พวกเขาเหมือนกับล้อมโจมตีคนเหล็กที่แข็งแกร่งอย่างมาก การโจมตีถูกปล่อยออกไป ไม่มีผลลัพธ์ใด ๆ ด้วยซ้ำ กลับกันนั้นตัวเองก็ถูกสะเทือนจนเกิดการบาดเจ็บภายในหลินเฟิงนิ่งเฉย และยืนส่ายหน้าอยู่ตรงที่เดิม“อ่อนแอเกินไปแล้ว”“ทำให้ผมรู้สึกผิดหวังจริง ๆ”ขณะพูด หลินเฟิงก็ลืมตาขึ้นช้า ๆ ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคนชั่วขณะนั้น ทุกคนต่างรู้สึกหวาดผวา“ถ้าหากพวกคุณมีความสามารถเพียงแค่นี้ นั่นก็ทำให้ผมรู้สึกผิดหวังอย่างถึงที่สุด แบบนี้ยังจะเรียกว่าสี่เทพผู้พิทักษ์ ผมดูแล้ว ไม่สู้เรียกว่าหมาสี่ตัวยังจะใช้ได้ถูกต้องเหมาะสมกว่า”หลินเฟิงยืดแขนบิดขี้เกียจ และมีท่าทางเบื่อหน่าย“รนหาที่ตาย!”สี่ผู้พิทักษ์โมโหแล้ว นอกจากน้องสี่ที่ล้มนั่งอยู่บนพื้น ผู้พิทักษ์สามคนที่เหลือต่างมองตากัน และโผเข้าไปทางหลินเฟิงอีกครั้งครั้งนี้พวกเขาไม่ได้ออมมือใด ๆ อีกแล้ว และใช้ค่ายกลการต่อสู้ของทั้งสี่คนออกมาโดยตรงแต่น่าเสียดายอย่างมากต่อให้เป็นค่ายกลต่อสู้สี่คนก็ยังไม่เข้าตาของหลินเฟิง ยิ่งไม่ต้องพูดว่าในขณะนี้ค่ายกลต่อสู้สี่คนของพวกเขาเหลือเพียงแค่สามคน“ค่ายกลสี่ฤดู!”ผู้พิทักษ์สามคนต่างคนต่างยืนอยู่ที่มุมหนึ
“ความหมายของคุณก็คือ?”หลินเฟิงหันข้างมองไป พอจะคาดเดาถึงความคิดของจีอวิ๋นเจี๋ยได้บ้างเล็กน้อย“สหายหลินเฟิง ผมอยากจะร่วมมือกับคุณ”“เพียงแค่คุณช่วยผมแย่งชิงตำแหน่งหัวหน้าตระกูลจีมาได้ ล้มพี่ใหญ่ของผม ไม่ว่าเงื่อนไขอะไร เงิน ผู้หญิง คุณเสนอมาได้เต็มที่”ไม่เกินความคาดคิดจีอวิ๋นเจี๋ยพูดดึงพรรคพวกออกมา ให้หลินเฟิงเข้าร่วมฝ่ายเดียวกับเขาแต่ทว่าแบบนี้หลินเฟิงก็รู้สึกลำบากใจเล็กน้อยพูดตามตรง จีอวิ๋นเจี๋ยคนนี้ดูไม่ได้ดูชั่วร้ายอะไร ถ้าหากคบหาสมาคม ก็มีผลดีต่อเขาอยู่บ้างแต่เขามาเมืองจิงไม่ใช่เพื่อที่จะสร้างเรื่องเพิ่มมากขึ้นเขามาเพื่อที่จะทำให้รู้ชัดว่าถังหว่านพบเจอเรื่องอะไรกันแน่คิดได้ถึงตรงนี้ หลินเฟิงดวงตาก็สว่างไสว“สหายจี ผมอยากจะถามคุณหน่อย ตระกูลจีของคุณเมื่อเผชิญหน้ากับตระกูลถัง หรือว่าตระกูลหลง มีสิทธิ์ชนะกี่เปอร์เซ็นต์?” “ตระกูลหลงกับตระกูลถัง?”จีอวิ๋นเจี๋ยนิ่งอึ้งครู่หนึ่ง จากนั้นก็ก้มหน้าครุ่นคิดด้วยความจริงจังอยู่ครู่หนึ่ง และขมวดคิ้วพูด: “ตระกูลถังเป็นตระกูลธุรกิจ ให้ความสนใจกับการติดต่อทางธุรกิจ ตระกูลจีของผมไม่กลัวตระกูลถัง”“แต่ตระกูลหลงจัดการได้ยาก
