“ไม่ต้องตกใจขนาดนั้น ไปถึงก็รู้เองรีบไปเถอะ พวกเจ้าคอยดูต้นทางและความปลอดภัยของทุกคนให้ดี”
“ขอรับคุณชาย”
ห้องพักที่พวกเขาจองทั้งหมดสามห้อง ซึ่งห้องของนางและโม่จางหยวนเป็นห้องที่อยู่ตรงกลางและเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดซึ่งมีห้องแยกสองห้องนางจึงเข้าใจที่เขาพูด ด้านซ้ายเป็นห้องขององครักษ์ของเขาส่วนทางขวาสุดริมทางเดินเป็นของสาวใช้ทั้งสองของนาง
“ท่าน…ไม่นอนหรือ เหตุใดไปนั่งอยู่ที่นั่น”
“คุณหนูรอง เจ้าคงลืมไปแล้วว่าข้าเป็นองครักษ์ของเจ้า แน่นอนว่าต้องคอยอารักขาเจ้าแม้แต่ยามที่เจ้าหลับ”
“ต้องทำเช่นนั้นเลยหรือ”
“เจ้านอนพักเถอะ ข้าชินแล้ว”
แต่ผู้ใดจะหลับลงได้เมื่อมีคนอื่นอยู่ร่วมห้องด้วยเช่นนี้ หลางเย่หลินลอบมององครักษ์หนุ่มที่นั่งอยู่ที่ริมหน้าต่าง สายตาเขามองออกไปด้านนอก แต่ใบหน้าที่ต้องแสงจันทร์นั้นทำเอาหัวใจของหลางเย่หลินสั่นไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง แม้ว่าเขาจะไม่ได้หันมามองนางเลยก็ตาม
“เจ้านอนไม่หลับหรือคุณหนูรอง”
“ข้า…ไม่ชินกับ…การลงมาจากเขา ที่นั่นมิได้เสียงดังเช่นนี้”
“เจ้ามาดูตรงนี้สิ”
เขาหันมาเรียกนาง อีกอย่างคงเพราะผ้าที่นางใช้คลุมนั้นด้วย เวลานางนอนก็ยังไม่คิดจะถอด เช่นนี้จะหายใจสะดวกได้อย่างไรกัน เมื่อนางเดินมาที่หน้าต่าง ด้านล่างนั้นยังไม่ดึกมาก ผู้คนยังเดินไปมาอยู่เยอะพอสมควรจนนางรู้สึกว่าเมืองเล็ก ๆ ย่านชานเมืองก็มีคนพลุกพล่านเช่นกัน
“คนเยอะมากเลย พวกเขาไม่หลับไม่นอนกันเลยหรือ”
“ที่นี่เป็นแถบชานเมือง ในเวลาเช่นนี้ ผู้ที่ค้าขายก็พึ่งจะปิดร้าน เมื่อปิดร้านก็จะเริ่มหาอะไรกิน ส่วนผู้ที่ขายอาหารช่วงค่ำก็พึ่งจะเริ่มตั้งร้านและทำงาน พวกเขาเป็นเช่นนี้ทั้งวัน ทั้งคืน ผลัดกันตื่นผลัดกันหลับเป็นเรื่องปกติของคนแถบชานเมือง”
“ดูท่านรู้ดีเรื่องวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่เสียจริง”
“ข้าไปมาทั่วใต้หล้า งานองครักษ์ก็เป็นเพียงงานรับจ้างงานหนึ่งเท่านั้น ทำไม เจ้านึกสนใจอยากท่องเที่ยวไปทั่วหล้าเช่นกันงั้นหรือ”
“ข้า….ไม่เคยลงจากเขาฉีซางมานานแล้วนับตั้งแต่ท่านแม่เสีย”
เขาหันมามองนางอีกครั้ง สายตาของนางอ่อนโยนลงแล้วหลังจากผ่านไปเกือบวัน อย่างน้อยเขาก็รับรู้อารมณ์ของนางได้ผ่านสายตา
“คุณหนูรอง เหตุใดเจ้าเอาแต่สวมผ้าคลุมหน้าเช่นนั้น นี่อาจจะเป็นสาเหตุทำให้เจ้านอนไม่หลับเพราะหายใจไม่สะดวก”
“ข้า….”
“เชื่อข้าเถอะ ข้าเป็นองครักษ์ของเจ้า ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าตกอยู่ในอันตรายหรอก”
“ข้าเกรงว่าท่านจะตกใจ”
“เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า ข้าไม่มองก็ได้หากเจ้าไม่วางใจ ข้าไปนอนล่ะ”
“ไหนท่านบอกว่า…”
“หากว่าข้ายังนั่งอยู่เช่นนี้ทั้งคืนเจ้าก็คงจะนอนไม่หลับ ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่ว่าจะเป็นฝีเท้าหนูตัวเล็กหรือตีนแมวย่องเบาข้าก็รู้ก่อนเจ้าอยู่แล้ว รีบไปนอนเถอะพรุ่งนี้เราจะเดินทางถึงเมืองหลวงแล้ว”
เขาเดินไปยังห้องที่มีม่านกั้นเอาไว้อีกทางหนึ่ง เย่หลินเห็นว่าเขาเดินเข้าไปนอนแล้วนางจึงเดินกลับไปที่เตียงและตัดสินใจดึงเชือกผูกผ้าคลุมหน้าออกมาและส่องดูที่กระจก ที่แก้มของนางมีรอยแผลยาวอยู่ทั้งสองข้าง นางลูบขึ้นลงและใช้บางอย่างบนโต๊ะทาลงไปที่แผลนูนบนแก้มนั้นอีกครั้งก่อนจะเข้านอน
