค์รัชทายาทเปิดหน้าต่างรถม้าเพื่อให้นางเห็นบางอย่างที่อยู่ตรงหน้า จวนหลังใหญ่ที่ประดับตกแต่งแล้ว ประตูจวนนั้นเขียนด้วยป้ายพระราชทาน “ความดีงามคงอยู่ตลอดกาล” “ที่นี่คือ….."จวนสกุลเซี่ย" พระองค์…"“แน่นอนว่าจะต้องมีจวนเพื่อสกุลเซี่ยที่ทำคุณประโยชน์ให้กับบ้านเมืองสิใช่หรือไม่
เจ้าสาวหันไปมองแม่สื่อที่กระซิบบางอย่างกับนาง ไม่นานมือของนางก็โผล่ออกมาจากม่านสีแดงเพื่อเป็นการยืนยันว่านางคือเจ้าสาวที่แท้จริง เสียงโห่ร้องกึกก้องด้วยความยินดีที่องค์รัชทายาทสามารถเลือกเจ้าสาวถูกต้องได้ตั้งแต่ด่านแรกซึ่งมีน้อยคนนักที่จะทำได้ แม่สื่อดึงม่านแดงออก เจ้าสาวอีกสองคนที่เหลือคือสาวใช้ของนางทั้งสองคนนั่นเอง พวกนางเดินไปหาเป่ากงและกังลี่พร้อม ๆ กัน“ขอแสดงความยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ พิธีการซ่อนเจ้าสาวผ่านพ้นไปแล้ว จากนี้จะเข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินพ่ะย่ะค่ะ”ท่านแม่ทัพได้รับเกียรติให้เป็นผู้เอ่ยนำพิธีมหามงคลนี้ เมื่อพวกเจาจุดธูปแดงมงคลเพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และจึงได้เดินเหยียบพรมแดงที่มีเด็ก ๆ โปรยดอกไม้สีแดงไปตลอดทางจนถึงบริเวณหน้าพิธีเพื่อทำการกราบไหว้ฟ้าดิน“คำนับที่หนึ่ง คำนับฟ้าและดิน”บ่าวสาวค่อย ๆ ทำการคำนับและค่อย ๆ ลุกขึ้นมาองค์รัชทายาทหันไปพยุงเย่หลินให้นางลุกขึ้นมา“คำนับที่สอง คำนับบุพการีและผู้ให้กำเนิด”“คำนับที่สาม บ่าวสาวคำนับซึ่งกันและกัน”เมื่อพวกเขาคำนับเสร็จแล้ว หย่าหลีจึงนำไม้หอมผูกดอกไม้มงคลมามอบให้องค์ชายเพื่อเปิดหน้าเจ้าสาว“องค์รัชทายาท เปิดหน้าเจ้าสาวไ
“แต่นั่น…จะไม่เป็นการหักหน้าขุนนางชั้นผู้ใหญ่หรอกหรือเพคะ”“บัลลังก์เป็นของข้า ใต้หล้านี้ข้าก็เป็นผู้ดูแล เหตุใดต้องอาศัยอำนาจของพวกขุนนางละโมบที่คอยจดจ้องส่งบุตรสาวเข้ามาในวังหลังให้วุ่นวายด้วย ขอเพียงมีเจ้าที่อยู่ร่วมเคียงเป็นหงส์คู่มังกร ข้าไม่ต้องการผู้อื่นอีก”นางหลับไปพร้อมกับคำมั่นนั้นของเขา แม้จะดีใจที่องค์ชายตรัสออกมาด้วยพระองค์เองแต่เส้นทางของนางยังไม่ได้เริ่มต้น ยังคงต้องดูอีกนานหลังจากที่พวกเขาเริ่มใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันสองวันถัดมาค่ายบูรพากลายเป็นสีแดงมงคลที่ถูกประดับไปด้วยผ้ามงคลสีแดงซึ่งเหล่าทหารและชาวบ้านในละแวกนั้นล้วนอยากจะมีส่วนร่วมในพิธีการที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้เพราะนาน ๆ ทีจะมีงานมงคล นั่นหมายถึงการที่จะได้ล้มวัวและสัตว์ใหญ่ที่หาในป่ามาเพื่อร่วมฉลองทั้งวันทั้งคืน“ตื่นเต้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าอยากเห็นเจ้าสาวของข้าแล้ว”“ขอทรงโปรดพระทัยเย็นพ่ะย่ะค่ะ ทางชายแดนแห่งนี้มีกฎอยู่อย่างหนึ่งคือพิธีซ่อนเจ้าสาว”“อะไรนะ เดี๋ยวก่อนเจิ้งหลิงเจ้าไม่ได้บอกข้าก่อนเลยนะว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ด้วยน่ะ”“องค์รัชทายาทโปรดอภัย หากว่ากระหม่อมแจ้งเรื่องนี้กับพระองค์ก่อน เกรงว่าพระองค์กับหลินเอ๋อร์