ได้ยินหลินเฟิงถามถึงอาการพ่อของเขาแบบนี้ จีอวิ๋นเจี๋ยนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง จู่ ๆ เขานึกถึงเข็มเงินที่หลินเฟิงทำลายผงจับมังกรของเซวียผานเมื่อวานนี้ ในใจก็สั่นไหว“พี่ชายของผมบอกว่าพ่อของผมริมฝีปากมีสีม่วง มือเท้ากระตุกและเย็นเยือก อีกทั้งสูญเสียความรู้สึกไปแล้ว”“พิษเย็น?”เพียงแต่ฟังจากคำพูดแล้ว หลินเฟิงจึงคาดเดาออกได้ว่าพ่อของจีอวิ๋นเจี๋ยถูกพิษเย็นเขาครุ่นคิดเพียงเล็กน้อยแล้วพูดว่า: “เรื่องความร่วมมือพวกเราค่อยคุยกันครั้งหน้า แต่เพื่อที่จะยืดโอกาสการเจรจาในครั้งหน้ากับสหายจี คุณเอายานี้ไป”“เอ๊ะ? นี่คือ...”จีอวิ๋นเจี๋ยรับยาเม็ดสีเหลืงเข้มที่หลินเฟิงยื่นมา ใบหน้าก็เผยความสงสัยออกมา“นี่คือยาหวงตี๋ล้างพิษที่ผมกลั่นออกมา ใช้โจมตีพิษเย็นโดยเฉพาะ ถ้าหากอาการที่พี่ใหญ่ของคุณบอกเล่าไม่มีผิดแม้แต่นิด งั้นพ่อของคุณน่าจะถูกคนวางยาพิเษเย็น ใช้ยาเม็ดนี้น่าจะยืดเวลาได้สองสามวัน”หลินเฟิงไม่ใส่ใจแม้แต่นิดยาหวงตี๋แก้พิษอยู่ในมือของเขาไม่นับเป็นของล้ำค่าอะไร ก่อนหน้านี้ตอนที่กลั่นยาเขาจึงถือโอกาสทำขึ้นมาหลายเม็ดหลังจากจีอวิ๋นเจี๋ยขอบคุณหลินเฟิงแล้ว ก็รีบจากไปด้วยความร้อนรน“ตู้ไหว”หล
เมื่อครู่ตู้ไหวยังคิดว่าหลินเฟิงเพียงแค่ต้องการหาข้ออ้างกำจัดเขา เขาตกใจจนรู้สึกแย่ไปหมด“ได้ครับ มีข่าวคราวแจ้งผมทุกเมื่อ”หลินเฟิงลุกขึ้นยืนและเดินจากไปตู้ไหวกลับเดินออกมาส่งที่นอกร้านเหล้าบังเอิญกับที่ หลินเฟิงได้พบเพื่อนนักเรียนหญิงสองสามคนที่อยู่ด้วยกันกับอวี๋จื่อเสวียนเมื่อครั้งที่แล้วที่นอกร้านเหล้าหนึ่งในเพื่อนนักเรียนหญิงผมสั้นคนนั้นก็อยู่ที่นี่เธอเห็นหลินเฟิง สีหน้าก็เผยความเหยียดหยามออกมาในทันทีเพื่อนนักเรียนหญิงคนอื่น ๆ ไม่ได้เหมือนกับเธอแบบนั้น พวกเธอโบกมือทักทายหลินเฟิงในเมื่อหน้าตาของหลินเฟิงหล่อมากถึงแม้เมื่อคืนวานนี้เขาจะคุยโวจนทำให้พวกเธอรู้สึกเสียความรู้สึก แต่ไม่ว่าอย่างไรหลินเฟิงก็เป็นยอดฝีมือเด็กผู้หญิง โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงวัยรุ่นยังชอบผู้ชายหล่อแบบนี้เป็นอย่างมาก“ไง คุณยังจำพวกเราได้ไหม?”นักเรียนหญิงคนหนึ่งเข้ามาทักทายหลินเฟิง หลินเฟิงก็ไม่ใช่คนเสียมารยาท เขาก็พยักหน้าไปทางพวกเธอ“พี่ชายสุดหล่อ คุณมาทำอะไรที่นี่? ที่นี่...เป็นถิ่นของแก๊งเลี่ยหยางไม่ใช่เหรอ?”นักเรียนหญิงที่ยืนนำหน้าดูป้ายร้านเหล้าที่อยู่ด้านหลังหลินเฟิง จากนั้นก็ถามขึ้นด้
“ไม่ต้องแล้ว ผมอยู่ที่เมืองจิงเฉิงไม่นานเท่าไหร่ รถคันนี้ฝืนขับได้ ไม่ต้องไปซื้อรถคันอื่นแล้ว”หลินเฟิงมองดูกุญแจรถที่ตู้ไหวยัดมาให้ เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร ในเมื่อมียานพาหนะคันหนึ่งก็มีความจำเป็นอยู่”แต่ทว่ายานพาหนะที่ฝืนขับแก้ขัดในสายตาของเขา กลับดึงดูดเสียงอุทานของกลุ่มผู้ชายที่อยู่ห่างออกไป“เชี่ย! เซมาราติ รถคันนี้เป็นของเจ้าพ่อคนไหนกัน!”