ดึกคืนนั้น
โม่จางหยวนมิได้หลับสนิท เขาลุกเดินออกไปด้านล่างหลังจากที่นางหลับสนิทแล้ว เมื่อลงไปสำรวจดูนักฆ่าที่ถูกส่งมากำจัดนางยังคงตามพวกเขาออกมาและกังลี่เป็นคนที่จับพวกมันที่เหลือได้
“พวกมันตามเรามาตั้งแต่ก่อนเข้าเมืองแล้วขอรับ”
“เป็นคนของใคร”
“……”
“ข้าเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมสตรีผู้นี้ถึงได้บังคับให้ข้ากินยาพิษนั่น จัดการให้เสร็จและรีบกลับ”
“ขอรับ”
เมื่อกลับมานางก็หลับสนิทไปแล้ว โม่จางหยวนไม่ได้อยากนึกอย่ากล่วงเกินนางแต่เขาเพียงใคร่อยากจะเห็นใบหน้าที่ไร้การปกปิดนั้นเสียหน่อย หากว่าเกิดพลัดหลงกับนาง อย่างน้อยก็จะได้จำนางได้
เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้นางยามหลับก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าที่ใบหน้าของนางมีรอยแผลขนาดใหญ่และยาวพาดอยู่ที่แก้มทั้งสองข้าง ใบหน้านั้นงดงามแต่มีรอยแผลซึ่งดูเหมือนจะเป็นแผลที่พึ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน
“เป็นเช่นนี้นี่เอง”
เขารีบถอยออกมาและกลับไปที่เตียงของตนเองพลันนึกถึงเรื่องในวันนี้ เขาลงเขามาพบว่าคนร้ายถูกนางกำจัดด้วยพิษ แม่ชีอี้ซินบอกเขาแล้วว่าพวกนางมีวรยุทธ์แต่เท่าที่เขาเห็นนางน่าจะใช้ยาพิษมากกว่า เขาเร่งตามพวกนางมา โชคดีที่มาเร็วจนกำจัดคนร้ายไปได้อีกชุดหนึ่ง นึกไม่ถึงว่านางแค่คนเดียวจะมีคนปองร้ายมากขนาดนี้
“แค่ตำแหน่งพระชายารัชทายาท ถึงกับต้องฆ่าและทำร้ายกันถึงเพียงนี้ ช่างน่าสมเพชบุตรขุนนางพวกนี้จริง ๆ”
วันถัดมา
พวกเขาเดินทางเข้าเมืองหลวงตามกำหนดเวลาที่ช้าไปกว่าที่จะเป็นหนึ่งวันเต็ม ๆ เมื่อเห็นประตูเมือง โม่จางหยวนก็กระโดดลงจากรถม้า
“เอาล่ะ เราจะแยกกันตรงนี้ ข้าจะไม่นั่งรถไปกับเจ้าแต่จะตามไปเงียบ ๆ ไม่ต้องห่วง ข้าจะให้เป่ากงเป็นคนไปส่งเจ้าถึงจวนสกุลหลาง เจ้าเพียงแค่บอกว่าเขาเป็นคนขับรถม้ารับจ้างก็พอ”
“เข้าใจแล้ว ว่าแต่ข้าจะ…”
เขาโยนนกหวีดหยกมาให้นางรับเอาไว้
“นกหวีดหงส์หยกสีขาวงั้นหรือ”
“ใช้เรียกข้า แต่ไม่ต้องห่วงเพราะข้าจะอยู่กับเจ้าตลอดเวลาแม้เจ้าจะไม่เห็นตัวข้าก็ตาม หากอยู่ในอันตรายก็จงเป่ามันข้าจะรีบไปทันที”
“เข้าใจแล้ว”
“เป่ากง ฝากด้วย”
“ขอรับคุณชาย”
รถม้าวิ่งเข้าเมืองไปแล้ว กังลี่จึงหันมามองเขาเพื่อรับคำสั่งต่อไป
“พวกคนร้ายที่จับได้เจ้าเอาพวกมันส่งกลับมาแล้วใช่หรือไม่”
“ทำตามคำสั่งเรียบร้อยแล้วขอรับ”
“ส่งพวกมันไปที่สกุลหลาง ต้องส่งไปหลังจากที่แน่ใจแล้วว่านางเข้าจวนไปแล้ว ข้าอยากจะรู้นักว่าจะมีผู้ใดกล้ายอมรับเรื่องแผนการสกปรกนี่ได้”
“คุณชาย แล้วท่าน…”
“ข้าต้องไปจัดการบางอย่างเจ้ารีบไปที่ศาลและจัดการเรื่องที่เหลือก่อนที่เป่ากงจะไปถึงสกุลหลาง”
“รับทราบ”
โรงเตี๊ยมใหญ่ในเมืองหลวง / ห้องส่วนตัว
“พิราบโบยบิน”
“ให้เข้ามาได้”
โม่จางหยวนเปลี่ยนสวมชุดที่เตรียมเอาไว้ก่อนจะขึ้นมาและสวมหน้ากากสีดำเอาไว้เช่นเดิมและเดินเข้าไปพบสตรีสูงวัยในห้องนั้น แม้ว่าจะมีฉากกั้นระหว่างเขากับนางก็ตาม
“จัดการเรียบร้อยหรือไม่”
“ฮูหยิน พวกเราทำงานพลาด นางรอดมาได้”
“กึก!!”