“ท่านว่าอย่างไรนะ แต่งงานงั้นหรือ”“ใช่ ข้าไม่อยากรอพิธีการวุ่นวายในราชสำนัก ถึงอย่างไรข้าก็ใจร้อนอยากให้เจ้าเข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกับข้า ตั้งแต่เจ้าหนีมาเจ้าไม่รู้หรอกว่าข้าไม่ต่างกับคนที่ตายไปแล้ว หากครั้งนี้เสียเจ้าไปอีก ข้าคงไม่อยากมีชีวิต….”นางเอานิ้วมือปิดปากเขาเอาไว้ ก่อนหน้านี้นางโกรธเขามากจริง ๆ แต่เมื่อได้รับรู้สิ่งที่เขาพบเจอตลอดทางที่เดินทางมาหานางจากปากของสองสาวใช้ที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากองครักษ์ของเขาทั้งสองคนบอกกล่าวถึงความลำบากที่เขาพบมานางก็เริ่มใจอ่อน อีกทั้งเขาตามตื๊อนางอยู่เกือบร่วมเดือนในค่ายนี้โดยไม่สนใจยศถาบรรดาศักดิ์ขององค์รัชทายาทเลยแม้แต่น้อย นี่คือสิ่งที่ทำให้นางยอมยกโทษให้เขา“หากท่านยังพูดอีก ข้าจะไม่แต่งกับท่าน”“เย่หลิน ที่นี่มีพี่ชายของเจ้าอยู่ อย่างน้อยข้าควรให้เกียรติเขาในฐานะญาติผู้ใหญ่ ข้าจึงได้ไปปรึกษาเขาเรื่องจัดงานแต่ง..ในอีกสองวันข้างหน้า”“สะ…สองวันงั้นหรือ เช่นนี้จะเตรียมตัวกันทันหรือเจ้าคะ”เขาดึงนางเข้ามากอดเอาไว้แน่นพร้อมกับก้มลงไปหอมที่หน้าผากของนางอีกที“ขอเพียงมีแค่เจ้ากับข้าในพิธีกราบไหว้ฟ้าดินและส่งตัวเข้าหอ เพียงเท่านี้ก็นับว่าครบพิ
“เย่หลิน…..ยกโทษให้ข้าได้หรือไม่”เย่หลินค่อย ๆ ปลดมือเขาออกแต่ว่าเขากลับไม่ยอมปล่อย“ขออยู่แบบนี้สักครู่ เจ้าจะต่อว่าจะด่าหรือตีข้า ข้าก็ยอมทั้งนั้นแต่ขออยู่เช่นนี้สักประเดี๋ยวนะ”“เหตุใดต้องมาทนลำบากที่นี่ด้วย”“เจ้าอยู่ที่ใดข้าก็อยู่ที่นั่น ต่อให้ลำบากกว่านี้ข้าก็จะตามเจ้าไปทุกที่”“ท่านมิต้องทำหน้าที่องค์รัชทายาทงั้นหรือ”“ข้ากำลังทำอยู่นี่อย่างไร หาพระชายาให้ตัวเอง หากว่าข้าไม่มีพระชายาข้าก็คงไม่อยากเป็นรัชทายาทอีกแล้ว เย่หลินเจ้าเชื่อข้าอีกสักครั้งได้หรือไม่ ข้าไม่มีวันทรยศต่อเจ้าอีกข้าไม่กล้าแล้ว ครั้งนี้…ยกโทษให้ข้าเถอะนะ”“ท่านทำได้เช่นไรกัน ตอนที่ข้าเข้าวังในครั้งแรกข้าจำได้ว่าท่านยืนอยู่ด้านหลังข้า แล้วท่าน….”“คือว่า…ข้าสลับตัวกับกังลี่น่ะ เขามีรูปร่างท่าทางและน้ำเสียงใกล้เคียงกับข้าก็เลย…ให้เขาสลับตัว แล้วช่วงที่ข้าอ้างว่ากลับไปที่รถม้าเพื่อส่งหลางเสี่ยวหงกลับ ในตอนนั้นข้ากับกังลี่ก็สลับตัวกันอีกครั้งเพื่อกลับไปหาเจ้า”“เช่นนี้นี่เอง ครั้งที่พบกันที่ตำหนักบูรพา ท่านยอมเปิดหน้ากาก”“เพราะข้าต้องการบอกความจริงกับเจ้า เสียดายที่เจ้ายังลังเลสงสัยในตัวข้า วันนั้นก็เลยไม่ทันได้
