หลังจากที่จ้าวฟางหรูเดินออกจากห้องตำราไป หวงฟางหรง หรือฮูหยินใหญ่ก็เดินเข้ามาหาผู้เป็นสามี จ้าวหวังเหล่ยที่กำลังตรวจสอบบัญชีของร้านค้าประจำตระกูลอยู่จึงยอมละมือ เขาเงยหน้ามองภรรยา ก่อนที่จะส่งยิ้มจางๆ ให้แก่นาง หวงฟางหรงเดินมานั่งลงข้างๆ เขา แล้วจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“หรูเอ๋อร์ว่าเช่นไรบ้างหรือเจ้าคะ” “ลูกไม่ได้คัดค้านอันใด ข้าได้เห็นท่าทีของนางในวันนี้ก็ค่อยรู้สึกสบายใจ ที่ผ่านมาข้ากังวลว่าจะบีบบังคับลูกเกินไป แต่ดูๆ แล้ว หรูเอ๋อร์ของพวกเรา เป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่ายกว่าที่คิด เป็นข้าเองที่กังวลมากจนเกินไป” จ้าวหวังเหล่ยตอบภรรยาออกมาด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลาย ครั้นได้ยินเช่นนั้น หวงฟางหรงก็รู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย ทว่านางพยายามคิดไปในทางที่ดี ว่าบุตรีของนางยอมรับชะตากรรมที่จะต้องออกเรือนไปกับขุนนางฝ่ายบู๊อย่างตระกูลแม่ทัพ แต่ไม่ใช่ว่านางจะวางใจเสียทีเดียว เพราะเห็นว่าจ้าวฟางหรูดูยอมแพ้ง่ายดายเกินไป นางได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ โดยเลือกที่จะไม่ปรึกษากับผู้เป็นสามี หลังจากวันนั้น หวงฟางหรงจึงสั่งให้บ่าวในจวน คอยติดตามดูพฤติกรรมของคุณหนูใหญ่ในช่วงเวลานี้ นางจึงได้รับรู้ว่าจ้าวฟางหรูกำลังกระทำสิ่งใดลับหลังพวกตน นางยอมทำเป็นปิดหูปิดตา แสร้งทำเป็นไม่รู้ถึงแผนการของบุตรสาวคนโตต่อไป เพราะลึกๆ ภายในใจ นางก็อยากให้ลูกๆ ได้ใช้ชีวิตอยู่กับคนที่ตนรัก และคนที่ตนเลือกมากกว่า สองเดือนต่อมา ข่าวร้ายของแคว้นเจิ้งอย่างการสูญเสียแม่ทัพใหญ่เซี่ยเฟยฉี จากการสู้รบกับทหารแคว้นจิ้น ถูกกล่าวถึงไปทั่วทั้งเมืองหนานจาง ตระกูลจ้าวเองก็ได้รับรู้ข่าวร้ายนี้มาเช่นกัน จ้าวหยวนจงจึงตัดสินใจเดินทางไปเยือนเมืองหนานจงด้วยตนเอง ทว่าก่อนวันที่จะออกเดินทางหนึ่งวัน จ้าวฟางหรูกลับล้มป่วยอย่างไม่ทราบสาเหตุ นายท่านผู้เฒ่าจึงอนุญาตให้หลานสาวพักผ่อนอยู่ที่จวน “แค่กๆๆ หากลูกไม่เจ็บป่วยจนท่านหมอสั่งห้ามเดินทางไกลแล้วล่ะก็ ครานี้ลูกคงจะติดตามท่านปู่ ท่านพ่อกับท่านแม่ไปอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ” จ้าวฟางหรูนอนซมอยู่บนเตียง นางส่งเสียงไอก่อนที่จะบอกบิดา “เป็นถึงเพียงนี้แล้ว ท่านปู่ พ่อกับแม่ไม่โทษเจ้าหรอก อยู่ที่เรือนพักผ่อนรักษาตัวเองให้ดีเถิด” จ้าวหวังเหล่ยที่ไม่รู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของบุตรสาวกล่าวออกมา “ฟางฉี… เจ้าก็อย่ามัวแต่ทำงานจนละเลยมาดูแลพี่สาวของเจ้าล่ะ” จ้าวฟางฉีมองพี่สาวด้วยแววตาที่เย็นชา เขาได้รู้มาว่าพี่หญิงใหญ่ในยามนี้ กำลังแอบคบหากับบัณฑิตทั่นฮวาของเมืองหนานจาง ที่เขารู้ก็เป็นเพราะเถียนซ่งผู้นั้น คือศิษย์พี่ของเขา ทำให้เขากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ได้แต่มองน้องสาวคนเล็กด้วยแววตาเห็นใจ หากพี่หญิงใหญ่ชิงออกเรือนไปเสียก่อน หนี้ชีวิตของท่านปู่ที่จะต้องตอบแทนให้แก่คนสกุลเซี่ย น้องสาวคนเล็กของเขาคงจะหนีไม่พ้นรับชะตากรรมนี้แทนเสียแล้ว จ้าวฟางเซียนเองก็รู้ดี ว่าอาการป่วยของพี่สาวนั้นมิใช่เรื่องบังเอิญ แต่ทว่าเป็นแผนการต่างหาก ชีวิตก่อนนางไม่รู้ว่าพี่สาวเจ้าแผนการถึงเพียงใด จนได้ย้อนเวลากลับมา ถึงได้มองเห็นความจริงต่างๆ รอบกาย ว่าแท้จริงแล้ว การที่นางได้ออกเรือนไปแทนพี่สาวนั้น เป็นแผนการที่เห็นแก่ตัวของจ้าวฟางหรูมาตั้งแต่ต้น ชีวิตก่อนนางยอมรับว่า นางโกรธเคืองพี่สาวอยู่ไม่น้อย