“อืม รู้แล้ว จำเอาไว้ว่าพรุ่งนี้ให้พาเขามาที่นี่ ไม่อย่างนั้นต่อให้รับสินเจ้าสาวของท่านแม่แล้ว ขอเพียงแค่เวินจื่อเฉินเขาไม่มาขอโทษ ข้าก็ไม่มีทางตกลง”หลังจากเวินซื่อพูดจบ ก็พูดเสริมตามเขาอีกหนึ่งประโยค “เข้าใจแล้วหรือไม่?”เวินจื่อเยวี่ยสีหน้าเย็นชาขึ้นมาทันที“ดี เวินซื่อ เจ้ายอดเยี่ยมอย่างที่คาดเอาไว้”เวินซื่อไม่ได้สนใจเขา ยกหีบสินเจ้าสาวทั้งหมดเข้าไปข้างในพร้อมกับบรรดาศิษย์พี่หญิงจนกระทั่งยกหีบสุดท้ายหมด นางก็ไม่ได้มองเวินจื่อเยวี่ยพวกเขาอีกแม้แต่แวบเดียวเวินเยวี่ยมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ข้าง ๆถึงอย่างไรนางก็เป็นเพียงแค่น้องสาวที่เชื่อฟังคำสั่งสอนพี่สามให้นางทำอะไร นางก็ทำอย่างนั้นรอจนถึงเรื่องจบสิ้นลงในที่สุดราวกับมีก้อนหินยักษ์ตกลงไปในก้นบึ้งหัวใจของเวินเยวี่ยโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่นำเรื่องนี้กลับไปบอกแก่เวินเฉวียนเซิ่ง วันต่อมาเวินเฉวียนเซิ่งก็นำชื่อของเวินซื่อลบออกจากบันทึกลำดับญาติเวินฉางอวิ้นอยากจะขวางแต่ก็ขวางเอาไว้ไม่ได้เวินเยวี่ยที่มองดูด้วยจิตใจมีความสุขเบิกบานยังจงใจไปรีบเวินจื่อเฉินโดยเฉพาะตอนที่เตรียมจะใกล้ชิดพี่รองคนที่ไม่ได้เจอมานานผู้นี้
“พี่รอง ท่านเสียสติไปแล้วหรือ?”เวินจื่อเยวี่ยหันไปมองเวินจื่อเฉินอย่างประหลาดใจแม้ทีแรกพวกเขาก็เตรียมที่จะพาเวินจื่อเฉินไปขอโทษก็ตาม แต่เวินจื่อเฉินที่สมัครใจเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกใจมากจริง ๆ”“เป็นเพราะการโบยแปดสิบไม้ใหญ่ทำให้ท่านโง่งมไปแล้ว หรือเป็นเพราะท่านอยู่ในคุกจนความฉลาดหายไป?”เวินจื่อเยวี่ยเอ่ยปากอย่างดูถูกประมาณหนึ่งเวินเยวี่ยเองก็อดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัย “พี่รอง ท่านไม่เป็นอะไรจริง ๆ หรือ?”เวินจื่อเฉินคิดไม่ถึงว่าตนเพียงแค่พูดประโยคนั้นเพียงประโยคเดียว ปฏิกิริยาของทั้งสองคนจะรุนแรงถึงเพียงนี้เขาพูดไปไม่ออกไปครู่หนึ่งจากนั้นก็พูดสิ่งที่ตนคิดตอนที่ติดอยู่ในคุกหลายวันนี้ออกมา “อันที่จริงวันนั้นหลังจากที่ลงมือตบตีเวินซื่อ ข้าก็นึกเสียใจ”หลายวันมานี้ ทุกครั้งที่เขาหวนนึกถึงสีหน้าของเวินซื่อในวันนั้นขึ้นมาช่างเป็นภาพที่บาดตาเสียจริงเหตุใดไม่ได้เจอกันเพียงระยะเวลาสั้น ๆ ไม่คิดเลยว่าเวินซื่อจะแสดงสีหน้าเจ็บแค้นเขาแบบนั้น?เขากำลังคิดถึงจุดประสงค์แรกตอนที่ตนขึ้นไปบนภูเขา เดิมทีเขาแค่อยากจะพาตัวเวินซื่อกลับบ้านเท่านั้นแต่เขาคิดไม่ถึงว่าปฏิกิริยาของเวินซื่อ
