ถึงแม้ว่าหลินเฟิงจะพูดแบบนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าชายชราคนนี้รู้จักหลินเฟิงดี ถึงขั้นที่ยังรู้จักเธอด้วยเธอรู้นิสัยของหลินเฟิงดี และชายชราคนนี้คงจะมีปัญหาอะไรบางอย่างกับหลินเฟิงแน่ ๆ“ผู้อาวุโสท่านนี้ โปรดอย่าโกรธหลินเฟิงเลย ทำไมถึงไม่เข้าไปนั่งพักในบ้านสักหน่อย ฉันดูแล้วคุณน่าจะรอมานานแล้วสินะคะ?”หลี่ฮุ่ยหรานเหลือบมองไปยังเฮลิคอปเตอร์ที่อยู่ไกลๆเห็นได้ชัดว่า เฮลิคอปเตอร์ลำนี้น่าจะจอดมานานพอสมควรแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่ดึงดูดผู้คนมาล้อมดูกันเยอะขนาดนี้“หึหึ สาวน้อยมีมารยาทอย่างยิ่ง ไม่เลวเลย”อาฝูยิ้มอย่างใจดี กำลังจะเดินเข้าบ้าน แต่ไม่คิดว่าหลินเฟิงจะก้าวมาข้างหน้า ขวางทางชายชราเข้าบ้านเอาไว้“มีเรื่องอะไรก็พูดตอนนี้เถอะ พูดแล้วก็รีบไป”“ไม่จำเป็นต้องเข้าไปในบ้าน ไม่จำเป็นหรอก”เมื่อเห็นหลินเฟิงไม่มีมารยาทขนาดนี้ หลี่ฮุ่ยหรานก็เลิกคิ้วขึ้นแต่เธอคิดดูอีกครั้งหลินเฟิงไม่ใช่คนที่ไม่เคารพผู้อาวุโสถ้าหากหลินเฟิงไม่ได้มีท่าทางที่ดีต่อเขา ถ้างั้นตัวเองก็ยิ่งไม่ควรมองข้ามท่าทางของหลินเฟิงแล้วไปทำเรื่องเกินความจำเป็นดังนั้นหลี่ฮุ่ยหรานจึงหันไปพยักหน้าขอโทษกับอาฝู แล้วเดินเข้าไปใน
ในเวลานี้ จางกุ้ยหลานก็ขยับเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าที่น่าตื้นเต้น“ลูกสาว ดูสิ ดูสิ ทับทิมเม็ดใหญ่ขนาดนี้ คุณภาพดีกว่าเครื่องประดับทั้งหมดที่เคยเห็นในงานจิวเวอรี่อีก! แม่เจ้า จะขายได้เท่าไหร่กันเชียว....”“แม่!”หลี่ฮุ่ยหรานโกรธขึ้นมาเล็กน้อย: “ของล้ำค่าขนาดนี้อย่าแตะต้องซี้ซั้วได้ไหม? พวกเรายังต้องส่งคืนกลับไปอีกนะ!”“อะไรนะ? ส่งกลับคืน?!”จางกุ้ยหลานสะดุ้งโหยง ก่อนจะซ่อนกล่องไว้ในอ้อมแขนของตัวเองอย่างรวดเร็วเธอมองไปทางหลี่ฮุ่ยหรานด้วยความประหลาดใจ: “ลูกสาว ชื่อของลูกถูกเขียนไว้ข้างบนอย่างชัดเจน แสดงว่ามันมอบให้กับลูก แล้วจะส่งสิ่งนี้กลับไปได้อย่างไร?!”“มันมีค่ามากเกินไป หนูรับไว้ไม่ได้”หลี่ฮุ่ยหรานส่ายหน้าราวกับกลองเขย่า“คนเขามีน้ำใจ ลูกจะส่งกลับคืนไปได้ยังไง?”จางกุ้ยหลานกลอกตาไปที่ลูกสาวของตัวเองที่ไม่ได้เรื่องแบบนี้ ยังไงซะทับทิมเม็ดนี้เธอก็ไม่คิดที่จะส่งกลับคืนไปแน่“พี่ พี่รับไว้เถอะ นี่เป็นของขวัญจากความตั้งใจดีของครอบครัวของคุณชายหลินเฟิง เพื่อเฉลิมฉลองการแต่งงานของพี่กับคุณชายหลินเฟิง” จางซินพูดโน้มน้าว“หลินเฟิง คุณส่งคืนกลับไปเถอะ ฉันไม่อยากให้คุณติดหนี้น้ำใจค
