ในระหว่างที่เธอกำลังจะขนหมูป่าลงจากภูเขา หลินชิงชิงบังเอิญพบพ่อกับแม่ของเธอกำลังเดินกลับมาถึงบ้านพอดี เมื่อพวกเขารู้เรื่องหมูป่า ทั้งสองต่างถามเธอด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
"ชิงชิง ลูกปลอดภัยดีไหม?" หวังจื้อเหยาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
หลินชิงชิงยิ้มให้แม่เพื่อคลายความกังวล "หนูปลอดภัยดีค่ะแม่ ตอนที่หนูเข้าไปช่วยเหลือสหายหลี่ หมูป่าก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่แล้วค่ะ หนูยิงมันไปทีเดียวมันก็ตายแล้วค่ะ" เธออธิบายให้คนเป็นแม่ฟัง
หลินเจิ้งเทียน พ่อของเธอขมวดคิ้วด้วยความเป็นห่วง "คราวหลังหนูเจอหมูป่า ให้รีบวิ่งหนีไปให้ไกลเลยนะ อย่าเสี่ยงชีวิตอีก"
หลินชิงชิงพยักหน้ารับคำ "ค่ะพ่อ หนูจะระวังตัวให้มากขึ้นค่ะ" เธอรับปากพ่อของเธอทันทีก่อนจะเอ่ย
"พ่อคะ เดี๋ยวพ่อช่วยลุงหวังขนหมูป่ากลับบ้านนะคะ หนูขอไปดูสหายหลี่ก่อนนะคะว่าเป็นยังไงบ้าง"
เมื่อกลับมาถึงบ้าน เธอเห็นชายหนุ่มยังคงรอเธออยู่ที่เดิม คนร่างสูงลุกขึ้นยืนทันทีเมื่อเห็นร่างของเด็กสาวเข้ามาใกล้ๆ
"เหนื่อยไหมครับ สหายหลิน?" เขาถามด้วยความเป็นห่วง
"เหนื่อยมากค่ะ" หลินชิงชิงตอบรับด้วยรอยยิ้มกว้าง "หมูตัวนี้หนักไม่ใช่เล่น แต่ละคนถึงกับลิ้นห้อยเลยค่ะ"
"สหายหลินนี่เก่งจริงๆ นะครับ สามารถยิ่งธนูได้อย่างแม่นยำ จนทำให้หมูป่าตัวใหญ่ขนาดนั้นขาดใจตาย ผู้ชายอย่างผมยังอายเลย" หลี่เหว่ยเอ่ยชม พลางแอบมองปฏิกิริยาของหญิงสาว
หลินชิงชิงหัวเราะเบาๆ แก้มแดงระเรื่อ "ก็ไม่ได้เก่งอะไรหรอกค่ะ แค่บังเอิญโชคดีเท่านั้นเอง"
"ผมก็โชคดีที่ได้เจอสหายหลิน" หลี่เหว่ยพึมพำกับตัวเอง แต่หลินชิงชิงก็ได้ยิน ใบหน้าของเธอขึ้นสีแดงระเรื่อ
"สหายหลี่พูดอะไรนะคะ ฉันไม่ได้ยิน"
หลี่เหว่ยรีบแก้ตัว "เปล่าครับ ผมแค่บอกว่า หมูป่าตัวใหญ่มาก คงได้เนื้อเยอะเลย" เขาพูดพลางจ้องมองหลินชิงชิง ดวงตาเป็นประกาย
หลินชิงชิงรู้สึกประหม่าเล็กน้อยเมื่อสบตากับคุณพระเอก หัวใจของเธอเต้นแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เธอไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับชายหนุ่มคนไหนมาก่อน ทันใดนั้นสายตาของเธอก็หันไปเห็นทุกคนกำลังช่วยกันหามหมูป่าเข้ามาในบ้าน
"เอ่อ... เดี๋ยวฉันไปตักน้ำให้ทุกคนแก้กระหายก่อนนะคะ"หลินชิงชิงพูดพร้อมกับเบนสายตาไปทางอื่น พยายามซ่อนความรู้สึกที่กำลังก่อตัวขึ้นในใจ
เธอเดินไปยังโอ่งน้ำ นำน้ำวิเศษจากมิติมาผสมให้เจือจาง ก่อนจะตักน้ำใส่กระบอกไม้ไผ่แจกจ่ายให้ทุกคนที่ช่วยกันขนหมูป่าลงมาจากภูเขา
"ทุกคนดื่มน้ำเย็นๆจะได้ชื่นใจค่ะ" หลินชิงชิงยื่นกระบอกน้ำให้กับทุกคนก่อนจะยื่นให้หลี่เหว่ยเป็นคนสุดท้าย
"ขอบคุณครับ" หลี่เหว่ยเอ่ยก่อนจะเอื้อมมือมาคว้ากระบอกน้ำไป เขาจงใจแตะมือเธอเบาๆ หลินชิงชิงสะดุ้ง รีบชักมือกลับ
หลี่เหว่ยแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ยกกระบวยขึ้นดื่ม "อืม...หวานชื่นใจจริงๆ" เขาพูดพร้อมกับสบตาหลินชิงชิง
หญิงสาวได้แต่ก้มหน้า หัวใจเต้นแรง ไม่รู้ว่าเพราะความเหนื่อย หรือเพราะสายตาเจ้าเล่ห์ของคุณพระเอกกันแน่เธอได้แต่บ่นอุบอุบอยู่ในใจคนเดียว
'โอ๊ยทำไมพระเอกเรื่องนี้ไม่ตรงปก' ในนิยายหลี่เหว่ยจะเป็นคนเย็นชา ไม่เปิดใจรักใครง่ายๆ เพราะโดนคนสนิทหักหลังทำให้ครอบครัวต้องพลัดพรากจากกัน แม้แต่นางเอกของเรื่องกว่าจะรักกันก็ปาไปครึ่งเรื่อง แต่ทำไมพระเอกที่แสนจะเย็นชาผู้นั่นถึงได้อ้อยเธอเก่งเหลือเกิน จนเธอจะเป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว
ทุกคนที่ดื่มน้ำต่างรู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางอันยาวนานดูเหมือนจะมลายหายไปในพริบตา
"ฮ่าาาา...ชื่นใจจริงๆ" หวังเค่อเอ่ยขึ้นพร้อมกับวางกระบอกน้ำลงกับพื้น "น้ำบ้านนายนี่มันดื่มแล้วชื่นใจจริงๆ เมื่อกี้ยังเพลียๆ อยู่เลย ตอนนี้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง"
"น้ำลำธารหลักบ้านนะมันจะหวานๆหน่อยดื่มแล้วชื่นใจจริงๆ"หลินเจิ้งเทียนเอ่ยขึ้น