“ว่าอย่างไรนะ พลาดงั้นหรือ แล้วพวกเจ้าถูกจับได้หรือไม่”
“พวกของข้าตายหมดแล้วเหลือรอดเพียงข้าคนเดียว”
“เหตุผลล่ะ ที่ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
“ฮูหยิน ตอนที่พวกข้าลงมือ พบกับนักฆ่าอีกชุดหนึ่งที่ส่งมาเช่นกัน แต่ละคนต่างไม่ทราบว่ามาทำสิ่งใดก็เลย…ลงมือฆ่ากันเอง”
“เหลวไหลยิ่งนัก!! นี่มัน…เรื่องอะไรกัน”
เสียงที่โมโหขึ้นสุดขีดพร้อมกับปัดของบนโต๊ะแตก น่าจะเป็นชุดชาที่เหลือ โม่จางหยวนคิดว่านางคงเริ่มใกล้จะสติแตกแล้วหากว่าได้ยินคำที่เหลือ
“ยังมี…คนที่ต้องการฆ่านางนอกจากข้าอีกงั้นหรือ บ้าจริงหากรู้เช่นนี้คงไม่ต้องเสียเวลา”
“ฮูหยิน ฝ่ายข้าน้อยจับพวกมันได้สองคนเพื่อมาถาม”
“มันเป็นคนของผู้ใดกัน”
โม่จางหยวนแสยะยิ้มออกนิดหนึ่งก่อนที่จะตอบนางกลับไปด้วยเสียงเรียบ ๆ
“คุณหนูสามสกุลหลาง…หลางเสี่ยวหง”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ….เจ้าบอกว่า”“ขอรับ ไม่ผิดแน่เพราะพวกมันรับสารภาพเอง เพราะพวกมันที่เข้ามาขัดขวางพวกข้าน้อยจึงลงมือไม่ได้และมัวแต่ต่อสู้กันเองดังนั้น…..”“ตอนนี้นาง!!”“เข้าเมืองหลวงมาแล้วขอรับ”“แล้วคนที่เหลือเจ้าจัดการหมดแล้วหรือไม่”“โชคร้ายที่คนของข้าน้อยตายหมดเหลือเพียงข้า แต่ว่าคนของคุณหนูสามสกุลหลาง….ถูกจับได้”“ว่าอย่างไรนะ!! เจ้ารีบไปได้แล้ว หากมีเรื่องครั้งหน้าข้าจะเรียกใช้เจ้า เรื่องครั้งนี้ข้าถือว่า…มันไม่ใช่ความผิดพลาดของเจ้า เงินค่าจ้างที่เหลืออยู่นี่ ข้าต้องไปก่อนล่ะ”“ขอบคุณฮูหยิน”สตรีสูงศักดิ์เร่งเดินออกจากห้องไปพร้อมกับคนของพวกนาง ไม่นานโม่จางหยวนก็เดินออกมาจากฉากกั้นประตูไปที่โต๊ะที่วางถุงเงินขนาดใหญ่อยู่ เขาถอดหน้ากากออกและหยิบถุงเงินนั้นขึ้นมา“ห้าร้อยตำลึง ค่าตัวนางช่างแสนถูกนักเมื่อเทียบกับฐานะบุตรสาวเสนาบดีใหญ่ของต้าเซี่ย”“คุณชาย!!”กังลี่นั่นเอง เขาเร่งเข้ามาในห้องหลังจากไปจัดการเรื่องที่โม่จางหยวนสั่งให้ไปทำ ถุงเงินห่อใหญ่ถูกโยนไปให้กังลี่โดยไม่ได้มอง “นี่คือ…”“ค่าจ้างของพวกนักฆ่าที่หลางฮูหยินสั่งพวกมันไปฆ่าหลางเย่หลิน”“แต่เราฆ่าพวกนักฆ่าพวกนั้นหมดแล้ว…
เสนาบดีหลางหันไปมองเย่หลิน เขาหยุดเกาเคราแพะน่าเกลียดนั่นได้เสียทีเมื่อหันมามองสบตาบุตรสาวคนโต“เจ้าว่าอย่างไรนะ ระหว่างทางเกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ”“ลูกถูกคนลอบฆ่าถึงสองครั้งเจ้าค่ะ”“เจ้าว่าอย่างไรนะ!! มันเกิดขึ้นได้เช่นไร”เสนาบดีหลางตกใจเล็กน้อยและหันไปมองฮูหยินที่นั่งบีบผ้าเช็ดหน้าอยู่ในมือแต่สายตายังมองไปที่เย่หลินไม่วางตากับบุตรสาวที่นั่งไม่นิ่งตั้งแต่เมื่อครู่นี้“เจ้าค่ะ โจรชั่วนั่นถูกสั่งให้มาฆ่าลูก อีกกลุ่มหนึ่งถูกสั่งให้มา…ทำลายโฉมหน้าของลูก”“ดังนั้นเจ้าจะบอกว่า!!….ที่ใบหน้าเจ้า”หลางเย่หลินลุกขึ้นมาและค่อย ๆ เปิดใบหน้าของนางออกให้ทั้งหมดในห้องโถงดู แผลที่ยาวบนใบหน้าของนางนั้นสร้างความตกใจให้กับเสนาบดีหลางเป็นอย่างมากแต่กลับทำให้หลางเสี่ยวหงลอบยิ้มอย่างสะใจส่วนฮูหยินนั้นนั่งตัวแข็งทื่อราวกับหินแกะสลักก็มิปาน“พ่อบ้านต้าเซิ่ง…เจ้า…รีบไปเรียกหมอมาเร็วเข้า รีบไปเรียกมาดูใบหน้าให้นางหน่อย”“ขอรับนายท่าน”“อย่าเลยเจ้าค่ะท่านพ่อ”“ไม่ได้!! ใบหน้าของสตรีเป็นสิ่งสำคัญเจ้าจะ…”“แผลนี้ย่อมต้องมีคนชดใช้ลูกเข้าใจเจ้าค่ะ แต่มิใช่ตอนนี้ และแผลนี้ลูกเองก็มีทางรักษาให้หายได้เจ้าค่ะท่านพ่ออย่