เมื่อเห็นว่าหลินเฟิงจะเดินผ่านเธอไปไล่ตามหลินเสวี่ยฮุ่ยถังหว่านก็เอียงตัวไปขวางทางหลินเฟิงไว้ จากนั้นแอ่นอกที่ขาวผ่องของตัวเอง และเค้นถามด้วยหน้าตาหึงหวง“หลินเฟิง ที่นอกประตูคือใครงั้นเหรอ?”ในเวลานี้ หลี่ฮุ่ยหรานสวมชุดนอนและกำลังเดินหาวออกมารอให้เธอเห็นถังหว่านที่อยู่ตรงที่ประตู ก็สะดุ้งตกใจขึ้นมาทันทีสายตาของทั้งสองสาวมองสบกัน ทันใดนั้นก็มีสายฟ้าอันตรายปรากฏขึ้นพร้อมกับเสียงดังเปรี้ยะ “ทำแล้วเหรอ?!”ถังหว่านกัดฟันถาม“ทำแล้ว”หลี่ฮุ่ยหรานยิ้มอย่างภาคภูมิใจ พร้อมกับแอ่นหน้าอก“ฉันไม่เชื่อ!”ถังหว่านกัดฟัน ก่อนที่เธอจะแสดงท่าทางพ่ายแพ้เป็นครั้งแรก“จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่!”หลี่ฮุ่ยหรานเท้าสะโพกและยืนเคียงข้างหลินเฟิง เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ“หลี่ฮุ่ยหราน ฉันคิดไม่ถึงว่าผู้หญิงอย่างคุณ จะเดินมาถึงขั้นนี้ได้...ต้องบอกว่า คุณมีความสามารถอยู่บ้างนะ”ถังหว่านหายใจอย่างแรงด้วยสีหน้าที่ไม่เป็นมิตร“หึ ขอบคุณสำหรับคำชมนะ”หลี่ฮุ่ยหรานจงใจพิงตัวไปทางหลินเฟิงมากขึ้น และยกริมฝีปากแดงขึ้นเป็นมุม นี่คือรอยยิ้มของผู้ชนะ“หยุด!”ในที่สุด หลินเฟิงที่อยู่ตรงกลางระหว่างทั้
“เสวี่ยฮุ่ย รอฉันก่อน…….”เสียงยิ่งอยู่ยิ่งไกลออกไป สีหน้าของสาวงามทั้งสองจ้องมองไปที่หลินเฟิงค่อยๆ เปลี่ยนไปเย็นชา“เธอคือยอดฝีมือที่ผมพบเจอที่หนานโจวก่อนหน้านี้ ผมจ้างเธอให้เป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวของเสวี่ยฮุ่ย”หลินเฟิงตอบโดยไม่มีพิรุธ“บอดี้การ์ดส่วนตัว...เอ๊ะ? ทำไมทุกคนออกไปตั้งแต่เช้าแล้วละ?”ขณะเดียวกัน หมิงอิ่งอิ่งซึ่งมีรอยคล้ำใต้ตาก็เดินออกมาจากในห้อง ทรงผมของเธอยุ่งเหยิงไปหมด เห็นได้ชัดว่ามื่อคืนไม่ได้นอนเห็นการปรากฏตัวของเธอ หลี่ฮุ่ยหรานก็ถลึงตาโต มองไปทางหลินเฟิงอย่างไม่น่าเชื่อ“เธอชื่อหมิงอิ่งอิ่ง เพื่อที่จะซ่อนตัวจากตระกูลซือหม่า ก็เลยมาอยู่ที่นี่ช่วงระยะเวลาหนึ่งก็เท่านั้น”หลินเฟิงฝืนอธิบายออกไป“สวัสดีจ้า ฉันชื่อหมิงอิ่งอิ่ง”ถึงแม้สีหน้าจะไม่ดี แต่หมิงอิ่งอิ่งก็ยังที่จะทักทายกับหลี่ฮุ่ยหรานด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม“หลินเฟิง ที่บ้านของคุณยังมีผู้หญิงอีกกี่คนกัน?” หลี่ฮุ่ยหรานเงียบไม่พูดจา และถามขึ้นอย่างช้า ๆ“ไม่มีแล้ว เธอเป็นคนสุดท้ายแล้ว”หลินเฟิงรีบพูดยืนยัน“คุณถังหว่าน ฉันหายจากอาการบาดเจ็บแล้ว สามารถกลับเข้ากองได้ตั้งแต่วันนี้” ในเวลานี้ หลานเฟยสวมชุ