หลังจากหายเหนื่อยเขาก้าวเข้ามาสำรวจหมูป่าอย่างพิจารณา "หมูตัวนี้น่าจะหนักเกิน 300 จิน เดี๋ยวพ่อจะให้หวังจื่อเทาที่เป็นคนเชือดหมูประจำหมู่บ้าน มาเชือดหมูป่าตัวนี้ให้ จะได้แบ่งให้พ่อหนุ่มคนนี้กับครอบครัวอาเค่อที่มาช่วยลูกในการหามหมูป่าลงจากภูเขา"
หลินชิงชิงพยักหน้าเห็นด้วย "หนูว่าพ่อเก็บเนื้อหมูป่าชิ้นสวยๆ เอามาทานดีกว่านะคะ ส่วนที่เหลือหนูว่าพวกเรานำไปขายให้พวกชาวบ้านดีหรือไม่ พวกเราจะได้มีเงินมาซ่อมแซมบ้านของพวกเราด้วย ตอนนี้รั้วก็ผุพังมาก ถ้าหากสัตว์ป่าลงมาจากภูเขามากระแทกรั้วไม่กี่ทีก็คงจะพังแล้วค่ะ" หลินชิงชิงเสนอความคิดเห็นกับบิดา
"พ่อก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน" หลินเจิ้งเทียนเอ่ยตอบลูกสาว "งั้นเดี๋ยวพ่อเอาหมูไปเชือดก่อนนะ เดี๋ยวพ่อจะพาพ่อหนุ่มยุวชนคนนี้ไปให้หมอหลี่ดูอาการบาดเจ็บเอง ลูกพักผ่อนอยู่ที่บ้านเถอะวันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว"
หลินชิงชิงยิ้มกว้าง "ขอบคุณค่ะพ่อ เดี๋ยวหนูช่วยแม่ทำกับข้าวอร่อยๆ รอพ่อนะคะ"
หลินเจิ้งเทียนพยักหน้าให้ลูกสาว ก่อนจะประคองหลี่เหว่ยนำไปบ้านหมอหลี่ที่อยู่ไม่ไกลนัก
หลินชิงชิงมองตามหลังคนทั้งคู่ไปจนลับสายตา ก่อนจะหันกลับเข้าบ้านไปช่วยแม่เตรียมอาหารเย็น
ไม่นานนัก หลินเจิ้งเทียนก็พาหลี่เหว่ยมาถึงบ้านหมอหลี่ เขากำลังนั่งอ่านตำราสมุนไพรอยู่ เมื่อเห็นหลินเจิ้งเทียนมาพร้อมกับหลี่เหว่ยก็รีบลุกขึ้นต้อนรับ
"เจิ้งเทียน นี่มันเกิดอะไรขึ้น?" หมอหลี่เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
"พ่อหนุ่มหลี่คนนี้ ถูกหมูป่าทำร้ายนะ เขาก็ได้รับบาดเจ็บ ผมเลยพาเขามาให้หมอหลี่ดูอาการพ่อหนุ่มยุวชนคนนี้เสียหน่อยนะครับ" หลินเจิ้งเทียนตอบกลับมา
หมอหลี่พยักหน้ารับ "เอาเถอะ วางเขาลงตรงนี้ เดี๋ยวตาแก่จะดูอาการพ่อหนุ่มนี้ให้เอง" หมอชรากล่าว
หลินเจิ้งเทียนวางหลี่เหว่ยลงบนเตียงอย่างเบามือ ก่อนจะขอตัวกลับไปจัดการเรื่องหมูป่าต่อ
ไม่นานนักหลินเจิ้งเทียนก็เดินทางมาถึงลานหมู่บ้านพร้อมกับพวกลูกๆ ของหวังเค่อ หมูป่าตัวใหญ่ที่ถูกจับได้ถูกมัดไว้กับเสาไม้กลางลานหมู่บ้าน ข่าวการล่าหมูป่าได้ก็แพร่สะพัดไปทั่ว ชาวบ้านต่างพากันมามุงดูหมูป่าตัวใหญ่
"วันนี้พวกเราโชคดีจริงๆ ที่ได้ช่วยหนูชิงชิงขนหมูลงมาจากภูเขาพลอยทำให้พวกเราได้ลาภปากไปด้วย" หวังเค่อเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มกว้าง
"หมูป่าตัวใหญ่ขนาดนี้ คงทำอาหารอร่อยๆ ได้หลายมื้อเลยนะครับพ่อ" หวังเฉียงเอ่ยขึ้น
หลินเจิ้งเทียน ยิ้มให้เพื่อนสนิท "ใช่แล้ว ไม่นึกว่าชิงชิงจะโชคดีเช่นนี้"
"ชิงชิงเก่งจริงๆ" หวังเค่อกล่าวชม "เธอฆ่าหมูป่าตัวใหญ่ขนาดนั้นได้ ถึงแม้ว่ามันจะบาดเจ็บสาหัส แต่ฝีมือการยิงธนูของลูกสาวนายก็ไม่เลวเลยนะ" หลินเจิ้งเทียนยิ้มรับคำชมจากเพื่อนสนิท เขาเองก็ไม่คิดว่าชิงชิงจะยิงแม่นเหมือนกัน ปกติเขาเห็นเธอยิงได้แต่สัตว์ตัวเล็กเท่านั้น
ในขณะที่พวกเขาคุยกันไม่นานนัก หวังจื่อเทา คนเชือดหมูประจำหมู่บ้านก็มาถึง เขาผิวปากอย่างทึ่ง เมื่อเห็นขนาดของหมูป่า "โห..เจิ้งเทียน หมูตัวนี้ใหญ่มากเลยนะ นายคงจะกินคนเดียวไม่หมด ที่เหลือเอาแบ่งขายให้พวกชาวบ้านก็ได้นะ"
ชาวบ้านที่รายล้อมต่างพยักหน้าเห็นด้วย พวกเขาไม่ได้กินเนื้อกันมานานแล้ว กว่าจะได้กินเนื้อหมูอีกทีก็ตอนปีใหม่โน้น
หลินเจิ้งเทียนพยักหน้าให้ทุกคน เขาแบ่งเนื้อให้พ่อหนุ่มยุวชนปัญญาและครอบครัวหวังเค่อออกไป จากนั้นก็เก็บเนื้อชิ้นสวยๆ ไว้ให้ครอบครัวของเขา 50 จิน ที่เหลือเขานำมาขายให้ชาวบ้าน บางคนก็เอาคูปองมาแลก บางคนไม่มีคูปองก็ขอซื้อเงินสดก็มี
เขาขายหมูได้คูปองต่างๆ มา 50 กว่าใบ และได้เงินมา 80 หยวน ซึ่งถือว่าเป็นเงินก้อนใหญ่
"นี่แหละนะ ที่เขาว่า โชคดีมีลาภลอย "หวังเค่อพูดพลางตบบ่าเจิ้งเทียนเบาๆ
เจิ้งเทียนยิ้ม "ใช่แล้ว แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือเรามีน้ำใจแบ่งปันให้คนอื่นด้วย"
ชาวบ้านต่างพึงพอใจกับเนื้อหมูที่ได้มา ใบหน้าแต่ละคนเปื้อนยิ้มแห่งความสุขใจ ต่างพากันกล่าวขอบคุณหลินเจิ้งเทียนที่แบ่งปันให้
"ขอบคุณมากนะเจิ้งเทียน"
