"สหายหลิน คุณมาที่นี่ทำไมเหรอครับ?" หลี่เหว่ยเอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ เขาอยากจะทำความรู้จักเธอให้มากขึ้นกว่านี้
หลินชิงชิงคลี่ยิ้มบางๆ ให้กับคุณพระเอก "ฉันมาเก็บสมุนไพรค่ะ เพื่อนำไปขายที่ตลาดมืด" เธอตอบชายหนุ่มไปตามตรงเพราะเธอรู้จักนิสัยพระเอกธงเขียวคนนี้ดี ถ้าเขาได้รับความช่วยเหลือจากใครเขาจะตอบแทนบุญคุณอย่างแน่นอน
หลี่เหว่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย "ตลาดมืด?" เขาทำเสียงทุ้มต่ำลง "มันค่อนข้างจะอันตรายมากเลยนะครับ"
ดวงตาของหลินชิงชิงเป็นประกาย "ฉันรู้ค่ะ" เธอกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน "แต่ฉันไม่มีทางเลือกอื่น ตอนนี้ครอบครัวของฉันแยกออกมาจากตระกูลหลิน ทำให้พวกเรามีเงินเหลืออยู่ในมือไม่เยอะมาก ถ้าได้สมุนไพรราคาแพงมา จะทำให้ครอบครัวของพวกเราสามารถลืมตาอ้าปากได้ค่ะ"
หลี่เหว่ยรู้สึกทึ่งในตัวของหญิงสาว เธอช่างเป็นเด็กกตัญญูเสียจริงๆ เหมาะสำหรับการเป็นภรรยาของเขา
แม้ในใจเขาจะคิดเช่นนั้น แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยคำนี้ออกไป รอให้เขาจีบเด็กสาวได้สำเร็จเมื่อไหร่เขาจะขอเธอแต่งงานทันที
"สหายหลินก็ระวังตัวด้วยนะครับ" เขาพูดอย่างเป็นห่วง "ถ้ามีอะไรให้ผมช่วย บอกผมได้เลย"
หลินชิงชิงยิ้มกว้างในความห่วงใยของคุณพระเอก "ขอบคุณค่ะ สหายหลี่ ฉันจะจำไว้"
ในขณะที่สนทนากัน หลินชิงชิงสังเกตเห็นว่าหลี่เหว่ยมีบาดแผลฉกรรจ์ เลือดไหลออกมาไม่หยุด เธออดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง "สหายหลี่ คุณได้รับบาดเจ็บสาหัสมากเลยนะคะ"
หลี่เหว่ยพยายามฝืนยิ้ม "ผมแค่โดนหมูป่าไล่ขวิดน่ะครับ เลยมีเลือดออกมานิดหน่อย โชคดีที่มันบาดเจ็บอยู่แล้ว เลยไม่มีแรงพอจะฆ่าผมได้" เขาหัวเราะแห้ง ๆ บาดแผลนี้ทำให้ชายหนุ่มเจ็บจนแทบขยับตัวไม่ได้ แต่เขาไม่อยากให้เด็กสาวต้องกังวล
หลินชิงชิงขมวดคิ้วมุ่น มองบาดแผลนั้นด้วยสายตาเป็นห่วง เธอแสร้งล้วงมือเข้าไปในตะกร้า ก่อนจะหยิบขวดยาสีเข้มออกมาออกมาจากห้องปรุงยาในมิติของเธอ ทันใดนั้น หลี่เหว่ยก็เบิกตากว้างเมื่อเห็นขวดยา "นั่นอะไรน่ะครับ?" เขาเอ่ยถามอย่างสงสัย
"ยาห้ามเลือดค่ะ" หลินชิงชิงตอบ พลางเปิดฝาขวด เทผงยาสีน้ำตาลลงบนบาดแผลอย่างเบามือ
หลี่เหว่ยรู้สึกแสบเล็กน้อย แต่ก็ต้องยอมรับว่าเลือดหยุดไหลอย่างน่าประหลาดใจ "ยาดีนี่ ขอบคุณมากนะสหายหลิน" ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น น้ำเสียงทุ้มเข้ม
หลินชิงชิงคลี่ยิ้มบาง มือเรียวเก็บขวดยาเข้าตะกร้าสานใบเล็กอย่างเรียบร้อย ภายในตะกร้าเต็มไปสมุนไพรและผักป่านานาชนิดที่เธอเก็บมาจากในมิติ
"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณไม่ต้องคิดมากหรอกค่ะ" น้ำเสียงหวานใสเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน "แต่คราวหลังสหายหลี่ก็ต้องระวังตัวหน่อยนะคะ อย่าให้ต้องเจ็บตัวอีกเลย" ดวงตาใสซื่อสบตามองหลี่เหว่ยด้วยความห่วงใย
หลี่เหว่ยรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด หัวใจที่เคยด้านชาจากการต่อสู้กับความอยุติธรรม กลับเต้นแรงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ใบหน้าคมคายแดงระเรื่อ "ครับ ผมจะระวังตัวให้มากขึ้น" เขาตอบรับคำด้วยน้ำเสียงจริงจัง สายตาจ้องมองหลินชิงชิงไม่วางตา ไม่ใช่เพียงเพราะยาดีที่เธอมีให้ แต่เพราะความห่วงใยจากใจจริงที่เธอมีให้ต่างหาก มันทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งใจอย่างบอกไม่ถูก
หลินชิงชิงหันไปมองหมูป่าที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น "เดี๋ยวหมูป่าตัวนี้เราแบ่งกันคนละครึ่งนะคะ ก่อนที่ฉันจะฆ่ามัน คุณก็ได้จัดการมันจนบาดเจ็บสาหัส" เธอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
หลี่เหว่ยส่ายหน้าปฏิเสธ "คุณเป็นคนฆ่ามันให้ตาย ไม่งั้นผมคงจะไม่มีชีวิตรอด ผมขอแค่เนื้อบางส่วนก็พอครับ นอกนั้นสหายหลินเอาไปเถอะ"
หลินชิงชิงยิ้มรับ "ขอบคุณมากค่ะ เดี๋ยวฉันจะไปหาคนมาช่วยขนหมูนะคะ "
"ผมคงต้องรบกวนคุณอีกแล้ว" หลี่เหว่ยกล่าวด้วยเสียงแหบพร่าเล็กน้อย