แต่ทว่าชีวิตนี้นางยินดี รถม้าสามคันเคลื่อนออกจากจวนตระกูลจ้าว จ้าวฟางเซียนนั่งอยู่ด้านในรถม้ากับสาวใช้คนสนิทของนาง นางลอบมองภาพบรรยากาศสองข้างทางผ่านผ้าม่านบางๆ การเดินทางจากเมืองหนานจางสู่เมืองหนานจงนั้นต้องผ่านหลายหมู่บ้าน ดีที่การเดินทางไม่ยากลำบากเท่าใดนัก ขณะที่รถม้าแล่นไปได้เกือบครึ่งทาง ซู่เอ๋อ สาวรับใช้คนสนิทที่นั่งเงียบมานาน ก็เอ่ยถามคุณหนูรองของนางออกมาด้วยความรู้สึกที่คับข้องใจ “คุณหนู…เหตุใดพวกเราถึงต้องเป็นฝ่ายเดินทางไปร่วมพิธีศพของท่านแม่ทัพใหญ่เซี่ยด้วยเล่าเจ้าคะ ผู้ที่จะออกเรือนไปกับคุณชายใหญ่สกุลเซี่ย คือคุณหนูใหญ่หาใช่คุณหนูรองเสียหน่อย คุณหนูใหญ่ก็เป็นจริงๆ เลย อยู่เรือนตั้งนานไม่ป่วย พอจะต้องออกเดินทางไปเยือนสกุลเซี่ย กลับมาล้มป่วยลงเสียได้ เหตุใดถึงได้บังเอิญเช่นนั้น” คำถามเดิมที่ยาวเหยียด ซึ่งสาวรับใช้คนสนิทเคยถามนางในชีวิตก่อน ยามนี้นางกลับได้ยินจากปากของซู่เอ๋ออีกหน ทำให้จ้าวฟางเซียนฉีกยิ้มออกมาเพียงเล็กน้อย ครานี้นางเลือกที่จะไม่กล่าวสิ่งใดออกมา ต่างจากชีวิตก่อนที่นางบ่นพี่สาวของนางออกมาด้วยความไม่พอใจเช่นกัน “คุณหนู…” ซู่เอ๋อเรียกคุณหนูของนางออกมาด้วยความรู้สึกคับข้องใจ เหตุใดถึงยามนี้แล้วคุณหนูรองของนาง ยังคงยิ้มออกมาได้อยู่อีก ดูก็รู้ว่าคุณหนูใหญ่จงใจแกล้งป่วย เพราะไม่อยากเดินทางไปเมืองหนานจง สุดท้ายแล้วผู้ใดจะกลายมาเป็นสะใภ้ตระกูลเซี่ยก็ยังไม่แน่ หากคุณหนูรองได้ออกเรือนมาแทนคุณหนูใหญ่ ย่อมไม่ยุติธรรมต่อคุณหนูรองเลยสักนิด “ซู่เอ๋อ….พวกเราใกล้จะถึงเมืองหนานจงหรือยัง” จ้าวฟางเซียนเปลี่ยนเรื่องคุย นางมองออกไปทางหน้าต่างรถม้าก็พอจะรู้อยู่แล้ว ว่าอีกนานเพียงใดจะถึงเมืองหนานจง “บ่าวเองก็ไม่รู้เหมือนกันเจ้าค่ะ คุณหนูจะให้บ่าวถามฟู่ตงหรือไม่เจ้าคะ” เพราะซู่เอ๋อไม่เคยเดินทางไกลมาก่อน จึงไม่อาจตอบคำถามของคุณหนูรองได้ “ไม่ต้อง ไม่ต้อง” จ้าวฟางเซียนโบกมือพลางกล่าวออกมา ก่อนที่นางจะเปิดม่านดูบรรยากาศข้างทาง ซู่เอ๋อมองคุณหนูรองอย่างไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด นางถึงได้รู้สึกว่าคุณหนูของนางนั้นรู้สึกตื่นเต้นยินดียิ่งนัก ก็จะไม่ให้จ้าวฟางเซียนรู้สึกตื่นเต้นยินดีได้อย่างไร เพราะการมาเยือนเมืองหนานจงของนางในครานี้ เป็นการได้พบหน้ากับเซี่ยเฟยหลงเป็นครั้งแรก แม้ยามนั้นเขาจะอยู่ในความเศร้าหมองจากการสูญเสียบิดา ทว่าเขาก็ไม่แสดงท่าทีที่เสียมารยาทต่อตระกูลของนางออกมา นางรู้สึกประทับใจเขาอยู่ไม่น้อย ทว่ายามที่ได้ออกเรือนไปกับเขาแล้ว ท่าทีของเขากลับเปลี่ยนไป หากชีวิตนี้นางไม่อยากให้ชีวิตการแต่งงานระหว่างนางกับเขาต้องพบกับจุดจบเช่นเดิม ก่อนที่นางจะได้ออกเรือนไปกับเขา นางจะต้องสืบให้รู้ให้ได้ ว่าสตรีใดที่เป็นสาเหตุทำให้น้องชายของเขาต้องจากไปก่อนวัยอันควร สตรีใดที่มาแอบอ้างว่าเป็นสตรีสกุลจ้าว จนทำให้เขารู้สึกชิงชังจนทำเมินเฉย และปฏิบัติต่อนางอย่างเย็นชา จ้าวฟางเซียนถอนหายใจออกมา นางมองผ่านหน้าต่างของรถม้าออกไป เห็นบรรยากาศข้างทางยามนี้ก็ยังคงคุ้นตา ทว่าความรู้สึกในครานั้นกับครานี้ช่างต่างกันอย่างสิ้นเชิงสายลมในฤดูหนาวที่พัดโชยมาปะทะผิวกาย ทำให้ร่างกายที่อ่อนล้าอยู่แล้ว รู้สึกได้ถึงความหนาวเหน็บ ภายในเรือนใหญ่ใจกลางสวนบุปผานานาพันธุ์ ปรากฏร่างของสตรีที่มีดวงหน้างาม แต่ทว่ายามนี้กลับหม่นหมอง นางกำลังยืนเหม่อมองออกไปยังเบื้องหน้าอย่างเหม่อลอย ไม่ว่านางจะมองไปยังสถานที่ใด นางก็มักจะเห็นภาพในอดีตแวบผ่านเข้ามา ทำให้หัวใจของนางรู้สึกบีบรัดยิ่งนัก