“ผลัวะ!”เวินจื่อเยวี่ยยังไม่ทันพูดจบ จู่ ๆ เวินจื่อเฉินก็กระแทกหมัดใส่ใบหน้าของเขา ทำให้เวินจื่อเยวี่ยไม่ทันได้ป้องกันตัว“พี่รอง!”เวินเยวี่ยที่อยู่ด้านข้างก็คิดไม่ถึงว่าเวินจื่อเฉินจะลงมืออย่างกะทันหันเช่นนี้ยังเป็นการลงมือกับเวินจื่อเยวี่ย เพราะเวินซื่ออีกด้วย!“เจ้ามันคนไม่มีหัวจิตหัวใจ! เจ้าลืมสิ่งว่าก่อนท่านแม่ตายได้พูดอะไรกับพวกเราไปแล้วอย่างนั้นหรือ? นางให้พวกเราดูแลน้องสาวให้ดี เจ้ากลับดูแลนางแบบนี้หรือ? ไม่คิดเลยว่าเจ้ายังจะพูดว่านางดื้อรั้นจนสุดจะทนอีก? !”เวินจื่อเยวี่ยหันหลังกลับไปชกเวินจื่อเฉินคืนหนึ่งหมัดโดยไม่ออมมือเลยแม้แต่น้อยเมื่อเทียบกับเวินจื่อเฉินที่บนร่างกายยังมีอาการบาดเจ็บ และติดอยู่ในคุกมาหลายวัน หมัดของเขาต่อยได้อย่างหนักหน่วงต่อยเวินจื่อเฉินจนเกือบกระเด็นออกไปด้านนอกห้องโดยสารเผชิญหน้ากับความโกรธของเวินจื่อเฉิน หลังจากเวินจื่อเยวี่ยบ้วนเลือดออกมาคำหนึ่ง ก็จ้องมองเขาด้วยสีหน้าบึ้งตึงพร้อมกล่าว“พี่รอง ขอเตือนท่านว่าทางที่ดีอย่าเอาความโมโหมาระบายที่ข้า ข้าไม่ใช่เวินซื่อ เมื่อก่อนถ้าเป็นแบบนี้ละก็ พี่รองท่านก็คงต่อว่าเวินซื่อไม่น้อยเหมือนกัน ยิ่ง
เวินจื่อเยวี่ยเดาได้ไม่ผิดจริง ๆในตอนที่พวกเขากำลังรีบร้อนตามหาม้า รีบลากรถม้าไล่ตามไปถึงอารามสุ่ยเยว่ ก็เห็นเวินจื่อเฉินกำลังถูกบรรดาซือไท่ที่ถือไม้พลองกลุ่มหนึ่งล้อมเอาไว้ จ้องมองเขาด้วยสีหน้าโกรธแค้น“น้องห้า! น้องห้าเจ้าออกมาสิ!”“ข้าคือพี่รองของเจ้า ข้ามาขอโทษเจ้าแล้ว!”“น้องห้า ขอร้องเจ้าออกมาเจอหน้าข้าสักครั้ง ได้หรือไม่?”เวินจื่อเฉินยืนอยู่ที่ด้านนอกอารามสุ่ยเยว่ กำลังตะโกนเรียกเวินซื่อม่อโฉวซือไท่ที่ยืนอยู่บริเวณประตูอารามสุ่ยเยว่เอ่ยปากเย็นชา “หากประสกอยากจะขอโทษละก็ เช่นนั้นก็พูดมาตรงนี้เถอะ ข้าจะไปแจ้งอู๋โยวแทนท่าน”“ไม่ได้!”เวินจื่อเฉินส่ายหน้ากล่าว “ข้าต้องการให้น้องห้าออกมาพบข้า ในเมื่อเป็นการขอโทษนาง เช่นนั้นข้าก็ควรกล่าวขอโทษต่อหน้านาง”“ไม่ต้องหรอก”ม่อโฉวซือไท่ปฏิเสธเขาโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย“อารมณ์ของประสกฉุนเฉียวไม่ปกติ เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องราวแบบคราวก่อน ประสกไม่จำเป็นต้องพบอู๋โยวอีกแล้ว”เวินจื่อเฉินได้ยินคำพูดประโยคนี้ ก็ยืนอึ้งอยู่ที่เดิม “หมายความว่าอย่างไรที่ไม่จำเป็นต้องพบนางอีกแล้ว?”“ความหมายของข้าก็หมายความตามนั้น อู๋โย
“ขอโทษนะน้องห้า ขอโทษจริงๆ ข้ามันสมควรตายจริงๆ! ฮือๆ ๆ...”เวินจื่อเฉินกล่าวขอโทษไม่หยุด จนในที่สุดเขาก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้อีกต่อไป สติแตกปล่อยโฮออกมาเสียงดังเหล่าซือไท่ที่ล้อมเขาไว้ต่างสบตากันพวกนางไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะร้องไห้อย่างกะทันหันเช่นนี้คราวนี้จะทำอย่างไรดี?