หลินชิงชิงมองคนร่างสูงที่พยายามพยุงตัวเองขึ้นอย่างยากลำบาก ใบหน้าคมคายนั้นซีดเผือด แต่แววตากลับมุ่งมั่น
คนร่างบางรู้สึกใจเต้นแปลกๆ ใบหน้าหล่อเหลาของคุณพระเอกในระยะใกล้ชวนให้ใจสั่น และเธอก็พยายามระงับความรู้สึกนั้นไว้ เตือนตัวเองว่านี่คือพระเอกของนิยาย และเธอต้องไม่เข้าไปพัวพันกับเขามากเกินไป
"ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเต็มใจช่วย" หลินชิงชิงตอบ พยายามบังคับน้ำเสียงให้เป็นปกติ "แต่ว่า...คุณเดินไหวเหรอคะ ดูท่าทางจะเจ็บหนักอยู่นะ"
หลี่เหว่ยพยายามขยับขา แต่ก็ต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด "ผมว่า...คงพอไหวครับ แต่คงจะช้าหน่อย"
หลินชิงชิงลังเล เธอไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับพระเอกมากเกินไป แต่ในเมื่อเธอช่วยเขาไว้แล้ว ก็คงต้องรับผิดชอบจนกว่าเขาจะปลอดภัย
"งั้น...เดี๋ยวฉันช่วยพยุงนะคะ" หลินชิงชิงตัดสินใจ เธอก้าวเข้าไปใกล้ ยื่นมือออกไปประคองแขนของชายหนุ่ม "จับไว้ให้แน่นนะคะ ระวังล้ม"
หลี่เหว่ยสบตามองหลินชิงชิง แววตาของเขาเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง มือหนาเอื้อมมาจับมือเล็กของเธอไว้ สัมผัสที่อบอุ่นส่งผ่านมา ทำให้หลินชิงชิงรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว
ทั้งสองค่อยๆ เดินไปตามทาง หลินชิงชิงพยายามประคองหลี่เหว่ยอย่างระมัดระวัง สายตาของเธอเหลือบมองใบหน้าคมคายของเขาเป็นระยะ และหลี่เหว่ยเองก็รู้สึกถึงความอ่อนโยนจากสัมผัสของเด็กสาว หัวใจของเขาเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ทั้งสองคนค่อยๆ เดินไปตามทางดินแคบๆ สายลมเย็นพัดผ่านใบหน้าของพวกเขาเป็นระยะๆ คล้ายกับจะปลอบประโลมความเจ็บปวด
เมื่อเดินมาถึงจุดที่น้องชายของเธอกำลังเก็บฟืนอยู่ หญิงสาวเอ่ยเรียกเขาด้วยน้ำเสียงสดใส "เสี่ยวหลง น้องเก็บฟืนได้เยอะหรือยัง"
"ผมเก็บฟืนได้เยอะเลยครับ พอใช้งานได้หลายวัน" หลินเสี่ยวหลงตอบกลับมา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองคนเป็นพี่สาว เขารู้สึกแปลกใจที่เห็นชายหนุ่มแปลกหน้ายืนอยู่ข้างๆ
"แล้วนี่พี่ชายคนนี้คือใครครับ" เขาเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ชายหนุ่มยิ้มให้หลินเสี่ยวหลงอย่างเป็นมิตร "พี่ชื่อ หลี่เหว่ยนะ พอดีพี่โดนหมูป่าไล่ล่า แล้วถูกพี่สาวของเสี่ยวหลงช่วยชีวิตไว้"
หลินเสี่ยวหลงมองหลี่เหว่ยด้วยความชื่นชม "พี่ชายเก่งจังเลยครับ โดนหมูป่าไล่ล่า ยังรอดมาได้"
หลี่เหว่ยหัวเราะเบาๆ "ก็ไม่เชิงหรอก ถ้าไม่ได้พี่สาวของน้องช่วยไว้ พี่คงแย่แน่ๆ" เขาหันไปมองหลินชิงชิงด้วยดวงตาเป็นประกาย
ดวงตาของหลินเสี่ยวหลงเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ "พี่สาวเก่งมากเลยครับ" เขาอุทานออกมาอย่างภาคภูมิใจ
"พี่สาวของเสี่ยวหลงเก่งจริงๆ นะ" หลี่เหว่ยพยักหน้าเห็นด้วย "เธอใช้ธนูยิงหมูป่าจนมันตาย พี่เลยรอดมาได้"
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน หลินชิงชิงหันไปบอกหลี่เหว่ยด้วยรอยยิ้มหวาน "สหายหลี่..บ้านของพวกเราอยู่ท้ายหมู่บ้าน อยู่ไม่ไกลจากนี้แล้วค่ะ อีกเดี๋ยวก็ถึง อดใจรอนิดนึงนะคะ เดี๋ยวฉันจะไปตามคนมาช่วยหามหมูป่าตัวนั้นลงมา"
เขาพยักหน้ารับ "ขอบคุณสหายหลินมากครับ"
เมื่อพวกเขาทั้งสามกลับมาถึงบ้าน เธอก็รีบยกตะกร้าที่ใส่ผักป่า สมุนไพร และฟืนที่เก็บมาได้ระหว่างทางเข้าไปไว้ในครัว ก่อนจะหันมาบอกหลี่เหว่ยที่ยังคงยืนรออยู่หน้าบ้านอย่างใจเย็น "สหายหลี่ เข้าไปนั่งรอในบ้านก่อนก็ได้นะคะ เดี๋ยวฉันจะรีบไปไปตามคนมาช่วยหามหมูป่าลงมา"
หลี่เหว่ยพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งรอที่โต๊ะที่อยู่ในลานบ้านอย่างว่าง่าย หลินชิงชิงมองตามแผ่นหลังของเขา ก่อนจะรีบสาวเท้าออกจากบ้านไป
เธอรู้ว่าต้องรีบหน่อย เพราะตอนนี้ใกล้จะเย็นมากแล้ว ถ้าหากล่าช้าอาจจะมืดลงเสียก่อน การเดินทางก็จะยิ่งลำบากมากขึ้นเท่านั้น หลินชิงชิงมุ่งหน้าไปยังบ้านของลุงหวัง เพื่อนสนิทของพ่อเธอ เธอรู้ว่าลุงหวังมีลูกชายที่แข็งแรงหลายคน พวกเขาน่าจะช่วยหามหมูป่าลงมาได้ไม่ยาก