หลางเย่หลินหันไปมอง นางคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าคนอย่างหลางเสี่ยวหงจะไม่ยอมแพ้ แต่ในเมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นไม่ว่านางจะอยากเสียหรือไม่ นางก็ต้องยอมเพราะว่า….“เอาเช่นนี้ ข้าจะให้คนไปทำความสะอาดเรือนหลังให้เจ้า”“ท่านพ่อบอกกับข้าแล้ว ข้ามาที่นี่ในฐานะคุณหนูรองสกุลหลาง เจ้า…ท่านก็เห็นอยู่ว่าแม้แต่ใต้เท้าของศาลต้าหลี่ก็รู้จักข้า พวกท่านยังจะกล้าให้ “ผู้อื่น” ที่มิใช่บุตรคนโตพักอยู่เรือนนั้นอยู่งั้นหรือ หรือว่าการอยู่ในจวนเสนาบดีมาหลายปีนี้ จะไม่สามารถขัดเกลา…”“พอที!! เย่หลิน เรื่องนี้ค่อนข้างกะทันหันเกินไป เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน”“กะทันหันงั้นหรือ ท่านพ่อท่านเอ่ยผิดแล้วกระมังเจ้าคะก่อนหน้านี้ท่านส่งจดหมายไปบนเขาฉีซางที่ข้าอยู่ใช้เวลาค่อนเดือนและข้าเองก็ใช้เวลาลงเขามาร่วมห้าวัน พวกท่านไม่เพียงไม่จัดห้องพักให้แต่ยังมาใช้ข้ออ้างเช่นนี้ลูกคิดว่า…ลูกเสียใจยิ่งนักที่เป็นเช่นนี้”เสนาบดีหลางคิ้วกระตุกรุนแรงเมื่อได้ยินบุตรสาวที่ห่างหายจากจวนไปเกือบห้าปีพูดให้เขาได้สำนึก แม้ว่าจะไม่ได้เอ่ยตรง ๆ แต่วาจาราดยาพิษนั่นราวกับจะบอกขาว่านางมาที่นี่ด้วยฐานะใด “ข้าเข้าใจแล้ว เสี่ยวหง เจ้าย้ายออกมาไปอยู่เรือนหล
เสียงกรีดร้องของหลางเสี่ยวหงเรียกให้บ่าวไพร่ทั้งจวนมารวมตัวกันได้พร้อมกับพยายามไล่ผึ้งฝูงใหญ่ที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใดแต่ที่แน่ ๆ มันแฝงอยู่ในห้องนอนของหลางเสี่ยวหงอย่างไม่ต้องสงสัย บัดนี้ทั้งหลางฮูหยินและคุณหนูสามถูกผึ้งต่อยที่ใบหน้าจนเจ็บปวดและเริ่มมีแผลจำนวนมากแล้ว “ยังเป็นเสียงที่ฟังแล้วงี่เง่าและน่าสมเพช ผ่านไปกี่ปีก็น่ารังเกียจเช่นเดิมไม่เปลี่ยนเลย”เย่หลินเปิดจุกน้ำผึ้งและยื่นจากหน้าต่างเพื่อเรียกฝูงผึ้งให้บินกลับมา ผึ้งฝูงนี้นางเป็นผู้เลี้ยงเอาไว้เอง เหล็กในของผึ้งแต่ละตัวเคลือบ “พิษผึ้งฝากรัก” เอาไว้ มันจะทำให้ผู้ที่โดนต่อยมีตุ่มพุพอง ยิ่งกรีดเอาเหล็กในออกก็จะยิ่งลุกลามเป็นแผลใหญ่หากไม่ได้ยาถอนพิษของนาง ต่อให้เป็นบัวหิมะยอดเขาซีหวนก็ไม่มีทางทำให้แผลบนใบหน้าหายไปได้“แย่แล้วขอรับ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปพวกนางต้องตายแน่ ๆ”“ไม่ตายหรอก เจ้าดูสิ ฝูงผึ้งนั่นกลับไปหาเจ้าของแล้ว”“เจ้าของหรือขอรับ หรือว่า!!”“หึ”โม่จางหยวนมองอยู่ที่หลังคาเรือนใหญ่ เขาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ฝูงผึ้งบินกลับไปตามทิศทางที่มันมาทางทิศตะวันตกจากห้องของหลางเย่หลิน“ลูกเล่นนางช่างมีมากมายจนทำให้ข้าประหลาดใจไม่น้อย”
เสนาบดีหลางตกใจจนพูดไม่ออก แม้ว่าจะบอกว่าผึ้งต่อยแต่เขาไม่เคยเห็นผู้ใดถูกต่อยจนใบหน้าเสียโฉมเช่นที่เสี่ยวหงโดน เขาหันไปมองเย่หลินที่มองไปที่เสี่ยวหงและหันมามองเขา“น้องสาม เจ้าถูกต่อยขนาดนั้นข้าไม่แปลกใจเลยที่ข้าวของในห้องของเจ้า….หรือว่านี่คือแผนการทำร้ายข้าอีกเช่นนั้นหรือ ท่านพ่อเจ้าคะข้าควรจะทำเช่นไรดี เดิมทีก่อนมาที่นี่ก็ถูกลอบฆ่า เข้ามาในจวนก็ยัง….”“หลางเสี่ยวหง!! ข้าต้องการคำอธิบายในเรื่องนี้!!”“ท่านพ่อลูกไม่รู้เรื่องนะเจ้าคะ ลูกไม่รู้ว่าฝูงผึ้งนั่นมาจากที่ใด ลูกก็…”“หากเจ้าไม่รู้เหตุใดจึงไม่เรียกให้คนมาช่วยกำจัดแต่กลับหลอกพี่เจ้าเข้าไปในห้องโดยที่นางไม่รู้ หึ นางเอาของด้านในมาเผาก่อนที่พวกมันจะลุกลามไปทั่วจวนก็ทำถูกต้องแล้ว!!”“ท่านพ่อ ลูก…..”“เจ้าหุบปากไป แล้วไสหัวไปไกล ๆ จะไปไหนก็ไป จากนี้ไปอยู่เรือนหลัง เรือนเดิมที่เจ้ากับแม่เจ้าเคยอยู่ ไป!!!”“ท่านพี่!!”“ท่านพ่อ!!!”“พ่อบ้านต้าเซิ่ง”“ขอรับ”“ให้คนย้ายของของพวกนางไปที่เรือนหลัง ไม่มีคำสั่งข้าอย่าได้ให้ข้าเห็นพวกนางที่เรือนหน้าอีก”“ขอรับนายท่าน”“ท่านเสนาบดีท่านจะทำเช่นนี้กับพวกเราหาได้ไม่นะเจ้าคะ”เสนาบดีหลางเดินมา เม