“นี่เป็นถิ่นของคุณชายตู้ ก็ต้องเป็นของคุณชายตู้ไหม?”“เจ๋งไปเลย ท้องรถต่ำมากเลย!”หลังจากคำชมที่กลุ่มผู้ชายมีต่อรถมาเซราติ หลงเสี่ยวจวิ้นที่ยืนนำหน้าพวกผู้ชายก็มีสีหน้าอิจฉาเช่นกันแต่ปากกลับไม่ยอมแพ้ เขาเบะปากพูด:“อีกไม่กี่วันพ่อของฉันก็จะเปลี่ยนรถแล้ว ถึงแม้จะด้อยกว่ารถคันนี้นิดหน่อย แต่ก็ด้อยกว่าไม่เยอะเท่าไหร่ อีกไม่กี่วันฉันจะขับออกมาให้พวกนายดู”“สุดยอด ไม่เสียแรงที่เป็นพี่เสี่ยวจวิ้น!”“เพียงแต่ถึงเวลาพวกเรากลัวว่าจะไม่ได้นั่งน่ะสิ คงจะเตรียมเอาไว้ให้จื่อเสวียน”“หึหึ...”ได้ยินคำเยินยอของผู้ชายที่อยู่รอบ ๆ หลงเสี่ยวจวิ้นก็เกิดความภาคภูมิใจอย่างมากในทันที“แน่อยู่แล้ว...”วินาทีต่อมา หลงเซียวจวิ้นเงยหน้าขึ้น เห็นคนที่คุ้นเคยอ
ไปสับมือของหลินเฟิง ไม่ต้องพูดว่าเขามีความสามารถนี้หรือไม่ ต่อให้มีเขาก็ไม่กล้าหรอกนะ!ขณะคิด คุณชายตู้ก็ไม่พูดพร่ำเพรื่อ สะบัดฝ่ามือตบไปที่บนใบหน้าของหลงเสี่ยวจวิ้นเสียงก้องดัง “เพียะ”คุณชายตู้ชี้หน้าด่าทอไปทางหลงเสี่ยวจวิ้นที่กำลังมึนงงและล้มอยู่บนพื้น:“นายรู้ไหมว่าคุณหลินเป็นใครกัน? นายที่เป็นแค่เศษสวะ ยังอยากจะต่อกลอนกับคุณหลินงั้นเหรอ?”“แกเป็นใคร นับประสาอะไรวะ?”“ต่อไปถ้าหากนายยังกล้าพูดจาไม่สุภาพเกรงใจต่อคุณหลินอีก ฉันเห็นนายกี่ครั้งก็จะตีนายเท่านั้น รีบไสหัวไปซะ!”“อย่ามาสร้างความสกปรกในสายตาของฉัน!”หลังจากด่าทอเสร็จ เขายังรู้สึกไม่สะใจ จึงถีบไปที่หลงเสี่ยวจวิ้นจนล้มลงบนพื้น จากนั้นก็ขากเสลดถุยไปที่ใบหน้าของเขา และหันหลังเดินกลับไปที่ร้านเหล้า“ฮะนี่มัน...”ไม่ไกลนัก เมื่อมองเห็นเสี่ยวหลงจวิ้นถูกคุณชายตู้เหยียดหยามและกระทืบ พวกผู้ชายเผยสีหน้าที่กระอักกระอ่วนออกมาอย่างมากพวกผู้หญิงก็วิพากษ์วิจารณ์และรู้สึกรังเกียจอย่างถึงที่สุด“คุณว่า...”ผู้ชายคนหนึ่งที่อยู่ในนั้นพู้กับเพื่อนที่อยู่ข้าง ๆ เสียงเบา: “มีความเป็นไปได้ไหมว่า คุณหลินคนนั้นก็คือบุคคลที่มีชื่อเสียง ค
เห็นหลินเฟิงใบหน้าเต็มไปด้วยความจนปัญญา และนอนหนุนแขนทั้งสองข้างอยู่บนเตียงอวี๋จื่อเสวียนกลอกตามองบน จากนั้นคุกเข่าพูดเสียงที่ข้างหูของหลินเฟิง: “เฮ้ย! คุณกำลังฟังฉันอยู่หรือเปล่า?!”“ได้ยินแล้ว”หลินเฟิงแคะหู จากนั้นพลิกตัวหันหลังให้อวี๋จื่อเสวียนด้วยความจนปัญญา และพูดแบบขอไปที:“ได้ ฉันพอใจอย่างมาก ฝึกต่อไป พยายามเข้าสู้ ๆ”“ดังนั้น เธอออกไปได้แล้วยัง?”นี่คือห้องของฉัน”“นี่ยังเป็นบ้านของฉันนะ! คุณพูดแล้วไม่ใช่เหรอฝึกกำลังภายในออกมาได้ก็จะสอนศิลปะการต่อสู้ให้ฉัน?”