เมื่อแสงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลงเรื่อยๆ หลินชิงชิงเร่งฝีเท้าจนในที่สุดก็มาถึงบ้านของลุงหวัง
"ลุงหวัง ลุงหวัง " เสียงของหลินชิงชิงดังขึ้นหน้าบ้าน หวังเค่อที่กำลังนั่งซ่อมเครื่องมือทำไร่อยู่รีบวางมือแล้วเดินออกมาดู
"ชิงชิง หลานมีเรื่องอะไรหรือ ถึงวิ่งมาตื่นมาถึงบ้านลุงได้" หวังเค่อเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นสีหน้าร้อนใจของหลานสาว
"คุณลุงคะ หนูพอดีหนูได้ช่วยยุวชนปัญญาที่ชื่อว่าหลี่เหว่ย เขาได้ถูกหมูป่าไล่ล่า ตอนนี้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการถูกหมูป่าทำร้าย หนูได้ทำการช่วยชีวิตเขาโดยการฆ่าหมูป่าที่ได้รับบาดเจ็บตัวนั้น จนมันเสียชีวิตค่ะ หนูต้องการให้ลุงช่วยขนหมูตัวนั้นลงจากภูเขา" หลินชิงชิงพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ
"อะไรนะ แล้วเจ้าหนุ่มยุวชนปัญญาเป็นอย่างไรบ้าง" หวังเค่อรู้สึกตกใจ
"เขาบาดเจ็บที่ขาค่ะ เดินไม่ไหว หนูเลยประคองเขาลงมาจากภูเขาและรีบวิ่งมาขอความช่วยเหลือจากลุง"
"ไม่ต้องห่วงนะชิงชิง เดี๋ยวลุงจะไปหามหมูป่าลงมาจากภูเขาเอาลงมาให้" หวังเค่อปลอบใจหลานสาว ก่อนจะหันไปตะโกนเสียงดัง "อาเฉียง อาหลง อาจิ้น รีบมาเร็วเข้า มีเรื่องด่วน" ลูกชายทั้งสามของหวังเค่อรีบวิ่งหน้าตั้งมาหาบิดาด้วยความร้อนใจ
"เกิดอะไรขึ้นพ่อ" หวังเฉียง ลูกชายคนโตเอ่ยถาม
"หลี่เหว่ย ยุวชนปัญญาโดนหมูป่าทำร้าย หลินชิงชิงไปช่วยไว้ได้ แต่หมูป่าตัวนั้นตาย พวกแกรีบขึ้นเขาไปดูหน่อย แล้วเอาหมูป่าตัวนั้นลงมาด้วย" หวังเค่อสั่งลูกชายทั้งสาม
"ได้เลยพ่อ พวกเราพร้อมแล้ว" หวังหลง ลูกชายคนกลางตอบรับ
"ชิงชิง หนูรีบพาพวกเราไปหาหมูป่าเถอะ ถ้ามันตัวใหญ่หนูก็สามารถนำมาขายให้พวกชาวบ้านได้จะได้มีเงินมาซ่อมแซมบ้านเรือนที่ผุพังของหนู" คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความหวังดีต่อเด็กสาว
หลินชิงชิงเงยหน้าขึ้นมองลุงหวังด้วยความซาบซึ้ง "ขอบคุณมากค่ะลุง" เธอตอบรับด้วยน้ำเสียงที่สดใส ก่อนจะรีบพาทุกคนมุ่งหน้าไปยังจุดที่หมูป่านอนเสียชีวิต
เมื่อมาถึงจุดหมาย ทุกคนต่างช่วยกันหามหมูป่าตัวใหญ่ลงมาจากเนินเขาด้วยความยากลำบาก และในที่สุด พวกเขาก็สามารถนำหมูป่าลงจากภูเขาสูงชันได้สำเร็จ
"โอ๊ย...เหนื่อยเสียจริง หมูตัวนี้ก็ตัวใหญ่มาก" หลินชิงชิงได้แต่บ่นอยู่ในใจ เธอปาดเหงื่อที่ไหลอาบหน้าผากด้วยหลังมือ
"ตัวนี้น่าจะขายได้หลายหยวน ในที่สุดฉันก็จะมีเงินอยู่ในมือแล้ว" หลินชิงชิงยิ้มกริ่มอย่างอารมณ์ดีก่อนจะฮัมเพลงไปตลอดทาง
ในระหว่างที่เธอกำลังจะขนหมูป่าลงจากภูเขา หลินชิงชิงบังเอิญพบพ่อกับแม่ของเธอกำลังเดินกลับมาถึงบ้านพอดี เมื่อพวกเขารู้เรื่องหมูป่า ทั้งสองต่างถามเธอด้วยความเป็นห่วงเป็นใย"ชิงชิง ลูกปลอดภัยดีไหม?" หวังจื้อเหยาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือหลินชิงชิงยิ้มให้แม่เพื่อคลายความกังวล "หนูปลอดภัยดีค่ะแม่ ตอนที่หนูเข้าไปช่วยเหลือสหายหลี่ หมูป่าก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่แล้วค่ะ หนูยิงมันไปทีเดียวมันก็ตายแล้วค่ะ" เธออธิบายให้คนเป็นแม่ฟังหลินเจิ้งเทียน พ่อของเธอขมวดคิ้วด้วยความเป็นห่วง "คราวหลังหนูเจอหมูป่า ให้รีบวิ่งหนีไปให้ไกลเลยนะ อย่าเสี่ยงชีวิตอีก"หลินชิงชิงพยักหน้ารับคำ "ค่ะพ่อ หนูจะระวังตัวให้มากขึ้นค่ะ" เธอรับปากพ่อของเธอทันทีก่อนจะเอ่ย"พ่อคะ เดี๋ยวพ่อช่วยลุงหวังขนหมูป่ากลับบ้านนะคะ หนูขอไปดูสหายหลี่ก่อนนะคะว่าเป็นยังไงบ้าง"เมื่อกลับมาถึงบ้าน เธอเห็นชายหนุ่มยังคงรอเธออยู่ที่เดิม คนร่างสูงลุกขึ้นยืนทันทีเมื่อเห็นร่างของเด็กสาวเข้ามาใกล้ๆ "เหนื่อยไหมครับ สหายหลิน?" เขาถามด้วยความเป็นห่วง"เหนื่อยมากค่ะ" หลินชิงชิงตอบรับด้วยรอยยิ้มกว้าง "หมูตัวนี้หนักไม่ใช่เล่น แต่ละคนถึงกับลิ้นห้อยเลยค่ะ