เหตุใดชีวิตคู่ของนางกับเขา ถึงมีจุดจบเช่นนี้ได้ ทั้งๆ ที่ผ่านมาเขาก็รักนาง ให้เกียรตินางมาตลอด และนางเองก็รักเขาเช่นกัน แม้ทั้งสองจะไม่เคยแสดงความรู้สึกจริงๆ ออกมาให้อีกฝ่ายได้เห็นเลยก็ตาม“นายหญิง…กลับเข้าห้องเถิดนะเจ้าคะ ประเดี๋ยวต้องลมหนาวแล้วจะไม่สบายเอาได้ พักนี้ท่านยิ่งนอนน้อยอยู่ด้วย”ซู่เอ๋อสาวรับใช้ข้างกายของสตรีที่มีรูปโฉมงดงามตรงหน้า เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล หนึ่งเดือนมาแล้วที่เซี่ยโหว หรือท่านแม่ทัพเซี่ยจากไป ทว่าไม่มีวันไหนเลย ที่ฮูหยินใหญ่จะไม่มายืนเหม่อมองออกไปทางประตูจวนเช่นนี้ ซู่เอ๋อรู้สึกเศร้าใจยิ่งนัก“ข้าอยากจะยืนอยู่ที่นี่อีกสักพัก” ราวกับว่านางยังคงรอคอยใครบางคนให้กลับมา แต่ทว่าผู้ที่นางกำลังรอคอยนั้นไม่อาจหวนกลับคืนมา
ผ่านไปไม่ถึงเจ็ดวัน หลังจากที่จางหลี่น่ามาเยี่ยมจ้าวฟางเซียน ตระกูลจ้าวที่ได้รับจดหมายจากท่านผู้เฒ่าตระกูลเซี่ย ก็ได้เดินทางมาจากเมืองหนานจาง ครั้นนายท่านใหญ่จ้าวหวังเหล่ยและฮูหยินใหญ่หวงฟางหรง ได้เห็นบุตรีที่นอนไร้เรี่ยวแรงอยู่บนเตียงก็รู้สึกเวทนา ต่างก็โทษว่าเป็นความผิดของพวกตน ที่ยินยอมให้จ้าวฟางเซียนออกเรือนมากับเซี่ยเฟยหลง ชีวิตของทหารไหนเลยจะยืนยาวเฉกเช่นที่จ้าวฟางหรู บุตรีคนโตของพวกตนเคยกล่าว ว่านางจะไม่มีวันยอมออกเรือนกับตระกูลแม่ทัพเป็นอันขาด เพราะการได้ออกเรือนมากับบุรุษที่ทำหน้าที่จับดาบปกป้องบ้านเมือง โอกาสน้อยนักที่อีกฝ่ายจะมีชีวิตยืนยาว สุดท้ายแล้วชีวิตของผู้เป็นภรรยา คงจะหนีไม่พ้นตกพุ่มม่ายตั้งแต่ยังสาว เช่นเดียวกับบุตรสาวคนเล็กของพวกตน ที่กำลังประสบพบเจออยู่ในยามนี้“เซียนเอ๋อร์…กลับบ้านเรากันเถิดนะลูก” หวงฟางหรงบอกบุตรสาวที่นอนอยู่บนเตียงด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“ท่านปู่บอกว่าให้พวกเรามารับเจ้า ตัดใจจากที่นี่เสียเถิดหนา”จ้าวหวังเหล่ยกลั้นใจกล่าวออกมาบ้าง สภาพของบุตรสาวในยามนี้ช่างน่าเวทนายิ่งนัก เด็กน้อยที่เคยสดใสยามที่อยู่จวนสกุลจ้าวหายไปไหนเสียแล้ว“ท่านพ่อ…ท่านแม่ ข
จดหมายฉบับหนึ่งที่ถูกส่งมาจากสกุลเซี่ย ตระกูลแม่ทัพแห่งเมืองหนานจง ทำให้ท่านผู้เฒ่าสกุลจ้าว จ้าวหยวนจงถึงกับกุมขมับ ไม่รู้ว่าเขาหลงลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร เรื่องที่เขาเคยทำสัญญาใจกับท่านผู้เฒ่าสกุลเซี่ยเอาไว้ ว่าภายภาคหน้าจะยกหลานสาวของตน ให้ออกเรือนไปกับหลานชายของอีกฝ่าย เพื่อเป็นการตอบแทนที่ครั้งหนึ่งในอดีต ท่านผู้เฒ่าสกุลเซี่ย เคยช่วยชีวิตเขาเอาไว้“ฟงฉี...เจ้าไปตามนายท่านใหญ่มาพบข้าที่ห้องตำรา” บ่าวรับใช้คนสนิทรับคำสั่งแล้วจึงออกจากเรือนฟงเฟยไปจ้าวหยวนจงแต่งงานกับซิ่วเหมยฉี ตระกูลรุ่งโรจน์ ร่ำรวยมาจากการค้าขายตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ นับเป็นตระกูลคหบดีอันดับต้นๆ ของเมืองหนานจาง สองสามีภรรยามีบุตรชายสืบสกุลอยู่สองคน คนโตคือจ้าวหวังเหล่ย ปีนี้มีอายุได้สามสิบหกปี และคนที่สองคือจ้าวหวังหย่ง อายุสามสิบสี่ปี จ้าวหวังเหล่ยแต่งงานกับหวงฟางหรง บุตรสาวของพ่อค้าสกุลหวง บุตรชายคนโตและสะใภ้ใหญ่มีทายาทสืบสกุลด้วยกันทั้งหมดสามคนคนโตเป็นบุตรีมีนามว่า จ้าวฟางหรู คุณหนูใหญ่ผู้มีรูปโฉมงดงาม และกิริยามารยาทเพียบพร้อม มีความสามารถด้านการเขียนอักษร เล่นหมากล้อม ท่องบทกวี และการเล่นดนตรี ปีนี้แม้จะเข้าสู