“เธอยังด้อยอีกเยอะเลย”หลินเฟิงโบกมือ เหมือนกับกำลังไล่ยุง“นี่คุณเป็นอะไร? ทำไมถึงรังเกียจฉันแบบนี้?”อวี๋จื่อเสวียนมือเท้าเอว ใบหน้าเต็มไปด้วยความโมโห“ตรงไหนกัน?”หลินเฟิงพูดด้วยความกลัดกลุ้ม:“ฉันพูดหน่อย เธออย่าพูดอะไรที่ทำให้คนเข้าใจผิดได้ไหม?” ถึงแม้ฉันจะไม่ใส่ใจกับชื่อเสียงนัก แต่ก็ยังต้องการศักดิ์ศรีอยู่”“ฮะ?”เห็นได้ชัดว่าจนถึงตอนนี้อวี๋จื่อเสวียนเพิ่งจะตั้งตัวได้ จากนั้นเริ่มครุ่นคิดถึงตอนที่หลินเฟิงเดินเข้าประตูมาว่าเธอพูด ะไรเมื่อนึกขึ้นมาได้แล้วอวี๋จื่อเสวียนใบหน้าแข็งทื่อ และพูดอย่างไม่
“ช่างเถอะ”เขาส่ายหน้าอันที่จริงแล้วหลินเฟิงไม่อยากสอนศิลปะการต่อสู้ให้เธอสักเท่าไหร่ ในเมื่อภายในร่างกายของเธอมีตราประทับสายบู๊อยู่ มีคนในครอบครัวกัดกันการย่างเข้าสู่ทางบู๊ของเธอคนผู้นั้น เป็นไปได้อย่างสูงว่าจะเป็นอาอวี๋ หรือเป็นแม่ของอวี๋จื่อเสวียนแต่ต้านพรสวรรค์ที่โดดเด่นของอวี๋จื่อเสวียนไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าเธอจะพึ่งพาตัวเองจนฝึกกำลังภายในออกมาได้ เอาชนะตราประทับบู๊ได้อันที่จริงหลินเฟิงเป็นคนที่ชื่นชอบคนที่มีพรสวรรค์“รวบรวมกำลังภายในไปที่จุดหยางฉือ ในตอนที่ปล่อยหมัดก็ปล่อยกำลังภายในออกมาโดยจุดจงจู่ กับจุดเหอกู่รวมเป็นเสี่ยวโจวเทียน(การนั่งสมาธิขั้นสูงแบบลัทธิเต๋า)”“นี่ก็คือหมัดกระตุ้นสวรรค์ หนึ่งในศิลปะการต่อสู้ขั้นพื้นฐานที่สุด”หลินเฟิงยังพูดไม่จบ นี่คือหนึ่งในวิชาหมัดพื้นฐานที่พวกเขาเรียนรู้จากสำนักเสวียนเทียน“ออกไป!”หลินเฟิงแสดงให้อวี๋จื่อเสวียนผ่าน ๆเห็นเพียงหลินเฟิงปล่อยหมัดออกไป กลับมีเสียงระเบิดดังเกิดขึ้น และระเบิดแอปเปิ้ลหนึ่งลูกที่วางอยู่บนโต๊ะจนเละ“เจ๋งมากเลย!”อวี๋จื่อเสวียนมีกำลังภายใน ก็ถือว่าเป็นครึ่งของผู้เชี่ยวชาญแล้วเห็นหลินเฟิงมีฝีมือแบบนี
“อ่อ”เมื่อได้ยินเสียงโน้มน้าวของผู้หญิงที่อยู่ด้านข้าง หลินเฟิงก็เงยหน้าขึ้น ก่อนจะมองไปที่บุคคลทใหญ่โตของเจียงโจวที่อยู่บนเวที พร้อมกับยิ้มออกมาเล็กน้อย“หึหึ ทุกคน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”ประโยคแรกนี้ทำให้อาจารย์และนักศึกษาที่อยู่ในห้องนั้นทั้งหมดต่างก็ตกตะลึงกันไปชั่วครู่โจวเสี่ยวหางและหลินเสวี่ยฮุ่ยอ้าปากกว้าง พร้อมกับสีหน้าสีตกตะลึง ประโยคนี้หมายความว่ายังไง?เป็นการรำลึกความหลังงั้นเหรอ?หรือว่าหลินเฟิงก็รู้จักกับบุคคลที่มีชื่อเสียงเหล่านี้มานานแล้ว?หรือว่า....เขาเสแสร้งออกมางั้นเหรอ?แกล้งทำเป็นรู้จักกับคนที่มีชื่อเสียงเหล่านี้งั้นเหรอ? นี่จะพยายามมากเกินไปสำหรับศักดิ์ศรีของเขาแล้วไหม?เจียงปินก็ยังคงยิ้มเยาะโดยที่ยืนอยู่แข็งทื่ออยู่ที่เดิมเหมือนเป็นรูปปั้นปูนปลาสเตอร์ลางสังหรณ์ค่อย ๆผุดขึ้นมาในใจของเขา“หรือว่า....หรือว่าคนเหล่านี้ จะเป็นไอ้แมงดาคนนั้นเชิญมาที่นี่? มันจะเป็นไปได้ยังไง?!”“เขาจะมีเกียรติแบบนี้ได้อย่างไร? มีความสามารถแบบนี้ได้ด้วยเหรอ?!”แต่ไม่นาน จินตนาการครั้งสุดท้ายของเจียงปินก็พังทลายลงเพียงแค่เห็นผู้ว่าเจียงโจวที่อยู่บนเวที หลิวกั๋วฮุยผู้ท