หลังจากเขาขายเนื้อหมูเสร็จ หลินเจิ้งเทียนแบกเนื้อหมูส่วนที่เหลือไว้บนบ่ามุ่งหน้าไปยังบ้านของหมอหลี่ หมอเดินเท้าประจำหมู่บ้าน ผู้เปรียบเสมือนที่พึ่งพิงยามเจ็บไข้ได้ป่วยของชาวบ้านทุกคน"หมอหลี่ครับ หมอหลี่" หลินเจิ้งเทียนตะโกนเรียกเสียงดังเมื่อมาถึงหน้าบ้านไม่นานนัก ประตูบ้านก็เปิดออก เขาเห็นหลี่เหว่ยถูกหมอหลี่รักษาบาดแผลเสร็จเรียบร้อยแล้ว"อ้าว เจิ้งเทียน มาได้จังหวะพอดีเลย ลุงรักษาพ่อหนุ่มยุวชนปัญญาเสร็จพอดี เด็กคนนี้ถูกลูกสาวของเจ้ารักษามาก่อนหน้านี้แล้วตอนนี้แผลไม่เป็นอะไรมาก เลือดของเขาหยุดไหลไปแล้ว" หมอหลี่กล่าวพร้อมกับผายมือเชื้อเชิญให้หลินเจิ้งเทียน เข้าไปในบ้านหลินเจิ้งเทียน เขาขมวดคิ้วสงสัย "ชิงชิงไปรักษาให้เด็กคนนี้ได้อย่างไร?" ลูกสาวของเขา เป็นเพียงเด็กสาววัย 16 ปี เธอไม่เคยเรียนรู้การแพทย์แผนโบราณมาก่อนเขาเดินตามหมอหลี่เข้าไปในบ้าน พบเด็กหนุ่มนอนอยู่บนเตียงไม้ไผ่ ใบหน้าซีดเซียว แต่ดวงตาของเขาแสดงถึงความเฉลียวฉลาด เด็กหนุ่มคนนี้เป็นยุวชนปัญญาที่จากเมืองหลวง เขาถูกส่งมาทำงานในชนบท แต่เนื่องจากความฉลาดของเขาทำให้สามารถสอบเข้ามาเป็นคุณครูที่โรงเรียนประถมในหมู่บ้านหลงเหมินได้
เมื่อมาถึงลานหน้าหมู่บ้าน หลินชิงชิงพบว่ามีชาวบ้านจำนวนหนึ่งกำลังรอรถเกวียนวัวอยู่เช่นกัน ท่ามกลางกลุ่มคนนั้น เธอเห็นคุณพระเอกอยู่ในกลุ่มคนพวกนั้นขณะที่เธอคิดจะเอ่ยทักทายชายหนุ่มตามมารยาท ก็มีหญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่งก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในลานหน้าหมู่บ้าน เธอส่งยิ้มหวานให้หลี่เหว่ย ก่อนจะเอ่ยถาม"สหายหลี่ จะเข้าไปในเมืองเหรอคะ""ใช่แล้วครับ ผมจะเข้าไปซื้อของใช้ในตัวเมืองครับ สหายหวัง" หลี่เหว่ยตอบกลับมาเมื่อหลินชิงชิงได้ยินชื่อ 'สหายหวัง' เธอถึงกับหูผึ่งขึ้นทันที นี่คงจะเป็นหวังอ้ายหลิน นางเอกในนิยายสินะ เธอจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ หวังอ้ายหลินเป็นหญิงสาวที่งดงาม หุ่นบาง ร่างเล็ก ใบหน้าสวยหวาน แต่ถึงกระนั้น หลินชิงชิงก็ยังมั่นใจว่า หวังอ้ายหลินยังสวยสู้เธอไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เธอดื่มน้ำวิเศษเข้าไป ตอนนี้ใบหน้าของเธอเปล่งประกายงดงามยิ่งกว่าใคร ๆ"สหายหลี่ ช่างบังเอิญจริง ๆ ฉันก็กำลังจะเข้าไปซื้อของในเมืองเหมือนกันค่ะ โชคดีที่ได้เจอสหายหลี่เข้าซะก่อน หวังว่าสหายหลี่จะไม่รังเกียจที่ฉันจะไปด้วยนะคะ"หวังอ้ายหลินกล่าว ก่อนจะส่งยิ้มหวานให้หลี่เหว่ย หวังว่าเขาจ
หวังอ้ายหลิน กำลังเดินตามหลัง หลี่เหว่ย และ หลินชิงชิง ไปยังตลาดมืด แม้จะเป็นเพียงตรอกเล็กๆ แต่กลับคึกคักไปด้วยผู้คนและสินค้ามากมายหวังอ้ายหลินรู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ไม่ใช่เพราะอากาศ แต่เป็นเพราะความโกรธที่กำลังคุกรุ่นอยู่ในใจ เธอเห็นหลี่เหว่ย ดูแลหลินชิงชิงเป็นอย่างดี คอยประคองเธอหลบหลีกผู้คน พูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนิทสนม ภาพเหล่านั้นทิ่มแทงหัวใจของหวังอ้ายหลินราวกับเข็มนับพันเล่มร่างบางกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ ความร้อนในอกแผดเผาจนแทบจะเป็นไฟ ใบหน้าสวยหวานบิดเบี้ยวด้วยแรงริษยา สายตาคมดุจเหยี่ยวจ้องมองหลี่เหว่ยและหลินชิงชิงราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ"นังชิงชิง! แค่เด็กสาวบ้านนอกหน้าตาจืดชืด มีดีแค่ความใสซื่อ กล้าดียังไงมาแย่งคุณชายหลี่ไปจากฉัน" หวังอ้ายหลินกัดฟันกรอดหลี่เหว่ย... ชายหนุ่มรูปงามผู้เพียบพร้อม บุตรชายคนเดียวของนายทหารใหญ่แห่งเมืองหลวง พ่อของเขาเป็นมือขวาทำงานให้ท่านผู้นำสูงสุดในฝ่ายรัฐบาล เขาคือเป้าหมายสูงสุดที่หวังอ้ายหลินหมายมั่นปั้นมือ ตั้งแต่แรกพบที่งานเลี้ยงตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง หวังอ้ายหลินก็ตกหลุมรักหลี่เหว่ยทันที ทั้งรูปลักษณ์ ชาติตระกูล และกิ