ถังหว่านเลิกคิ้วขึ้น และบอกเป็นนัย ๆออกมาหลินเฟิงครุ่นคิดอยู่สักพักแล้วกล่าวว่า: “เมื่อไม่กี่วันก่อน ผมได้ไปช่วยหลิวหย่งทวงที่ดินผืนหนึ่งคืนมา ที่ดินผืนนี้ก่อนหน้านี้เป็นของตระกูลเซี่ยง และในที่ดินนั้นมีโรงงานและเครื่องจักรใหม่ล่าสุดของพวกเขาอยู่ด้วย“อ้อ?”ถังหว่านได้ยินข่าวนี้ดวงตาก็เปล่งประกายขึ้นทันที"ถูกต้อง ผมเหมาโรงงานจากหลิวหย่งในราคาต่ำ และตอนนี้โรงงานก็อยู่ในมือผมแล้ว ดังนั้นผมจึงเตรียมที่จะ.......""ฮ่าฮ่า สมแล้วที่เป็นหัวหน้าผู้ผลิตยาแห่งบริษัทเภสัชกรรมเชิงถัง""ถังหว่านตัดบทหลินเฟิงทันทีและพูดว่า “บอกมาสิว่าหลิวหย่งเสนอราคาไว้เท่าไหร่ ฉันจะซื้อโรงงานนี้ทั้งหมดเลย!”"อ้อ ลืมบอกไป ฉันยังจะให้ค่าคอมมิชชั่นคุณอีก 20% ด้วยนะ"ถังหว่านหรี่ตามองหลินเฟิงและกะพริบตาปริบ ๆ“ไม่”หลินเฟิงส่ายหน้า จากนั้นมองไปที่ถังหว่าน: “ขอโทษด้วยคุณถังหว่าน ผมตัดสินใจที่จะขายโรงงานนี้ให้กับฮุ่ยหราน ขายให้หลี่ซื่อกรุ๊ป”“อะไรนะ?!”ถังหว่านลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างรวดเร็วผ่านไปครู่หนึ่ง ดวงตาของถังหว่านก็ฉายแววผิดหวังออกมา เธอถอนหายใจออกมาเบาๆ “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง งั้นฉันรู้แล้วล่ะ”
"ฉันก็เช่นกัน เพราะฉันไม่อยากเห็นหลินเฟิงลำบากใจ"หลี่ฮุ่ยหรานพยักหน้าจนถึงตอนนี้ สองสาวผู้แข็งแกร่งจากเจียงโจวได้ตกลงร่วมกันเรียบร้อย โรงงานที่หลินเฟิงได้รับมาจากตระกูลเซียง แบ่งคนละครึ่งส่วนเรื่องการแบ่งสรรอย่างอื่นนั้น เป็นเรื่องที่สองสาวจะต้องตกลงกันเองในภายหลัง ยังไงก็ไม่เกี่ยวกับหลินเฟิงช่วงกลางวันณ ถนนสี่มุมเมืองเจียงโจว ศูนย์ตรวจสอบอัญมณีและหินมีค่า"ผู้อาวุโสอวี๋ฮั่วหลงที่เคยตรวจสอบสร้อยคอให้หลินเสวี่ยฮุ่ยมาก่อน ขณะนี้กำลังยกแว่นขยายขึ้นเพื่อพิจารณาพลอยทับทิมที่มีลักษณะเนียนละเอียดด้วยความตั้งใจ"ครู่หนึ่ง เขาก็ถอนหายใจออกมา และเก็บแว่นขยายกลับไปเขามองไปที่เด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงข้าม และไอออกมาเบาๆ ก่อนกล่าวว่า: “ทับทิมเม็ดนี้ผมได้ตรวจสอบแล้ว ทั้งสีสันและรูปร่างล้วนเป็นเลิศ มีเพียงทับทิมจากราชวงศ์ของประเทศเวน่าเท่านั้นที่มีคุณภาพเช่นนี้”"ไม่ทราบว่าสหายน้อยท่านนี้ สามารถเปิดเผยที่มาได้หรือไม่?"เด็กสาวที่มาตรวจสอบอัญมณีก็คือจางซินนั่นเองสิ่งที่เธอถืออยู่ในมือก็คือทับทิมเม็ดเดียวกับที่อาฝูนำมามอบให้กับหลี่ฮุ่ยหรานก่อนหน้านี้จางซินมีท่าทีลังเลเล็กน้อย จากนั้นส่าย
“ถ้าหากคุณป้าไม่เชื่อฉัน ก็ควรจะเชื่อเถ้าแก่อวี๋ฮั่วหลงสิ”“หลินเฟิง! ไอ้เวรเอ๊ย กล้ามาหลอกลวงฉันแบบนี้! ฉันคิดว่าแกจะรู้สำนึกและเปลี่ยนแปลง แต่คิดไม่ถึงว่าแกกล้าเอาลูกแก้วบ้านี้มาหลอกลวงฉันอย่างหน้าด้านๆ!” “ไม่ได้! ฉันจะไม่ยอมให้มันพาลูกสาวของฉันไปง่ายๆ แบบนี้หรอก ฉันต้องเคลียร์เรื่องนี้ให้เรียบร้อย!”“ถ้าเขามีความกล้าพอจริง เขาก็ลงมือฆ่าฉันต่อหน้าฮุ่ยหรานไปเลย!”เมื่อด่าเสร็จ จางกุ้ยหรานก็วางสายไปจางซินยิ้มออกมาเล็กน้อยด้วยความโลภ ขณะที่ยื่นทับทิมให้อวี๋ฮั่วหลงแล้วพูดเบา ๆ ว่า: “ถ้าท่านผู้อาวุโสอวี๋เสนอราคาแล้วงั้น ก็ขายในราคาสองร้ายห้าสิบล้านบาทแล้วกัน!”