ซูอินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามอย่างไร้เดียงสาออกไปว่า “พี่ซิวหนิง พี่หมายถึงอะไรคะ?”ในใจเธอแอบมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีอยู่นิดหน่อยลู่ซิวหนิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังคงเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ออกไป“ไม่รู้ว่าใครที่เป็นคนส่งคลิปมา ในคลิปวิดีโอเป็นหลินเยว่เยว่ที่ดึงเธอ เธอถึงได้ล้มลงกับพื้น”ยิ่งซูอินได้ยินแบบนั้น สีหน้าของเธอก็ยิ่งซีดมากกว่าเดิมแต่ในใจลู่ซิวหนิงก็ยังคงมีคำถามอีกมากมายที่เขาอยากจะรู้“อินอิน ทำไมคุณถึงพยายามเข้าไปขวางซูหราน? แล้วยังบอกอีกว่าซูหรานเป็นคนผลักเธอ แต่เห็นได้ชัด......”ซูอินรู้สึกอารมณ์เสียอย่างมาก เธอจึงพูดขัดจังหวะลู่ซิวหนิง “พี่ซิวหนิง......”ทันทีที่เปิดปากพูด ซูอินถึงตระหนักได้ว่าน้ำเสียงของตัวเองเย็นชาเกินไปแม้ว่าลู่ซิวหนิงจะไม่มีความสามารถอะไรมากนัก แต่เธอก็ยังต้องการคนแบบนี้มาปกป้องเธออยู่ซูอินหายใจเข้าลึก ๆ และแสร้งทำเป็นน่าสงสารอีกครั้ง “พี่ซิวหนิงคะ พี่ก็รู้ ว่าพี่หรานหรานเคยเรียนเทควันโด เยว่เยว่กับพี่หรานหรานกำลังทะเลาะกัน ฉันกลัวว่าเยว่เยว่จะเสียเปรียบ เพราะงั้นฉันเลยต้องเข้าไปร่วมด้วย แต่ใครจะไปรู้......”ซูอินสะอื้น และพูดต่
ซูหรานทำได้เพียงยิ้มเบา ๆ และไม่ได้พูดอะไรอีกเหมือนว่าเธอจงใจปฏิบัติต่อผู้คนเหล่านี้ไม่ต่างจากตัวตลก ที่คอยพูดจาหยาบคายใส่เธอตอนนี้ปล่อยให้พูดไปก่อน พอถึงเวลาที่ต้องขอโทษเธอขึ้นมาเมื่อไหร่ จะได้สนุกยิ่งกว่านี้แน่ซุนฉินมองเห็นรอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของซูหราน ทันใดนั้นก็ทำให้เกิดความกังวลขึ้นมาเล็กน้อยแต่ว่าเธอเองก็รู้ดี ว่าซูจี้ไห่นั้นก็เกลียดซูหรานอยู่เช่นกัน เธอจึงชักจูงให้ซูจี้ไห่เข้ามาช่วยเป็นกองหนุนอีกแรง “จี้ไห่ คุณต้องให้ความเป็นธรรมกับอินอินนะคะ......”ซูจี้ไห่ก้าวไปข้างหน้าด้วยท่าทางหัวฟัดหัวเหวี่ยง แต่ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไร เย่ถิงเซินที่มาด้วยกันก็ได้ยืนขวางหน้าเขาต่อให้เขาสวมเสื้อผ้าธรรมดา แต่ก็สง่างามราวกับเจ้าชาย และด้วยบุคลิกที่ดูสูงส่งเช่นนี้ จึงทำให้ซูจี้ไห่รู้สึกขาดความมั่นใจเล็กน้อยซูหรานเดินตรงไปนั่งลงบนโซฟาในวอร์ดด้วยการกระทำนี้ ก็ยิ่งกระตุ้นความโกรธของซูจี้ไห่และซุนฉินขึ้นไปอีก“เหอะ ไม่ทีท่าทีสำนึกผิดเลยแม้แต่น้อย เจ้าหน้าที่ พวกเราไม่ต้องการคำขอโทษแล้วล่ะ พวกเราจะใช้กฎหมายเข้ามาแก้ไขปัญหานี้เอง”ตำรวจหลายคนต่างก็มีท่าทางสับสนเหลือบมองไปยัง