หลินชิงชิงมองร่างของหลี่เหว่ยที่นอนแน่นิ่งอยู่ข้างกายด้วยความกังวล เธอเขย่าตัวเขาเบาๆ แต่เขาไม่มีท่าทีตอบสนอง"พี่เหว่ย... พี่เหว่ย" เธอเรียกเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือหัวใจของหลินชิงชิงเต้นระรัว เธอรีบพยุงร่างชายหนุ่มขึ้นมาอย่างทุลักทุเล หลี่เหว่ยตัวสูงใหญ่กว่าเธอมาก แต่ด้วยความที่เธอมีร่างกายแข็งแรงจากการดื่มน้ำวิเศษเข้าไป หญิงสาวจึงสามารถพยุงเขาออกจากตรอกเปลี่ยว นั้นได้ทันทีที่พ้นจากซอย เธอเห็นกลุ่มชาวบ้านที่กำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่ หลินชิงชิงรีบเข้าไปขอความช่วยเหลือ"ทุกคนค่ะ ช่วยฉันด้วย" เธอตะโกนเสียงดังพวกชาวบ้านต่างหันมามองเธอด้วยความตกใจ พวกเขาเห็นหลินชิงชิงพยุงร่างของหลี่เหว่ยอยู่ จึงรีบเข้ามาสอบถาม"เกิดอะไรขึ้นหรือนังหนู?" ชายวัยกลางคนคนหนึ่งถาม"พอดีเมื่อกี้มีกลุ่มอันธพาล 5-6 อยู่ๆ ก็เข้าทำร้ายพวกเราค่ะ แต่โชคดีที่มีพลเมืองดีมาช่วยขับไล่พวกมันไม่ได้" หลินชิงชิงแสร้งตอบเสียงสั่น "ตอนนี้คนรู้จักของฉันเขาโดนพวกอันธพาลจัดการ เขาเลยหมดสติไปนะคะ"พวกชาวบ้านต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ "ไอ้พวกอันธพาลพวกนั้นมันคงเป็นลูกน้องของต้าเหนิง" ชายชราคนหนึ่งพูดขึ้น "มันคุมแถวนี้ ใครๆ ก็รู้"หลิ
เมื่อออกมาจากสถานีตำรวจ หลินชิงชิงตัดสินใจไปยังตลาดมืดเพื่อรับตลับไม้หอมที่สั่งทำไว้ แม้จะรู้ดีถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้น เธอซื้อผ้าคลุมหน้าเพื่อปกปิดตัวตนก่อนจะก้าวเข้าสู่โลกแห่งเงามืดนั้นตลาดมืดแห่งนี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คน ทั้งพ่อค้าแม่ค้าและลูกค้าต่างก็มาชุมนุมกันที่นี่เพื่อซื้อขายสินค้าที่ผิดกฎหมาย หลินชิงชิงพยายามไม่สนใจสิ่งรอบข้าง เธอเดินตรงไปยังร้านขายกล่องไม้ที่อยู่ด้านในสุดของตลาด"เถ้าแก่ กล่องไม้แกะสลักที่ฉันสั่งเมื่อเช้าเสร็จหรือยังคะ?" เธอถามด้วยน้ำเสียงสุภาพเถ้าแก่หลี่เงยหน้าขึ้นมองเธอ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความระแวดระวัง เขาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วหยิบกล่องไม้ใบหนึ่งออกมาจากใต้โต๊ะ"ได้แล้ว ได้แล้ว" เขาตอบพลางยื่นกล่องไม้แกะสลักคำว่า "ฮวาเหม่ยเหริน" ให้เธอหลินชิงชิงรับกล่องไม้มาถือไว้ในมือ เธอลูบไล้ลวดลายที่แกะสลักดอกไม้อย่างประณีตบรรจง รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของเธอภายใต้ผ้าคลุม"สวยงามมากค่ะ ขอบคุณมากนะคะเถ้าแก่" เธอเอ่ยชม"ถ้าฉันต้องการกล่องแกะสลักแบบนี้เพิ่ม ต้องไปสั่งที่ไหนคะ?" หลินชิงชิงเอ่ยถามต่อเถ้าแก่ร้านยิ้มกว้าง "ถ้าอยากได้งานดี ๆ แบบนี้ แม่หนูต้องไปที่ "ไปที่ร้านรับ
หลังจัดการเรื่องพาหลี่เหว่ยออกจากโรงพยาบาลเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลินชิงชิงเหลือบมองนาฬิกาที่ติดผนังห้องในโรงพยาบาล ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสามโมงแล้ว หากกลับหมู่บ้านหลงเหมินช้ากว่านี้ คงตกเกวียนวัวเป็นแน่แท้"พี่เหว่ยคะ เราต้องรีบแล้วค่ะ เดี๋ยวไม่ทันเกวียนวัว ไม่อย่างนั้นพวกเราต้องได้เดินกลับหมู่บ้าน" หลินชิงชิงเอ่ยเร่งคุณพระเอกด้วยน้ำเสียงร้อนใจหลี่เหว่ยพยักหน้ารับ พลางเร่งฝีเท้าไปยังลานจอดเกวียนวัว ทันทีที่พวกเขาไปถึง หลินชิงชิงก็รู้สึกโล่งอก รถเกวียนวัวยังจอดรออยู่ทันทีที่หญิงสาวขึ้นเกวียน สายตาของเธอก็ปะทะเข้ากับหวังอ้ายหลิน หญิงสาวผู้นั่งทำหน้าบึ้งอยู่มุมหนึ่งของเกวียน ท่าทางของเธอแสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างชัดเจน แต่เมื่อเห็นหลี่เหว่ย เธอก็รีบเปลี่ยนเป็นยิ้มหวานราวกับพลิกฝ่ามือ"สหายหลี่ เป็นอะไรไปหรือเปล่าคะ?" หวังอ้ายหลินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน พลาง ชี้ไปที่ผ้าพันแผลสีขาวที่พันอยู่บนศีรษะของชายหนุ่ม "เห็นพันแผลแบบนี้ เกิดอะไรขึ้นหรือคะ"หลี่เหว่ยฝืนยิ้มให้หวังอ้ายหลิน "ผมไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกครับ พอดีเข้าไปในเมืองแล้วถูกพวกอันธพาลรุมทำร้าย ได้แผลฟกช้ำมานิดหน่อย"ทันทีที่หลี่เหว่ยพ
