ในวอร์ดวีไอพี ผนังทั้งหมดต่างก็เป็นสีชมพูอ่อน ให้ความรู้สึกค่อนข้างอบอุ่นอาการของเจ้าหนูลู่เหยียนยังคงอ่อนแออยู่เธอนอนพิงหมอนสีขาว และถามเฉียวซุนด้วยความกังวลเป็นคำถามแรก “แม่คะ หนูจะตายไหมคะ? ”ในใจเฉียวซุนรู้สึกเศร้า แต่เพราะเธออยู่ต่อหน้าลูก จึงทำได้แค่อดกลั้นเอาไว้เธอเลยยิ้มออกมา แล้วพูดว่า “ไม่หรอกจ้ะ! ”เจ้าหนูลู่เหยียนยังคงรู้สึกเวียนหัว เธอพิงแม่ของเธอ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “ทำไมหนูถึงไปโรงเรียนเหมือนเด็กคนอื่น ๆ ไม่ได้ล่ะคะ? แม่คะ ถ้าแม่กับพ่อมีน้องชายเพิ่มอีกคน น้องจะต้องแข็งแรงนะคะ แม่ต้องให้น้องเกิดมาดี ๆ หน่อย ถ้าเป็นแบบนั้นละก็ พอตอนที่เหยียนเหยียนไม่อยู่แล้ว แม่กับพ่อก็ยังมีเจ้าตัวเล็กที่น่ารักให้ดูอยู่นะคะ! ”คำพูดพวกนี้ ไม่รู้เลยว่าเธอไปเรียนหรือจำมาจากไหนแต่มันก็มากพอที่จะทำให้เฉียวซุนทรุดตัวลงทันทีเธอสำลักเสียงสะอื้น แล้วขอให้เสิ่นชิงช่วยดูแลเธอก่อน เธอเปิดประตูแล้วเดินออกไป......เธอต้องการที่จะสงบสติอารมณ์ของตัวเองก่อน ไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้เธอเป็นบ้าไปเลยก็ได้ลู่เจ๋อที่ยืนอยู่ตรงประตู ก็ได้พยายามหยุดเธอไว้ เขาพาเธอไปที่ห้องทำงานของเขา......แ
“ผมทำไม่ได้!”“เจ้าหนูลู่เหยียนสำคัญกับผมมาก แต่เฉียวซุนเองก็สำคัญสำหรับผมเหมือนกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าผมเคยทำผิดต่อเธอเอาไว้มากมายขนาดนั้นอีก! ”......ลู่เจ๋อชะงักไปครู่หนึ่งเขากำหมัดแน่น และพูดด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ผมรู้ว่าพี่ยังชอบเธออยู่ และเธอเองก็เคยหวั่นไหวกับพี่...... ”เฮ่อจี้ถังขัดจังหวะเขา “ทำไมนายถึงได้กลายเป็นคนใจกว้างไปได้? ”ลู่เจ๋อหรี่ตาลง และยิ้มด้วยความขมขื่นผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ค่อย ๆ หันกลับมามองเฮ่อจี้ถัง แล้วพูดเบา ๆ ว่า “เมื่อก่อนในใจของผมมีแค่อำนาจเท่านั้นที่สำคัญสำหรับผม ภรรยาและลูกก็เป็นแค่เครื่องประดับชิ้นหนึ่ง ไม่มีวันไหนที่ผมเคยคิดเอาไว้เลยสักครั้ง ว่าผมจะเต็มใจใช้ชีวิตของตัวเองเพื่อแลกชีวิตของลูก......หากสูญเสียคนหนึ่งไป ก็แค่ให้กำเนิดอีกคนแทน ก็พอแล้วใช่ไหมล่ะ? ”“แต่เฉียวซุนให้กำเนิดเจ้าหนูลู่เหยียนเพื่อผม”“ผมรักเธอจริง ๆ”......ลู่เจ๋อไม่ได้บอกอย่างชัดเจนว่า ‘เธอ’ ที่เขาหมายถึง คือเฉียวซุน หรือเจ้าหนูลู่เหยียนกันแน่เฮ่อจี้ถังเองก็ไม่ได้ถามอะไรออกไปอีกเขาไม่คัดค้านอีกต่อไป เพราะเขาเห็นความมุ่งมั่น และมองเห็นความกล้าหาญของลู่เจ๋อแล้