“ท่าน!!….เหตุใดจึงมาโผล่เอาตอนนี้”เขาต่างหากที่ต้องตกใจ ใบหน้าที่เนียนผุดผ่องราวแสงจันทราบนท้องฟ้ายามราตรีตรงหน้านี้ต่างหากที่ทำเอาเขาถึงกับตกตะลึง แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยคิดว่านางต้องมีใบหน้าที่งดงามมาก แต่นึกไม่ถึงว่าจะงดงามมากกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้เช่นนี้ หลางเย่หลินเองก็ตกใจเมื่อเขาโผล่มาเช่นนี้เหมือนกัน“ท่าน!!…”นางพึ่งนึกออกว่าล้างหน้าออกไปหมดแล้วและมิได้สวมผ้าคลุมหน้า ดังนั้นในตอนนี้เขาจึงได้เห็นใบหน้าจริงของนาง“ข้าคิดเอาไว้แล้วเชียวว่าต้องไม่ปกติเป็นแน่ ตอนที่ข้าช่วยเจ้าตัวเจ้าไร้รอยแผลไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนหรือเลือดสักหยด จะเป็นไปได้เช่นไรที่จะมีรอยแผลน่าเกลียดบนใบหน้านั่น”“ท่านต้อง..”“เจ้าคิดว่าข้าจะมีโอกาสไปพูดกับผู้ใดงั้นหรือคุณหนูรอง ข้าเป็นองครักษ์ข้างกายเจ้านะ”“ข้างกายข้างั้นหรือแต่ในตอนที่ข้าเรียกท่านกลับไม่มา เช่นนี้นกหวีดนี่….”“เอ๋ ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่มาแต่เจ้าเรียกไม่ดูตาม้าตาเรือต่างหาก ในเวลานั้นที่เจ้ายืนเป่านกหวีดอยู่ที่ระเบียงหน้าเรือน เจ้าคงไม่ทันสังเกตคุณหนูสามที่แอบมองมาจากเรือนหลังสินะ”“หมายความอย่างไรนะ นี่นาง….แอบดูงั้นหรือ”“ใช่ โชคดีที่เจ้ายังสวมผ้าค
แม้ว่าท่าทีของเย่หลินจะยังนิ่งอยู่แต่ในใจนั้นนางแอบตกใจเล็กน้อยที่เสี่ยวหงรู้เรื่องนางกับโม่จางหยวนที่พบกันที่ระเบียงด้านหลังเรือนพัก พวกเขาเริ่มคุยกันในหลาย ๆ เรื่องแต่นางกลับคิดไม่ถึงว่าขนาดโม่จางหยวนจะระวังตัวถึงเพียงนี้แต่กลับไม่หลุดรอดพ้นสายตาของหลางเสี่ยวหง“เจ้าหลับฝันหรืออย่างไร ข้าน่ะหรือ…”“บุรุษภายใต้หน้ากากสีดำชุดดำที่ลอบมาพบเจ้าทุกค่ำคืน หากเรื่องนี้หลุดไปที่ท่านพ่อ ข้าคิดว่าเรื่องที่เจ้าจะเข้าวังคงเป็นไปไม่ได้และ….”“หลางเสี่ยวหง อย่าได้เอาเรื่องเหลวไหลเหล่านี้ไปรบกวนท่านพ่อให้เสียเวลาดีกว่า ในยามนี้คำพูดของเจ้ากับข้า ท่านพ่อจะฟังผู้ใดเจ้ายังนึกไม่ออกอีกหรือ แม้นว่าข้าจะพบบุรุษผู้นั้นจริงแล้วเช่นไรเล่า แค่เจ้าเห็นเพียงคนเดียวจะทำให้เกิดสิ่งใดได้ มันทำให้พิษบนใบหน้าเจ้าหายไปได้อย่างนั้นหรือ”“หลางเย่หลินนี่เจ้า!!…เจ้ายอมรับแล้วสินะว่านี่เป็นฝีมือของเจ้า”“เดี๋ยว ๆ ข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ เจ้ามาที่นี่เพื่อข่มขู่ข้าในเรื่องที่แม้แต่ผียังเป็นพยานให้เจ้าไม่ได้เลย แล้วยังมาโยนความผิดเรื่องแผลบนใบหน้าเจ้าให้กับข้าทั้ง ๆ ที่วันนั้น…เจ้าเป็นผู้ที่หลอกให้ข้ามารับเคราะห์ต่อจากเ
“ข้าเปล่านะ!!…ท่านพูดเองมิใช่หรือว่าเป็นองครักษ์ของข้า แล้วเหตุใด…”“คุณหนูรอง หากเสร็จสิ้นภารกิจนี้แล้วข้าก็ต้องไปเช่นกัน จากนั้น…”“ท่านก็จะไปเป็นองครักษ์ให้คนอื่น ๆ ต่องั้นหรือ”“หืม…เจ้าว่าอย่างไรนะ”หลางเย่หลินเผลอพูดจาเอาแต่ใจกับเขาไปจนทำให้โม่จางหยวนตกใจไปเล็กน้อยเมื่อหันมามองนาง แต่ตอนนี้เย่หลินเริ่มโมโหตัวเองที่เผลอพูดเรื่องบ้า ๆ นี้ออกไปกับเขา คงเป็นเพราะหลายวันมานี้นางคุยกับเขามากเกินไป จนลืมว่าสักวันหนึ่งเขาจะต้องไป“ข้า…ไม่มีอะไรข้าจะไปนอนแล้ว”“เดี๋ยวสิหลางเย่หลิน”เขาดึงแขนนางเอาไว้ น่าแปลกที่ครั้งนี้เย่หลินมิได้ปัดมือเขาออกแต่นางกลับยืนนิ่งราวกับว่ากำลังสับสนบางอย่าง“ข้าอยากรู้ว่าเจ้าโมโหเรื่องใดกันแน่”“ข้ามิได้โมโห ท่านก็รู้ว่ารอบด้านมีคนดักมองมาที่นี่ ข้าต้องระวังตัว”“งั้นหรือ แต่ข้าบอกเจ้าแล้วว่าข้าเปิดเผยตัวตนกับผู้อื่นได้”“แต่ข้าไม่อยาก!!….”เป็นอีกครั้งที่เขาหันมามองใบหน้านาง เย่หลินหลบตาเขาเป็นครั้งแรกและสะบัดแขนจนหลุดก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องทันทีโดยทิ้งเข้าเอาไว้นอกระเบียง“ทีเจ้ายังอยากจะเข้าร่วมงานคัดเลือกชายาองค์ชายนั่นเลยมิใช่หรือ เหตุใดต้องทำเป็นโมโห