เมื่อแสงอาทิตย์สีส้มแดงเริ่มลับขอบฟ้า หลินชิงชิงเดินก้าวเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้าอิดโรย"ชิงชิง หนูกลับมาแล้ว" เสียงของหวังจื้อเหยาดังขึ้นอย่างโล่งอก ก่อนจะรีบเดินเข้ามาหาลูกสาว "ทำไมถึงกลับช้าเช่นนี้? พวกเราเป็นห่วงหนูแทบแย่!"หลินชิงชิงถอนหายใจยาว ก่อนจะส่งยิ้มบางๆ ให้กับสมาชิกครอบครัว "หนูขอโทษค่ะที่ทำให้เป็นห่วง พอดีหนูไปเจอเรื่องวุ่นวายนิดหน่อยที่ตลาดมืดนะคะ""วุ่นวายยังไงหรือลูก?" หวังจื้อเหยาถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน "มีใครมาทำอะไรหนูหรือเปล่า? บอกแม่มาเถิด"หลินชิงชิงมองไปที่ใบหน้าของทุกคน รอยยิ้มอบอุ่นผุดขึ้นบนริมฝีปาก หญิงสาวพยายามสยบความกังวลในใจของทุกคน"ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ" เธอพูดเสียงนุ่ม "หนูไม่ได้เป็นอะไร พอดีสหายหลี่โดนพวกอันธพาลรุมทำร้ายที่ในเมืองค่ะ"ทันทีที่ได้ยินในสิ่งที่ลูกสาวกล่าว สีหน้าของทุกคนก็ยิ่งซีดเผือดลงไปอีก"เจ้าหนุ่มหลี่บาดเจ็บมากหรือไม่?" หวังจื้อเหยาเอ่ยถามอย่างร้อนรน ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว"โชคดีที่มีพลเมืองดีเข้าไปช่วยเหลือเขาไว้ทันค่ะ หนูเลยให้พวกชาวบ้านพยุงสหายหลี่ไปโรงพยาบาล แล้วไปแ
เสียงประทัดดังกึกก้องทั่วลานบ้านตระกูลหลิว บ่งบอกถึงความยินดีปรีดาของงานมงคลสมรสระหว่างหลิวชิงชิงและหลี่เหว่ยบ้านของเธอประดับประดาไปด้วยโคมแดงสด ตัดกับผ้าแพรสีทองอร่ามระยิบระยับ บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคัก ญาติมิตรต่างมาร่วมแสดงความยินดีกันอย่างเนืองแน่น เสียงพูดคุยจอแจ เสียงหัวเราะร่าเริงดังแทรกกับเสียงดนตรีบรรเลงเพลงมงคลภายในบ้านเจ้าสาว หลิวชิงชิงในชุดแต่งงานสีแดงสดปักลวดลายด้วยดิ้นเงินวิจิตรงดงาม จากช่างตัดเย็บฝีมือดี ที่คนรักของเธอพาไปตัดเย็บ ใบหน้าหวานละมุนแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางบางเบา เผยให้เห็นแก้มแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย หลิวชิงชิงนั่งก้มหน้ามองปลายเท้าอย่างประหม่า ขณะรอเจ้าบ่าวเข้ามาในบ้าน"ชิงชิง ลูกสาวของพ่อ" เสียงทุ้มของหลิวเหวินเจิ้งเอ่ยขึ้นพร้อมกับมือหนาที่ลูบศีรษะลูกสาวอย่างอ่อนโยน "วันนี้ลูกสาวพ่อสวยที่สุดเลย"หลิวชิงชิงเงยหน้าขึ้นมองบิดาด้วยแววตาสั่นไหว "คุณพ่อ...""ไม่ต้องกังวลนะลูก" หลิวเหวินเจิ้งกล่าวปลอบ "เดี๋ยวลูกเหว่ยก็จะมารับเจ้าสาวไปงานแต่งที่โรงแรมแกรนด์""ค่ะคุณพ่อ" หลิวชิงชิงพยักหน้ารับ น้ำตาคลอหน่วยด้วยความต
หลิวเหวินชางจ้องมองหลี่อ้ายเจียเย็นชา"เรื่องที่หล่อนขโมยลูกของฉัน ฉันจะให้เจ้าหน้าที่มาจัดการกับหล่อน"หลี่อ้ายเจียทรุดตัวลงกับพื้น น้ำตาไหลอาบแก้ม เธอเงยหน้ามองเขาด้วยแววตาเว้าวอน"ท่านจอมพลหลิว...ฉันขอโทษ ฉันรู้ว่าสิ่งที่ฉันทำมันผิด ฉันมันเลว ฉัน...""เลว ใช่ เธอมันเลว" หลิวเหวินชางคำรามเสียงดังจนสนั่น "หลี่อ้ายเจีย เธอขโมยลูกของฉันไป เธอพรากลูกของฉันไปจากอกฉัน เธอรู้ไหมว่าฉันต้องทรมานแค่ไหน""ฉันเลอะเลือนไปแล้วถึงได้เชื่อฟังคำพี่สาว ฉันแค่ไม่อยากให้ทางบ้านสามีรู้เรื่องลูกที่เสียไปก็เท่านั้นเอง หลี่อ้ายเจียได้แต่สะอื้นไห้"แกเลยต้องมาพรากลูกคนอื่นไป แล้วลูกของคนอื่นไม่ใช่ลูกคนหรือไง " หลิวเหวินชางกัดฟันกรอด "สิ่งที่หล่อนทำมันโหดร้ายเกินไป หลี่อ้ายเจีย เธอทำลายชีวิตฉันมายาวนานหลายสิบปี""ท่านจอมพลฉันขอโทษ...ฉันขอโทษ..." หลี่อ้ายเจียได้แต่พร่ำพูดคำขอโทษซ้ำไปซ้ำมาหลิวเหวินชางไม่ฟังคำขอโทษใดๆ ทั้งสิ้น เขาหันไปสั่งลูกน้องเสียงเย็นชา "พาตัวหลี่อ้ายเจียไปให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองลงโทษตามกฎหมาย""ไม่...ท่านจอมพลหลิว อย่า
เช้าวันรุ่งขึ้น หลินชิงชิงลืมตาขึ้นพร้อมกับความคิดที่แล่นเข้ามาในหัวทันที เรื่องราวเมื่อวานยังคงวนเวียนอยู่ในใจ กับคำพูดของท่านเจิ้ง ที่บอกว่าพ่อของเธออย่างจะไม่ใช่ลูกชายของคุณย่าหลินชิงชิงตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียงแล้วตรงไปยังห้องของบิดา หลินเจิ้งเทียนยังคงนอนหลับอยู่บนเตียง ใบหน้าของเขาดูเหนื่อยล้าราวกับแบกปัญหาหนักอึ้งเอาไว้ หลินชิงชิงยืนมองบิดาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากปลุก"พ่อคะ"หลินเจิ้งเทียนค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองลูกสาวด้วยความงุนงง "ชิงชิง มีอะไรรึ? ""พ่อคะ หนูว่าพวกเราไปบ้านใหญ่ตระกูลหลินกันเถอะค่ะ" หลินชิงชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "หนูอยากให้พ่อไปถามคุณย่าให้แน่ใจว่าพ่อใช่ลูกชายของท่านใช่หรือเปล่า"หลินเจิ้งเทียนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขาหลับตาลงราวกับกำลังครุ่นคิดถึงบางสิ่ง ก่อนจะลืมตาขึ้นมองลูกสาวด้วยแววตาที่แน่วแน่"ก็ได้" เขาเองก็อยากรู้ความจริงเช่นกันหลังจากนั้นไม่นาน คนบ้านสาม ประกอบด้วยหลินเจิ้งเทียน หวังจื้อเหยา และหลินชิงชิง ต่างก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังบ้านใหญ่ตระกูลหลิน ระหว่างทาง หลินชิงชิงสังเกตเห็นสีหน้าเคร่