เรื่องนี้จ้าวฟางเซียนนั้นรู้ดี ว่าพี่หญิงใหญ่ของนางนั้นไม่มีวันยินยอมที่จะออกเรือนไปกับตระกูลเซี่ยเป็นแน่ เช่นเดียวกับชีวิตก่อน ที่จ้าวฟางหรูชิงออกเรือนไปกับบัณฑิตทั่นฮวาของแคว้นเจิ้ง แล้วทิ้งหน้าที่ออกเรือนกับคุณชายใหญ่สกุลเซี่ยให้นางแทน“แต่ก็เป็นตระกูลที่มีเกียรติ และน่าเคารพนับถือนะเจ้าคะ ตายในสนามรบย่อมมีเกียรติกว่าการตายโดยเปล่าประโยชน์” จ้าวฟางเซียนที่กินอาหารอยู่อย่างเพลิดเพลินก่อนหน้า แสดงความคิดเห็นของตนออกมาจ้าวฟางหรูที่ได้ยินเช่นนั้นได้แต่นึกขบขันอยู่ภายในใจ น้องสาวของนางนั้นช่างมีความคิดที่ไร้เดียงสา และเป็นเด็กที่มองโลกในแง่ดียิ่งนัก หาได้คาดการณ์ถึงเรื่องราวในภายภาคหน้าไม่ ผู้ใดกันที่อยากจะมีสามีอายุสั้น นางคนหนึ่งล่ะที่ไม่ปรารถนา“เจ้ายังเป็นเด็กอยู่ จะไปรู้เรื่องอันใด หากวันหน้าเจ้าต้องออกเรือน เจ้าจะเลือกบุรุษที่มีอายุขัยสั้นกว่าเจ้ามาเป็นคู่ครองเช่นนั้นรึ” จ้าวฟางหรูติเตือนน้องสาวออกมาทว่าครานี้จ้าวฟางเซียนกลับไม่เก็บเอาคำพูดของพี่สาวมาใส่ใจ เพราะนางเคยใช้ชีวิตเป็นฮูหยินแม่ทัพมาหนหนึ่งแล้ว ทว่าชีวิตก่อนนางนึกเสียดายและเสียใจ ที่ไม่ได้แสดงความรักที่มีต่อสามีออกไป ค
ภายในเรือนฟางเฟยจ้าวหวังเหล่ยเดินกลับเข้ามา ภายในเรือนของตนด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้ง เพราะไม่รู้ว่าจะหาเหตุผลอันใด ไปโน้มน้าวจ้าวฟางหรู บุตรีคนโตที่มีอายุสิบแปดปี ให้นางยินยอมออกเรือนไปกับคุณชายใหญ่สกุลเซี่ยดี ครั้นได้พบหน้าภรรยาเขาจึงลองปรึกษาเรื่องนี้กับนาง หวงฟางหรงถึงกับถอนหายใจออกมา และแล้วสิ่งที่นางกังวลก็เกิดขึ้นจริงๆ เรื่องนี้คงจะปัดภาระให้พ้นตัวมิได้ เพราะตระกูลจ้าวมีหลานสาวสายตรงเพียงแค่สองคนเท่านั้น นั่นก็คือบุตรีทั้งสองของนาง“ฮูหยิน…เจ้าว่าหรูเอ๋อร์จะยินยอมออกเรือนไปกับคุณชายใหญ่สกุลเซี่ยหรือไม่ ข้าได้ยินท่านพ่อบอกว่า คุณชายใหญ่สกุลเซี่ยผู้นั้นเป็นบุรุษที่มีหน้าตาดี และรูปร่างสง่างามยิ่งนัก อนาคตภายหน้าตำแหน่งแม่ทัพใหญ่คงจะไม่พ้นเป็นของเขา เพราะยามนี้ตระกูลเซี่ยเหลือเพียงแค่เขาที่เป็นทายาทสืบสกุล” จ้าวหวังเหล่ยถามความเห็นของภรรยาออกมา“ท่านก็รู้นี่เจ้าคะ ว่าหรูเอ๋อร์นางเป็นสตรีที่มีใจเด็ดเดี่ยว ยึดมั่นในความคิดของตนเองมาตลอด นางเคยบอกกับน้องว่า จะไม่ยอมออกเรือนไปกับตระกูลแม่ทัพ หรือขุนนางฝ่ายบู๊เป็นเด็ดขาด แล้วท่านว่า…ท่านจะสามารถเกลี้ยกล่อมนางได้หรือเจ้าคะ”หวงฟางหรงบอก
หลังจากชื่นชมเหล่าบัณฑิตท่องบทกวีกันจนจบ จ้าวฟางหรูจึงขอตัวกลับจวนก่อน เพราะวันนี้นางรู้สึกผิดหวังอยู่ไม่น้อย ครั้นแยกจากสหายสนิทของนางแล้ว เปี๋ยเอ๋อ สาวรับใช้คนสนิทก็เข้ามากระซิบบอกนางเบาๆ“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ คุณชายใหญ่สกุลเถียนผู้นั้น หาได้มีคู่หมายอย่างเช่นคุณหนูรองเหลียงกล่าวมาหรอกเจ้าค่ะ” จ้าวฟางหรูชะงักเท้าก่อนที่จะหันกลับไปถามสาวรับใช้คนสนิทของนางทันที“เจ้ารู้ได้เช่นไร”“เมื่อสามสี่วันก่อน บ่าวได้ยินพวกในจวนพูดคุยกัน ถึงเรื่องผู้ที่ได้เป็นทั่นฮวาของปีนี้น่ะเจ้าค่ะ” เปี๋ยเอ๋อกระซิบบอกคุณหนูใหญ่ของตน“เจ้าจะบอกว่า…เยว่เล่อนางโป้ปดข้าเช่นนั้นรึ เพราะเหตุใดนางถึงต้องทำเช่นนั้นกันเล่า”“คุณหนูใหญ่อาจจะตำหนิว่าบ่าวปากมาก แต่บ่าวอยากจะขออนุญาตเตือนคุณหนูใหญ่สักหน่อย ว่าคุณหนูรองสกุลเหลียงผู้นั้น หาได้เป็นคนที่น่าคบหาไม่ นางไม่จริงใจต่อท่านเจ้าค่ะ" เปี๋ยเอ๋อกล่าวออกมา พลางสังเกตสีหน้าคุณหนูของนาง“ไม่จริงใจเยี่ยงไรรึ” จ้าวฟางหรูเลิกคิ้ว แล้วเอ่ยถามสาวรับใช้ข้างกาย"สองสามวันก่อนบ่าวได้ยินพวกบ่าวในจวนพูดคุยว่า ก่อนที่คุณหนูรองเหลียงจะหมั้นหมายกับคุณชายรองสกุลจ้ง นางเคยมอบไมตรีให้แก่คุณชา