เวลาเย็นหลินเฟิงกว่าจะส่งมอบเรื่องของโรงงานให้สาวสวยทั้งสองคนได้สำเร้จ ยังไม่ทันได้พักหายใจ โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นทันที“ฮัลโหล?”หลินเฟิงรับโทรศัพท์ และทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงหายใจหนักๆ และรัวๆ จากปลายสาย“สวัสดีครับ?!”หลินเฟิงตะโกนออกไปอีกครั้งจนเสียงดัง และในที่สุดเสียงของฟ่านหลิงเยว่ก็ดังขึ้นมา“พี่หลินเฟิง รีบมาที่มหาวิทยาลัยเจียงโจวเลยค่ะ ตอนนี้ฉันกับเสวี่ยฮุ่ยกำลังถูกไล่ฆ่าอยู่..ว้าย!”จากนั้นก็มีเสียงกรีดร้
หลินเฟิงขับรถไปอย่างรวดเร็ว ราวกับสายฟ้าปกติแล้วต้องใช้เวลาขับรถมากกว่าครึ่งชั่วโมง แต่ด้วยการเร่งความเร็วและแซงรถไปตลอดทาง เขาสามารถถึงมหาวิทยาลัยเจียงโจวได้ภายในเวลาไม่ถึงสิบห้านาทีทันทีที่หลินเฟิงเดินผ่านประตูมหาวิทยาลัยเจียงโจว เขาก็สังเกตเห็นรถพยาบาลจอดอยู่ที่หน้าประตูทันทีที่เห็นเช่นนั้น ลางสังหรณ์ไม่ดีเกิดขึ้นในใจหลินเฟิงวิ่งไปที่รถพยาบาล ทันทีที่เขาเห็นก็พบว่านักเรียนหลายคนที่เต็มไปด้วยเลือดนอนอยู่บนพื้น และกำลังได้รับการปฐมพยาบาลอย่างเร่งด่วนหลินเฟิงเหลือบมองไปรอบ ๆ โชคดีที่ไม่พบใบหน้าที่คุ้นเคย“เฮ้! อย่าไปที่นั่นนะ ที่นั่นมีการตั้งเส้นกั้นไว้ ห้ามใครเข้าไป!”ขณะที่หลินเฟิงกำลังวิ่งเข้าไปในมหาวิทยาลัยอย่างเร่งรีบ นักเรียนหญิงคนหนึ่งก็เดินออกมาขวางทางเขาอย่างทันทีเมื่อทั้งคู่เห็นหน้ากัน ต่างก็ต้องตกใจไปชั่วขณะคนที่ขวางทางหลินเฟิงอยู่นั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่คือเพื่อนสนิทของเสวี่ยฮุ่ย โจวเสี่ยวหาง“พี่หลินเฟิง?1”โจวเสี่ยวหางมีท่าทางตกใจ“เสี่ยวหาง มันเกิดอะไรขึ้น?!”แม้หลินเฟิงจะรู้สึกตื่นตระหนกมาก แต่เขาก็พยายามสงบสติเอาไว้ และสอบถามอย่างใจเย็น“ไม่แน่ใจค่ะ ช
“พวกเราไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวอยู่ในเมืองเจิ้งเต๋ออีกต่อไป!”“ทุกคนฟังคำสั่งของฉัน ลุย!”คำสั่งของจวงฉุนมีน้ำหนักมากกว่าคำสั่งของสวีโจวอย่างเห็นได้ชัดไม่ใช่แค่เพราะเงื่อนไขที่จวงฉุนเสนอมาดึงดูดพวกเขามากเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะพวกเขาไม่เคยรู้ถึงความสามารถของหลินเฟิงว่าเป็นอย่างไรกันแน่คนธรรมดาหลายคนรวมกันอาจเปรียบเป็นขงเบ้งได้ในความคิดของพวกเขา ความสามารถของหลินเฟิงเป็นอย่างไรกันแน่ พวกเขาก็มองไม่เห็นแต่สิ่งที่เป็นความจริงคือพวกเขากลับสามารถมองเห็นข้อได้เปรียบของพวกเขาจากจำนวนคนบวกกับพลังอำนาจของหลงซิ่วด้วยหลังจากครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ที่เดิม นักบู๊ตระกูลหลงประมาณสิบกว่าคนในที่สุดก็ตัดสินใจได้แล้ว และล้อมรอบหลินเฟิงเอาไว้ทีละคนวันนี้สู้ดูสักตั้งถ้าไม่สำเร็จก็ต้องตาย!"