เกือบชั่วยามครึ่ง ที่สาวรับใช้คนสนิทออกไปสืบข่าวการจากไปของคุณชายรองเซี่ยให้จ้าวฟางเซียน ก่อนที่นางจะกลับมารายงานคุณหนูรองของนางด้วยความตื่นเต้น และการที่จ้าวฟางเซียนส่งซู่เอ๋อออกไปสืบเรื่องราวของคุณชายรองเซี่ยในครานี้นั้น ถือว่าไม่เสียเที่ยว เพราะสาวรับใช้คนสนิทของนางได้รู้เรื่องราวของคุณชายรองมาไม่น้อย
“เถ้าแก่เนี้ยที่ร้านผ้าไหมปี้ชุนในตลาดเล่าให้บ่าวฟังว่า คุณชายรองสกุลเซี่ยเดิมทีเป็นคุณชายหนุ่มรูปงาม สตรีมากมายต่างอยากผูกไมตรีกับเขา แต่ทว่าเขากลับไม่สนใจสตรีใดในเมืองหนานจง และเพราะเป็นนักปราชญ์จึงออกเดินทางไปต่างเมืองอยู่บ่อยครั้ง จนไปเยือนเมืองหนานจาง เขาก็ได้พบกับสตรีนางหนึ่ง บ่าวที่ติดตามคุณชายรองเซี่ย เคยเล่าให้พวกสาวใช้ในจวนฟังว่า สตรีนางนั้นมีรูปโฉมงดงามปานเทพเซียน รอยยิ้มของนางก็สะกดใจบุรุษให้ลุ่มหลงไม่น้อย” ซู่เอ๋อหยุดเล่าก่อนที่นางจะยกถ้วยน้ำชาขึ้นมากระดก จ้าวฟางเซี่ยนไม่ตำหนิสาวรับใช้คนสนิท เพราะเห็นว่านางออกไปสืบความมาให้ตนอย่างทุ่มเท “คุณหนูลองคาดเดาดูสิเจ้าคะ ว่าสตรีนางนั้นมีแซ่ใด” จ้าวฟางเซียนเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความประหลาดใจทันที “ข้าจะคาดเดาได้เช่นไร ในเมื่อสตรีที่มีรูปโฉมงดงามปานเทพเซียนในเมืองหนานจาง หาใช่มีสกุลเดียวไม่” ครั้นได้ยินคุณหนูรองกล่าวออกมาเช่นนี้ ซู่เอ๋อจึงกลั้นยิ้มก่อนที่จะยอมบอกแซ่ที่น่าตกใจออกมา “แซ่จ้าวเจ้าค่ะ” “ซะ…แซ่จ้าวเช่นนั้นรึ” จ้าวฟางเซียนถามย้ำ ซู่เอ๋อพยักหน้าขึ้นลง สีหน้าของนางก็จริงจังยิ่งนัก “คุณหนูว่า…สตรีที่ปฏิเสธไมตรีจากคุณชายรองเซี่ย จนเขาคิดปลิดชีวิตตนเอง จะใช่คุณหนูใหญ่หรือไม่เจ้าคะ” ซู่เอ๋อถามคุณหนูรองออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล “ข้ามั่นใจว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพี่หญิงใหญ่แน่นอน แต่ว่าเพราะเหตุใดสตรีนางนั้น ถึงได้มาแอบอ้างใช้แซ่ของตระกูลข้า เช่นนี้ไม่เป็นการใส่ร้ายบุตรีของตระกูลจ้าวให้เสียชื่อเสียงหรอกหรือ” จ้าวฟางเซียนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ใบหน้าก็แสดงออกมาถึงความขุ่นข้องใจ “จริงเจ้าค่ะ การแอบอ้างชื่อแซ่ไปกระทำเช่นนี้ ชื่อเสียงอันดีงามของคุณหนูใหญ่กับคุณหนูรองที่สั่งสมมา คงได้พากันเสียหายไปหมด" ซู่เอ๋อเห็นด้วยกับความคิดของคุณหนูรอง เพราะถึงแม้คุณหนูใหญ่จะมีนิสัยดื้อรั้น และเอาแต่ใจตนเองมากเพียงใด แต่ทว่านางก็ไม่เคยใช้ความงดงามไปล่อลวงบุรุษใดให้มาลุ่มหลง หรือไม่เคยมีไมตรีให้แก่บุรุษใดมาก่อน "แล้วเช่นนี้…คนตระกูลเซี่ยจะไม่เข้าใจตระกูลจ้าวผิดไปหรือเจ้าคะ หากคุณหนูใหญ่ออกเรือนมาอยู่ที่นี่ บ่าวเกรงว่าอาจจะเกิดปัญหาใหญ่ได้” ซู่เอ๋อถามจ้าวฟางเซียนออกมาด้วยความเป็นกังวล “เพราะเช่นนี้…ข้าถึงต้องสืบให้รู้ให้ได้ ว่าสตรีใดที่กล้ามาสวมรอย แอบอ้างว่าเป็นคุณหนูตระกูลจ้าว ก่อนที่พี่หญิงใหญ่่จะออกเรือนมายังตระกูลเซี่ยอย่างไรเล่า” “คุณหนูช่างคิดได้รอบคอบยิ่งนัก แต่ว่า…พวกเราต้องเดินทางกลับเมืองหนานจางในวันพรุ่งนี้แล้วนี่เจ้าคะ จะเอาเวลาไหนไปสืบต่อได้อีก” ซู่เอ๋อกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสนเสียดาย “ที่นี่ไม่มีสิ่งใดที่ข้าอยากรู้แล้วล่ะ ในเมื่อเรื่องมันเกิดที่เมืองหนานจาง พวกเราก็ต้องกลับไปสืบเรื่องนี้ต่อที่เมืองหนานจาง” จ้าวฟางเซียนบอกสาวรับใช้คนสนิทด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่เสียงเคาะประตูหน้าห้องจะดังขึ้น