“เสวี่ยฮุ่ย เธอเชื่อฉันไหม?”หลินเฟิงขยับไปด้านข้างหลินเซว่ฮุ่ย ถามด้วยรอยยิ้มในดวงตา“เชื่อ ฉันจะไม่เชื่อพี่หลินเฟิงได้ยังไง?”หลินเสวี่ยฮุ่ยตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นก็พยักหน้าอย่างรวดเร็ว“ฉันบอกว่าฉันเรียกคนพวกนี้มา แต่ไอ้หมอนี่กำลังโกหก เธอเชื่อไหม?”หลินเฟิงมองหลินเสวี่ยฮุ่ยด้วยรอยยิ้มไม่รอให้หลินเสวี่ยฮุ่ยพูด เจียงปินก็ขมวดคิ้วอย่างเย็นชาและพูดดูถูกว่า:“ศาสตราจารย์หลิน คุณอายุน้อยขนาดนี้ก็สามารถเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเจียงโจวได้ ตระกูลถังน่าจะลงแรงอยู่เบื้องหลังอย่างมากสินะ?”“ผมแนะนำให้คุณอย่าหาเรื่องใส่ตัว”“พวกเราต่างรู้ว่าคุณพึ่งพาอะไรขึ้นตำแหน่ง ถ้าหากจะให้พูดให้ชัดเจน งั้นก็จะอับอายขายหน้าอย่างมาก”“คุณไม่รู้สึกอะไร แต่คุณเคยคิดถึงเสวี่ยฮุ่ยไหม?”“พี่ชายที่เกาะผู้หญิงกิน มีผลกระทบมากแค่ไหนต่ออนาคตของหมอคนหนึ่ง คุณน่าจะรู้ดียิ่งกว่าผมนะ?”เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลินเสวี่ยฮุ่ยก็แสดงความโกรธขึ้นมาทันที และลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ดัง “พรึ่บ” และมองเจียงปินพูดอย่างโมโหว่า:“เจียงปิน นายหมายความว่ายังไง?!”“ฉันไม่ได้หมายความว่ายังไง”เจียงปินจ้องมองหลินเสวี่ยฮุ่ย และพูด
“ถูกต้อง”เห็นหลินเฟิงท่าทางสับสน เจียงปินมองว่าเป็นท่าทางประหม่า เขาคิดว่าเขารู้จักภูมิหลังของหลินเฟิงเป็นอย่างดี จึงเงยหน้าพูดขึ้น“พ่อของผมไม่มีความสามารถ เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลเถิงหูเมืองเจิ้งเต๋อ และโรงพยาบาลแห่งนี้ของพ่อผม ยังเป็นบริษัทในเครือของซึ่งเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในหัวตงอีกด้วย“อะไรนะ?!”ได้ยินชื่อของเผิงกวงฉี่ เพื่อนนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเจียงโจวพากันมองเจียงปินด้วยความตกตะลึงคิดไม่ถึงว่าพ่อของเขา จะเป็นลูกน้องของเผิงกวงฉี่เศรษฐีอันดับหนึ่งของหัวตง ตำแหน่งนี้น่าหวาดกลัวจริงๆดูท่าสามารถเชิญบุคคลใหญ่โตเหล่านี้มาได้ ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผลแต่ความจริงนั้นมีเพียงเจียงปินที่รู้ดีเผิงกวงฉีได้เปิดโรงพยาบาลหลายร้อยแห่งในตงหัว