จ้าวฟางฉีกลับออกจากจวนตระกูลจ้าวมา ด้วยท่าทางตื่นเต้น เขากำลังกลับไปรับจ้าวฟางเซียนที่ร้านจ้าวเจา ยามนี้นางคงจะตรวจสอบบัญชีของที่ร้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาอยากจะเล่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น ก่อนที่เขาจะออกจากเรือนมาให้น้องสาวได้ฟัง ที่มีคนกล่าวว่า เกลียดสิ่งใดมักจะได้สิ่งนั้นคงจะเป็นเรื่องจริง เพราะยามนี้พี่หญิงใหญ่ของพวกเขา กำลังเผชิญกับด่านเคราะห์กรรมที่ว่านั้นเสียแล้ว“พี่ชายรอง… ท่านเพิ่งกลับจวนไปได้แค่หนึ่งชั่วยาม เหตุใดถึงรีบกลับมานักเล่าเจ้าคะ” จ้าวฟางเซียนแสดงท่าทีประหลาดใจยามที่เห็นพี่ชายของตนกลับเข้ามาในร้าน“ก็ที่เรือนฟางเฟยของพวกเราน่ะสิ ยามนี้แทบจะลุกเป็นไฟอยู่แล้วฮ่าๆๆๆ” จ้าวฟางฉีบอกน้องสาวพลางหัวเราะออกมา ยามที่นึกถึงใบหน้าของพี่หญิงใหญ่จ้าวฟางเซียนรู้ดีว่าที่จวนเกิดเหตุการณ์อันใดขึ้น ก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องที่จ้าวฟางหรู พี่หญิงใหญ่ของนางปฏิเสธการแต่งงานกับตระกูลเซี่ยเป็นแน่ นางแสร้งถามพี่ชายออกมาราวกับว่า ตนยังไม่รับรู้ถึงเรื่องราว“ไฟไหม้เรือนของพวกเราจริงหรือเจ้าคะ”“ฮ่าๆๆ น้องหญิงรอง ถ้าหากไฟไหมเรือนจริง เจ้าคิดว่าพี่ยังจะมีอารมณ์มานั่งหัวเราะอยู่ต่อหน้าเจ้าได้อีกหรือ"
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเจ้าคะท่านพ่อท่านแม่”จ้าวฟางเซียนรีบเดินเข้าไปประคองพี่สาวขึ้นมาจากพื้น โดยที่มีจ้าวฟางฉีช่วยอีกแรง จ้าวฟางหรูที่ดูเหมือนจะไม่ยินยอมตั้งแต่แรก ทว่าสุดท้ายก็ยอมตัวอ่อนปล่อยให้น้องสาว และน้องชายช่วยประคองนางไปนั่งลงบนเก้าอี้“ก็จดหมายจากตระกูลเซี่ย ที่พี่ชายเจ้านำมาส่งให้ท่านปู่เมื่อเช้าน่ะสิ มันมิใช่จดหมายธรรมดา แต่ทว่าเป็นจดหมายทวงถามสัญญาที่ท่านปู่ของพวกเจ้า เคยให้ไว้ต่อท่านผู้เฒ่าสกุลเซี่ย” จ้าวฟางเซียนแสร้งตกใจ“สัญญาอะไรกันหรือเจ้าคะ”ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว แต่จ้าวฟางเซียนก็ไม่ทำให้เรื่องราวผิดเพี้ยนไปจากเดิม นางยังคงถามออกมา ทว่าจ้าวฟางฉีกลับเหล่มองน้องหญิงรองด้วยแววตาประหลาดใจ หรือน้องหญิงรองจะไม่เชื่อที่เขาเล่าให้นางฟัง“ท่านผู้เฒ่าสกุลเซี่ย แต่เดิมเขาคือแม่ทัพทิศใต้ผู้องอาจ วัยหนุ่มท่านปู่ของพวกเจ้า ได้เดินทางไปค้าขายทางทิศใต้พอดี วันนั้นบังเอิญเจอพวกโจรป่าที่คอยดักปล้นพวกพ่อค้ากับชาวบ้าน แต่ทว่าในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีที่ได้พบกับกองทัพสกุลเซี่ยเข้าพอดี ท่านผู้เฒ่าเซี่ยในยามนั้นจึงได้ช่วยชีวิตของท่านปู่เอาไว้” สิ่งที่บิดาเล่าออกมาล้วนแต่เป็นเรื
หลังจากที่จ้าวฟางหรูเดินออกจากห้องตำราไป หวงฟางหรง หรือฮูหยินใหญ่ก็เดินเข้ามาหาผู้เป็นสามี จ้าวหวังเหล่ยที่กำลังตรวจสอบบัญชีของร้านค้าประจำตระกูลอยู่จึงยอมละมือ เขาเงยหน้ามองภรรยา ก่อนที่จะส่งยิ้มจางๆ ให้แก่นาง หวงฟางหรงเดินมานั่งลงข้างๆ เขา แล้วจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา“หรูเอ๋อร์ว่าเช่นไรบ้างหรือเจ้าคะ”“ลูกไม่ได้คัดค้านอันใด ข้าได้เห็นท่าทีของนางในวันนี้ก็ค่อยรู้สึกสบายใจ ที่ผ่านมาข้ากังวลว่าจะบีบบังคับลูกเกินไป แต่ดูๆ แล้ว หรูเอ๋อร์ของพวกเรา เป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่ายกว่าที่คิด เป็นข้าเองที่กังวลมากจนเกินไป” จ้าวหวังเหล่ยตอบภรรยาออกมาด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายครั้นได้ยินเช่นนั้น หวงฟางหรงก็รู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย ทว่านางพยายามคิดไปในทางที่ดี ว่าบุตรีของนางยอมรับชะตากรรมที่จะต้องออกเรือนไปกับขุนนางฝ่ายบู๊อย่างตระกูลแม่ทัพ แต่ไม่ใช่ว่านางจะวางใจเสียทีเดียว เพราะเห็นว่าจ้าวฟางหรูดูยอมแพ้ง่ายดายเกินไป นางได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ โดยเลือกที่จะไม่ปรึกษากับผู้เป็นสามีหลังจากวันนั้น หวงฟางหรงจึงสั่งให้บ่าวในจวน คอยติดตามดูพฤติกรรมของคุณหนูใหญ่ในช่วงเวลานี้ นางจึงได้รับรู้ว่าจ้าวฟ