สิบสองปีผ่านไป / วังหลวง“องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ”กังลี่เที่ยวมองหาองค์ชายใหญ่ที่กำลังฝึกวิชาอยู่ในสวนแต่จู่ ๆ ก็หายไปจากสายตาของเขาหลังจากที่เขาถูกฝ่าบาทเรียกไปเพื่อสั่งงานบางอย่างก่อนที่พระองค์จะเสด็จเข้าไปที่ท้องพระโรงเพื่อประชุมราชสำนัก“ข้าอยู่นี่อาจารย์กังลี่”“องค์ชายเซียวหยาง ลงมาเถิดพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาทกำลังประชุมราชสำนักเช้าอยู่ หากว่าพบพระองค์อยู่ตรงนี้จะถูกลงโทษนะพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าพึ่งถูกเสด็จแม่ไล่ออกมาจากตำหนักเพราะว่านางกำลังจะให้นมน้องของข้า มาปีนต้นไม้ก็ถูกท่านพบเข้าอีก เฮ้อ ชีวิตองค์ชายในวังนี่แสนลำบาก หรือว่าข้าควรจะขอเสด็จพ่อไปฝึกที่กองทัพบูรพาของท่านลุงเจิ้งหลิงดีเล่ากังลี่”“ลงมาก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”“องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ”“เป่ากง!!”“รีบลงมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมีบางอย่างให้ทอดพระเนตรพ่ะย่ะค่ะ”“สิ่งใดงั้นหรือ หากว่าเป็นหนังสือวิชายุทธ์เช่นวันเก่าข้าไม่เอาแล้วเพราะข้าอ่านหมดแล้ว”“หน้ากากที่พระององค์สั่งให้กระหม่อมไปทำให้เสร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ว่าอย่างไรนะ จริงหรือเป่ากงเสร็จแล้วงั้นหรือแล้วทำไมไม่รีบบอกเล่า”“จ้าวเซียวหยาง” องค์ชายใหญ่ซึ่งเป็นพระโอรสของฮ่องเต้จ้าวซางหยวนและฮองเฮาเซี
“หา!! เจ้าว่าอย่างไรนะ แล้วทำไมไม่รีบบอกเล่า แล้วเหตุใดจึงเอาไปวางไว้ที่เดียวกับยาทาแผล”“โม่จางหยวน!! นี่ท่านแน่ใจแล้วใช่หรือไม่ว่ามิได้จงใจจะฆ่าหม่อมฉัน”“เย่หลินข้าเปล่านะ ข้าก็แค่….”“ออกไปเลย แล้วไปเรียกหย่าหลีมาให้หม่อมฉัน!!”เรือนใหญ่“เรื่องมันก็เป็นเช่นนี้”“ดังนั้นในตอนนี้….”องค์รัชทายาทนั่งที่โต๊ะพร้อมกับเซี่ยเจิ้งหลิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เพื่อฟังเรื่องที่พระองค์เล่าให้ฟัง เซี่ยเย่หลินไล่องค์ชายออกมาเพราะว่าเขาทำนางบาดเจ็บและหยิบขวดยามาผิดนางจึงโกรธและไล่เขาออกมาจากห้อง“ตอนนี้…”“สาวใช้ของนางกำลังทำแผลให้นางอยู่ข้างใน เจ้าช่วยข้าหน่อยสิเจิ้งหลิง”“เฮ้อ องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเองก็ไม่ได้ต่างจากพระองค์นะพ่ะย่ะค่ะ หากว่าหลินเอ๋อร์โกรธเข้าล่ะก็…”“แต่เจ้าเป็นพี่ชายนางนะ”“พระองค์เป็นถึงพระสวามียังถูกไล่ออกมาจากห้องเลยนะพ่ะย่ะค่ะ คิดว่านางจะ…”“เจ้าไปลองดูหน่อย ไปสิ เร็ว ๆ เข้า”“เอ่อ….องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่ามีวิธีที่ดีกว่านั้นนะพ่ะย่ะค่ะ เรื่องเช่นนี้พระองค์ควรจะ….”เซี่ยเจิ้งหลิงกระซิบบางอย่างกับองค์ชาย โม่จางหยวนเริ่มยิ้มออกมาและพยักหน้าอย่างรู้ทัน เขาหันมามองหน
เมืองหลวงหลังจากพิธีอภิเษกที่กองทัพบูรพาผ่านไปสิบวันองค์รัชทายาทก็ได้เสด็จกลับเมืองหลวงพร้อมกับพระชายาเซี่ยหลิงเย่ ขบวนนำเสด็จถูกจัดขึ้นอย่างสมพระเกียรติเพราะในครั้งนี้กองทัพบูรพาที่ยิ่งใหญ่ของรองแม่ทัพเซี่ยเจิ้งหลิงจัดขบวนทัพเข้าเมืองหลวงด้วยตัวเอง เมื่อขบวนรถม้าขององค์รัชทายาทเข้าสู่ประตูเมืองหลวงก็ได้รับการต้อนรับอย่างคับคั่งจากชาวบ้านในเมืองหลวงที่ทราบมาก่อนหน้านี้แล้ว“ตื่นเต้นเหรอเย่หลิน”“คิดไม่ถึงว่าจะได้กลับมาอีกครั้งเพคะ หม่อมฉัน…”“ถึงอย่างไรเจ้าก็หนีวังหลวงไม่พ้นแล้วล่ะพระชายา ทางที่ดีทำใจและยอมรับเสียเถอะ”“หม่อมฉันขอบพระทัยพระองค์ที่ทรงประทานแซ่เซี่ยให้หม่อมฉันและพี่ใหญ่เพคะ”“นั่นเป็นสิ่งที่เสด็จพ่อทรงประทานให้แม่ทัพเซี่ยผู้เฒ่ามิใช่ข้า สิ่งที่ข้าจะมอบให้เจิ้งหลิงกับเจ้าน่ะ คือสิ่งนั้นต่างหากเล่า”องค์รัชทายาทเปิดหน้าต่างรถม้าเพื่อให้นางเห็นบางอย่างที่อยู่ตรงหน้า จวนหลังใหญ่ที่ประดับตกแต่งแล้ว ประตูจวนนั้นเขียนด้วยป้ายพระราชทาน “ความดีงามคงอยู่ตลอดกาล” “ที่นี่คือ….."จวนสกุลเซี่ย" พระองค์…"“แน่นอนว่าจะต้องมีจวนเพื่อสกุลเซี่ยที่ทำคุณประโยชน์ให้กับบ้านเมืองสิใช่หรือไม่