ท่านเจิ้งเมื่อเห็นทุกคนอยู่ในความตกตะลึง จึงเอ่ยเตือนสติขึ้นมา"เอาละๆ ทุกคน อย่ามัวแต่คุยกันเลย มาทานข้าวกันได้แล้ว ฉันชักจะเริ่มหิวแล้วสิ"หวังจื้อเหยา ได้สติก่อนใคร รีบเชื้อเชิญทุกคนให้เริ่มทานอาหาร หลินชิงชิง ตักข้าวใส่จานให้ทุกคนอย่างคล่องแคล่ว บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารน่ารับประทาน ทั้งไก่ตุ๋นโสม หมูแดงอบน้ำผึ้ง ผัดผักรวมมิตร และซุปเยื่อไผ่ ส่งกลิ่นหอมกรุ่นชวนน้ำลายสอ"อืม... อร่อยมาก" เฉินเหม่ยหลิงเอ่ยชม "ฉันไม่เคยทานอาหารที่ไหนอร่อยเช่นนี้มาก่อนเลย""ใช่ๆ " หลี่หย่ง พยักหน้าเห็นด้วย "รสชาติกลมกล่อม หอมเครื่องเทศกำลังดี"ท่านเจิ้งตักซุปเยื่อไผ่เข้าปากอีกคำ ซดน้ำซุปจนหมดชามแล้ววางช้อนลง พลางพยักหน้าชมด้วยสีหน้าพึงพอใจ "รสชาติดีจริงๆ กลมกล่อม หอมหวาน ซดคล่องคอ ใครเป็นคนทำอาหารมื้อนี้หรือ? "หลินชิงชิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ได้ยินคำชมก็ยิ้มแก้มปริ "หนูกับแม่ช่วยกันทำค่ะ หนูเป็นเพียงแค่ลูกมือเท่านั้นค่ะ" หลินชิงชิงตอบเสียงใส ความจริงแล้วที่อาหารอร่อยเป็นเพราะวัตถุดิบที่นำมาทำอาหารล้วนมาจากมิติของเธอทั้งสิ้น ทั้งเยื่อไผ่อ่อนๆ เห็ดหอมชั้นดี และเครื่อง
แสงตะวันโพล้เพล้ทาบทาขอบฟ้า สาดสีส้มแดงระเรื่อทั่วลานบ้าน กลิ่นหอมของอาหารลอยโชยยั่วน้ำลาย หลินชิงชิงและผู้เป็นมารดาต่างก็จัดเตรียมสำรับกับข้าวหลายอย่างจนเต็มโต๊ะอาหาร ทั้งไก่ตุ๋นโสม หมูแดงอบน้ำผึ้ง ผัดผักรวมมิตร และซุปเยื่อไผ่ ส่วนของหวานและผลไม้ล้วนแต่ตัดวางอย่างสวยงาม ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นเมนูเลิศรสที่แม่ของเธอตั้งใจปรุงขึ้นด้วยความพิถีพิถันกับข้าวพร้อมแล้วค่ะ" หลินชิงชิงเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มหวังจื้อเหยาหันมายิ้มให้ลูกสาว "ชิงชิงไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อยนะ ใกล้เวลาที่พ่อแม่สามีของหนูจะมาแล้ว"หลินชิงชิงหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ "แม่.. " เสียงของเธอเอ่ยแผ่วลง "หนู.. หนูตื่นเต้นจังเลยค่ะ ไม่รู้ว่าท่านทั้งสองจะเป็นอย่างไรบ้าง" มือบางบิดชายเสื้อไปมาอย่างประหม่า"ไม่ต้องกังวลไปหรอกลูก" หวังจื้อเหยาตบบ่าลูกสาวเบาๆ อย่างให้กำลังใจ "แม่ได้ยินมาว่าครอบครัวของท่านนายพลหลี่เป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่ มีชื่อเสียงเรื่องความใจดี แม่เชื่อว่าพวกท่านต้องเอ็นดูหนูเหมือนลูกสาวคนหนึ่งแน่ๆ ""แต่.. หนูยังไม่เคยพบพวกท่านเลยนี่คะ" หลินชิงชิงยังคงกังวล "แล้ว.. แล้วถ้าหนูทำ
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป นับตั้งแต่หลินชิงชิงพาครอบครัวเข้ามาในมิติแห่งนี้หลินเสี่ยวหลง เด็กน้อยวัย10ขวบ กลับมิได้วิ่งเล่นซุกซนตามประสาเด็ก แต่กลับขะมักเขม้นฝึกฝนวิชายุทธ ร่างน้อยๆ เคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วว่องไว กระบี่ไม้ในมือฟาดฟันไปตามกระบวนท่าที่หลินชิงชิงถ่ายทอดให้ เหงื่อไหลไคลย้อยอาบใบหน้า แต่เด็กน้อยก็ยังคงมุ่งมั่น มิย่อท้อ"ฮึบ...ฮ่า" เสียงเล็กๆ ดังขึ้นเป็นระยะหลินเจิ้งเทียน ผู้เป็นบิดา นั่งมองลูกชายอยู่ใต้ต้นหลิวใหญ่ ในใจรู้สึกทั้งภาคภูมิใจและเป็นห่วง เสี่ยวหลงเป็นเด็กดี ขยันหมั่นเพียร แต่บางครั้งก็ดื้อรั้นเกินไป"เสี่ยวหลง พักสักครู่ ลูกฝึกมาตั้งแต่เช้าแล้ว" หลินเจิ้งเทียนเอ่ยขึ้นด้วยความห่วงใยหลินเสี่ยวหลงหยุดฝึกซ้อม เช็ดเหงื่อที่ไหลอาบหน้า "พ่อครับ ผมยังไม่เหนื่อยครับ ผมอยากเก่งๆ จะได้ปกป้องทุกคน จะไม่ให้คุณย่ามารังแกบ้านเราได้" เด็กชายตอบเสียงใส แววตามุ่งมั่นหลินเจิ้งเทียนถอนหายใจ เรื่องบาดหมางระหว่างเขากับมารดาเป็นเรื่องที่ทำให้เขาหนักใจที่สุด เขาไม่รู้ว่าทำไมแม่ของเขาถึงได้เกลียดชังเขามากนัก ตั้งแต่เด็กเขาไม่เคยได้รับความรักจากท