แล้วซูอินก็ตระหนักถึงอะไรบางอย่างได้ ร่างกายของเธอก็แข็งทื่อทันทีตำรวจที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็ได้เห็นกลอุบายของซูอินเช่นกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจหนึ่งในนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “พรืด” ออกมาแม้ว่าเสียงหัวเราะจะหยุดลงในวินาทีต่อมา แต่สำหรับซูอินแล้ว กลับทำให้เธอต้องอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนีใบหน้าซีดเซียวของซูอินเปลี่ยนเป็นสีแดงจากความอายชั่วขณะหนึ่งนั้น ความคับแค้นใจทั้งหมดก็มุ่งร้ายไปยังซูหรานทั้งหมดเป็นเพราะซูหราน เธอทำให้ฉันต้องอับอาย!“คุณหนูซูอินบอกว่าอยากจะขอโทษอย่างจริงใจ เรื่องนี้ผมก็เห็นด้วย ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นก็ควรคุกเข่าขอโทษเถอะครับ” เย่ถิงเซินที่เอาแต่เงียบมาตลอดก็เอ่ยปากพูดขึ้นมาเดิมทีที่เขามาด้วย ก็เพราะกลัวว่าซูหรานจะถูกรังแกแต่เห็นได้ชัดเลย ว่าซูหรานไม่ใช่คนที่จะถูกรังแกได้ง่าย ๆ ขนาดนั้นเย่ถิงเซินเหลือบมองไปที่ซูหรานด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความปลาบปลื้มอยู่ไม่น้อยซูหรานสบตากับเขา นึกไม่ถึงว่าเขาจะให้การสนับสนุนเธอ เธอยิ้มและพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อเป็นการขอบคุณ จากนั้นก็หันกลับไปมองที่ซูอิน“คุกเข่าขอโทษซะสิ!” ซูหรานเลิกคิ้ว แล้วก็ยิ้มร่าคุกเข่าเหรอ? มันจะเป
ปฏิกิริยาของเย่ถิงเซินทำให้ซูหรานต้องตกใจท่าทางของเขาทั้งสง่างามและดูสุภาพอยู่เสมอ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นเขาอารมณ์เสียผ่านไปสักพัก บรรยากาศก็เริ่มแปลก ๆแต่ปฏิกิริยาของเธอ กลับถูกเย่ซือเหยียนคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้วเย่ซือเหยียนเม้มริมฝีปากของเธอด้วยความคับข้องใจ และมองไปทางเย่ถิงเซินด้วยความตกตะลึง “พี่คะ ก็แค่ชื่อเองไม่ใช่เหรอคะ? ถ้าพี่ไม่ชอบ ฉันไม่ชื่อว่า “อาเหยียน” ก็ได้นี่คะ”หลังจากพูดจบ เย่ซือเหยียนก็พูดกับซูหรานต่ออีกว่า “คุณซูคะ พี่ของฉันไม่ชอบ งั้นคุณเรียนฉันว่าซือเหยียนก็ได้ค่ะ”น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความผิดหวังเหมือนว่าเธอจะคาดหวังให้ตัวเองใช้ชื่อ “อาเหยียน” นี้มาก แต่เธอก็กลับไม่มีคุณสมบัตินั้นซูหรานเต็มไปด้วยความรู้สึกงุนงงเธอคิดว่าอาเหยียนที่พูดถึงคือเย่ซือเหยียนซะอีกแต่ดูเหมือนว่า อาเหยียนจะเป็นอีกคนงั้นเหรอ?จู่ ๆ ในใจซูหรานก็เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับ “อาเหยียน” คนนี้มาก แต่เนื่องจากเป็นเรื่องส่วนตัวของคนอื่น จะให้เธอถามออกไปได้อย่างไรทั้งสามคนขึ้นรถของเย่ซือเหยียน จากนั้นก็หยุดอยู่ที่ร้านอาหารร้านหนึ่งเพื่อทานข้าว ในช่วงเวลานี้