เจ้าสาวหันไปมองแม่สื่อที่กระซิบบางอย่างกับนาง ไม่นานมือของนางก็โผล่ออกมาจากม่านสีแดงเพื่อเป็นการยืนยันว่านางคือเจ้าสาวที่แท้จริง เสียงโห่ร้องกึกก้องด้วยความยินดีที่องค์รัชทายาทสามารถเลือกเจ้าสาวถูกต้องได้ตั้งแต่ด่านแรกซึ่งมีน้อยคนนักที่จะทำได้ แม่สื่อดึงม่านแดงออก เจ้าสาวอีกสองคนที่เหลือคือสาวใช้ของนางทั้งสองคนนั่นเอง พวกนางเดินไปหาเป่ากงและกังลี่พร้อม ๆ กัน“ขอแสดงความยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ พิธีการซ่อนเจ้าสาวผ่านพ้นไปแล้ว จากนี้จะเข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินพ่ะย่ะค่ะ”ท่านแม่ทัพได้รับเกียรติให้เป็นผู้เอ่ยนำพิธีมหามงคลนี้ เมื่อพวกเจาจุดธูปแดงมงคลเพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และจึงได้เดินเหยียบพรมแดงที่มีเด็ก ๆ โปรยดอกไม้สีแดงไปตลอดทางจนถึงบริเวณหน้าพิธีเพื่อทำการกราบไหว้ฟ้าดิน“คำนับที่หนึ่ง คำนับฟ้าและดิน”บ่าวสาวค่อย ๆ ทำการคำนับและค่อย ๆ ลุกขึ้นมาองค์รัชทายาทหันไปพยุงเย่หลินให้นางลุกขึ้นมา“คำนับที่สอง คำนับบุพการีและผู้ให้กำเนิด”“คำนับที่สาม บ่าวสาวคำนับซึ่งกันและกัน”เมื่อพวกเขาคำนับเสร็จแล้ว หย่าหลีจึงนำไม้หอมผูกดอกไม้มงคลมามอบให้องค์ชายเพื่อเปิดหน้าเจ้าสาว“องค์รัชทายาท เปิดหน้าเจ้าสาวไ
“แต่นั่น…จะไม่เป็นการหักหน้าขุนนางชั้นผู้ใหญ่หรอกหรือเพคะ”“บัลลังก์เป็นของข้า ใต้หล้านี้ข้าก็เป็นผู้ดูแล เหตุใดต้องอาศัยอำนาจของพวกขุนนางละโมบที่คอยจดจ้องส่งบุตรสาวเข้ามาในวังหลังให้วุ่นวายด้วย ขอเพียงมีเจ้าที่อยู่ร่วมเคียงเป็นหงส์คู่มังกร ข้าไม่ต้องการผู้อื่นอีก”นางหลับไปพร้อมกับคำมั่นนั้นของเขา แม้จะดีใจที่องค์ชายตรัสออกมาด้วยพระองค์เองแต่เส้นทางของนางยังไม่ได้เริ่มต้น ยังคงต้องดูอีกนานหลังจากที่พวกเขาเริ่มใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันสองวันถัดมาค่ายบูรพากลายเป็นสีแดงมงคลที่ถูกประดับไปด้วยผ้ามงคลสีแดงซึ่งเหล่าทหารและชาวบ้านในละแวกนั้นล้วนอยากจะมีส่วนร่วมในพิธีการที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้เพราะนาน ๆ ทีจะมีงานมงคล นั่นหมายถึงการที่จะได้ล้มวัวและสัตว์ใหญ่ที่หาในป่ามาเพื่อร่วมฉลองทั้งวันทั้งคืน“ตื่นเต้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าอยากเห็นเจ้าสาวของข้าแล้ว”“ขอทรงโปรดพระทัยเย็นพ่ะย่ะค่ะ ทางชายแดนแห่งนี้มีกฎอยู่อย่างหนึ่งคือพิธีซ่อนเจ้าสาว”“อะไรนะ เดี๋ยวก่อนเจิ้งหลิงเจ้าไม่ได้บอกข้าก่อนเลยนะว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ด้วยน่ะ”“องค์รัชทายาทโปรดอภัย หากว่ากระหม่อมแจ้งเรื่องนี้กับพระองค์ก่อน เกรงว่าพระองค์กับหลินเอ๋อร์
“ท่านว่าอย่างไรนะ แต่งงานงั้นหรือ”“ใช่ ข้าไม่อยากรอพิธีการวุ่นวายในราชสำนัก ถึงอย่างไรข้าก็ใจร้อนอยากให้เจ้าเข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกับข้า ตั้งแต่เจ้าหนีมาเจ้าไม่รู้หรอกว่าข้าไม่ต่างกับคนที่ตายไปแล้ว หากครั้งนี้เสียเจ้าไปอีก ข้าคงไม่อยากมีชีวิต….”นางเอานิ้วมือปิดปากเขาเอาไว้ ก่อนหน้านี้นางโกรธเขามากจริง ๆ แต่เมื่อได้รับรู้สิ่งที่เขาพบเจอตลอดทางที่เดินทางมาหานางจากปากของสองสาวใช้ที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากองครักษ์ของเขาทั้งสองคนบอกกล่าวถึงความลำบากที่เขาพบมานางก็เริ่มใจอ่อน อีกทั้งเขาตามตื๊อนางอยู่เกือบร่วมเดือนในค่ายนี้โดยไม่สนใจยศถาบรรดาศักดิ์ขององค์รัชทายาทเลยแม้แต่น้อย นี่คือสิ่งที่ทำให้นางยอมยกโทษให้เขา“หากท่านยังพูดอีก ข้าจะไม่แต่งกับท่าน”“เย่หลิน ที่นี่มีพี่ชายของเจ้าอยู่ อย่างน้อยข้าควรให้เกียรติเขาในฐานะญาติผู้ใหญ่ ข้าจึงได้ไปปรึกษาเขาเรื่องจัดงานแต่ง..ในอีกสองวันข้างหน้า”“สะ…สองวันงั้นหรือ เช่นนี้จะเตรียมตัวกันทันหรือเจ้าคะ”เขาดึงนางเข้ามากอดเอาไว้แน่นพร้อมกับก้มลงไปหอมที่หน้าผากของนางอีกที“ขอเพียงมีแค่เจ้ากับข้าในพิธีกราบไหว้ฟ้าดินและส่งตัวเข้าหอ เพียงเท่านี้ก็นับว่าครบพิ