"นายช่างมีน้ำใจเสียจริงๆ"
เสียงขอบคุณดังเซ็งแซ่ไปทั่วบริเวณ ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน หลี่อ้ายเจียก็เดินตรงมาหาหลินเจิ้งเทียนด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
หญิงชราตะโกนลั่นด้วยความโกรธเกรี้ยว "แก..ไอ้ลูกอกตัญญู ได้หมูป่ามาแทนที่จะเอาไปให้บ้านใหญ่ แต่แกดันเอามาขายให้คนอื่นแทนซะได้ เจ้าสามแกนำเงินพวกนี้นำมาให้ฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ"
ทันใดนั้นบรรยากาศที่เคยครื้นเครงก็เงียบสงัดลง ทุกสายตาจับจ้องไปที่หลี่อ้ายเจียและหลินเจิ้งเทียน
หลินเจิ้งเทียนจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของมารดาด้วยแววตาไร้ความรู้สึก เขาที่ทำงานหนักที่สุดในบ้าน พอเขาแยกครอบครัวออกมาแม่ของเขากลับให้ของและเงินติดตัวมาน้อยนิด แทบไม่พอกิน ถ้าไม่มีหมูป่าตัวนี้ครอบครัวของเขาคงจะลำบากมากเช่นกัน เขาเอ่ยกับคนเป็นแม่เสียงเรียบเฉยราวกับพูดกับคนแปลกหน้า
"แม่ครับ แม่คงจะลืมอะไรไป ตอนนี้พวกเราบ้านสามได้ทำการแยกบ้านออกมาแล้ว แล้วอีกอย่าง เงินที่ผมได้มาตอนแยกบ้านก็ได้มาแค่ 10 หยวน ซึ่งมันไม่พอซ่อมบ้านหลังนี้หรอกนะ แล้วในสัญญาตอนแยกบ้านก็ระบุไว้อยู่แล้วว่าครอบครัวของพวกเราจะให้เงินและอาหารแม่ปีละครั้งตอนปีใหม่ แต่ปีนี้ผมคงให้เงินแม่ไม่ได้ เพราะผมต้องเอาเงินไปซ่อมบ้านกับรั้วที่ใกล้จะพังเต็มที ผมให้แม่ได้แค่เนื้อหมู 5 จินเท่านั้น แม่จะเอาหรือไม่เอา ก็แล้วแต่แม่เลย"
หลินเจิ้งเทียนยื่นเนื้อหมู 5 จินให้มารดา หลี่อ้ายเจียรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าต่อหน้าธารกำนัล เสียงซุบซิบนินทาของชาวบ้านดังก้องอยู่ในหัวราวกับเสียงผึ้งแตกรัง หลี่อ้ายเจียต้องข่มความอับอายไว้ ก่อนจะกัดฟันคว้าห่อเนื้อออกมาแล้วสะบัดหน้าเดินจากไปด้วยความคับแค้นใจที่ไม่อาจเรียกเอาเงินจากบ้านสามไปได้
"ไอ้หลินเจิ้งเทียน..เดี๋ยวนี้แกช่างปีกกล้าขาแข็งแล้วนะตั้งแต่แยกบ้านออกมา แกมันไอ้คนอกตัญญู ฉันไม่น่าเก็บมันมาเลี้ยงเลย น่าจะปล่อยให้มันตายๆ ไปซะตั้งแต่มันเป็นเด็กทารก" หลี่อ้ายเจียสบถกับตัวเองเบาๆ เพราะเธอเองก็ไม่อาจเปิดเผยความลับนี้ให้ใครได้ยินเช่นกัน
หลังจากเขาขายเนื้อหมูเสร็จ หลินเจิ้งเทียนแบกเนื้อหมูส่วนที่เหลือไว้บนบ่ามุ่งหน้าไปยังบ้านของหมอหลี่ หมอเดินเท้าประจำหมู่บ้าน ผู้เปรียบเสมือนที่พึ่งพิงยามเจ็บไข้ได้ป่วยของชาวบ้านทุกคน"หมอหลี่ครับ หมอหลี่" หลินเจิ้งเทียนตะโกนเรียกเสียงดังเมื่อมาถึงหน้าบ้านไม่นานนัก ประตูบ้านก็เปิดออก เขาเห็นหลี่เหว่ยถูกหมอหลี่รักษาบาดแผลเสร็จเรียบร้อยแล้ว"อ้าว เจิ้งเทียน มาได้จังหวะพอดีเลย ลุงรักษาพ่อหนุ่มยุวชนปัญญาเสร็จพอดี เด็กคนนี้ถูกลูกสาวของเจ้ารักษามาก่อนหน้านี้แล้วตอนนี้แผลไม่เป็นอะไรมาก เลือดของเขาหยุดไหลไปแล้ว" หมอหลี่กล่าวพร้อมกับผายมือเชื้อเชิญให้หลินเจิ้งเทียน เข้าไปในบ้านหลินเจิ้งเทียน เขาขมวดคิ้วสงสัย "ชิงชิงไปรักษาให้เด็กคนนี้ได้อย่างไร?" ลูกสาวของเขา เป็นเพียงเด็กสาววัย 16 ปี เธอไม่เคยเรียนรู้การแพทย์แผนโบราณมาก่อนเขาเดินตามหมอหลี่เข้าไปในบ้าน พบเด็กหนุ่มนอนอยู่บนเตียงไม้ไผ่ ใบหน้าซีดเซียว แต่ดวงตาของเขาแสดงถึงความเฉลียวฉลาด เด็กหนุ่มคนนี้เป็นยุวชนปัญญาที่จากเมืองหลวง เขาถูกส่งมาทำงานในชนบท แต่เนื่องจากความฉลาดของเขาทำให้สามารถสอบเข้ามาเป็นคุณครูที่โรงเรียนประถมในหมู่บ้านหลงเหมินได้
เมื่อมาถึงลานหน้าหมู่บ้าน หลินชิงชิงพบว่ามีชาวบ้านจำนวนหนึ่งกำลังรอรถเกวียนวัวอยู่เช่นกัน ท่ามกลางกลุ่มคนนั้น เธอเห็นคุณพระเอกอยู่ในกลุ่มคนพวกนั้นขณะที่เธอคิดจะเอ่ยทักทายชายหนุ่มตามมารยาท ก็มีหญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่งก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในลานหน้าหมู่บ้าน เธอส่งยิ้มหวานให้หลี่เหว่ย ก่อนจะเอ่ยถาม"สหายหลี่ จะเข้าไปในเมืองเหรอคะ""ใช่แล้วครับ ผมจะเข้าไปซื้อของใช้ในตัวเมืองครับ สหายหวัง" หลี่เหว่ยตอบกลับมาเมื่อหลินชิงชิงได้ยินชื่อ 'สหายหวัง' เธอถึงกับหูผึ่งขึ้นทันที