สามวันต่อมา เจ้าหนูลู่เหยียนก็ได้ออกจากโรงพยาบาลพวกเขากลับมาที่สวนฉินเดือนนั้นเป็นเดือนที่สงบสุขและสวยงามมาก ๆ พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ดูแลเจ้าหนูลู่เหยียนร่วมกัน บางครั้งที่ลู่เจ๋อมีงานเข้าสังคม เขาก็จะพาเฉียวซุนไปร่วมด้วย ตอนนี้พวกเขาเหมือนสามีภรรยากันมากจริง ๆความเจ็บปวดเหล่านั้น อดีตที่ผ่านมาเหล่านั้นเขาไม่ได้เอ่ยถึงมันเลย เฉียวซุนเองก็เช่นกัน ที่พวกเขาตั้งใจลืม บางทีอาจเป็นเพราะช่วงเวลานี้คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่พวกเขาจะได้อยู่ด้วยกัน......ลู่เจ๋อเคยบอกเอาไว้ว่า เขาอาจต้องทำงานล่วงเวลาแต่ทุก ๆ คืน เขาก็จะรีบกลับมาก่อนที่เจ้าหนูลู่เหยียนจะเข้านอน เขาจะอาบน้ำให้เจ้าหนูลู่เหยียน หลังจากอาบน้ำเสร็จ ก็จะห่อเธอด้วยเสื้อคลุมอาบน้ำผืนเล็ก ๆ แล้วให้เธอปีนขึ้นมาบนอ้อมแขนตัวเอง......เขาจะอยู่ใต้แสงไฟสลัว แล้วเล่านิทานให้เจ้าหนูลู่เหยียนฟังอย่างอ่อนโยน จนกระทั่งเจ้าตัวเล็กหลับไปหลังจากที่เจ้าหนูลู่เหยียนหลับไปแล้วลู่เจ๋อถึงจะไปที่ห้องหนังสือเพื่อสะสางงานต่อ ตอนที่เขาจัดการงานเสร็จ เวลาก็ปาไปตีหนึ่งตีสอง เฉียวซุนกับเจ้าหนูลู่เหยียนก็หลับกันไปนานแล้ว......เขาทิ้งตัวนอนข้าง
ความรักและความเกลียดชังของพวกเขา ก็จะหายไปอย่างสมบูรณ์!หลังจากการพบกันใหม่ เธอก็เป็นฝ่ายเริ่มก่อนเธอเริ่มโน้มตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเขา พูดคุยราวกับคู่รักสามีภรรยาทั่วไป เธอพูดกับลู่เจ๋อด้วยเสียงที่แผ่วเบา “งานแต่งงานของหลินเซียวกับคุณฟ่าน จะจัดขึ้นสิ้นปีนี้ พอถึงตอนนั้นเจ้าหนูลู่เหยียนเองก็น่าจะดีขึ้นมากแล้ว......ฉันสามารถพาเธอไปร่วมงานแต่งงานได้ ฉันกำลังคิดอยู่เลย ว่าจะมอบอะไรให้หลินเซียวเป็นของขวัญดี”ลู่เจ๋อไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมาเขาลูบผมที่ชุ่มเหงื่อของเธอเบา ๆ ซึมซับบรรยากาศอันเงียบสงบที่อยู่ตรงหน้าเฉียวซุนเองก็ไม่อยากที่จะทำลายบรรยากาศเช่นกันขณะที่เธอกำลังจะเปิดปากพูดนั้น น้ำเสียงของเธอก็รู้สึกตึงขึ้นเล็กน้อย เธอถามลู่เจ๋อออกไป “คุณจะไปร่วมงานด้วยไหม? เมื่อไม่กี่วันก่อน ฉันได้ยินหลินเซียวบอกว่า ช่วงนี้คุณกับคุณฟ่านได้มีการติดต่อทางธุรกิจกันด้วย”ลู่เจ๋อก้มศีรษะลง แววตาที่ลึกล้ำเกินคาดเดา “คุณอยากให้ผมไปจริง ๆ เหรอ? ”เฉียวซุนไม่ได้ตอบโดยตรงเธอลูบไล้ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาอย่างอ่อนโยน จากนั้นเธอกลับพูดถึงครอบครัวของคุณนายหลี่แทน “คุณนายหลี่เองก็ไปด้วยเหมือนกัน ปกติเธอก