ตามด้วยเสียงสาวรับใช้ของมารดา ยามนี้ท่านปู่และบิดามารดาของนาง คงจะพักผ่อนกันจนเป็นที่พอใจแล้ว ถึงได้ให้สาวรับใช้คนสนิทมาเรียกนางให้ลงไปกินอาหารร่วมกับพวกเขาที่ชั้นล่างของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ ครั้นจ้าวฟางเซียนเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อย จึงลงไปร่วมโต๊ะกับครอบครัว ท่านปู่ไม่พูดจาสิ่งใดออกมาสักคำ อาจจะเป็นเพราะยังคงรู้สึกเศร้าใจให้กับชะตากรรมของท่านแม่ทัพใหญ่เซี่ย ผู้ซึ่งเป็นบุตรชายของผู้มีพระคุณ ไม่นานเขาก็ลุกจากโต๊ะอาหารแล้วกลับขึ้นห้องพักไปอย่างเงียบๆ จ้าวหวังเหล่ยกับฮูหยินของเขาก็ไม่กล้ากล่าวสิ่งใดออกมา ได้แต่นั่งกินอาหารตรงหน้ากันต่อไปอย่างเงียบๆ จ้าวฟางเซียนละเลียดกินอาหารตรงหน้าอย่างเงียบเชียบเช่นกัน พลางคิดทบทวนเรื่องที่เพิ่งรับรู้มาอยู่ภายในใจ ที่ว่าสตรีใดหนอช่างกล้าหาญ แอบอ้างแซ่ของตระกูลนาง ไปใช้หลอกลวงน้องชายของเซี่ยเฟยหลง ทว่าคิดเท่าใดก็คิดไม่ออก นางจึงได้แต่ถอนหายใจหนักๆ ออกมา จนบิดาและมารดาละสายตาจากอาหาร แล้วมองหน้าบุตรีอย่างพร้อมเพรียงกัน “เซียนเอ๋อร์…เจ้ากำลังคิดมากเรื่องใดอยู่หรือ ถึงได้ถอนหายใจออกมาเสียงดังเช่นนี้” จ้าวหวังเหล่ยเป็นผู้ถามบุตรสาวออกมา “เอ่อ…ไม่มีอันใดเจ้าค่ะท่านพ่อ รีบกินกันเถิดเจ้าค่ะ อาหารเย็นชืดแล้วจะไม่อร่อย” จ้าวฟางเซียนส่งยิ้มให้แก่บิดามารดา ก่อนที่จะตอบคำถามของบิดา จากนั้นจึงคีบอาหารตรงหน้าใส่ชามข้าวของตน แล้วลงมือกินอย่างมีมารยาท ครั้นเห็นว่าสอบถามไม่ได้ความ ทั้งจ้าวหวังเหล่ยและหวงฟางหรงจึงไม่เซ้าซี้บุตรสาวอีก หลังจากมื้ออาหารผ่านไป ทุกคนก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน เพราะพระอาทิตย์ตกดินแล้ว ทำให้จ้าวฟางเซียนไม่อาจสั่งให้ซู่เอ๋อ สาวรับใช้คนสนิท ให้ออกไปเพ่นพ่านนอกโรงเตี๊ยมได้อีก การสืบเรื่องราวของคุณชายรองสกุลเซี่ย จึงได้ความมาแค่นั้น แต่ทว่าสำหรับจ้าวฟางเซียนที่ย้อนเวลากลับมา ได้รู้เพียงเท่านั้นก็ถือว่าเพียงพอแล้ว เส้นสายพวกพ่อค้าแม่ค้าในเมืองหนานจางนางนั้นก็มีอยู่ไม่น้อย อีกทั้งนางยังสามารถกลับไปสอบถามพี่สาวเกี่ยวกับพวกนักปราชญ์ที่เดินทางมาจากต่างเมืองได้ นางเชื่อว่าหากมีการเล่าเรื่อง การประลองท่องบทกวี การประลองดีดฉิน บรรเลงพิณ และหมากล้อม พี่สาวของนางย่อมรู้เรื่องนี้ดีกว่าผู้ใด เพราะเป็นสิ่งที่นางสนใจและถนัดมากที่สุด ช่วงสายของวันต่อมา หลังจากที่เดินทางไปคำนับลาท่านผู้เฒ่าเซี่ยแล้ว ขบวนรถม้าตระกูลจ้าว ก็เดินทางกลับเมืองหนานจางทันที เพราะต่างคนต่างก็มีงานให้กลับไปสะสาง จึงไม่อาจรั้งอยู่ที่เมืองหนานจงนานได้ จ้าวฟางเซียนเห็นใบหน้าที่เย็นชาของเซี่ยเฟยหลงแล้ว ก็อดที่จะรู้สึกเจ็บปวดแทนเขาไม่ได้ ในชีวิตก่อนเขาใช้ชีวิตอยู่อย่างทนทุกข์ทรมานถึงเพียงนี้ ทว่านางกลับไม่เคยใส่ใจความรู้สึกของเขาเลยแม้แต่นิด นางเอาแต่คิดว่าเป็นเพราะเขาไม่ชอบนาง เป็นเพราะนางไม่ใช่สตรีที่เขาจะแต่งเข้าจวน เขาถึงได้แสดงท่าทีเย็นชาต่อนาง แท้จริงแล้วกลับเป็นเพราะเขาเข้าใจว่านางเป็นสตรีสกุลจ้าว ที่ไปหลอกลวงน้องชายของเขาจนตรอมใจ และตัดสินใจจบชีวิตตนเองต่างหาก การที่นางได้ย้อนเวลากลับมาในครานี้ นางจะขอแก้ไขความเข้าใจผิดที่เขามีต่อสตรีตระกูลจ้าว ด้วยการสืบหาความจริง ว่าแท้จริงแล้วคือฝีมือของสตรีนางใด ชีวิตนี้นางจะไม่ยอมใช้ชีวิตเช่นเดิมเด็ดขาด ชีวิตคู่ของนางและเขาจะต้องมีความสุข แม้สุดท้ายจะต้องจากกัน นางก็จะไม่เสียดาย หรือเสียใจเช่นเดียวกับในชีวิตก่อนเลยขบวนรถม้าของสกุลจ้าว