นี่คงจะเป็นหวังอ้ายหลิน นางเอกในนิยายสินะ เธอจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ หวังอ้ายหลินเป็นหญิงสาวที่งดงาม หุ่นบาง ร่างเล็ก ใบหน้าสวยหวาน แต่ถึงกระนั้น หลินชิงชิงก็ยังมั่นใจว่า หวังอ้ายหลินยังสวยสู้เธอไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เธอดื่มน้ำวิเศษเข้าไป ตอนนี้ใบหน้าของเธอเปล่งประกายงดงามยิ่งกว่าใคร ๆ"สหายหลี่ ช่างบังเอิญจริง ๆ ฉันก็กำลังจะเข้าไปซื้อของในเมืองเหมือนกันค่ะ โชคดีที่ได้เจอสหายหลี่เข้าซะก่อน หวังว่าสหายหลี่จะไม่รังเกียจที่ฉันจะไปด้วยนะคะ"หวังอ้ายหลินกล่าว ก่อนจะส่งยิ้มหวานให้หลี่เหว่ย หวังว่าเขาจ
หวังอ้ายหลิน กำลังเดินตามหลัง หลี่เหว่ย และ หลินชิงชิง ไปยังตลาดมืด แม้จะเป็นเพียงตรอกเล็กๆ แต่กลับคึกคักไปด้วยผู้คนและสินค้ามากมายหวังอ้ายหลินรู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ไม่ใช่เพราะอากาศ แต่เป็นเพราะความโกรธที่กำลังคุกรุ่นอยู่ในใจ เธอเห็นหลี่เหว่ย ดูแลหลินชิงชิงเป็นอย่างดี คอยประคองเธอหลบหลีกผู้คน พูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนิทสนม ภาพเหล่านั้นทิ่มแทงหัวใจของหวังอ้ายหลินราวกับเข็มนับพันเล่มร่างบางกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ ความร้อนในอกแผดเผาจนแทบจะเป็นไฟ ใบหน้าสวยหวานบิดเบี้ยวด้วยแรงริษยา สายตาคมดุจเหยี่ยวจ้องมองหลี่เหว่ยและหลินชิงชิงราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ"นังชิงชิง! แค่เด็กสาวบ้านนอกหน้าตาจืดชืด มีดีแค่ความใสซื่อ กล้าดียังไงมาแย่งคุณชายหลี่ไปจากฉัน" หวังอ้ายหลินกัดฟันกรอดหลี่เหว่ย... ชายหนุ่มรูปงามผู้เพียบพร้อม บุตรชายคนเดียวของนายทหารใหญ่แห่งเมืองหลวง พ่อของเขาเป็นมือขวาทำงานให้ท่านผู้นำสูงสุดในฝ่ายรัฐบาล เขาคือเป้าหมายสูงสุดที่หวังอ้ายหลินหมายมั่นปั้นมือ ตั้งแต่แรกพบที่งานเลี้ยงตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง หวังอ้ายหลินก็ตกหลุมรักหลี่เหว่ยทันที ทั้งรูปลักษณ์ ชาติตระกูล และกิ
หลินชิงชิงมองร่างของหลี่เหว่ยที่นอนแน่นิ่งอยู่ข้างกายด้วยความกังวล เธอเขย่าตัวเขาเบาๆ แต่เขาไม่มีท่าทีตอบสนอง"พี่เหว่ย... พี่เหว่ย" เธอเรียกเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือหัวใจของหลินชิงชิงเต้นระรัว เธอรีบพยุงร่างชายหนุ่มขึ้นมาอย่างทุลักทุเล หลี่เหว่ยตัวสูงใหญ่กว่าเธอมาก แต่ด้วยความที่เธอมีร่างกายแข็งแรงจากการดื่มน้ำวิเศษเข้าไป หญิงสาวจึงสามารถพยุงเขาออกจากตรอกเปลี่ยว นั้นได้ทันทีที่พ้นจากซอย เธอเห็นกลุ่มชาวบ้านที่กำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่ หลินชิงชิงรีบเข้าไปขอความช่วยเหลือ"ทุกคนค่ะ ช่วยฉันด้วย" เธอตะโกนเสียงดังพวกชาวบ้านต่างหันมามองเธอด้วยความตกใจ พวกเขาเห็นหลินชิงชิงพยุงร่างของหลี่เหว่ยอยู่ จึงรีบเข้ามาสอบถาม"เกิดอะไรขึ้นหรือนังหนู?" ชายวัยกลางคนคนหนึ่งถาม"พอดีเมื่อกี้มีกลุ่มอันธพาล 5-6 อยู่ๆ ก็เข้าทำร้ายพวกเราค่ะ แต่โชคดีที่มีพลเมืองดีมาช่วยขับไล่พวกมันไม่ได้" หลินชิงชิงแสร้งตอบเสียงสั่น "ตอนนี้คนรู้จักของฉันเขาโดนพวกอันธพาลจัดการ เขาเลยหมดสติไปนะคะ"พวกชาวบ้านต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ "ไอ้พวกอันธพาลพวกนั้นมันคงเป็นลูกน้องของต้าเหนิง" ชายชราคนหนึ่งพูดขึ้น "มันคุมแถวนี้ ใครๆ ก็รู้"หลิ
เมื่อออกมาจากสถานีตำรวจ หลินชิงชิงตัดสินใจไปยังตลาดมืดเพื่อรับตลับไม้หอมที่สั่งทำไว้ แม้จะรู้ดีถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้น เธอซื้อผ้าคลุมหน้าเพื่อปกปิดตัวตนก่อนจะก้าวเข้าสู่โลกแห่งเงามืดนั้นตลาดมืดแห่งนี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คน ทั้งพ่อค้าแม่ค้าและลูกค้าต่างก็มาชุมนุมกันที่นี่เพื่อซื้อขายสินค้าที่ผิดกฎหมาย หลินชิงชิงพยายามไม่สนใจสิ่งรอบข้าง เธอเดินตรงไปยังร้านขายกล่องไม้ที่อยู่ด้านในสุดของตลาด"เถ้าแก่ กล่องไม้แกะสลักที่ฉันสั่งเมื่อเช้าเสร็จหรือยังคะ?" เธอถามด้วยน้ำเสียงสุภาพเถ้าแก่หลี่เงยหน้าขึ้นมองเธอ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความระแวดระวัง เขาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วหยิบกล่องไม้ใบหนึ่งออกมาจากใต้โต๊ะ"ได้แล้ว ได้แล้ว" เขาตอบพลางยื่นกล่องไม้แกะสลักคำว่า "ฮวาเหม่ยเหริน" ให้เธอหลินชิงชิงรับกล่องไม้มาถือไว้ในมือ เธอลูบไล้ลวดลายที่แกะสลักดอกไม้อย่างประณีตบรรจง รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของเธอภายใต้ผ้าคลุม"สวยงามมากค่ะ ขอบคุณมากนะคะเถ้าแก่" เธอเอ่ยชม"ถ้าฉันต้องการกล่องแกะสลักแบบนี้เพิ่ม ต้องไปสั่งที่ไหนคะ?" หลินชิงชิงเอ่ยถามต่อเถ้าแก่ร้านยิ้มกว้าง "ถ้าอยากได้งานดี ๆ แบบนี้ แม่หนูต้องไปที่ "ไปที่ร้านรับ
หลังจัดการเรื่องพาหลี่เหว่ยออกจากโรงพยาบาลเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลินชิงชิงเหลือบมองนาฬิกาที่ติดผนังห้องในโรงพยาบาล ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสามโมงแล้ว หากกลับหมู่บ้านหลงเหมินช้ากว่านี้ คงตกเกวียนวัวเป็นแน่แท้"พี่เหว่ยคะ เราต้องรีบแล้วค่ะ เดี๋ยวไม่ทันเกวียนวัว ไม่อย่างนั้นพวกเราต้องได้เดินกลับหมู่บ้าน" หลินชิงชิงเอ่ยเร่งคุณพระเอกด้วยน้ำเสียงร้อนใจหลี่เหว่ยพยักหน้ารับ พลางเร่งฝีเท้าไปยังลานจอดเกวียนวัว ทันทีที่พวกเขาไปถึง หลินชิงชิงก็รู้สึกโล่งอก รถเกวียนวัวยังจอดรออยู่ทันทีที่หญิงสาวขึ้นเกวียน สายตาของเธอก็ปะทะเข้ากับหวังอ้ายหลิน หญิงสาวผู้นั่งทำหน้าบึ้งอยู่มุมหนึ่งของเกวียน ท่าทางของเธอแสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างชัดเจน แต่เมื่อเห็นหลี่เหว่ย เธอก็รีบเปลี่ยนเป็นยิ้มหวานราวกับพลิกฝ่ามือ"สหายหลี่ เป็นอะไรไปหรือเปล่าคะ?" หวังอ้ายหลินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน พลาง ชี้ไปที่ผ้าพันแผลสีขาวที่พันอยู่บนศีรษะของชายหนุ่ม "เห็นพันแผลแบบนี้ เกิดอะไรขึ้นหรือคะ"หลี่เหว่ยฝืนยิ้มให้หวังอ้ายหลิน "ผมไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกครับ พอดีเข้าไปในเมืองแล้วถูกพวกอันธพาลรุมทำร้าย ได้แผลฟกช้ำมานิดหน่อย"ทันทีที่หลี่เหว่ยพ
เมื่อแสงอาทิตย์สีส้มแดงเริ่มลับขอบฟ้า หลินชิงชิงเดินก้าวเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้าอิดโรย"ชิงชิง หนูกลับมาแล้ว" เสียงของหวังจื้อเหยาดังขึ้นอย่างโล่งอก ก่อนจะรีบเดินเข้ามาหาลูกสาว "ทำไมถึงกลับช้าเช่นนี้? พวกเราเป็นห่วงหนูแทบแย่!"หลินชิงชิงถอนหายใจยาว ก่อนจะส่งยิ้มบางๆ ให้กับสมาชิกครอบครัว "หนูขอโทษค่ะที่ทำให้เป็นห่วง พอดีหนูไปเจอเรื่องวุ่นวายนิดหน่อยที่ตลาดมืดนะคะ""วุ่นวายยังไงหรือลูก?" หวังจื้อเหยาถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน "มีใครมาทำอะไรหนูหรือเปล่า? บอกแม่มาเถิด"หลินชิงชิงมองไปที่ใบหน้าของทุกคน รอยยิ้มอบอุ่นผุดขึ้นบนริมฝีปาก หญิงสาวพยายามสยบความกังวลในใจของทุกคน"ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ" เธอพูดเสียงนุ่ม "หนูไม่ได้เป็นอะไร พอดีสหายหลี่โดนพวกอันธพาลรุมทำร้ายที่ในเมืองค่ะ"ทันทีที่ได้ยินในสิ่งที่ลูกสาวกล่าว สีหน้าของทุกคนก็ยิ่งซีดเผือดลงไปอีก"เจ้าหนุ่มหลี่บาดเจ็บมากหรือไม่?" หวังจื้อเหยาเอ่ยถามอย่างร้อนรน ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว"โชคดีที่มีพลเมืองดีเข้าไปช่วยเหลือเขาไว้ทันค่ะ หนูเลยให้พวกชาวบ้านพยุงสหายหลี่ไปโรงพยาบาล แล้วไปแ
หลินชิงชิงหันหน้าไปถามหวังเค่อ "ลุงหวังค่ะ ใครมาหาหนูค่ะ" ชิงชิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย"เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เมืองเฉิงตูน่ะ น่าจะมาสอบถามข้อมูลกับหนูมั้ง" หวังเค่อตอบกลับมาชิงชิงทำหน้างง "อย่างงั้นเหรอคะ งั้นเดี๋ยวหนูไปกับลุงค่ะ"เธอหันไปบอกครอบครัว "ทุกคนค่ะ ทานข้าวไปก่อนนะคะเดี๋ยวหนูไปทำธุระที่บ้านหัวหน้าหน่วยผลิตแป๊บหนึ่งนะคะ"หลินเจิ้งเทียนและหวังจื้อเหยา ต่างเป็นห่วงลูกสาว "จะให้พ่อกับแม่ไปส่งหรือเปล่า"ชิงชิงส่ายหน้า "ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวหนูไปกับลุงหวังก็ได้ค่ะ"หวังเค่อหันไปบอกเพื่อนสนิท"เจิ้งเทียน นายไม่ต้องเป็นห่วงชิงชิงเดี๋ยวฉันเดินมาส่งหลานที่บ้านเอง"หลินเจิ้งเทียนยิ้มรับ "ขอบคุณมากอาเค่อ ฉันฝากชิงชิงด้วยนะ"หลินชิงชิงเดินตามลุงหวังออกจากบ้านไป เธออดสงสัยไม่ได้ว่าตำรวจจะมาหาเธอเรื่องอะไรกันนะ หรือว่าพวกเจ้าหน้าที่จะจับตัวไอ้พวกอันธพาลต้าเหนิงได้แล้วระหว่างทาง หวังเค่อพยายามพูดคุยให้ชิงชิงคลายกังวล "ไม่ต้องกลัวน่ะชิงชิง ตำรวจคงแค่มีเรื่องจะถามนิดหน่อย หนูเป็นเด็กดี ไม่เคยทำอะไรผิดอยู่แล้ว"หลินชิงชิงพยักหน