“เดี๋ยวพ่อไปต้มน้ำให้นะ!”ลู่เจ๋อไม่ได้ปฏิเสธ เขามองตามลู่เหวินหลี่ที่เดินเข้าไปในห้องครัวเล็ก ๆ จัดการชงชาอย่างไม่เป็นทางการมากนัก อาจจะเป็นเพราะข้างนอกลมแรง เลยทำให้ลู่เหวินหลี่ไอออกมาบ้างเป็นครั้งคราวจู่ ๆ ลู่เจ๋อก็ถามขึ้นว่า “ป่วยแล้วทำไมไม่ไปรักษาล่ะครับ? ”ลู่เหวินลี่ตัวแข็งทื่อ แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “ปัญหาโรคเก่าน่ะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร! เดี๋ยวทานยาแก้หวัดแล้วก็หายเองแหละ”ลู่เจ๋อรู้ว่าเขากำลังโกหก ท่าทางของลู่เหวินหลี่ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาป่วยหนักมาเป็นเวลานานแล้วแต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรออกไปอีก ได้แต่เปิดหนังสืออ่านอยู่เงียบ ๆ ต่อมา ลู่เหวินหลี่ที่เพิ่งต้มน้ำเสร็จ ก็ชงชาราคาถูกมาให้ ขณะที่เขาเชิญให้ลู่เจ๋อดื่มชา ในใจเขาก็รู้สึกกังวล กระทั่งเขาแทบจะร้องไห้เลยด้วยซ้ำ “พอดีว่าไม่ได้เตรียมตัวเองไว้ล่วงหน้า เลยไม่มีอะไรไว้ต้อนรับเลย”ลู่เจ๋อจิบชาเข้าไปแค่คำเดียวลู่เหวินหลี่ก็รู้ว่าเขาไม่ชินกับการดื่มอะไรแบบนี้ เขาจึงนั่งลง และถามลู่เจ๋อถึงสถานการณ์ทางบ้าน สิ่งที่ถามถึงมากที่สุดคืออาการของเจ้าหนูลู่เหยียน......ลู่เจ๋อหยุดชะงักอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดด้วย
ลู่เจ๋อเดินไปยังข้างเตียงแล้วนั่งลง แล้วยิ้มอย่างอ่อนโยนออกมา “ผมออกไปจัดการเรื่องนิดหน่อย! คุณฝันร้ายเหรอ? ”เฉียวซุนจ้องมองเขาอย่างใกล้ชิดเธอไม่ได้พูดถึงสิ่งที่เธอฝันออกมา เพราะเธอมักจะรู้สึกว่ามันจะทำให้โชคไม่ดี ต่อมา ขณะที่ลู่เจ๋อนอนอยู่ข้าง ๆ เธอก็เริ่มจับมือเขา......สัมผัสอันอบอุ่นทำให้เธอค่อย ๆ สงบลงเธอคิดว่า ความฝันอาจจะเกิดขึ้นตรงกันข้ามกับความจริงก็ได้ มันไม่น่าจะเป็นจริงนั่นก็เป็นแค่เพียงความฝันเท่านั้น!ต่อมา ขณะที่เธอกำลังจะหลับด้วยท่าทางที่สะลึมสะลืออยู่นั้น ดูเหมือนว่าเธอจะได้ยินลู่เจ๋อกระซิบที่ข้างหู เขาบอกว่า ถ้าคืนนี้พวกเขามีลูกด้วยกัน ก็ให้เขาชื่อว่าลู่ฉวินเถอะนะ......เมื่อถึงรุ่งสาง เฉียวซุนก็คิดซ้ำแล้วซ้ำอีก และแน่ใจว่านั่นน่าจะเป็นความฝันลู่เจ๋อบอกว่าเธอกังวลมากเกินไปแต่เฉียวซุนกลับไม่คิดอย่างนั้น เธอมักจะสังหรณ์ใจแปลก ๆ ว่าอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น......ความรู้สึกนั้นมันยิ่งหนักแน่นขึ้นเรื่อย ๆ เธอจึงอดไม่ได้ที่จะกังวลเกี่ยวกับการผ่าตัดของเจ้าหนูลู่เหยียนการตรวจก่อนการผ่าตัดความรู้สึกไม่สบายใจในใจของเฉียวซุนก็มาถึงขีดสุดเธอถึงขั้นถามลู่เจ๋อ ว่า