เดินทางกลับถึงเมืองหนานจาง หลังใช้เวลาเดินทางออกมาจากเมืองหนานจงเพียงหนึ่งคืนสองวัน จ้าวฟางเซียนแทบจะรอไม่ไหว ที่จะสืบหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องของคุณชายรองสกุลเซี่ย จากเรื่องที่นางให้สาวรับใช้คนสนิทไปสืบเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก่อนจะออกจากเมืองหนานจงมา ทำให้นางรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีคนจงใจใส่ร้ายพี่สาวของนาง เพราะนางยังเยาว์วัย จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะไปมีเรื่องผิดใจกับสตรีหรือบุรุษใด“อวี้….”เสียงบ่าวที่บังคับรถม้าร้องออกมาเพื่อเป็นการส่งสัญญาณให้ม้าหยุดเดิน รถม้าจึงหยุดนิ่งอยู่ที่หน้าประตูจวนตระกูลจ้าว นายท่านผู้เฒ่าจ้าวและคนอื่นทยอยกันเข้าไปในจวน รถม้าของจ้าวฟางเซียนรั้งท้ายขบวน“ถึงจวนแล้วเจ้าค่ะคุณหนูรอง” ซู่เอ๋อรายงานจ้าวฟางเซียนพลางใช้มือเปิดม่านแล้วลงจากรถม้าไปก่อน เพื่อรอรับจ้าวฟางเซียนอยู่ด้านนอกร่างเล็กโผล่พ้นม่านประตูรถม้า ก่อนที่จะหยุดนิ่งยืนมองไปยังด้านนอก บรรยากาศและกลิ่นอายที่คุ้นเคยปะทะเข้าจมูก ซู่เอ๋อยื่นมือไปรับคุณหนูรองให้ลงมาจากรถม้า ครั้นลงไปจากรถม้าแล้ว เจ้าของร่างเล็กจึงบิดกายไปมาเพื่อขับไล่ความเมื่อยขบ จากการนั่งรถม้ามานาน“เจ้ารี
ชีวิตก่อนนางไม่เคยพบหน้าเหลียงเยว่เล่อมาก่อน รู้เพียงแค่ว่าพี่สาวของนางมีสหายที่คบหากันก่อนแต่งงานอยู่หนึ่งคน แต่หลังจากออกเรือนไปได้ไม่นานก็เลิกคบหากัน แต่เพราะสาเหตุใดนางเองก็ไม่รู้เช่นกัน เพราะยามนั้นนางหาได้ใส่ใจเรื่องของจ้าวฟางหรู พี่สาวที่เห็นแก่ตัวของนางไม่“ถึงว่าพี่ถึงได้รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเจ้ายิ่งนัก เป็นเพราะเจ้ามีหน้าตางดงามไม่แพ้ฟางหรูเลย อืม…พี่มีธุระต้องไปทำต่อ เอาไว้โอกาสหน้าค่อยพูดคุยกันให้มากหน่อย”เหลียงเยว่เล่อเห็นท่าไม่ดี จึงยอมถอยดีกว่า วันนี้ไม่เหมาะที่นางจะทำอวดเบ่งที่ร้านจ้าวจาง เพราะถ้าหากน้องสาวของจ้าวฟางหรูนำเรื่องนี้ไปบอกกล่าวแก่พี่สาว อีกฝ่ายต้องรู้ตัวเป็นแน่ ว่านางใช้ความเป็นสหาย อ้างสิทธิ์ขอให้ผู้ดูแลร้านจ้าวจาง นำสินค้าใหม่ออกมาให้นางชื่นชมก่อนผู้ใด“เจ้าค่ะ”จ้าวฟางเซียนมองตามสตรีที่มีรูปโฉมงดงาม ทว่ากลับมองหาความพิเศษใดๆ ไม่เจอเดินออกจากร้านจ้าวจางไป โหงวเฮ้งของคุณหนูรองสกุลเหลียงนางนี้ ดูอย่างไรก็เป็นคนที่ไม่น่าคบหา ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด พี่หญิงใหญ่ของนางถึงได้คบหาสตรีเช่นนี้กัน จ้าวฟางเซียนถอนหายใจหนักๆ ออกมา ก่อนที่จะหันกลับไปถามผู้ดูแลร้าน“คุณหน
ภายในเรือนฟางเฟยยามนี้ มีสตรีรูปร่างบอบบางนั่งอยู่บนพื้น นางกำลังร้องไห้ในอ้อมกอดของผู้เป็นมารดา ผ้าขาวถูกโยนมากองตรงหน้าของนางทั้งสอง นายท่านใหญ่ของจวนอย่างจ้าวหวังเหล่ย มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเดือดดาล สาเหตุเป็นเพราะบุตรีคนโตเข้ามาบอกกับเขาว่า นางได้พบเจอกับบุรุษที่ตนพึงใจแล้ว และนางจะออกเรือนไปกับบุรุษผู้นั้นเขากับภรรยาเพิ่งจะกลับมา จากการเดินทางไปเมืองหนานจงแค่เพียงสี่วัน ทว่ากลับมายังไม่ทันข้ามวัน บุตรีก็มาบอกพวกเขาว่า นางได้พบบุรุษที่ตนพึงใจเสียแล้ว เรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าจ้าวฟางหรูไม่วางแผนเอาไว้ตั้งแต่ต้น“ปลิดชีพตนเองซะ สตรีเช่นเจ้าไม่สมควรเกิดมาเป็นลูกสาวของข้า”น้ำเสียงที่ดังออกมาจากบุรุษร่างสูงนั้น ฟังดูจริงจังเกินกว่าจะกล่าวว่าเขานั้นพูดเล่น จ้าวฟางหรูตัวสั่นเทาพลันน้ำตาไหลพราก ส่วนหวงฟางหรงที่กำลังโอบกอดบุตรสาวเอาไว้นั้น มองสามีด้วยแววตาตำหนิ ก่อนที่นางจะตัดสินใจกล่าวออกมา“ท่านพี่…พอเถิดเจ้าค่ะ แค่นี้ลูกก็เจ็บช้ำใจมากพอแล้ว”“ท่านพ่อ!!! นี่มันเกิดเรื่องอะไรกันขึ้นหรือเจ้าคะ”เสียงของจ้าวฟางเซียนที่ดังมาจากทางด้านหน้าของห้องรับรอง ทำให้จ้าวหวังเหล่ยมองไป