แม่งเอ๊ย จวงฉุนไอ้สารเลวตัวน้อย!"ในที่เกิดเหตุมีเพียงสวีโจวเท่านั้น ที่รู้ว่าการปิดล้อมครั้งนี้เป็นการไปตายโดยที่ไม่ต้องคิดด้วยซ้ำเขาเกลียดจวงฉุนมาก จนถึงขั้นมีความคิดอยากฆ่าเขาด้วยซ้ำแต่ทว่าจวงฉุนกลับแสยะยิ้มมองดูสวีโจว และพูดอย่างเย็นชา:“สวีโจว อย่าทำเป็นเสแสร้งอยู่ตรงนี้ รอให้ภารกิจในครั้งน
"อะ......"จางฉุนไม่เข้าใจว่าหลินเฟิงกำลังพูดอะไร เขาพาคนเหล่านี้มาที่นี่ เป้าหมายเพียงเพื่อจับตัวอิ่นนั่วเจียไปเขารู้ว่าหลินเฟิงเป็นนักบู๊และจัดการยากสักหน่อยเพราะงั้นถึงเรียกคนของตัวเองมาแต่อะไรที่เรียกว่า “พาผู้กระทำความผิดมาตรงหน้าเขาโดยตรง” ?ในตอนนี้เอง สวีโจวที่อยู่ไกลออกไปก็คำรามออกมาอย่างกะทันหัน“นาย... ฉันจำได้ นายคือหลินเฟิง! นายคือ... นายคือคนของหลี่ซื่อกรุ๊ป! หลินเฟิงหัวหน้าแผนกรักษาความปลอดภัยของหลี่ซื่อกรุ๊ป!”"อะไรนะ?"เมื่อได้ยินชื่อนี้ จางฉุนก็หันหน้ามองไปที่หลินเฟิงด้วยสีหน้าที่น่าเหลือเชื่อเพราะเขาเคยได้ยินชื่อหลินเฟิงเขาได้ยินมาจากหลงซิ่วว่า ข้อห้ามประการเดียวในการปฏิบัติการครั้งนี้คือการปะทะกับหลินเฟิงตัวซวยคนนี้หลงซิ่วเตือนจางฉุนซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้ระวังหลินเฟิงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะพัฒนาไปเกินความคาดหมายของเขา“โอ้? ดูท่าพวกคุณจะรู้จักผม”หลินเฟิงเดินออกมาพร้อมกับรอยยิ้มจากนั้นรัศมีแห่งความหวาดกลัวก็ค่อยๆ แผ่ออกมาจากร่างกายของเขา อุณหภูมิทั่วทั้งห้องทำงานก็ลดลงมากกว่าสิบองศาในพริบตาเดียวแม้แต่ชาที่มีไอร้อนลอยออกมาเมื่อครู่นี้บนโต๊ะ
“บ้าเอ๊ย ทนไม่ไหวแล้ว!”จวงฉุนรีบถีบประตูห้องทำงานของหัวหน้าโรงงานทันทีสิ่งแรกที่เขาเห็นคือเริ่นโหย่วไฉที่เหงื่อไหลท่วมตัวและยืนอยู่ตรงนั้นอย่างโง่เขลาและอิ่นนั่วเจียผู้มีเสน่ห์กำลังนั่งอยู่บนโซฟา“อิอิอิ…”จวงฉุนเลียริมฝีปากและเผยรอยยิ้มหื่นกามออกมาทันทีตอนนี้เขาโยนคำพูดของเริ่นโหย่วไฉไปไกลโพ้นทันที เพียงแค่จ้องมองไปที่หุบเขาที่คอเสื้อของอิ่นนั่วเจียแล้วแสยะยิ้มพูดว่า:“คุณอิ่นนั่วเจีย ผมมารับคุณแล้ว”"โอ้?"ใครจะไปรู้ว่ารอยยิ้มของจวงฉุนไม่ได้ทำให้อิ่นนั่วเจียตกใจหรืองุนงง เธอยิ้มให้จวงฉุนแล้วพูดว่า:"ฉันรอคุณมานานแล้ว""รอผม?"จวงฉุนตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะออกมา“ที่แท้คุณหญิงอิ่นนั่วเจียก็สนใจผมด้วย ดังนั้นการเตรียมการทั้งหมดนี้เกินความจำเป็นไปแล้ว!”ขณะที่จวงฉุนกำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง สวีโจวที่เดินเข้ามาเห็นอิ่นนั่วเจียและหลินเฟิงกำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้เถ้าแก่ในห้องทำงาน สีหน้าของเขาดูตกตะลึงเล็กน้อย“พี่สวี มีอะไรหรือเปล่า?”นักบู๊ตระกูลหลงที่อยู่ด้านหลังเขาเห็นท่าทางแปลกๆ ของสวีโจว จึงรีบถามแต่สวีโจวกลับไม่สนใจคนข้างหลังเขา กลับก้าวไปข้างหน้าและคว้าแขน