ฟู่จิ้นหานยืนอยู่ตรงประตู แววตาของเขาจับจ้องไปทางซูหรานดวงตาสีเข้มคู่นั้น ราวกับมีความรู้สึกมากมายอัดแน่นอยู่ข้างในความรู้สึกที่ทั้งน่าอึดอัดและทรงพลังเหล่านั้นได้พุ่งทะลุไปยังซูหรานผ่านการจ้องมองของเขา จนทำให้ซูหรานรู้สึกเหมือนเห็นภาพซ้อนจนอธิบายไม่ถูก และมันยังทำให้เธอนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้น......ใบหน้าเล็ก ๆ ของซูหรานเปลี่ยนเป็นสีแดง“คุณมาที่นี่ทำไม?” ท่าทีของซูหรานดูไม่เป็นธรรมชาติสักเท่าไหร่จู่ ๆ เธอก็นึกถึงผู้สนับสนุนคนใหม่ของเขา เย่ซือเหยียน แววตาของซูหรานก็ดูเย็นชาขึ้นมาฟู่จิ้นหานขมวดคิ้วเห็นได้ชัดว่าเมื่อกี้ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเขินอาย แต่ทำไมจู่ ๆ เธอถึงเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมากะทันหันได้ ราวกับว่าเธอไม่ต้อนรับเขายังไงอย่างงั้นไม่ต้อนรับ......ฟู่จิ้นหานรู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อยแต่ไม่นานเขาก็คิดออกต่อให้ไม่ต้อนรับ เขาก็ต้องหน้าด้านอยู่ต่อ!รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของฟู่จิ้นหาน เขาเดินไปหาซูหราน แต่ซูหรานกลับไม่เข้าใจ เห็น ๆ อยู่ว่าเขาเป็นแค่พนักงานเสิร์ฟในบาร์ แต่ทำไมท่าทีที่ดูสูงส่งสง่างามในตัวเขาถึงได้ดูเป็นธรรมชาติได้มากขนาดนี้กันอย่างกับเป็นพ
ซูหรานพยายามจัดการกับอารมณ์ของตัวเองไปตลอดทาง และหนีขึ้นไปบนดาดฟ้าในตอนที่รอบข้างไม่มีใคร ถึงทำให้เธอตระหนักได้ว่า หัวใจของเธอมันเริ่มเจ็บปวดตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้สายลมพัดเข้ามาปะทะกับใบหน้าของซูหราน แม้จะผ่านไปพักใหญ่ แต่ความเจ็บปวดที่อยู่ในใจก็ยังไม่คลายซูหรานไม่รู้เลยว่าตนยืนอยู่บนดาดฟ้านานแค่ไหนแล้ว จนกระทั่งมีเสียงเรียกเข้าที่ไม่คุ้นดังขึ้น ซูหรานถึงได้สตินั่นไม่ใช่เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ของเธอเอง แต่กลับเป็นเสียงที่ดังมาจากกระเป๋าของเธอพอนึกถึงวีดีโอที่เจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ส่งมาเมื่อคืนนี้ซูหรานก็หยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นออกมาทันที และเห็นว่าเป็นหมายเลขที่ไม่คุ้นเคย เธอจึงรับสายโดยไม่ลังเล“สวัสดีค่ะ?” น้ำเสียงที่ดูลนลานของซูหรานถูกส่งออกไปเธออยากรู้ว่าโทรศัพท์เครื่องนี้เป็นของใครกันแน่ เมื่อวานเป็นใครที่แอบช่วยเธอกันแน่“สวัสดีครับ” เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นจากปลายสาย น้ำเสียงฟังดูไพเราะเป็นพิเศษซูหรานตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดขึ้นว่า “คุณเป็นเจ้าของโทรศัพท์เครื่องนี้รึเปล่าคะ? ต้องขอโทษด้วยนะคะ ฉันเป็นคนเก็บได้เองค่ะ ขอถาม......”ซูหรานไม่รู้ว
ในขณะเดียวกัน ฟู่จิ้นหานเองก็หยุดฝีเท้าด้วยเช่นกัน“ซูหราน......” ฟู่จิ้นหานเผยรอยยิ้มออกมาเขาไม่แค่เพิกเฉยต่อความจริงที่ว่าซูหรานกำลัง “จ้องมอง” มาที่เขา แต่กลับดีใจที่ในที่สุดซูหรานก็ยอมพูดกับเขาแต่ครู่ต่อมา กะละมังน้ำเย็น ๆ ก็ถูกสาดเข้าไปที่หน้าของเขา“เลิกตามฉันสักที! ไม่อย่างนั้น......ฉันจะแจ้งตำรวจ”ซูหรานพูดด้วยคำพูดที่รุนแรง แล้วหันหลังกลับ และเรียกแท็กซี่ทันทีรอยยิ้มของฟู่จิ้นหานแข็งค้างอยู่บนใบหน้าของเขา หลังจากได้สติกลับมา แท็กซี่ก็ได้ขับออกไปแล้วห่างไปไม่ไกลนัก ฉู่อี้ที่อยู่ในรถก็เก็บสายตาที่มองไปทางฟู่จิ้นหานด้วยความพออกพอใจกลับ จากนั้นก็สตาร์ทรถ แล้วขับไปยังสถานที่ที่เขาและซูหรานนัดกันเอาไว้ไม่กี่นาทีต่อมา ฉินฟั่งที่มารับฟู่จิ้นหาน ก็ขับรถมาจอดอยู่ตรงหน้าเขา“คุณชายครับ เป็นอะไรรึเปล่าครับ?” ฉินฟั่งลงจากรถ ทันทีที่เห็นท่าทีของคุณชายเขา ฉินฟั่งก็เข้าใจสถานการณ์ได้ในทันทีว่าเขาน่าจะเหนื่อยจากเรื่องภรรยาของเขามาสีหน้าของฟู่จิ้นหานดูเย็นชา ขึ้นรถโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำฉินฟั่งกลับไปยังที่นั่งคนขับ จากนั้นก็ถามอย่างระมัดระวังว่า “คุณชายครับ พวกเรากลับโรงแรมกันเล
“พี่ของผม......”ฉู่อี้สบตากับซูหราน และเขาก็ค่อนข้างมั่นใจว่าคนที่ซูหรานนึกถึงในเวลานี้คือฟู่จิ้นหานแต่เขาก็ไม่คิดที่จะเปิดเผยความสัมพันธ์ออกไปในทันทีหลังจากค้างคำพูดไปครู่หนึ่ง ฉู่อี้ก็ถอนหายใจภายใต้สายตาที่ดูคาดหวังของซูหราน “พี่ชายของผมไม่ชอบผม ยิ่งไม่ชอบที่ผมเป็นดาราแบบนี้ เพราะงั้นเขาเลยไม่ชอบให้ผมพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเขาสักเท่าไหร่”ฉู่อี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย น้ำเสียงของเขาดูเศร้าราวกับสัตว์ประหลาดตัวน้อยที่เพิ่งได้รับบาดเจ็บมาในขณะที่พูด เขาก็หยิบแก้วไวน์ขึ้นมาพร้อมกับเงยหน้ากระดกขึ้นดื่มซูหรานละทิ้งความอยากรู้อยากเห็นในใจไป และอดไม่ได้ที่จะปลอบใจเขา “คุณมีแฟนคลับมากมายขนาดนั้น แถมคุณยังเป็นคนจิตใจดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่นอีก พี่ชายของคุณจะต้องเห็นค่าของคุณเข้าสักวัน”ฉู่อี้ตกตะลึงจะต้องมีสักวันที่ฟู่จิ้นหานจะเห็นค่าในตัวเขางั้นเหรอ?ตั้งแต่เล็กจนโต ดูเหมือนว่าเขาพยายามทำให้เขาเห็นมาโดยตลอด รวมถึงการอยู่ในวงการบันเทิงนี่ด้วยเขารู้ดีว่าฟู่จิ้นหานไม่ชอบที่เขาเข้าวงการบันเทิง ดังนั้นเขาจึงยิ่งต้องทำในสิ่งที่ฟู่จิ้นหานไม่ชอบเขาคิดว่าพี่เขาอาจจะกลับมาสั่งสอนเขาเห