“เจ้าจะไม่นึกเสียใจในภายหลัง และจะไม่ตำหนิว่าข้าเป็นพี่สาวที่เห็นแก่ตัวใช่หรือไม่”จ้าวฟางหรูถามน้องสาวต่อหน้าบิดามารดา เพื่อให้ทั้งสองเป็นประจักษ์พยาน ว่านางหาได้บีบบังคับให้จ้าวฟางเซียนตัดสินใจเช่นนี้ไม่“เจ้าค่ะ…ข้าจะไม่เสียใจ และจะไม่ตำหนิพี่หญิงใหญ่” จ้าวฟางเซียนตอบพี่สาวออกมา ใบหน้าของนางยังคงแย้มยิ้มเฉกเช่นปกติ สองสามีภรรยามองหน้าราวกับกำลังปรึกษากัน ก่อนที่ทั้งสองจะพากันทอดถอนใจออกมา“ในเมื่อตัดสินใจกันได้แล้ว ท่านพี่ก็อย่าได้ขุ่นเคืองหรูเอ๋อร์เลยนะเจ้าคะ อย่างเช่นที่เซียนเอ๋อร์บอก ยากนักที่สตรีจะได้พบเจอกับบุรุษที่เขารักนาง และนางก็รักเขาเช่นกัน” หวงฟางหรงบอกสามี“เซียนเอ๋อร์นางเป็นเด็กรู้ความ” จ้าวหวังเหล่ยแย้งภรรยา“ช่างเถิด…วันนี้ให้แยกย้ายกันไปเสียก่อน คงอีกหลายวัน ที่คุณชายใหญ่สกุลเซี่ยจะมาเยือนเมืองหนานจาง ยังพอมีเวลาให้พวกเจ้าได้ตัดสินใจกันอีกครา หรูเอ๋อร์…เจ้ายังไม่เคยพบหน้าท่านโหวเซี่ยเฟยหลง ไม่แน่ว่า…หากเจ้าได้พบหน้าเขาแล้ว อาจจะอยากเปลี่ยนใจขึ้นมาก็เป็นได้ รอให้ถึงยามนั้นเสียก่อน หากเจ้ายังยืนกรานว่าจะไม่ยอมหมั้นหมายกับเขา พ่อก็จะไม่บีบบังคับเจ้าอีก”จ้าวหวังเหล่ยก
หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่จ้าวฟางหรูทำให้ผู้เป็นบิดาไม่พอใจแล้ว สถานการณ์ภายในเรือนฟางเฟยจึงอึมครึมลงไม่น้อย จ้าวหวังเหล่ยทำตัวหมางเมินและแสดงท่าทีเย็นชาใส่บุตรสาวคนโต จนถึงวันพิธีปักปิ่นของจ้าวฟางเซียน สองพ่อลูกจึงได้ลดความหมางเมินนั้นลง ยามนี้พิธีปักปิ่นของจ้าวฟางเซียนก็ผ่านพ้นมาได้ครบหนึ่งเดือนแล้ว แต่ทว่าทางท่านโหวเซี่ยเฟยหลง ก็ยังมิได้มาเยือนเมืองหนานจางตามที่เคยรับปากเอาไว้ทางด้านตระกูลเซี่ยเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ เป็นท่านผู้เฒ่าเซี่ยที่ส่งสารมาบอกกล่าว ถึงสถานการณ์ชายแดนเมืองหนานตง ด้วยภาระหน้าที่ของแม่ทัพใหญ่อย่างเซี่ยโหว ทำให้เขาไม่อาจละทิ้งหน้าที่ปกป้องความสงบสุขของบ้านเมือง เพื่อเดินทางมาพบหน้าสตรีคู่หมายได้ จ้าวฟางเซียนไม่ได้คิดมากอันใด นางเข้าใจดีว่าเซี่ยโหวนั้นเห็นแก่บ้านเมืองยิ่งกว่าเรื่องส่วนตัว ชีวิตก่อนเขาก็เป็นเช่นนี้อากาศที่ร้อนอบอ้าว บ่งบอกว่าคิมหันตฤดูของปีนี้ได้เวียนมาถึงแล้ว จ้าวฟางเซียนกำลังนั่งเหม่อมองออกไปยังบรรยากาศด้านนอกศาลากลางน้ำ ยังดีที่ศาลาแห่งนี้มีหลังคาสูงโปร่ง ทำให้สายลมสามารถพัดผ่านเข้ามา ระบายอากาศภายในได้ถ่ายเท จนผู้ที่กำลังนั่งอยู่ก็ไม่ได้รู้สึกว่า
รถม้าของจวนตระกูลจ้าวถูกบ่าวชายของจวน บังคับขับเคลื่อนไปตามเส้นทางที่มุ่งหน้าสู่ตลาดใหญ่ใจกลางเมืองหนานจาง สองพี่น้องนั่งพูดคุยกันตลอดทางโดยมีสองสาวรับใช้คนสนิทนั่งฟังคุณหนูทั้งสองอยู่เงียบๆ จ้าวฟางเซียนรู้สึกว่าพี่หญิงใหญ่เปิดใจให้นางมากขึ้น เพราะเรื่องที่คุยกันส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคุณชายสกุลเถียนผู้นั้น ชีวิตก่อนนางไม่เคยออกไปทำความรู้จักกับอีกฝ่าย เพราะพี่สาวของนางแต่งงานกับเขาอย่างกะทันหัน แต่งงานไปทั้งๆ ที่บิดายังคงโกรธเกรี้ยว ความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลจึงไม่ค่อยดีนัก“เอ่อ…พี่หญิงใหญ่เจ้าคะ”จ้าวฟางเซียนนึกขึ้นได้ ว่านางมีเรื่องสงสัยติดอยู่ภายในใจ ต้องการที่จะถามพี่สาวอยู่หลายครั้งหลายครา แต่ทว่ากลับหลงลืมไปทุกครา วันนี้เห็นเป็นโอกาสดีนางจึงเอ่ยถามขึ้นมา“มีอันใดรึเซียนเอ๋อร์” จ้าวฟางหรูเลิกคิ้วสูงพลางถามน้องสาวออกมา“คุณหนูรองสกุลเหลียง นามว่าเยว่เล่อ นางใช่สหายของพี่หญิงใหญ่หรือไม่เจ้าคะ” จ้าวฟางหรูแสดงสีหน้าประหลาดใจขึ้นมาทันที“ใช่แล้วล่ะ เจ้ารู้จักนางด้วยรึ” จ้าวฟางเซียนส่ายหน้า“พี่หญิงใหญ่สนิทสนมกับนางมากหรือไม่เจ้าคะ”“ก็ไม่ได้สนิทอะไรกันมากมายนักหรอก แต่ท
สองพี่น้องตระกูลจ้าว เดินเคียงข้างกันมุ่งหน้าไปยังโรงน้ำชาอู๋เหลียง ซึ่งจ้าวฟางหรูได้นัดพบกับชายคนรักที่นั่น ระหว่างทางย่อมมีผู้คนที่มองมายังคุณหนูทั้งสองอยู่ไม่น้อย เพราะหนึ่งก็ขึ้นชื่อว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่ง และคนข้างกันก็ขึ้นชื่อว่าเป็นบุปผาวัยแรกแย้ม ที่กำลังจะผลิบาน ค่อยๆ เผยความงดงามที่ซ่อนเร้นเอาไว้ออกมาตามวัย“เชิญด้านในเลยขอรับคุณหนูใหญ่จ้าว”เสี่ยวเอ้อของร้านน้ำชาอู๋เหลียง มารอต้อนรับแขกผู้มาเยือนอยู่ก่อนแล้ว เพราะทั่นฮวาหนุ่มได้สั่งให้เขามารอรับพวกนาง แล้วให้พาพวกนางไปส่งห้องรับรองของโรงน้ำชา อีกทั้งยังใจดีมอบเงินให้เขาตั้งมาก“คุณชายเถียนให้เจ้ามารอรับข้าเช่นนั้นหรือ” จ้าวฟางหรูถามเสี่ยวเอ้อยิ้มๆ เสี่ยวเอ้อยิ้มกว้างใส่ลูกค้าประจำ“ขอรับคุณหนูใหญ่ คุณชายเถียนรออยู่ที่ห้องรับรองชั้นสองแล้วขอรับ”กล่าวจบก็ผายมือให้แก่คุณหนูทั้งสอง ก่อนที่เขาจะเดินนำหน้าพวกนาง ไปยังห้องรับรองที่อยู่ชั้นสองของโรงน้ำชาอู๋เหลียง จ้าวฟางเซียนยังไม่เคยมาเยือนที่นี่เลยสักหน เพราะนางเป็นคนที่ไม่ค่อยชื่นชอบความครึกครื้นเท่าใดนัก โรงน้ำชาแห่งนี้เป็นสูญรวมของบรรดานักปราชญ์ และเหล่าบัณฑิต นางจึงไม่นึกแ
วันนี้จ้าวฟางเซียนรู้สึกให้ผ่อนคลายยิ่งนัก ยามที่ได้รู้ว่าเขาผู้นั้นยังคงมีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่นับถือของพวกชาวเมืองเช่นในชีวิตก่อน นางย่อมรู้สึกภูมิใจในตัวเขา แม้จะรู้ว่าในภายภาคหน้า เขาจะต้องพบจุดจบเช่นไรก็ตาม แต่ก็ไม่รู้ว่า เรื่องราวในอนาคตจะเปลี่ยนไปหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรแล้ว นางก็ยังอยากที่จะออกเรือนไปกับเขาเช่นเดิม และปฏิบัติต่อเขาออกมาจากใจของนางจริงๆ“เห็นเจ้ายิ้มออกมาได้เช่นนี้ พี่ก็รู้สึกยินดียิ่งนัก” จ้าวฟางหรูกล่าวออกมาหลังจากที่นักปราชญ์ผู้เฒ่าเล่าเรื่องราวของเทพสงคราม หรือแม่ทัพทิศใต้จบ“น้องต้องขอบคุณพี่หญิงใหญ่กับพี่เขยด้วยนะเจ้าคะ ที่พาน้องมาเปิดหูเปิดตาในวันนี้”จ้าวฟางเซียนหันไปพยักหน้าให้แก่พี่สาว ก่อนที่จะกล่าวขอบคุณจ้าวฟางหรูและว่าที่พี่เขยอย่างเถียนซ่งออกมาจากใจ จ้าวฟางหรูยื่นมือไปลูบไล้เรือนผมของน้องสาวแต่ก่อนนางมักจะทำตัวห่างเหินจากจ้าวฟางเซียน เป็นเพราะน้องสาวชอบเก็บตัวอยู่เงียบๆ ชอบศึกษาตำราการคำนวณ สายเลือดการค้าของตระกูลจ้าว น้องสาวของนางผู้นี้รับมาเต็มๆ โดยที่นางนั้นต่างออกไป นางชื่นชอบความรื่นรมย์ ชอบฟังดนตรีและเล่นดนตรี อ่านบทกวี และชื่นชอบฟังการเล่า