“ใช่ครับ!”เริ่นโหย่วไฉพูดอย่างกระวนกระวาย: "คุณรีบพาคนมาที่นี่เร็วๆ เถอะครับ ทางด้านผม... ผมจะต้านไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว!"“ต้านไม่อยู่?”จางฉุนรู้สึกตกใจเล็กน้อยหรือว่าคนที่อยู่ข้างกายอิ่นนั่วเจียจะเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ?ที่นี่เริ่นโหย่วไฉมีผู้คุ้มกันนับร้อยคน เขาคนเดียวสามารถจัดการผู้คุ้มกันทั้งหมดได้?”จางฉุนไม่เชื่อเรื่องนี้แต่ไม่นานความคิดอีกอย่างก็ผุดขึ้นมาในใจเขาเริ่นโหย่วไฉคนนี้คงจะพูดเกินจริงไปมากอยากได้ผลประโยชน์จากตัวเองเพิ่มมากขึ้นหลังจากสาปแช่งจิ้งจอกแก่แล้ว จางฉุนก็เพียงแต่เร่งฝีเท้าของลูกน้องเขาให้เร็วขึ้นเท่านั้นแต่ที่แปลกคือระหว่างทางกลับเงียบสงบมากและพวกยามโรงงานเสื้อผ้าที่อยู่ที่นี่แต่เดิมก็หายไปไหนไม่รู้"เดี๋ยวก่อน!"สวีโจวยื่นมือออกไปเพื่อหยุดทุกคนไม่ให้ก้าวไปข้างหน้าเขาจ้องดูใบหน้าที่ใจร้อนของจางฉุนแล้วขมวดคิ้วพูด:“คุณ...จางฉุน หรือว่าคุณไม่รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติบ้างหรือ?”“ไม่ปกติอะไร?”ในขณะนี้จางฉุนเอาแต่นึกถึงรูปร่างที่น่าสะพรึงกลัวและใบหน้าที่งดงามของอิ่นนั่วเจียเพียงเท่านั้นยิ่งระยะทางใกล้เข้ามา เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าไฟที่อยู่ด้านล่
“นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนของรองผู้จัดการหลงซิ่วด้วยหรือเปล่า?”"เอ่อ... ใช่"พูดอย่างตรงไปตรงมา จวงฉุนก็เป็นแค่สุนัขของหลงซิ่วเนื่องจากเขาไม่ใช่นักบู๊และไม่ได้รู้จักผู้คนมากมาย เขาจึงถูกหลงซิ่วส่งมาที่เมืองเจิ้งเต๋อทำหน้าที่เป็นผู้นำเล็กๆ ของคนเหล่านี้แต่คนเหล่านี้จากตระกูลหลงล้วนเป็นนักบู๊ ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วพวกเขาจึงดูถูกจวงฉุนที่เป็นคนโลภโมบและหื่นกามอย่างเขาดังนั้นครั้งนี้พวกเขาถูกเรียกมา เพราะเห็นแก่หน้าของหลงซิ่วเท่านั้น จวงฉุนก็ไม่มีอำนาจที่จะสั่งพวกเขาได้เลยจวงฉุนก็รู้ดีถึงเรื่องนี้เช่นกันดังนั้นเอาหลงซิ่วออกมาเป็นโล่ไม่อย่างนั้น คนพวกนี้คงหันหลังแล้วจากไปทันที“ก็ได้ งั้นเราควรรีบลงมือปฏิบัติการ หากหลี่ซื่อกรุ๊ปพบเห็นเรา เราคงเดือดร้อนแน่”“อย่ากังวล คนจากหลี่ซื่อกรุ๊ปจะไม่รู้เรื่องนี้”จวงฉุนยิ้มอย่างเย็นชาเขาคิดว่าเขาทำหน้าที่เก็บความลับได้ดีมาก แต่เกรงว่าจวงฉุนคิดจนหัวระเบิดก็ยังไม่เข้าใจอิ่นนั่วเจียจริงๆ แล้วเป็นคนของหลี่ซื่อกรุ๊ปและคนที่อยู่ข้างกายอิ่นนั่วเจีย ไม่ใช่บอดี้การ์ดส่วนตัวของอิ่นนั่วเจีย แต่เป็นคนของกลุ่มหลี่ซื่อกรุ๊ปไม่ควรยุ่งด้วยมา