เสียงประทัดดังกึกก้องทั่วลานบ้านตระกูลหลิว บ่งบอกถึงความยินดีปรีดาของงานมงคลสมรสระหว่างหลิวชิงชิงและหลี่เหว่ยบ้านของเธอประดับประดาไปด้วยโคมแดงสด ตัดกับผ้าแพรสีทองอร่ามระยิบระยับ บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคัก ญาติมิตรต่างมาร่วมแสดงความยินดีกันอย่างเนืองแน่น เสียงพูดคุยจอแจ เสียงหัวเราะร่าเริงดังแทรกกับเสียงดนตรีบรรเลงเพลงมงคลภายในบ้านเจ้าสาว หลิวชิงชิงในชุดแต่งงานสีแดงสดปักลวดลายด้วยดิ้นเงินวิจิตรงดงาม จากช่างตัดเย็บฝีมือดี ที่คนรักของเธอพาไปตัดเย็บ ใบหน้าหวานละมุนแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางบางเบา เผยให้เห็นแก้มแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย หลิวชิงชิงนั่งก้มหน้ามองปลายเท้าอย่างประหม่า ขณะรอเจ้าบ่าวเข้ามาในบ้าน"ชิงชิง ลูกสาวของพ่อ" เสียงทุ้มของหลิวเหวินเจิ้งเอ่ยขึ้นพร้อมกับมือหนาที่ลูบศีรษะลูกสาวอย่างอ่อนโยน "วันนี้ลูกสาวพ่อสวยที่สุดเลย"หลิวชิงชิงเงยหน้าขึ้นมองบิดาด้วยแววตาสั่นไหว "คุณพ่อ...""ไม่ต้องกังวลนะลูก" หลิวเหวินเจิ้งกล่าวปลอบ "เดี๋ยวลูกเหว่ยก็จะมารับเจ้าสาวไปงานแต่งที่โรงแรมแกรนด์""ค่ะคุณพ่อ" หลิวชิงชิงพยักหน้ารับ น้ำตาคลอหน่วยด้วยความต
หลิวเหวินชางจ้องมองหลี่อ้ายเจียเย็นชา"เรื่องที่หล่อนขโมยลูกของฉัน ฉันจะให้เจ้าหน้าที่มาจัดการกับหล่อน"หลี่อ้ายเจียทรุดตัวลงกับพื้น น้ำตาไหลอาบแก้ม เธอเงยหน้ามองเขาด้วยแววตาเว้าวอน"ท่านจอมพลหลิว...ฉันขอโทษ ฉันรู้ว่าสิ่งที่ฉันทำมันผิด ฉันมันเลว ฉัน...""เลว ใช่ เธอมันเลว" หลิวเหวินชางคำรามเสียงดังจนสนั่น "หลี่อ้ายเจีย เธอขโมยลูกของฉันไป เธอพรากลูกของฉันไปจากอกฉัน เธอรู้ไหมว่าฉันต้องทรมานแค่ไหน""ฉันเลอะเลือนไปแล้วถึงได้เชื่อฟังคำพี่สาว ฉันแค่ไม่อยากให้ทางบ้านสามีรู้เรื่องลูกที่เสียไปก็เท่านั้นเอง หลี่อ้ายเจียได้แต่สะอื้นไห้"แกเลยต้องมาพรากลูกคนอื่นไป แล้วลูกของคนอื่นไม่ใช่ลูกคนหรือไง " หลิวเหวินชางกัดฟันกรอด "สิ่งที่หล่อนทำมันโหดร้ายเกินไป หลี่อ้ายเจีย เธอทำลายชีวิตฉันมายาวนานหลายสิบปี""ท่านจอมพลฉันขอโทษ...ฉันขอโทษ..." หลี่อ้ายเจียได้แต่พร่ำพูดคำขอโทษซ้ำไปซ้ำมาหลิวเหวินชางไม่ฟังคำขอโทษใดๆ ทั้งสิ้น เขาหันไปสั่งลูกน้องเสียงเย็นชา "พาตัวหลี่อ้ายเจียไปให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองลงโทษตามกฎหมาย""ไม่...ท่านจอมพลหลิว อย่า
เช้าวันรุ่งขึ้น หลินชิงชิงลืมตาขึ้นพร้อมกับความคิดที่แล่นเข้ามาในหัวทันที เรื่องราวเมื่อวานยังคงวนเวียนอยู่ในใจ กับคำพูดของท่านเจิ้ง ที่บอกว่าพ่อของเธออย่างจะไม่ใช่ลูกชายของคุณย่าหลินชิงชิงตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียงแล้วตรงไปยังห้องของบิดา หลินเจิ้งเทียนยังคงนอนหลับอยู่บนเตียง ใบหน้าของเขาดูเหนื่อยล้าราวกับแบกปัญหาหนักอึ้งเอาไว้ หลินชิงชิงยืนมองบิดาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากปลุก"พ่อคะ"หลินเจิ้งเทียนค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองลูกสาวด้วยความงุนงง "ชิงชิง มีอะไรรึ? ""พ่อคะ หนูว่าพวกเราไปบ้านใหญ่ตระกูลหลินกันเถอะค่ะ" หลินชิงชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "หนูอยากให้พ่อไปถามคุณย่าให้แน่ใจว่าพ่อใช่ลูกชายของท่านใช่หรือเปล่า"หลินเจิ้งเทียนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขาหลับตาลงราวกับกำลังครุ่นคิดถึงบางสิ่ง ก่อนจะลืมตาขึ้นมองลูกสาวด้วยแววตาที่แน่วแน่"ก็ได้" เขาเองก็อยากรู้ความจริงเช่นกันหลังจากนั้นไม่นาน คนบ้านสาม ประกอบด้วยหลินเจิ้งเทียน หวังจื้อเหยา และหลินชิงชิง ต่างก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังบ้านใหญ่ตระกูลหลิน ระหว่างทาง หลินชิงชิงสังเกตเห็นสีหน้าเคร่
ท่านเจิ้งเมื่อเห็นทุกคนอยู่ในความตกตะลึง จึงเอ่ยเตือนสติขึ้นมา"เอาละๆ ทุกคน อย่ามัวแต่คุยกันเลย มาทานข้าวกันได้แล้ว ฉันชักจะเริ่มหิวแล้วสิ"หวังจื้อเหยา ได้สติก่อนใคร รีบเชื้อเชิญทุกคนให้เริ่มทานอาหาร หลินชิงชิง ตักข้าวใส่จานให้ทุกคนอย่างคล่องแคล่ว บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารน่ารับประทาน ทั้งไก่ตุ๋นโสม หมูแดงอบน้ำผึ้ง ผัดผักรวมมิตร และซุปเยื่อไผ่ ส่งกลิ่นหอมกรุ่นชวนน้ำลายสอ"อืม... อร่อยมาก" เฉินเหม่ยหลิงเอ่ยชม "ฉันไม่เคยทานอาหารที่ไหนอร่อยเช่นนี้มาก่อนเลย""ใช่ๆ " หลี่หย่ง พยักหน้าเห็นด้วย "รสชาติกลมกล่อม หอมเครื่องเทศกำลังดี"ท่านเจิ้งตักซุปเยื่อไผ่เข้าปากอีกคำ ซดน้ำซุปจนหมดชามแล้ววางช้อนลง พลางพยักหน้าชมด้วยสีหน้าพึงพอใจ "รสชาติดีจริงๆ กลมกล่อม หอมหวาน ซดคล่องคอ ใครเป็นคนทำอาหารมื้อนี้หรือ? "หลินชิงชิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ได้ยินคำชมก็ยิ้มแก้มปริ "หนูกับแม่ช่วยกันทำค่ะ หนูเป็นเพียงแค่ลูกมือเท่านั้นค่ะ" หลินชิงชิงตอบเสียงใส ความจริงแล้วที่อาหารอร่อยเป็นเพราะวัตถุดิบที่นำมาทำอาหารล้วนมาจากมิติของเธอทั้งสิ้น ทั้งเยื่อไผ่อ่อนๆ เห็ดหอมชั้นดี และเครื่อง
แสงตะวันโพล้เพล้ทาบทาขอบฟ้า สาดสีส้มแดงระเรื่อทั่วลานบ้าน กลิ่นหอมของอาหารลอยโชยยั่วน้ำลาย หลินชิงชิงและผู้เป็นมารดาต่างก็จัดเตรียมสำรับกับข้าวหลายอย่างจนเต็มโต๊ะอาหาร ทั้งไก่ตุ๋นโสม หมูแดงอบน้ำผึ้ง ผัดผักรวมมิตร และซุปเยื่อไผ่ ส่วนของหวานและผลไม้ล้วนแต่ตัดวางอย่างสวยงาม ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นเมนูเลิศรสที่แม่ของเธอตั้งใจปรุงขึ้นด้วยความพิถีพิถันกับข้าวพร้อมแล้วค่ะ" หลินชิงชิงเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มหวังจื้อเหยาหันมายิ้มให้ลูกสาว "ชิงชิงไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อยนะ ใกล้เวลาที่พ่อแม่สามีของหนูจะมาแล้ว"หลินชิงชิงหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ "แม่.. " เสียงของเธอเอ่ยแผ่วลง "หนู.. หนูตื่นเต้นจังเลยค่ะ ไม่รู้ว่าท่านทั้งสองจะเป็นอย่างไรบ้าง" มือบางบิดชายเสื้อไปมาอย่างประหม่า"ไม่ต้องกังวลไปหรอกลูก" หวังจื้อเหยาตบบ่าลูกสาวเบาๆ อย่างให้กำลังใจ "แม่ได้ยินมาว่าครอบครัวของท่านนายพลหลี่เป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่ มีชื่อเสียงเรื่องความใจดี แม่เชื่อว่าพวกท่านต้องเอ็นดูหนูเหมือนลูกสาวคนหนึ่งแน่ๆ ""แต่.. หนูยังไม่เคยพบพวกท่านเลยนี่คะ" หลินชิงชิงยังคงกังวล "แล้ว.. แล้วถ้าหนูทำ
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป นับตั้งแต่หลินชิงชิงพาครอบครัวเข้ามาในมิติแห่งนี้หลินเสี่ยวหลง เด็กน้อยวัย10ขวบ กลับมิได้วิ่งเล่นซุกซนตามประสาเด็ก แต่กลับขะมักเขม้นฝึกฝนวิชายุทธ ร่างน้อยๆ เคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วว่องไว กระบี่ไม้ในมือฟาดฟันไปตามกระบวนท่าที่หลินชิงชิงถ่ายทอดให้ เหงื่อไหลไคลย้อยอาบใบหน้า แต่เด็กน้อยก็ยังคงมุ่งมั่น มิย่อท้อ"ฮึบ...ฮ่า" เสียงเล็กๆ ดังขึ้นเป็นระยะหลินเจิ้งเทียน ผู้เป็นบิดา นั่งมองลูกชายอยู่ใต้ต้นหลิวใหญ่ ในใจรู้สึกทั้งภาคภูมิใจและเป็นห่วง เสี่ยวหลงเป็นเด็กดี ขยันหมั่นเพียร แต่บางครั้งก็ดื้อรั้นเกินไป"เสี่ยวหลง พักสักครู่ ลูกฝึกมาตั้งแต่เช้าแล้ว" หลินเจิ้งเทียนเอ่ยขึ้นด้วยความห่วงใยหลินเสี่ยวหลงหยุดฝึกซ้อม เช็ดเหงื่อที่ไหลอาบหน้า "พ่อครับ ผมยังไม่เหนื่อยครับ ผมอยากเก่งๆ จะได้ปกป้องทุกคน จะไม่ให้คุณย่ามารังแกบ้านเราได้" เด็กชายตอบเสียงใส แววตามุ่งมั่นหลินเจิ้งเทียนถอนหายใจ เรื่องบาดหมางระหว่างเขากับมารดาเป็นเรื่องที่ทำให้เขาหนักใจที่สุด เขาไม่รู้ว่าทำไมแม่ของเขาถึงได้เกลียดชังเขามากนัก ตั้งแต่เด็กเขาไม่เคยได้รับความรักจากท