หลังจากพูดคุยกันอยู่นานเกือบสองเค่อ เสียงของทารกน้อยที่นอนอยู่ห้องข้างๆ ก็ดังขึ้นมา จ้าวฟางเซียนรีบบอกกล่าวมารดา แล้วรีบเดินออกไปหาบุตรชาย หลังฟื้นมาจากฝันร่้ายในวันนั้น จ้าวฟางเซียนก็รู้สึกเสียใจเป็นอันมาก ที่สองวันแรก นางไม่อาจให้นมบุตรชายเองได้ ดีที่แม่สามีมองการณ์ไกล เตรียมแม่นมเอาไว้ให้ เผื่อเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดและสองวันแรกที่นางคลอดลู่หมิงออกมา ก็เกิดปัญหาขึ้นมาจริงๆ หลังจากที่นางตื่นขึ้นมา ก็พยายามดูแลร่างกายตนเอง และกินอาหารบำรุงน้ำนม ไม่ถึงเจ็ดวัน นางก็ขออนุญาตแม่สามี ให้นางป้อนนมลูกด้วยตัวเอง จางซื่อก็ไม่ได้ห้ามปรามอันใด เพราะน้ำนมจากมารดาย่อมดีกว่านมจากผู้อื่นอยู่แล้ว นับตั้งแต่นั้นมา จ้าวฟางเซียนก็ให้นมเซี่ยลู่หมิงเองเรื่อยมา ทว่ามีแม่นมฉินอยู่คอยช่วยดูแลบุตรชาย ในเวลาที่นางไม่ต้องให้นมหวงซื่อเดินตามบุตรสาวเข้ามาในห้องของหลานชาย นางมองไปยังบุตรสาว ที่ออกเรือนมาได้ไม่ถึงสามปี ทว่ายามนี้ได้มาเห็น ว่านางนั้นมีครอบครัวที่สมบูรณ์พูนสุขเพียงใด ก็พลอยให้รู้สึกโล่งใจ จากที่เคยคิดเป็นกังวล ว่านางจะได้พบเจอกับความยากลำบาก ในการใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลขุนนางใหญ่ ก็ทำให้นางวางใจล
วันเวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากฤดูที่หนาวเย็นยะเยือก แปรเปลี่ยนมาเป็นฤดูใบไม้ผลิ เทศกาลลี่ชุนก็ได้เวียนมาถึงอีกหน อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ สรรพสิ่งเริ่มงอกงาม หลายครอบครัวที่ทำการเกษตร เริ่มต้นการเพาะปลูก สรรพสัตว์เริ่มออกจากการจำศีล เพื่อออกหากิน เหล่านายพรานกลับมาทำอาชีพของตนบ้านเมืองสงบสุขร่มเย็น ชาวเมืองยิ้มแย้มแจ่มใส เด็กน้อยที่กำลังวิ่งเล่น ส่งเสียงหัวเราะออกมา จนทำให้ผู้ใหญ่ทั้งหลายที่ได้ยิน ต่างก็พากันยิ้มได้ จวนตระกูลเซี่ยยามนี้ ก็ไม่ต่างไปจากสถานที่อื่น หรือจวนอื่นนัก ทว่าวันนี้ที่จวนสกุลเซี่ย ได้จัดงานครบเดือนให้แก่คุณชายน้อย ที่มีอายุครบหนึ่งเดือนพอดี บรรยากาศภายในจวน จึงเต็มไปด้วยความชื่นมื่นมีความสุขตระกูลจ้าวถือโอกาสที่เหลนน้อยอายุครบเดือน พากันเดินทางมาจากเมืองหนานจาง เพื่อมาเยี่ยมเยือนจ้าวฟางเซียน และบุตรชายของนางที่จวนสกุลเซี่ย เมืองหนานจง จ้าวฟางเซียนมองไปยังผู้คนจากตระกูลเดิมของตน ด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ นางไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่า ชีวิตของนางจะมีโอกาส ได้มาเห็นภาพแห่งความสุขเช่นในวันนี้ท่านปู่ท่านย่าที่อายุมากแล้ว ก็ยังอุตส่าเดินทางมาถึงที่นี่ เพื่อมาอวยพรให้เ
“หลงเอ๋อร์…จ้าวซื่อกับเจ้า ได้ตั้งชื่อเตรียมเอาไว้ให้เขาแล้วใช่หรือไม่”จางซื่อถามบุตรชายออกมาขณะที่ส่งทารกในห่อผ้าไปให้เขา เซี่ยเฟยหลงหัดอุ้มเด็กกับภรรยามาบ้างแล้ว แม้จะมีท่าทีเงอะงะงุ่มง่าม ทว่ากลับดูไม่ขัดตาเท่าใดนัก เซี่ยเฟยหลงก้มมองดวงหน้าเล็กเท่าฝ่ามือของบุตรชาย ก่อนที่จะเอ่ยนามของเขาออกมา“เซี่ย…ลี่หมิง”เพราะเขาคือแสงสว่างอันงดงาม ส่องลงมายังบนโลกมนุษย์ให้ความอบอุ่นแก่ผู้คน จ้าวฟางเซียนเป็นผู้ที่ตั้งชื่อบุตรชาย ส่วนตัวเขาเป็นผู้ที่ตั้งชื่อบุตรสาวเอาไว้ ทว่ากลับไม่ได้ใช้ ช่างเป็นวาสนาของเจ้าตัวน้อยเสียจริง ที่ได้ชื่อที่มารดาเป็นผู้ที่ตั้งให้“นามไพเราะ ความหมายดี…หมิงเอ๋อร์หลานย่า” จางซื่อยื่นมือไปรับหลานชายกลับมา เซี่ยเฟยหลงไม่ดื้อดึง ส่งทารกในห่อผ้ากลับคืนให้แก่มารดาทันที“จ้าวซื่อเป็นคนตั้งชื่อให้เขาใช่หรือไม่” นายท่านผู้เฒ่าเซี่ยเอ่ยถามหลานชายออกมา ก่อนที่จะกวักมือเรียกลูกสะใภ้ให้พาเหลนตัวน้อยมาให้เขาได้เชยชมบ้าง“ขอรับท่านปู่…นางตั้งชื่อบุตรชาย ส่วนข้าตั้งชื่อบ