ณ จวนตระกูลเซี่ย แห่งเมืองหนานจงเซี่ยเฟยอวี่ หรือนายท่านผู้เฒ่าตระกูลเซี่ย กำลังนั่งอ่านจดหมายตอบรับจากตระกูลจ้าวที่อยู่ในมือ ในใจพลันรู้สึกตื่นเต้นยินดี แต่ทว่ายามนี้บุตรชายกับหลานชาย เพิ่งจะเดินทางออกไปสู้รบกับทหารแคว้นจิ้นที่ชายแดนเมืองหนานตง เขาจึงไม่อาจตอบรับคำร้องขอ ที่ตระกูลจ้าวกล่าวมาในจดหมาย ว่าขอให้คุณชายใหญ่เซี่ยเฟยหลง เดินทางไปพบหน้าคุณหนูตระกูลจ้าว ก่อนที่จะตอบรับการหมั้นหมายกัน“ทางนั้นเขาตอบกลับมาว่าอย่างไรบ้างหรือเจ้าคะท่านพี่” เหลียงลี่จู ผู้เป็นภรรยาเอ่ยถามสามีออกมา“เขาบอกว่าอยากจะให้หลงเอ๋อร์ของเรา เดินทางไปพบหน้าหลานสาวของเขาก่อน ก่อนที่เด็กทั้งสองจะหมั้นหมายกัน”เหลียงเหล่าฮูหยินพยักหน้าขึ้นลง นางพอจะเข้าใจความรู้สึกของทางฝั่งตระกูลจ้าว เพราะอีกฝ่ายเป็นเพียงตระกูลคหบดี ร่ำรวยมาจากการค้าขาย หาใช่ตระกูลขุนนางเช่นตระกูลเซี่ยไม่ หากจะให้ลูกหลานออกเรือนมา ก็ต้องทำให้นางรู้สึกยินยอมพร้อมใจด้วยเช่นกัน“ยามนี้เหตุการณ์ชายแดนเมืองหนานตงก็ไม่สงบเสียด้วย ข้าก็หวังเพียงแต่ว่า ฉีเอ๋อร์กับหลงเอ๋อร์จะสามารถร่วมมือกัน จัดการกองทัพแคว้นจิ้นให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้โดยเร็ว” เซี่ยเฟยอวี่ก
ครั้นปรึกษากันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จ้าวหวังเหล่ยจึงไปพบผู้เป็นบิดา เพื่อบอกกล่าวถึงเรื่องที่ตนเพิ่งได้คุยกับบุตรสาวไป นายท่านผู้เฒ่าค่อยวางใจ ที่อย่างน้อยวันนี้หลานสาว ก็ไม่ต่อต้านเรื่องการหมั้นหมายกับตระกูลเซี่ยอีกแล้ว ทั้งยังร้องขอพบหน้าว่าที่คู่หมั้นก่อนอีกด้วย เป็นเช่นนี้เขาจะขัดข้องไปเพื่อเหตุใด นายท่านผู้เฒ่าจ้าวหยวนจง จึงรีบเขียนจดหมายเพื่อส่งข่าวให้แก่นายท่านผู้เฒ่าตระกูลเซี่ยทันที อีกไม่นานสิ่งที่ตนรู้สึกติดค้างตระกูลเซี่ย ก็จะได้รับการตอบแทนแล้ว หากเขาต้องจากไป เขาก็ไม่ต้องรู้สึกว่าตนเองติดค้างต่อผู้ใดอีกในยามเซิน จ้าวฟางหรูนั่งรถม้าออกจากจวนไปเที่ยวชมตลาด วันนี้เปี๋ยเอ๋อได้ยินมาจากสาวรับใช้จวนตระกูลเถียนว่า คุณชายใหญ่เถียนซ่ง จะออกไปพบปะสหายที่โรงน้ำชาอู๋เหลียง นางจึงตั้งใจจะไปดื่มน้ำชาที่โรงน้ำชาอู๋เหลียงเช่นกัน เพื่อให้ตนได้อยู่ในสายตาของทั่นฮวาหนุ่ม นางมีเวลาไม่มากแล้ว ถึงอย่างไรนางก็ต้องผูกไมตรีกับคุณชายใหญ่เถียนซ่งผู้นั้น ก่อนที่คุณชายใหญ่สกุลเซี่ยจะเดินทางมาถึงเมืองหนานจาง“เป็นถึงทั่นฮวา แต่ข้างกายกลับขาดสตรีที่รู้ใจ ไม่คิดว่าชีวิตเจ้าก็มีเรื่องให้น่าสงสารเช่นกันฮ่า
หลังจากแยกย้ายกลับเรือนของตนไป จ้าวฟางหรูก็ได้แต่จมดิ่งอยู่ในความทุกข์ระทม ทว่านางก็ไม่ยอมแพ้พยายามมองหาทางออกให้ตัวเองอย่างเงียบๆ จู่ๆ นางก็นึกไปถึงใบหน้าหล่อเหลาของบัณฑิตหนุ่มที่เพิ่งได้พบเจอกัน หากเป็นเขาผู้นั้นยังจะดีเสียกว่า ชีวิตนี้นางไม่มีวันยอมที่จะออกเรือนไปกับตระกูลแม่ทัพหรือขุนนางฝ่ายบู๊เป็นอันขาด“คุณหนู…บ่าวเตรียมน้ำเสร็จแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูรีบไปอาบน้ำแล้วก็พักผ่อนก่อนเถิดนะเจ้าคะ วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” เปี๋ยเอ๋อบอกจ้าวฟางหรูออกมา พลางมองคุณหนูใหญ่ของนางด้วยแววตาเห็นใจ ทว่าเรื่องเช่นนี้หาใช่เรื่องที่ตนจะสอดมือเข้าไปยุ่งได้“ขอบใจนะเปี๋ยเอ๋อ”จ้าวฟางหรูบอกสาวรับใช้คนสนิทของตน จากนั้นจึงเดินเข้าไปภายในห้องอาบน้ำด้วยสติที่เลื่อนลอย เปี๋ยเอ๋อถอนหายใจออกมาก่อนที่นางจะหันไปเตรียมที่นอนให้คุณหนูของนางภายในอ่างน้ำที่เคยมีกลีบดอกไม้ลอยอยู่ ยามนี้มีสตรีเรือนร่างงดงามก้าวเท้าลงไป นางนอนแช่น้ำอย่างใคร่ครวญ พยายามหาทางออกให้แก่ตนเอง นางได้แต่คิดเสียใจในภายหลังว่า เหตุใดก่อนหน้านี้นางไม่คิดจะออกเรือนไปเสีย เหตุใดต้องรอให้ถึงวันที่นางถูกบีบบังคับให้ออกเรือนไปกับบุรุษที่นางไม่เคยต้อง
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเจ้าคะท่านพ่อท่านแม่”จ้าวฟางเซียนรีบเดินเข้าไปประคองพี่สาวขึ้นมาจากพื้น โดยที่มีจ้าวฟางฉีช่วยอีกแรง จ้าวฟางหรูที่ดูเหมือนจะไม่ยินยอมตั้งแต่แรก ทว่าสุดท้ายก็ยอมตัวอ่อนปล่อยให้น้องสาว และน้องชายช่วยประคองนางไปนั่งลงบนเก้าอี้“ก็จดหมายจากตระกูลเซี่ย ที่พี่ชายเจ้านำมาส่งให้ท่านปู่เมื่อเช้าน่ะสิ มันมิใช่จดหมายธรรมดา แต่ทว่าเป็นจดหมายทวงถามสัญญาที่ท่านปู่ของพวกเจ้า เคยให้ไว้ต่อท่านผู้เฒ่าสกุลเซี่ย” จ้าวฟางเซียนแสร้งตกใจ“สัญญาอะไรกันหรือเจ้าคะ”ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว แต่จ้าวฟางเซียนก็ไม่ทำให้เรื่องราวผิดเพี้ยนไปจากเดิม นางยังคงถามออกมา ทว่าจ้าวฟางฉีกลับเหล่มองน้องหญิงรองด้วยแววตาประหลาดใจ หรือน้องหญิงรองจะไม่เชื่อที่เขาเล่าให้นางฟัง“ท่านผู้เฒ่าสกุลเซี่ย แต่เดิมเขาคือแม่ทัพทิศใต้ผู้องอาจ วัยหนุ่มท่านปู่ของพวกเจ้า ได้เดินทางไปค้าขายทางทิศใต้พอดี วันนั้นบังเอิญเจอพวกโจรป่าที่คอยดักปล้นพวกพ่อค้ากับชาวบ้าน แต่ทว่าในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีที่ได้พบกับกองทัพสกุลเซี่ยเข้าพอดี ท่านผู้เฒ่าเซี่ยในยามนั้นจึงได้ช่วยชีวิตของท่านปู่เอาไว้” สิ่งที่บิดาเล่าออกมาล้วนแต่เป็นเรื
จ้าวฟางฉีกลับออกจากจวนตระกูลจ้าวมา ด้วยท่าทางตื่นเต้น เขากำลังกลับไปรับจ้าวฟางเซียนที่ร้านจ้าวเจา ยามนี้นางคงจะตรวจสอบบัญชีของที่ร้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาอยากจะเล่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น ก่อนที่เขาจะออกจากเรือนมาให้น้องสาวได้ฟัง ที่มีคนกล่าวว่า เกลียดสิ่งใดมักจะได้สิ่งนั้นคงจะเป็นเรื่องจริง เพราะยามนี้พี่หญิงใหญ่ของพวกเขา กำลังเผชิญกับด่านเคราะห์กรรมที่ว่านั้นเสียแล้ว“พี่ชายรอง… ท่านเพิ่งกลับจวนไปได้แค่หนึ่งชั่วยาม เหตุใดถึงรีบกลับมานักเล่าเจ้าคะ” จ้าวฟางเซียนแสดงท่าทีประหลาดใจยามที่เห็นพี่ชายของตนกลับเข้ามาในร้าน“ก็ที่เรือนฟางเฟยของพวกเราน่ะสิ ยามนี้แทบจะลุกเป็นไฟอยู่แล้วฮ่าๆๆๆ” จ้าวฟางฉีบอกน้องสาวพลางหัวเราะออกมา ยามที่นึกถึงใบหน้าของพี่หญิงใหญ่จ้าวฟางเซียนรู้ดีว่าที่จวนเกิดเหตุการณ์อันใดขึ้น ก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องที่จ้าวฟางหรู พี่หญิงใหญ่ของนางปฏิเสธการแต่งงานกับตระกูลเซี่ยเป็นแน่ นางแสร้งถามพี่ชายออกมาราวกับว่า ตนยังไม่รับรู้ถึงเรื่องราว“ไฟไหม้เรือนของพวกเราจริงหรือเจ้าคะ”“ฮ่าๆๆ น้องหญิงรอง ถ้าหากไฟไหมเรือนจริง เจ้าคิดว่าพี่ยังจะมีอารมณ์มานั่งหัวเราะอยู่ต่อหน้าเจ้าได้อีกหรือ"