พ่อของเขาเป็นเพียงหนึ่งในโรงพยาบาลเล็กๆฟังดูน่ากลัว แต่อันที่เป็นเพียงแค่หมาตัวหนึ่งในมือของเผิงกวงฉี่เท่านั้นเองเขาสั่งแค่ประโยคเดียวก็สามารถถีบหัวส่งพ่อของเขาได้แล้วดังนั้นจีงไม่มีสิทธิพิเศษอะไร คนที่อยู่นอกวงการเกรงว่าได้ยินชื่อของเผิงกวงฉี่ก็คงจะตกใจมากแต่สำหรับบุคคลใหญ่โตของเมืองเจียงโจวเหล่านี้ เคยเห็นจนชิน คุณที่เป็นแค่ผู้อำนว
เจียงปินนิ่งอึ้งสัมผัสได้ถึงสายตาของทุกคน เจียงปินความคิดพุ่งพล่าน เวลาเพียงครึ่งวินาที เขาก็ตัดสินใจว่าวันนี้เขาจะต้องเสแสร้งต่อไปไม่อย่างนั้น ไม่เพียงแค่เสียหน้าต่อหน้าหลินเสวี่ยฮุ่ยเท่านั้น ถึงขั้นที่อาจจะกลายเป็นตัวตลกของเพื่อนนักศึกษาทั้งมหาลัยถึงขั้นที่กลายเป็นเรื่องคุยเล่นหลังทานข้าวของทั้งมหาวิทยาลัยเจียงโจวถึงเวลา “ชื่อเสียง” ของเขาเจียงปินก็จะโด่งดังไปทั่วทั้งเจียงโจว แลการพูดปากต่อปากของนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเจียงโจว เขาเจียงปินต่อไปอย่าว่าแต่ทำงานอยู่ในสังคมแพทย์ในประเทศมังกรอีกทั้งยิ่งไม่ต้องพูดถึงตระกูลแพทย์ในเมืองเจิ้งเต๋อถ้าหากถูกเปิดเผยออกไป จะไม่ทำให้ธุรกิจของพ่อถูกโจมตีอย่างร้ายแรงเหรอ?ถึงเวลาใครยังจะกล้ามาซื้อยามารักษาโรคที่พ่ออีก?เจียงปินหนังหน้ากระตุกเล็กน้อยรีบเปลี่ยนจากความตกตะลึงเป็นความโมโห“คุณเป็นใครกัน? ทำไมถึงเข้ามาในงานรับปริญญาของมหาวิทยาลัยเจียงโจวของเราได้? ไม่ใช่ว่าไม่ให้คนนอกเข้ามาหรอกเหรอ?!”เจียงปินเอ่ยปากกล่าวโทษหลินเฟิงอยากจะไล่เขาออกไปโดยตรง“เจียงปิน นี่คือพี่ชายของฉัน หลินเฟิง เขาไม่ใช่คนนอก”“จริงด้วย เพื่อนเจียงปิน นา
“อะไรนะ?!”ได้ยินแล้วยังดวงตาของเหล่านักศึกษาแทบจะถลนออกมาแล้วพวกเขาพากันมองไปทางเจียงปิน ส่วนเจียงปินก็หนังหน้ากระตุก ถึงแม้จะประหม่าอย่างถึงที่สุด แต่ก็ยังฝืนยี้มบางและปรบมือทำท่าทางเหมือนเขารับรู้มานานแล้วนี่จึงดึงดูดความชื่นชมและความเลื่อมใสจากนักศึกษากลุ่มหนึ่งและนี่ยังไม่จบ“ต่อมาขอเชิญ ฉินเซี่ยวเทียน นายกรัฐมนตรีเมืองเจียงโจว!”“อิ่นนั่วเจีย ซูเปอร์สตาร์ประเทศมังกร!”“ไป๋ชิงเฉี่ยน แห่งไป๋ซื่อกรุ๊ป”“ผู้จัดการถัง บริษัทเภสัชกรรมเชิงถัง...”หลังจากที่อาของโจวเสี่ยวหาง หัวหน้าโจวพูดชื่อออกมาทีละคน เมืองเจียงโจวไม่ว่าจะเป็นทิศเหนือทิศใต้ ทั้งหมดเป็นคนมีหน้ามีตา กองกำลังทั้งหมดที่สามารถนำออกมาได้ต่างก็มาถึงหมดแล้วพิธีรับปริญญาของมหาวิทยาลัยเจียงโจว กลายเป็นการรวมตัวกันของบุคคลใหญ่โตทันที“แม่เจ้า นี่มันบ้าอะไรกัน?!”“เชี่ย เหตุการณ์แบบนี้...ชีวิตนี้ฉันยังไม่เคยเห็นมาก่อนเลย!”เห็นบุคคลใหญ่โตยืนอยู่บนเวที คนเหล่านี้มาต่างบริษัทต่างๆ ในเมืองเจียงโจว ถึงขั้นมีบุคคลผู้มีอำนาจ ตระกูลและวงการในหลายสาขาใครคนไหนก็ได้ยืนออกมา เพียงแค่กระทืบเท้าก็สามารถทำให้เมืองเจียงโจว
ในพิธีรับปริญญาของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ถือเป็นโอกาสที่เหมาะสมของจางเต๋อหลิน สมาชิกผู้อาวุโสในสายวิชาชีพแพทย์จะมาปรากฏตัวแล้วทำไมผู้ว่าเจียงโจวถึงมาด้วย?เมื่อเห็นผู้ว่าเจียงโจวเดินออกมาจากด้านหลังเวทีโดยมีรอยยิ้มบนใบหน้า พร้อมกับโบกมือให้กับเหล่านักศึกษา เหล่านักศึกษาที่อยู่ในที่นั้นต่างก็ตกตะลึง แต่ก็ยังปรบมือกับอย่างกระตือรือร้นด้วยรูปแบบของผู้จบการศึกษารุ่นนี้ มันเกินความจริงไปหรือเปล่า?“หรือว่านักศึกษาเจียงปินจะเชิญมา?”ไม่รู้ว่าเป็นใครที่จู่ ๆพูดขึ้นมาท่ามกลางเหล่านักศึกษาทันใดนั้น เหล่านักศึกษาที่เข้าร่วมพิธีจบการศึกษาก็เกิดความวุ่นวายขึ้น ก่อนที่ทุกคนจะมองไปที่เจียงปินที่รู้สึกสับสนอยู่ไม่ต่างกัน“อ่ะ? อ่อ....อ่อ ใช่ นักศึกษาทุกคนไม่ต้องตื่นตระหนกไป ไม่ต้อง ไม่ต้อง หึหึ....”เจียงปินรีบยื่นมือออกไปปลอบใจนักศึกษาคนอื่น ๆเห็นได้ชัดว่าเขาได้ยอมรับแล้ว“ซี้ด...”นักศึกษาหลาย ๆคนต่างก็สูดอากาศเย็น ที่เจียงปินเชิญจางเต๋อหลินมาได้มันก็น่าเหลือเชื่อคราวนี้ผู้ว่าของเจียงโจวก็ยังได้รับเชิญมาอีกด้วย มันจะไม่ใช่เรื่องที่น่าเหลือเชื่อเกินไปงั้นเหรอเบื้องหลังของเจียงปินจริ
“หึหึ พิธีรับปริญญาของปีนี้ต่างจากปีก่อน ๆเลยนะ”“เพราะว่ามีผู้เชี่ยวชาญพิเศษได้เดินทางมาโดยเฉพาะ ดังนั้นก็เลยเชิญแขกผู้มีเกียรติที่สำคัญมากมากมายมามอบใบประกาศนียบัตรให้แก่นักเรียนของพวกเราในรุ่นนี้”“ที่มา ก็มีเชิญ....”“ท่านผู้นำอุตสาหกรรมยาสมุนไพรเจียงโจว ผู้อาวุโสจางเต๋อหลิน!”ขณะที่หัวหน้าโจวยื่นมือออกไปเรียนเชิญ จางเต๋อหลินก็เดินเข้ามาจากประตูด้านหลังพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าและโบกมือทักทายเหล่านักเรียนที่อยู่โดยรอบอย่างต่อเนื่อง“เอ๊ะ?”เมื่อเห็นรอยยิ้มของจางเต๋อหลิน รอยยิ้มที่พึงพอใจของเจียงปินก็แข็งทื่อทันทีเพราะในความประทับใจของเขา ผู้อาวุโสจางเต๋อหลินมักจะมีใบหน้าที่เขร่งครึมและจริงจังอย่างมาก ทั้งยังระวังภาพลักษณ์อีกด้วยทำไมถึงยิ้มได้กว้างขนาดนั้นล่ะ?แต่เหล่านักเรียนคนอื่น ๆไม่ได้รู้เรื่องนี้ด้วยแล้วพากันปรบมือกันอย่างกระตือรือร้น บางคนถึงขนาดปรบมือจนหน้าของตัวเองแดงต้องรู้ว่า นี่คือผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเจียงโจว!ผู้อาวุโสอย่างเขามามอบใบประกาศนียบัตรการสำเร็จการศึกษาด้วยตัวเอง ให้เกียรติกันเกินไปหน่อยหรือเปล่า?หากพูดออกไป เกรงว่าก็คงจะไม่มีใครเชื่อ