“เถ้าแก่เริ่น ผมว่าผมเป็นคนใจดีมากและไม่ชอบใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา คุณเชื่อผมไหม?”หลินเฟิงไม่ตอบคำถามที่น่ากระอักกระอ่วนอย่างยิ่งของเริ่นโหย่วไฉ แต่กลับถามคำถามด้วยรอยยิ้มแทนคำถามนี้ของหลินเฟิง ทำให้ใบหน้าของเริ่นโหย่วไฉกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้“แม่งเอ๊ย”“ทำร้ายคนของฉันไปหลายคนในพริบตาเดียว ยังพูดว่าเราถูกล้อมรอบโดยแกเพียงผู้เดียว ตอนนี้แกยังบอกฉันอีกว่าแกเป็นคนใจดี ไม่ชอบแก้ปัญหาด้วยความรุนแรงอีกเหรอ?”เริ่นโหย่วไฉเกือบจะกลอกตาไปด้านหลังศีรษะแต่เมื่อลองคิดดูดีๆ เขาเองก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ?เขาเหลือบมองหลินเฟิง และเห็นได้ชัดจากท่าทางเยาะเย้ยว่าหลินเฟิงกำลังล้อเลียนเขาเป็นที่ชัดเจนว่าคำถามของหลินเฟิงในเวลานี้เป็นการเสียดสีต่อเริ่นโหย่วไฉเริ่นโหย่วไฉก็มีตอบสนองกลับมาได้ และรู้สึกซับซ้อนขึ้นมาทันใดเขาใช้ชีวิตเร่ร่อนในเมืองเจิ้งเต๋อมาครึ่งชีวิตแล้ว ระมัดระวังและหวาดกลัวอยู่เสมอ พยายามตัดสินใจเลือกทุกอย่างให้ปลอดภัยที่สุดแต่วันนี้การกระโดดซ้ำๆ ของเขาล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงเพราะตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจนักบู๊เลยเขาไม่สามารถเข้าใจความสามารถของหลินเฟิงได้เลยยิ่งกว่าพระเอกบู๊
“ผิดแล้ว เถ้าแก่เริ่น จากที่ผมดู เป็นพวกคุณที่ถูกผมล้อมเอาไว้เพียงคนเดียว"อีกทั้ง......"รอยยิ้มของหลินเฟิงลึกมากขั้น“แถมยังส่งคนที่อยู่เบื้องหลังที่จัดการหลี่ซื่อกรุ๊ปของผมมาตรงหน้าผมอีกด้วย ประหยัดเวลาที่ผมไม่ต้องตามหาพวกเขาทีละคน มันสะดวกจริงๆ”“อ๊ะ? นายกำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไรอยู่? นายคนเดียวล้อมพวกเราไว้..”ก่อนที่ เริ่นโหย่วไฉจะพูดจบ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปจากความมั่นใจในชัยชนะกลายเป็นความตกตะลึงจากนั้นความตื่นตระหนกก็เกิดขึ้นหลินเฟิงกระโดดออกจากห้องทำงานและกลายเป็นเงาที่พร่ามัวทันทีเขาพุ่งเข้าไปในกลุ่มลูกสมุนจำนวนหลายร้อยคน ลำพังคนเดียวอย่างเปิดเผย“อ๊ากกกก!”"เอื้อกกก!"“อ้าก แขนฉัน แขนฉัน!”ท่ามกลางเสียงโอดครวญของพวกอันธพาลที่นี่ หลินเฟิงก็เหมือนกับสิงโตที่พุ่งเข้าใส่ฝูงแกะ และไม่มีใครหยุดเขาได้ด้วยซ้ำก่อนที่พวกอันธพาลเหล่านี้จะตอบโต้ หลินเฟิงก็ได้เคลื่อนไหวไปแล้ว เขาตัดแขนหรือต้นขาของพวกเขาอย่างไม่ใส่ใจ ราวกับว่าเขากำลังเดินเล่นอยู่ในสวนทำให้พวกเขาสูญเสียความสามารถในการโจมตีหลายๆ คนมองเห็นเงาดำแวบผ่านไปและรู้สึกเจ็บปวดอย่างอธิบายไม่ถูกเมื่อมองลงไป