การผ่าตัดใช้เวลานานเกือบ 16 ชั่วโมงแม้ว่าจะมีสถานการณ์วิกฤตบ้าง แต่ก็ประสบความสำเร็จได้ในที่สุดจะมีก็แต่ ตอนนี้ลู่เจ๋อที่ยังไม่ฟื้นเลย เขานอนบนเตียงผ่าตัดด้วยท่าทีที่สงบนิ่ง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าหนูลู่เหยียนเพิ่งจะผ่าตัดเสร็จ เขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าหนูลู่เหยียนถูกย้ายออกจากห้องผ่าตัดแล้ว......และเขายิ่งไม่รู้เลยว่า พรุ่งนี้เขาจะเป็นอย่างไรเขาได้แต่นอนอยู่นิ่ง ๆ แบกรับชะตากรรมของเขาเฮ่อจี้ถังค่อย ๆ ถอดหน้ากากออก......เขามองดูตัวเลขบนจอมอนิเตอร์ด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ ตัวเลขเหล่านั้นแสดงให้เห็นถึงสัญญาณชีพของลู่เจ๋อที่อ่อนแอมาก......อ่อนแอมากจนเขาอาจจะจากไปเมื่อใดก็ได้เฮ่อจี้ถังเองก็เป็นหมอ เขาจึงไม่แยแสกับชีวิตและความตายมานานแล้ว แต่ในขณะนี้เขากลับปล่อยวางไม่ได้เขาโน้มตัวไปที่ข้างหูของลู่เจ๋อ และกระซิบเบา ๆ “เฉียวซุนยังรอนายอยู่นะ! นายจะยอมจากไปแบบนี้อย่างนั้นเหรอ? ”ลู่เจ๋อไม่ได้มีการตอบสนองใด ๆ ทั้งสิ้นลู่เจ๋อได้แต่นอนเงียบ ๆ สีหน้าของเขาซีดขาวราวกับกระดาษ แทบจะไร้เสียงสัญญาณของการหายใจ......ในขณะนี้ เฮ่อจี้ถังก็นึกถึงเหตุการณ์ในอดีตมากมายได้ ภาพตอนที่ลู่เจ๋อยังมีช
เธอคิดว่า บางทีเรื่องที่เกิดขึ้นในเมือง H อาจจะยากเกินมือของเขาก็ได้แต่เธอก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติอยู่ดีลู่เจ๋อรักและเอ็นดูเจ้าหนูลู่เหยียนมาก เขาคงไม่ใช่แค่เพราะเรื่องงาน แล้วไม่ส่งข่าวใด ๆ เลยกลับมาแบบนี้แน่......เธอคิดอยากจะโทรศัพท์หาเขา แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขา มันทำให้เธอไม่สามารถทำอะไรต่อได้เธอคิดว่า รอเขาอีกหน่อยก็แล้วกัน!บางทีพรุ่งนี้ ลู่เจ๋ออาจจะติดต่อกลับมาก็ได้บางทีพรุ่งนี้ เขาอาจจะกลับมาจากเมือง H แล้ว......โรงพยาบาลลู่ แผนกดูแลผู้ป่วยโคม่าลู่เจ๋อได้แต่นอนนิ่ง ๆ อยู่บนเตียงเขาเอาไขกระดูกเกือบครึ่งหนึ่งออกจากร่างกายของเขา และเอาพลาสมาเกือบหนึ่งในสามออกจากร่างกาย เพื่อสับเปลี่ยนให้กับเจ้าหนูลู่เหยียน......เขาใช้ตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตเจ้าหนูลู่เหยียนเอาไว้ยันต์คุ้มครองที่เขาขอจากวัดนั้นไร้ประโยชน์จริง ๆ มีเพียงตัวเขาเองเท่านั้นที่ช่วยได้......ครั้งหนึ่งเขาเคยคุกเข่าต่อหน้าพระพุทธเจ้า แล้วถามพระพุทธเจ้าออกไปว่า ความจริงใจนั่นคืออะไรกันแน่ พระพุทธเจ้ากลับตอบเขาว่าทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดแต่พระพุทธเจ้ากลับไม่ได้บอกเขา ถึงทางย้อนกลับเฮ่อจี้ถ