หลังจากชื่นชมเหล่าบัณฑิตท่องบทกวีกันจนจบ จ้าวฟางหรูจึงขอตัวกลับจวนก่อน เพราะวันนี้นางรู้สึกผิดหวังอยู่ไม่น้อย ครั้นแยกจากสหายสนิทของนางแล้ว เปี๋ยเอ๋อ สาวรับใช้คนสนิทก็เข้ามากระซิบบอกนางเบาๆ“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ คุณชายใหญ่สกุลเถียนผู้นั้น หาได้มีคู่หมายอย่างเช่นคุณหนูรองเหลียงกล่าวมาหรอกเจ้าค่ะ” จ้าวฟางหรูชะงักเท้าก่อนที่จะหันกลับไปถามสาวรับใช้คนสนิทของนางทันที“เจ้ารู้ได้เช่นไร”“เมื่อสามสี่วันก่อน บ่าวได้ยินพวกในจวนพูดคุยกัน ถึงเรื่องผู้ที่ได้เป็นทั่นฮวาของปีนี้น่ะเจ้าค่ะ” เปี๋ยเอ๋อกระซิบบอกคุณหนูใหญ่ของตน“เจ้าจะบอกว่า…เยว่เล่อนางโป้ปดข้าเช่นนั้นรึ เพราะเหตุใดนางถึงต้องทำเช่นนั้นกันเล่า”“คุณหนูใหญ่อาจจะตำหนิว่าบ่าวปากมาก แต่บ่าวอยากจะขออนุญาตเตือนคุณหนูใหญ่สักหน่อย ว่าคุณหนูรองสกุลเหลียงผู้นั้น หาได้เป็นคนที่น่าคบหาไม่ นางไม่จริงใจต่อท่านเจ้าค่ะ" เปี๋ยเอ๋อกล่าวออกมา พลางสังเกตสีหน้าคุณหนูของนาง“ไม่จริงใจเยี่ยงไรรึ” จ้าวฟางหรูเลิกคิ้ว แล้วเอ่ยถามสาวรับใช้ข้างกาย"สองสามวันก่อนบ่าวได้ยินพวกบ่าวในจวนพูดคุยว่า ก่อนที่คุณหนูรองเหลียงจะหมั้นหมายกับคุณชายรองสกุลจ้ง นางเคยมอบไมตรีให้แก่คุณชา
ภายในเรือนฟางเฟยจ้าวหวังเหล่ยเดินกลับเข้ามา ภายในเรือนของตนด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้ง เพราะไม่รู้ว่าจะหาเหตุผลอันใด ไปโน้มน้าวจ้าวฟางหรู บุตรีคนโตที่มีอายุสิบแปดปี ให้นางยินยอมออกเรือนไปกับคุณชายใหญ่สกุลเซี่ยดี ครั้นได้พบหน้าภรรยาเขาจึงลองปรึกษาเรื่องนี้กับนาง หวงฟางหรงถึงกับถอนหายใจออกมา และแล้วสิ่งที่นางกังวลก็เกิดขึ้นจริงๆ เรื่องนี้คงจะปัดภาระให้พ้นตัวมิได้ เพราะตระกูลจ้าวมีหลานสาวสายตรงเพียงแค่สองคนเท่านั้น นั่นก็คือบุตรีทั้งสองของนาง“ฮูหยิน…เจ้าว่าหรูเอ๋อร์จะยินยอมออกเรือนไปกับคุณชายใหญ่สกุลเซี่ยหรือไม่ ข้าได้ยินท่านพ่อบอกว่า คุณชายใหญ่สกุลเซี่ยผู้นั้นเป็นบุรุษที่มีหน้าตาดี และรูปร่างสง่างามยิ่งนัก อนาคตภายหน้าตำแหน่งแม่ทัพใหญ่คงจะไม่พ้นเป็นของเขา เพราะยามนี้ตระกูลเซี่ยเหลือเพียงแค่เขาที่เป็นทายาทสืบสกุล” จ้าวหวังเหล่ยถามความเห็นของภรรยาออกมา“ท่านก็รู้นี่เจ้าคะ ว่าหรูเอ๋อร์นางเป็นสตรีที่มีใจเด็ดเดี่ยว ยึดมั่นในความคิดของตนเองมาตลอด นางเคยบอกกับน้องว่า จะไม่ยอมออกเรือนไปกับตระกูลแม่ทัพ หรือขุนนางฝ่ายบู๊เป็นเด็ดขาด แล้วท่านว่า…ท่านจะสามารถเกลี้ยกล่อมนางได้หรือเจ้าคะ”หวงฟางหรงบอก
เรื่องนี้จ้าวฟางเซียนนั้นรู้ดี ว่าพี่หญิงใหญ่ของนางนั้นไม่มีวันยินยอมที่จะออกเรือนไปกับตระกูลเซี่ยเป็นแน่ เช่นเดียวกับชีวิตก่อน ที่จ้าวฟางหรูชิงออกเรือนไปกับบัณฑิตทั่นฮวาของแคว้นเจิ้ง แล้วทิ้งหน้าที่ออกเรือนกับคุณชายใหญ่สกุลเซี่ยให้นางแทน“แต่ก็เป็นตระกูลที่มีเกียรติ และน่าเคารพนับถือนะเจ้าคะ ตายในสนามรบย่อมมีเกียรติกว่าการตายโดยเปล่าประโยชน์” จ้าวฟางเซียนที่กินอาหารอยู่อย่างเพลิดเพลินก่อนหน้า แสดงความคิดเห็นของตนออกมาจ้าวฟางหรูที่ได้ยินเช่นนั้นได้แต่นึกขบขันอยู่ภายในใจ น้องสาวของนางนั้นช่างมีความคิดที่ไร้เดียงสา และเป็นเด็กที่มองโลกในแง่ดียิ่งนัก หาได้คาดการณ์ถึงเรื่องราวในภายภาคหน้าไม่ ผู้ใดกันที่อยากจะมีสามีอายุสั้น นางคนหนึ่งล่ะที่ไม่ปรารถนา“เจ้ายังเป็นเด็กอยู่ จะไปรู้เรื่องอันใด หากวันหน้าเจ้าต้องออกเรือน เจ้าจะเลือกบุรุษที่มีอายุขัยสั้นกว่าเจ้ามาเป็นคู่ครองเช่นนั้นรึ” จ้าวฟางหรูติเตือนน้องสาวออกมาทว่าครานี้จ้าวฟางเซียนกลับไม่เก็บเอาคำพูดของพี่สาวมาใส่ใจ เพราะนางเคยใช้ชีวิตเป็นฮูหยินแม่ทัพมาหนหนึ่งแล้ว ทว่าชีวิตก่อนนางนึกเสียดายและเสียใจ ที่ไม่ได้แสดงความรักที่มีต่อสามีออกไป ค