“สหาย!”หลังจากที่เริ่นโหย่วไฉตะโกนใส่หลินเฟิง เขาก็มองไปที่กลุ่มสกายของเขาและออกคำสั่งเสียงดัง:"พวกนายแค่ลากผู้ชายคนนั้นออกไป!"“คุณชายจวงฉุนจะกลับมาแล้ว รอให้เขามาถึง เขาพายอดฝีมือของตระกูลหลง ก็สามารถฆ่าไอ้หมอนี่ได้โดยตรง!”"เรารอดูการแสดงก็พอ!""ดี!"ไม่พูดไม่ได้ว่า เริ่นโหย่วไฉหัวหน้าเล็กคนนี้มีเกียรติมากพอสมควรต่อหน้าพวกอันธพาลพวกนี้หลังจากเขาออกคำสั่ง ลูกสมุนพวกนี้ก็ล้อมรอบห้องทำงานที่หลินเฟิงและอิ่นนั่วเจียอยู่เอาไว้ท่าทางแบบนี้ ไม่ได้จะสู้ตายกับหลินเฟิงแค่อยากล้อมหลินเฟิงและอิ่นนั่วเจียไว้ที่นี่เท่านั้น"ต่ำทราม!"อิ่นนั่วเจียก็มองความคิดของเริ่นโหย่วไฉออก ยกคิ้วขึ้นทันที จากนั้นชี้ไปที่เริ่นโหย่วไฉและพูดด่าทอ“ต่ำทราม? หึ อิ่นนั่วเจีย อย่าคิดว่าเธอเป็นซูเปอร์สตาร์แห่งประเทศมังกร แล้วไม่มีใครกล้าแตะต้องเธอ!”“เธอในตอนนี้ไม่มีคนหนุนหลัง กลับยังอยากพึ่งพาตัวเองยิ่งใหญ่ขึ้นมา เธอไร้เดียงสาเกินไปแล้ว!”“น่ารังเกียจจริงๆ”อิ่นนั่วเจียกำหมัดแน่นจริงๆแล้วเริ่นโหย่วไฉก็พูดถูกครั้งนี้อิ่นนั่วเจียอยากสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในวงการบันเทิงของประเทศมังกร ด้วยความพ
ครั้งนี้หลินเฟิงไม่ปล่อยไปอีกแล้ว คว้าคอเสื้อของเขาแล้วกดไว้กับผนังอย่างแรง“อ๊า!”เริ่นโหย่วไฉท้ายทอยกระแทกกับกับกำแพงอย่างแรงเจ็บจนเขาร้องโอดครวญออกมา“เถ้าแก่เริ่น ดูเหมือนคุณจะยังไม่สามารถเห็นสถานการณ์ได้ชัดเจนนักนะ!”หลินเฟิงเข้าไปหาเริ่นโหย่วไฉแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม:"ตอนนี้ผมให้โอกาสคุณครั้งสุดท้ายแล้ว"หลินเฟิงเอื้อมมือไปหยิบเช็คจำนวนยี่สิบห้าล้านจากในกระเป๋า ต่อหน้าเริ่นโหย่วไฉ“คุณอยากเป็นสุนัขของตระกูลหลง ถูกผมบีบคอตายตอนนี้ หรือคุณอยากจะบอกทุกสิ่งที่คุณรู้ให้ผมฟัง”เมื่อเห็นหลินเฟิงฉีกเช็คแล้วโยนลงพื้น ใบหน้าของเริ่นโหย่วไฉก็บิดเบี้ยวด้วยความเสียใจ“ฉัน...ฉัน...”เริ่นโหย่วไฉพูดคำเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเขาตกอยู่ในความสับสนอย่างสิ้นเชิง“ตัดสินใจไม่ได้เหรอ? งั้นผมช่วยคุณเอง”หลินเฟิงยิ้มอย่างเย็นชา ประสานนิ้วเข้าด้วยกันเพื่อรวบรวมกระแสพลังชี่แท้ แทงมันไปที่จุดตันเถียนของเขาทันใดนั้นพลังชี่แท้เป็นเกลียวถูกหลินเฟิงปล่อยเข้าสู่ร่างกายของเริ่นโหย่วไฉในขณะที่พลังชี่แท้ยังคงหมุนวนและขยายตัวต่อไปพลังชี่แท้นี้ยังคงกระแทกอยู่ในร่างของเริ่นโหย่วไฉไม่หยุด ทำให้เขาต้องกรี