เช้าวันถัดมา หลังจากหลินชิงชิงตื่นนอน เธอพบพ่อกับแม่ของเธอกำลังจะออกจากบ้าน หญิงสาวเลยเอ่ยถามคนทั้งคู่"พ่อกับแม่จะไปไหนกันแต่เช้าคะ" หลินชิงชิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย ดวงตากลมโตสีดำสนิทจับจ้องไปที่บิดามารดาที่กำลังเตรียมตัวออกจากบ้าน"พ่อกับแม่จะเข้าป่าไปหาของป่ามาขายน่ะลูก" หลินเจิ้งเทียน ผู้เป็นพ่อตอบพลางลูบศีรษะลูกสาวด้วยความเอ็นดู "ถึงแม้ช่วงนี้บ้านเราจะพอมีเงินจากที่ลูกขายสมุนไพรได้ แต่พ่อก็อยากเก็บเงินส่วนนั้นไว้ให้ลูก ๆ ได้เรียนหนังสือสูง ๆ ไม่อยากให้ลูกต้องลำบากเหมือนพ่อกับแม่"หลินชิงชิงได้ฟังก็รู้สึกตื้นตันใจในความรักของพ่อแม่ น้ำตาคลอหน่วยเล็กน้อย แต่ในใจก็คิดว่าถึงเวลาแล้วที่เธอจะเปิดเผยความลับบางอย่างที่เก็บงำไว้ "พ่อคะ แม่คะ หนูมีเรื่องสำคัญจะบอกค่ะ" เธอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง "เดี๋ยวหนูพาพ่อกับแม่ไปดูอะไรบางอย่าง แต่พ่อและแม่ห้ามบอกเรื่องนี้กับใครนะคะ ไม่อย่างนั้นหนูอาจเป็นอันตรายได้"หลินเจิ้งเทียนและภรรยาหันมามองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ ไม่เคยเห็นลูกสาวพูดจาจริงจังแบบนี้มาก่อน "มีอะไรเหรอลูก บอกพ่อกับแม่ได้เลย" หลินเจิ้งเทียนเอ่ยถามห
หวังอ้ายหลินรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกหนักอึ้งในอก ภาพเหตุการณ์ก่อนเกิดอุบัติเหตุยังคงวนเวียนในหัว ราวกับฝันร้ายที่ตามหลอกหลอน รถบรรทุกที่พุ่งเข้ามาหา เสียงกรีดร้องของผู้คน กลิ่นไหม้ของยางรถยนต์ และความเจ็บปวดที่แล่นริ้วไปทั่วร่างกายแต่แล้วภาพเหล่านั้นก็ค่อยๆ จางหายไป แทนที่ด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด เธอเหมือนล่องลอยอยู่ในห้วงมิติอันว่างเปล่า รอบตัวเธอมืดมิดไร้ซึ่งแสงสว่าง มีเพียงความเงียบงันที่ดังก้องอยู่ในโสตประสาททันใดนั้น แสงสว่างวาบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ดึงดูดให้เธอเคลื่อนที่เข้าหาอย่างไม่รู้ตัว เมื่อเข้าใกล้ แสงสว่างนั้นก็ค่อยๆ รวมตัวกันเป็นภาพ เป็นภาพเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้า รถยนต์รูปทรงแปลกตาที่วิ่งไปมาบนท้องถนน ผู้คนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแตกต่างจากยุคสมัยที่เธอจากมาอย่างสิ้นเชิง"นี่มันที่ไหนกัน" หวังอ้ายหลินพึมพำกับตัวเองด้วยความตกตะลึงเธอล่องลอยไปตามท้องถนน มองดูผู้คนใช้ชีวิตประจำวันด้วยความสนใจ ราวกับกำลังท่องเที่ยวอยู่ในโลกอนาคต กระทั่งสายตาของเธอสะดุดเข้ากับร้านหนังสือแห่งหนึ่ง เธ
หลังจากขึ้นบ้านใหม่เสร็จเรียบร้อย สมาชิกบ้านสามต่างก็ย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังใหม่อันกว้างขวางเมื่อคืนพวกเขานอนหลับสนิทอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อาจเป็นเพราะความตื่นเต้นกับบ้านหลังใหม่หลินเสี่ยวหลงลุกขึ้นจากเตียง เดินไปที่หน้าต่าง เบื้องหน้าคือสวนหลังบ้านที่เต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีสัน เขาสูดหายใจเข้าลึก อากาศยามเช้าสดชื่น"บ้านของเราสวยจังเลยครับ" หลินเสี่ยวหลงอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นหลินชิงชิงหันมายิ้มให้ "แน่นอนอยู่แล้ว พี่สาวออกแบบเองกับมือ" เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจในขณะเดียวหวังจื้อเหยา ผู้เป็นแม่ เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับรอยยิ้ม "ลูกๆ ตื่นกันแล้วเหรอ ลงไปทานข้าวกันเถอะเดี๋ยวต้องรีบไปโรงเรียน วันนี้มีสอบปลายภาคไม่ใช่เหรอ" เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพลางลูบผมลูกชายอย่างเอ็นดู"แม่ครับ ผมจะตั้งใจสอบครับ" หลินเสี่ยวหลงยิ้มกว้างก่อนจะเอ่ยกับมารดาหวังจื้อเหยา หัวเราะเบาๆ "แม่รู้ว่าเสี่ยวหลงของแม่เก่งอยู่แล้ว ตั้งใจทำให้เต็มที่นะลูก" เธอมองลูกชายด้วยความภาคภูมิใจหลังจากทานข้าวเช้าเสร็จ หลินชิงชิงก็ปั่นจักรยานจากไปส่งหลินเสี่ยว