“เย่หลิน…..ยกโทษให้ข้าได้หรือไม่”เย่หลินค่อย ๆ ปลดมือเขาออกแต่ว่าเขากลับไม่ยอมปล่อย“ขออยู่แบบนี้สักครู่ เจ้าจะต่อว่าจะด่าหรือตีข้า ข้าก็ยอมทั้งนั้นแต่ขออยู่เช่นนี้สักประเดี๋ยวนะ”“เหตุใดต้องมาทนลำบากที่นี่ด้วย”“เจ้าอยู่ที่ใดข้าก็อยู่ที่นั่น ต่อให้ลำบากกว่านี้ข้าก็จะตามเจ้าไปทุกที่”“ท่านมิต้องทำหน้าที่องค์รัชทายาทงั้นหรือ”“ข้ากำลังทำอยู่นี่อย่างไร หาพระชายาให้ตัวเอง หากว่าข้าไม่มีพระชายาข้าก็คงไม่อยากเป็นรัชทายาทอีกแล้ว เย่หลินเจ้าเชื่อข้าอีกสักครั้งได้หรือไม่ ข้าไม่มีวันทรยศต่อเจ้าอีกข้าไม่กล้าแล้ว ครั้งนี้…ยกโทษให้ข้าเถอะนะ”“ท่านทำได้เช่นไรกัน ตอนที่ข้าเข้าวังในครั้งแรกข้าจำได้ว่าท่านยืนอยู่ด้านหลังข้า แล้วท่าน….”“คือว่า…ข้าสลับตัวกับกังลี่น่ะ เขามีรูปร่างท่าทางและน้ำเสียงใกล้เคียงกับข้าก็เลย…ให้เขาสลับตัว แล้วช่วงที่ข้าอ้างว่ากลับไปที่รถม้าเพื่อส่งหลางเสี่ยวหงกลับ ในตอนนั้นข้ากับกังลี่ก็สลับตัวกันอีกครั้งเพื่อกลับไปหาเจ้า”“เช่นนี้นี่เอง ครั้งที่พบกันที่ตำหนักบูรพา ท่านยอมเปิดหน้ากาก”“เพราะข้าต้องการบอกความจริงกับเจ้า เสียดายที่เจ้ายังลังเลสงสัยในตัวข้า วันนั้นก็เลยไม่ทันได้
“เย่หลิน เจ้า….ไม่ต้องการข้าแล้วจริง ๆ น่ะหรือ”เย่หลินไม่อยากจะใจอ่อนกับเขาอีก นางรีบเดินออกมาด้านนอกและหันไปมององครักษ์ทั้งสองที่ยืนอยู่หน้ากระโจม ตอนนี้เองที่นางพอจะรู้แล้วว่าพวกเขาคือผู้ใด“กังลี่ เป่ากง พวกท่านเองสินะ ไม่ต้องหลอกข้าแล้วข้ารู้เรื่องหมดแล้ว”องครักษ์ทั้งสองมองหน้ากันก่อนจะคำนับให้นาง“คุณหนูเซี่ย ข้าน้อยสองคนไม่ได้ตั้งใจแต่ว่าองค์รัชทายาทลำบากพระวรกายมากกว่าจะมาพบท่านถึงที่นี่ได้ หนทางที่มาช่างลำบากแต่ว่าพระองค์ก็ไม่ได้หยุดพัก หวังว่าท่าน….”“พวกท่านรีบเตรียมตัวพาเขากลับเมืองหลวงไปเถอะ ที่นี่มิได้สบายเฉกเช่นเมืองหลวงที่เขาจากมา เกรงว่าจะรักษาบาดแผลของเขาได้ไม่หายขาด”“แต่โรคของพระองค์คือโรคทางใจ หากจากไปก็คงรักษายากแล้ว”เย่หลินเดินออกจากกระโจมทันทีเพื่อจะไม่ต้องคุยกับพวกเขาอีก นางไม่อยากฟังเรื่องของพวกเขาแม้แต่น้อยไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็คือคนโกหกสำหรับนาง เรื่องที่เขาทำที่เมืองหลวงเป็นสิ่งที่นางยังทำใจยกโทษให้เขาไม่ได้กระโจมเย่หลิน“อะไรนะเจ้าคะ ท่านบอกว่าทหารองครักษ์นั่น…คือ”“ใช่แล้ว โม่จางหยวนหรือว่าองค์รัชทายาท เขาหลอกให้ข้ารักษาเขาจนหายโดยไม่บอก เขาโกหกข้าอีกแล
นางป้อนข้าวเขาจนเสร็จและค่อย ๆ ป้อนยาให้เขา เมื่อป้อนเสร็จไม่นานทหารด้านนอกก็เดินเข้ามาพร้อมกับถุงผ้าห่อใหญ่ เขาเอาวางบนโต๊ะและรีบเดินออกไปทันที“นั่นคืออะไรหรือ”“ให้เจ้า”“ท่านยอมพูดแล้วหรือ”“อืม…เจ้า…ไว้ใจได้”“แล้วมันคือสิ่งใดกัน”เขาทำเพียงแค่ชี้ไปที่ถุงนั้นแล้วไม่พูดอะไรอีก เย่หลินนำถามยามาวางและรินน้ำส่งให้เขาดื่มเพื่อดับความขมของยาและเดินกลับมาดูของที่อยู่ในห่อ เมล็ดเซียงหย่าเต็มถุงทำให้นางรู้สึกตื่นเต้นราวกับได้ทองสามร้อยตำลึง“นี่ท่าน….ให้คนไปเก็บมาทั้งหมดนี้เลยงั้นหรือ”“อืม”“ยอดไปเลยท่านองครักษ์ นี่มันจะช่วยทหารในค่ายนี้ ข้าจะสามารถทำยาแก้ไข้ แก้พิษของแมลงออกมาช่วยพวกเขา ขอบคุณพระคุณของพวกท่านในครั้งนี้ ข้าจะรีบนำมันไปอบก่อนท่านก็รีบพักผ่อน พรุ่งนี้เช้าข้าจะมาอีกครั้งและเปลี่ยนยากับผ้าพันแผลให้”นางเดินออกไปแล้วพร้อมกับถุงขนาดใหญ่ที่บรรจุเมล็ดเซียงหย่าเต็มถุง ทหารหน้ากระโจมเป็นคนอาสาถือไปส่งให้นางที่กระโจมพักและเดินกลับเข้ามาหาเขาทันที“กระโจมข้างท่านรองแม่ทัพ มีเพียงสาวใช้สองคนอยู่ด้วยแต่พวกนางแยกกระโจมนอนช่วงกลางคืนพ่ะย่ะค่ะ”“ดีมาก ขอบใจเจ้ามากเป่ากง เจ้า…คงไม่ได้ทำอะ