หลังจากที่ตรวจพบว่า จ้าวฟางเซียนตั้งครรภ์ จางซื่อก็ได้ส่งแม่นมฉิน ให้มาทำหน้าที่คอยดูแลฮูหยินน้อยอย่างใกล้ชิด แม้เซี่ยเฟยหลงจะรับปากกับมารดาว่า เขาจะไม่ล่วงเกินภรรยา ขอเพียงแค่ให้เขาได้นอนกอดนางก็พอคราแรกจางซื่อก็ไม่ยินยอม ทว่าจ้าวฟางเซียนกลับช่วยพูดให้แม่สามีเข้าใจ จางซื่อจึงยอมอ่อนข้อให้แก่บุตรชาย ทว่ากลับให้แม่นมฉิน มานอนเฝ้าอยู่ที่หน้าฉากกั้นแทน เช่นนั้นแล้วหากเซี่ยเฟยหลงมีความคิดเหลวไหล ย่อมถูกแม่นมฉินจับได้“โหวเหย…ท่านต้องเห็นใจบ่าวด้วยสิเจ้าคะ บ่าวก็ไม่ได้อยากทำเช่นนี้ แต่ในเมื่อนายหญิงท่านสั่งมา บ่าวจะกล้าขัดได้อย่างไรกัน”เซี่ยเฟยหลงจ้องหน้าแม่นมตาเขม็ง แม่นมฉินฉีกยิ้มกว้างออกมา ก่อนที่จะสั่งให้คนนำตั่งตัวยาวมาวางไว้ ด้านหน้าฉากกั้น จ้าวฟางเซียนนึกขัน ให้กับใบหน้าของสามีที่กำลังบูดบึ้ง พลางมองไปยังแม่นมฉินด้วยแววตาอบอุ่นแม่นมฉินแคล้วคลาดจากความตายในความทรงจำของนาง หรืออาจจะเป็นเพราะนางมีครรภ์ ถึงได้ทำให้เหตุการณ์บางอย่างเปลี่ยนไป นางเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน เพราะถ้าหากเหตุการณ์ดำเนินไปตามที่นางเคยพบเจอแม่นมฉินจะต้องจากไปตั้งแต่ต้น
แสงทิวากำลังจะลาลับ พร้อมกับท้องฟ้าสีน้ำหมึกกำลังเปลี่ยนเข้ามาแทนที่ สองอาชาสองชายหนุ่ม ยังคงเร่งรีบฝ่าความมืดกลับเมืองหนานจงด้วยความคะนึงหา เซี่ยเฟยหลงไม่แม้แต่คิดที่จะหยุดพัก ในเมื่อเจ้านายไม่ยินยอมที่จะพัก ทั้งคนทั้งม้าจึงได้พากันอดทนจนถึงประตูเมืองหนานจงในเวลาดึกดื่นหากเป็นชาวบ้านธรรมดา มีหรือจะสามารถผ่านทหารเวรยาม ที่ทำหน้าที่เฝ้ารักษาการณ์อยู่หน้าประตูเมืองเข้าไปได้ง่ายๆ ทว่าเซี่ยเฟยหลงคือผู้ใด ทหารเหล่านี้ย่อมรู้ดี ครั้นได้เห็นว่าท่านแม่ทัพใหญ่เซี่ยกลับมา ต่างก็พากันกล่าวต้อนรับการกลับมา ของผู้เป็นผู้บังคับบัญชาท่านแม่ทัพหนุ่มยามนี้ปลดชุดเกราะที่น่าเกรงขามออก เหลือเพียงอาภรณ์เยี่ยงคุณชายทั่วไปสวมใส่เท่านั้น เขาไม่พูดจากับทหารเหล่านี้ให้มากความ รีบกลับเข้าเมืองอย่างเร็วรี่ มุ่งหน้าไปยังจวนแม่ทัพของตน“พวกเจ้าอย่าคิดรั้งท่านแม่ทัพไว้นาน เขาเร่งรีบกลับมาย่อมคิดถึงภรรยา” นายทหารที่เป็นหัวหน้ากล่าวกับลูกน้องที่กำลังมองตามท่านแม่ทัพผู้องอาจ ควบอาชาหายไปในความมืดมิดครั้นมาถึงหน้าประตูจวน เซี่ยเฟยหลงสั่งห้ามมิให้ผู้ใด ไปรายงานให้คนด้านในทราบ เพราะเข
ณ ตำหนักไท่เหอ ราชสำนัก แคว้นจิ้นองค์รัชทายาทวัยสามสิบต้นๆ กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทน เพราะกษัตริย์องค์ปัจจุบัน ยังคงนอนป่วยรักษาตัวอยู่ ทำให้หน้าที่ดูแลบ้านเมือง ตกอยู่ในมือของเขาชั่วคราว อย่างชอบธรรม สีหน้าของเขายามนี้ไม่ค่อยสู้ดีนัก เป็นเพราะความต้องการของเขา ถูกเหล่าขุนนางเก่าแก่เหล่านี้ พากันกล่าวคัดค้านเขาย่อมรู้ดีว่ายามนี้ บ้านเมืองยังขาดความมั่นคง ยิ่งกับตัวเขาหากไม่สร้างผลงาน ไหนเลยจะขึ้นมานั่งบัลลังก์มังกรนี้อย่างภาคภูมิ เขาจึงอยากใช้การยึดเมืองหนานตงของแคว้นเจิ้ง มาเป็นผลงานเพื่อขึ้นครองราชย์ของตน ถึงอย่างไรบิดา ผู้เป็นกษัตริย์องค์ปัจจุบัน ก็คงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว“จะทำเช่นนั้นมิได้พ่ะย่ะค่ะ ผู้สำเร็จราชการน่าจะรู้ดี ว่ายามนี้สถานการณ์ภายในของแคว้นจิ้นเรา ยังไม่เหมาะแก่การทำศึก อีกทั้งพวกเราเพิ่งจะสูญเสียแม่ทัพใหญ่อย่างท่านอู่ผา และกำลังทหารจำนวนหลายพันคนไป บ้านเมืองเรายังคงบอบช้ำอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ ขอพระองค์ทรงโปรดคิดทบทวน และพิจารณาเรื่องนี้ให้ดีด้วยเถิด”“ขอพระองค์ทรงโปรดคิดทบทวน และพิจารณาเรื่องนี้ใ