“เย่หลิน เจ้า….ไม่ต้องการข้าแล้วจริง ๆ น่ะหรือ”เย่หลินไม่อยากจะใจอ่อนกับเขาอีก นางรีบเดินออกมาด้านนอกและหันไปมององครักษ์ทั้งสองที่ยืนอยู่หน้ากระโจม ตอนนี้เองที่นางพอจะรู้แล้วว่าพวกเขาคือผู้ใด“กังลี่ เป่ากง พวกท่านเองสินะ ไม่ต้องหลอกข้าแล้วข้ารู้เรื่องหมดแล้ว”องครักษ์ทั้งสองมองหน้ากันก่อนจะคำนับให้นาง“คุณหนูเซี่ย ข้าน้อยสองคนไม่ได้ตั้งใจแต่ว่าองค์รัชทายาทลำบากพระวรกายมากกว่าจะมาพบท่านถึงที่นี่ได้ หนทางที่มาช่างลำบากแต่ว่าพระองค์ก็ไม่ได้หยุดพัก หวังว่าท่าน….”“พวกท่านรีบเตรียมตัวพาเขากลับเมืองหลวงไปเถอะ ที่นี่มิได้สบายเฉกเช่นเมืองหลวงที่เขาจากมา เกรงว่าจะรักษาบาดแผลของเขาได้ไม่หายขาด”“แต่โรคของพระองค์คือโรคทางใจ หากจากไปก็คงรักษายากแล้ว”เย่หลินเดินออกจากกระโจมทันทีเพื่อจะไม่ต้องคุยกับพวกเขาอีก นางไม่อยากฟังเรื่องของพวกเขาแม้แต่น้อยไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็คือคนโกหกสำหรับนาง เรื่องที่เขาทำที่เมืองหลวงเป็นสิ่งที่นางยังทำใจยกโทษให้เขาไม่ได้กระโจมเย่หลิน“อะไรนะเจ้าคะ ท่านบอกว่าทหารองครักษ์นั่น…คือ”“ใช่แล้ว โม่จางหยวนหรือว่าองค์รัชทายาท เขาหลอกให้ข้ารักษาเขาจนหายโดยไม่บอก เขาโกหกข้าอีกแล
นางป้อนข้าวเขาจนเสร็จและค่อย ๆ ป้อนยาให้เขา เมื่อป้อนเสร็จไม่นานทหารด้านนอกก็เดินเข้ามาพร้อมกับถุงผ้าห่อใหญ่ เขาเอาวางบนโต๊ะและรีบเดินออกไปทันที“นั่นคืออะไรหรือ”“ให้เจ้า”“ท่านยอมพูดแล้วหรือ”“อืม…เจ้า…ไว้ใจได้”“แล้วมันคือสิ่งใดกัน”เขาทำเพียงแค่ชี้ไปที่ถุงนั้นแล้วไม่พูดอะไรอีก เย่หลินนำถามยามาวางและรินน้ำส่งให้เขาดื่มเพื่อดับความขมของยาและเดินกลับมาดูของที่อยู่ในห่อ เมล็ดเซียงหย่าเต็มถุงทำให้นางรู้สึกตื่นเต้นราวกับได้ทองสามร้อยตำลึง“นี่ท่าน….ให้คนไปเก็บมาทั้งหมดนี้เลยงั้นหรือ”“อืม”“ยอดไปเลยท่านองครักษ์ นี่มันจะช่วยทหารในค่ายนี้ ข้าจะสามารถทำยาแก้ไข้ แก้พิษของแมลงออกมาช่วยพวกเขา ขอบคุณพระคุณของพวกท่านในครั้งนี้ ข้าจะรีบนำมันไปอบก่อนท่านก็รีบพักผ่อน พรุ่งนี้เช้าข้าจะมาอีกครั้งและเปลี่ยนยากับผ้าพันแผลให้”นางเดินออกไปแล้วพร้อมกับถุงขนาดใหญ่ที่บรรจุเมล็ดเซียงหย่าเต็มถุง ทหารหน้ากระโจมเป็นคนอาสาถือไปส่งให้นางที่กระโจมพักและเดินกลับเข้ามาหาเขาทันที“กระโจมข้างท่านรองแม่ทัพ มีเพียงสาวใช้สองคนอยู่ด้วยแต่พวกนางแยกกระโจมนอนช่วงกลางคืนพ่ะย่ะค่ะ”“ดีมาก ขอบใจเจ้ามากเป่ากง เจ้า…คงไม่ได้ทำอะ