เช้าวันถัดมา หลังจากหลินชิงชิงตื่นนอน เธอพบพ่อกับแม่ของเธอกำลังจะออกจากบ้าน หญิงสาวเลยเอ่ยถามคนทั้งคู่"พ่อกับแม่จะไปไหนกันแต่เช้าคะ" หลินชิงชิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย ดวงตากลมโตสีดำสนิทจับจ้องไปที่บิดามารดาที่กำลังเตรียมตัวออกจากบ้าน"พ่อกับแม่จะเข้าป่าไปหาของป่ามาขายน่ะลูก" หลินเจิ้งเทียน ผู้เป็นพ่อตอบพลางลูบศีรษะลูกสาวด้วยความเอ็นดู "ถึงแม้ช่วงนี้บ้านเราจะพอมีเงินจากที่ลูกขายสมุนไพรได้ แต่พ่อก็อยากเก็บเงินส่วนนั้นไว้ให้ลูก ๆ ได้เรียนหนังสือสูง ๆ ไม่อยากให้ลูกต้องลำบากเหมือนพ่อกับแม่"หลินชิงชิงได้ฟังก็รู้สึกตื้นตันใจในความรักของพ่อแม่ น้ำตาคลอหน่วยเล็กน้อย แต่ในใจก็คิดว่าถึงเวลาแล้วที่เธอจะเปิดเผยความลับบางอย่างที่เก็บงำไว้ "พ่อคะ แม่คะ หนูมีเรื่องสำคัญจะบอกค่ะ" เธอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง "เดี๋ยวหนูพาพ่อกับแม่ไปดูอะไรบางอย่าง แต่พ่อและแม่ห้ามบอกเรื่องนี้กับใครนะคะ ไม่อย่างนั้นหนูอาจเป็นอันตรายได้"หลินเจิ้งเทียนและภรรยาหันมามองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ ไม่เคยเห็นลูกสาวพูดจาจริงจังแบบนี้มาก่อน "มีอะไรเหรอลูก บอกพ่อกับแม่ได้เลย" หลินเจิ้งเทียนเอ่ยถามห
หวังอ้ายหลินรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกหนักอึ้งในอก ภาพเหตุการณ์ก่อนเกิดอุบัติเหตุยังคงวนเวียนในหัว ราวกับฝันร้ายที่ตามหลอกหลอน รถบรรทุกที่พุ่งเข้ามาหา เสียงกรีดร้องของผู้คน กลิ่นไหม้ของยางรถยนต์ และความเจ็บปวดที่แล่นริ้วไปทั่วร่างกายแต่แล้วภาพเหล่านั้นก็ค่อยๆ จางหายไป แทนที่ด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด เธอเหมือนล่องลอยอยู่ในห้วงมิติอันว่างเปล่า รอบตัวเธอมืดมิดไร้ซึ่งแสงสว่าง มีเพียงความเงียบงันที่ดังก้องอยู่ในโสตประสาททันใดนั้น แสงสว่างวาบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ดึงดูดให้เธอเคลื่อนที่เข้าหาอย่างไม่รู้ตัว เมื่อเข้าใกล้ แสงสว่างนั้นก็ค่อยๆ รวมตัวกันเป็นภาพ เป็นภาพเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้า รถยนต์รูปทรงแปลกตาที่วิ่งไปมาบนท้องถนน ผู้คนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแตกต่างจากยุคสมัยที่เธอจากมาอย่างสิ้นเชิง"นี่มันที่ไหนกัน" หวังอ้ายหลินพึมพำกับตัวเองด้วยความตกตะลึงเธอล่องลอยไปตามท้องถนน มองดูผู้คนใช้ชีวิตประจำวันด้วยความสนใจ ราวกับกำลังท่องเที่ยวอยู่ในโลกอนาคต กระทั่งสายตาของเธอสะดุดเข้ากับร้านหนังสือแห่งหนึ่ง เธ
หลังจากขึ้นบ้านใหม่เสร็จเรียบร้อย สมาชิกบ้านสามต่างก็ย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังใหม่อันกว้างขวางเมื่อคืนพวกเขานอนหลับสนิทอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อาจเป็นเพราะความตื่นเต้นกับบ้านหลังใหม่หลินเสี่ยวหลงลุกขึ้นจากเตียง เดินไปที่หน้าต่าง เบื้องหน้าคือสวนหลังบ้านที่เต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีสัน เขาสูดหายใจเข้าลึก อากาศยามเช้าสดชื่น"บ้านของเราสวยจังเลยครับ" หลินเสี่ยวหลงอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นหลินชิงชิงหันมายิ้มให้ "แน่นอนอยู่แล้ว พี่สาวออกแบบเองกับมือ" เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจในขณะเดียวหวังจื้อเหยา ผู้เป็นแม่ เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับรอยยิ้ม "ลูกๆ ตื่นกันแล้วเหรอ ลงไปทานข้าวกันเถอะเดี๋ยวต้องรีบไปโรงเรียน วันนี้มีสอบปลายภาคไม่ใช่เหรอ" เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพลางลูบผมลูกชายอย่างเอ็นดู"แม่ครับ ผมจะตั้งใจสอบครับ" หลินเสี่ยวหลงยิ้มกว้างก่อนจะเอ่ยกับมารดาหวังจื้อเหยา หัวเราะเบาๆ "แม่รู้ว่าเสี่ยวหลงของแม่เก่งอยู่แล้ว ตั้งใจทำให้เต็มที่นะลูก" เธอมองลูกชายด้วยความภาคภูมิใจหลังจากทานข้าวเช้าเสร็จ หลินชิงชิงก็ปั่นจักรยานจากไปส่งหลินเสี่ยว