สามวันหลังจากที่อี้จงสืบความมาได้ พวกเขาก็สามารถจับกุมพวกหนูสกปรก และได้หลักฐาน เกี่ยวกับผู้ที่อยู่เบื้องหลัง คอยให้การสนับสนุน พวกทหารไส้ศึกเหล่านั้นเพียงชั่วคืน ตระกูลหยวนที่เคยรุ่งเรือง และมีอำนาจมากที่สุดในเมืองหนานตง ก็ถูกกองกำลังทหาร เข้ายึดทรัพย์ และตัดสินลงโทษประหารชีวิต ในข้อหาก่อกบฏ สมคบคิด และให้การสนับสนุนพวกทหารแคว้นจิ้น โดยผู้ที่ถูกตัดสินโทษประหารชีวิต ส่วนใหญ่ล้วนเป็นบุรุษของตระกูลเหลือเพียงเด็กชายอายุต่ำกว่าสิบสองปี และสตรีเท่านั้น ที่เซี่ยเฟยหลงยังมอบโอกาสให้พวกเขา ได้มีชีวิตรอด ทว่าทุกคนก็ต้องถูกลดสถานะ เป็นเพียงสามัญชน ชาวบ้านธรรมดา แต่เพียงแค่นี้ ก็นับว่ายังมีเมตตามากแล้ว ดีที่ไม่เนรเทศเด็กชาย ให้ไปทำงานหนักอยู่ที่ชายแดน และบังคับสตรีให้ไปอยู่หอนางโลม หากเป็นเช่นนั้นแล้ว อยู่ก็ไม่สู้ตาย“ไม่น่าเลย…แล้วเช่นนี้พวกสตรีกับเด็กน้อยเหล่านั้นจะไปอยู่ที่ใดกัน ใต้เท้าหยวนสมองเป็นหมูไปแล้วหรืออย่างไร เหตุใดถึงได้ไปร่วมมือกับพวกข้าศึกศัตรูทำลายบ้านเมืองตัวเอง”ชายชราที่ขายน้ำเต้าหู้กล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ พลางมองบรรดาสตรีและเด็กสกุลห
ในช่วงเย็นของวันต่อมา ข่าวดีเรื่องการตั้งครรภ์ของฮูหยินน้อยจวนสกุลกวน ก็มาถึงจวนแม่ทัพ ซึ่งจ้าวฟางเซียนได้รู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว นางจึงไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอันใด กับเรื่องที่สหายกำลังตั้งครรภ์ เพราะนางได้แสดงความยินดีกับอีกฝ่ายไปก่อนผู้ใดแล้ว ทว่าเรื่องที่นางกำลังให้ความสนใจและรู้สึกเป็นกังวลในยามนี้ ก็คือ สถานการณ์ทางชายแดนเมืองหนานตงต่างหากเพราะชีวิตนี้นางออกเรือนมาเร็วกว่าชีวิตก่อนอยู่หลายเดือนนัก จึงทำให้เหตุการณ์ต่างๆ มีความเปลี่ยนแปลง และคาดเคลื่อนไปไม่น้อย หากนางอยากรู้ว่าสถานการณ์ชายแดนเมืองหนานตงเป็นเช่นไร ก็คงต้องรอให้สามีกลับมาก่อน แล้วนางค่อยฟังจากปากของเขาเอา“นายหญิง…ท่านจะอาบน้ำเลยหรือไม่เจ้าคะ” เซียงซุนเดินเข้ามาสอบถามจ้าวฟางเซียน ที่ยามนี้ยังคงนั่งอ่านตำราอยู่บนตั่งภายในห้องนอนของตน“อืม…สั่งให้คนเตรียมน้ำเถิด” นางตอบสาวรับใช้คนสนิท พลางเหลือบมองแสงของทิวาที่กำลังจะลาลับเซียงซุนออกไปสั่งการอยู่นอกห้อง ไม่นานนักน้ำร้อนและน้ำเย็น ก็ถูกส่งเข้าไปภายในห้องอาบน้ำ จ้าวฟางเซียนวางตำราในมือลง ก่อนที่จะลุกขึ้นจากตั่
“ท่านนักพรตน้อย” จ้าวฟางเซียนคำนับนักพรตน้อยนามว่าจ้วนชิง อีกฝ่ายยิ้มแย้มพลางคำนับนางกลับอย่างเต๋า“แม่นางมาพบข้า ต้องการไขปริศนาธรรมกับข้าหรือ” นักพรตน้อยนามว่าจ้วนชิงเอ่ยถามออกมา“เจ้าค่ะ…” จ้าวฟางเซียนตอบรับทันที“ถ้าเช่นนั้นก็ไปนั่งคุยกันที่ศาลาด้านหลังอารามเถิด” จ้าวฟางเซียนไม่อิดออด สิ่งที่นางต้องการรู้ นางเชื่อว่านักพรตน้อยผู้นี้ จะสามารถไขข้อสงสัยของนางได้จ้าวฟางเซียนหันไปบอกกล่าวสหาย ก่อนที่จะติดตามนักพรตน้อย ไปยังศาลาด้านหลังของอาราม พร้อมกับสาวรับใช้คนสนิทของตน ท่านหญิงชิงหลวนเห็นว่าจ้าวฟางเซียนมีธุระที่ต้องไปทำ นางจึงเดินนำสาวรับใช้คนสนิท มุ่งหน้าไปยังโรงทาน เพื่อกินอาหารเจรอจ้าวฟางเซียนอยู่ที่นั่น ตามที่ได้คุยกันเอาไว้ก่อนหน้านานเกือบครึ่งชั่วยาม จ้าวฟางเซียนถึงได้เดินกลับออกมา จากศาลาด้านหลังอารามด้วยหัวใจที่เต้นแรง มีทั้งความรู้สึกเป็นกังวล และความรู้สึกโล่งใจปะปนกันไป เรื่องที่นางรู้สึกเป็นกังวลนั้นก็คือ สิ่งที่นักพรตน้อยได้บอกกล่าว เขาล่วงรู้ว่านาง คือผู้ที่ได้รับโอกาสจากสวรรค์ ให้ย้อน