เพียงเพราะแค่ชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยเจียงโจวโด่งดังอย่างมากถึงได้ถ่อมตัวมาสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยเจียงโจวอีกทั้งหลินเสวี่ยฮุ่ยยังได้ยินมาว่า เจียงปินเหมือนจะแอบฝากตัวเป็นศิษย์ของจางเต๋อหลินด้วยได้ไหว้เจ้าสำนักของสำนักไป๋เกาเป็นอาจารย์ ไม่ธรรมดาเลยจากคำพูดของเขาเมื่อครู่สามารถดูออกได้ว่า เรื่องที่เขาไหว้จางเต๋อหลินเป็นอาจารย์ ไม่ใช่ข่าวลือที่ไม่มีมูลเลยดูท่าจะมีความเป็นไปได้สูงเจียงปินคนนี้ อนาคตก้าวไกลอย่างมากแต่สิ่งที่ทำให้หลินเสวี่ยฮุ่ยปวดหัวก็คือ เธอในฐานะดาวคณะของคณะแพทยศาสตร์ เจียงปินคนนี้เพิ่งกลับมาก็ตามตอแยเธอแน่นอนว่า หลินเสวี่ยฮุ่ยไม่ได้รู้สึกรังเกียจเจียงปินเจียงปินเป็นคนที่สุภาพกับคนอื่น เป็นคนที่กิริยาวาจาสุภาพอ่อนโยนมาโดยตลอด ถึงขึ้นที่โจวเสี่ยวหางก็จับคู่พวกเขาสองคนอย่างเต็มที่ เห็นได้ชัดว่า โจวเสี่ยวหางคิดว่า เจียงปินคนนี้เหมาะสมกับหลินเสวี่ยฮุ่ยมากกว่าหลินเฟิงแต่ทุกครั้งเจียงปินอยู่ต่อหน้าเธอ หลินเสวี่ยฮุ่ยมักจะชอบเอาเขาไปเปรียบเทียบกับหลินเฟิงจะเปรียบเทียบกันได้อย่างไร?ดังนั้นหลินเสวี่ยฮุ่ยจึงตัดสินใจไม่ได้ชั่วคราวจึงปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยใ
เจ้าของรถจำนวนไม่น้อยต่างพากันเบิกตากว้าง มองรอยยางรถที่อยู่บนพื้นด้วยความอิจฉาส่วนหลินเฟิงที่เหยียบคันเร่งจนเครื่องยนค์มายบัคคำรามลั่น หายไปจากสายตาของทุกคนในทันที......วันต่อมา มหาวิทยาลัยเจียงโจวหลินเสวี่ยฮุ่ยที่กำลังนั่งอยู่ในกลุ่มผู้ฟัง และไม่ได้ยินชื่อหลินเฟิงปรากฏในรายชื่อของศาตราจารย์ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกผิดหวังขึ้นมาเล็กน้อยดูเหมือนว่าตัวเธอเองยังไร้เดียงสาเกินไปแล้วก็ใช่ตอนนี้พี่หลินเฟิงคบค้าสมาคบกับบุคคลแบบไหน ส่วนเธอเองเป็นคนแบบไหน เธอจบการศีกษา ก็เป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นมันเป็นเรื่องเล็กน้อยเกินไปที่จะรบกวนหลินเฟิงหูหนวกตาบอดเกินไปแล้วจริง ๆเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หลินเสวี่ยฮุ่ยก็จับชายกระโปรงไว้ แต่ภายในดวงตากลับมีความเสียใจที่ไม่อาจควบคุมได้ดูเหมือนว่าจะต้องขอโทษพี่หลินเฟิงในภายหลังซะแล้วหลินเสวี่ยฮุ่ยคิดได้อย่างนี้“เสวี่ยฮุ่ย อย่าเสียใจไปเลย”โจวเสี่ยวหาง เพื่อนสนิทของหลินเสวี่ยฮุ่ยตบที่มือของหลินเสวี่ยฮุ่ย พร้อมกับปลอบใจว่า :“ไม่มาก็ไม่มา หลังจากนี้ยังมีเวลาอีกมาก”“ทำท่าทางดี ๆหน่อย หลังจากนี้เธอยังต้องพูดสุนทรพจน์กับแสดงละครอีกไม่