เหล่าซือไท่ต่างพากันหันกลับไปมองม่อโฉวซือไท่ที่อยู่ตรงประตูม่อโฉวซือไท่ส่งสายตาราบเรียบไป พวกนางจึงเก็บไม้พลองในมือ แล้วกลับไปอยู่ด้านหลังม่อโฉวซือไท่“ข้าได้ยินคำขอโทษของเจ้าแล้ว จะแจ้งให้อู๋โยวทราบ”แม้ว่าท่าทางของเวินจื่อเฉินจะดูน่าสงสารขนาดนั้น ร้องไห้เสียใจอย่างมากเช่นนั้น ม่อโฉวซือไท่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะใจอ่อนเลยหลังจากที่นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาจบ ก็สั่งให้คนปิดประตู ทิ้งเวินจื่อเฉินให้ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ด้านนอกต่อไปเพียงลำพังเวินจื่อเยวี่ยรู้สึกว่าท่าทางแบบนี้ของพี่รองดูน่าอับอายขายหน้าเล็กน้อย เขาจึงก้าวไปข้างหน้าแล้วเตะเวินจื่อเฉินหนึ่งที“พี่รอง ข้าว่าท่านไม่เห็นต้องร้องไห้ขนาดนี้เลยนี่?”เขาเกาหัวอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย “ท่านอยากง้อเวินซื่อขนาดนั้นเชียวหรือ?”เวินจื่อเฉินยังคงร้องไห้
“เอาละ ในเมื่อเจ้าไม่ชอบ เช่นนั้นข้าก็จะไม่พูดแล้ว”ม่อโฉวซือไท่ลูบหัวของนาง พลางตรวจการบ้านไปด้วย กล่าวกับนางไปด้วย “จริงสิ อีกสักพักเจ้าลงเขาไปกับข้าสักรอบ”“หือ? ข้าลงเขาไปกับท่านอาจารย์ได้หรือ?”เดิมทีเวินซื่อไม่ได้ตื่นเต้นมากนัก แต่พอได้ยินเรื่องนี้ ดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที“ได้แน่นอน”ม่อโฉวซือไท่ยิ้ม “ข้ามีคนไข้อยู่ที่เชิงเขา ต้องลงไปดูอาการให้นาง...”กล่าวได้เพียงครึ่ง นางก็ลังเลครู่หนึ่ง “แต่ฐานะของอีกฝ่ายอาจจะทำให้เจ้ารู้สึกอึดอัดใจอยู่บ้าง”“ฐานะอะไรหรือ?”เวินซื่อเอ่ยถามด้วยความสงสัย“คนผู้นั้นคือฮูหยินผู้เฒ่าจวนจงหย่งโหว”เมื่อม่อโฉวซือไท่เอ่ยประโยคนี้ เวินซื่อก็เข้าใจในทันทีว่านางกำลังกังวลเรื่องอะไรฮูหยินผู้เฒ่าจวนจงหย่งโหว ก็คือท่านย่าของชุยเส้าเจ๋อ อดีตคู่หมั้นของนางเวินซื่อยิ้ม “ที่แท้ก็เป็นฮูหยินผู้เฒ่าท่านนั้นนี่เอง ไม่เป็นไรหรอกท่านอาจารย์ ข้ากับจวนจงหย่งโหวของพวกเขาได้ถอนหมั้นกันไปแล้ว ในเมื่อไม่ได้ไปหาชุยเส้าเจ๋อโดยเฉพาะ เช่นนั้นจะมีอะไรที่ต้องหลบเลี่ยงอีกเล่า?”“เด็กดี เจ้าคิดได้ก็ดีแล้ว”เดิมทีม่อโฉวซือไท่ก็เป็นห่วงนางในเรื่องนี้มากเหมือนกัน
เวินซื่อไม่ได้สนใจเวินหย่าลี่สำหรับนางแล้ว ท่านอาคนนี้ไม่เคยชอบนางตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วก่อนหน้านี้ นางยังคิดว่าท่านอาเป็นคนนิสัยแบบนี้เอง กระทั่งเวินเยวี่ยมาที่บ้านสกุลเวิน เวินหย่าลี่กลับแสดงท่าทางรักใคร่เอ็นดูซึ่งแตกต่างกันอย่างมากจนทำให้นางเข้าใจ ที่แท้ท่านอาก็แค่ไม่ชอบนางเท่านั้นเองดังนั้น แม้ว่าเวินหย่าลี่จะเรียกนาง นางก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ราวกับว่าคนที่ถูกนางเรียกมิใช่ตัวเองเวินหย่าลี่เห็นนางนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน ก็เดินเข้าไปด้วยความไม่พอใจทันที“นังเด็กแสบเจ้ามาทำอะไรกัน? ไม่เห็นท่านอาอย่างข้าหรือไร ไม่รู้จักทักทายผู้ใหญ่ ไม่มีมารยาทสักนิด”พูดไปพลางเอื้อมมือไปกระชากเสื้อผ้าของเวินซื่อ “รีบลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ ไม่รู้จักลุกให้ผู้ใหญ่นั่งหรือ?”“สีกาท่านนี้”ม่อโฉวซือไท่เอื้อมมือออกไปปัดมือนางออก แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “รบกวนอย่าแตะต้องหรือพูดจาหยาบคายกับศิษย์ของข้า”เวินหย่าลี่มองดู ก็แค่แม่ชีแก่ๆ คนหนึ่ง“โอ้โฮ เวินซื่อ พอออกบวชแล้วในที่สุดก็หาคนหนุนหลังได้แล้วหรือ? ยังพาแม่ชีแก่ๆ มาอวดเบ่งที่จวนจงหย่งโหว เจ้าคงไม่ได้คิดว่าตัวเองกลายเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ
ครั้งล่าสุดที่พบกันคือช่วงเทศกาลตรุษจีน บัดนี้เวลาผ่านไปหลายเดือนแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าคงไม่คาดคิดว่า เมื่อได้พบกับเด็กคนนี้ซึ่งเดิมทีควรจะเป็นหลานสะใภ้ของนางอีกครั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างกลับเปลี่ยนแปลงไปเมื่อถูกมองนานๆ เข้า เวินซื่อก็รู้สึกทนไม่ไหวแล้วนางจึงจำใจบอกกับอาจารย์ว่าขอออกไปสูดอากาศข้างนอกสักครู่ม่อโฉวซือไท่รู้ว่านางกำลังหลบอะไรจึงพยักหน้า พร้อมกับกำชับหนึ่งประโยค “หากมีเรื่องอะไรก็กลับมาหาข้าทันที”คำพูดนี้ราวกับกลัวว่านางจะต้องได้รับความอยุติธรรมในจวนจงหย่งโหวอย่างไรอย่างนั้นหลังจากที่เวินซื่อเหลือบมองสีหน้าที่ดูอึดอัดใจของฮูหยินผู้เฒ่า นางก็พยักหน้ารับคำแล้วเดินออกไปนางเองก็รู้ว่าสถานะของตนเองค่อนข้างอึดอัดใจ ดังนั้นจึงไม่ได้เดินไปไหนมาไหนบอกว่าจะไปสูดอากาศที่หน้าประตู นางก็ยืนอยู่แค่หน้าประตูจริงๆ มองออกไปไกลๆ จ้องมองทิวทัศน์ในลานบ้านอย่างเหม่อลอยในขณะที่นางกำลังรู้สึกเบื่ออยู่นั้น นางยังไม่รู้ว่ามีคนกำลังหาเรื่องนางหลังจากที่เวินหย่าลี่ออกจากห้องของฮูหยินผู้เฒ่า ก็ยังคงโกรธไม่หายจึงส่งคนไปแจ้งบุตรชายของตัวเองเดิมทีนางตั้งใจจะบอกบุตรชายว่า วันนี้ก่อนฟ้ามืดอย่าเ
ถึงขั้นเอาอีกฝ่ายมาข่มขู่เวินจื่อเยวี่ย ทำให้เวินจื่อเยวี่ยต้องเลือกระหว่างนางและหลินเนี่ยนฉือแล้วนางสารเลวที่ยังไม่เดินผ่านประตูเข้ามาจะเอาอะไรมาเทียบกับนาง!เวินเยวี่ยโกรธจัดจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ในเสี้ยววินาทีที่ก้มศีรษะลง สายตาอาบยาพิษช่างน่าสะพรึงกลัว“ยุแยงตะแคงรั่ว?”เวินซื่อแค่รู้สึกว่าคำพูดของเวินจื่อเยวี่ยน่าขบขันมาก “มีเพียงคนที่มีหัวใจเท่านั้นถึงจะรู้สึกว่าใคร ๆ ก็เป็นเช่นนี้”นางเหลือบมองเวินเยวี่ยแวบหนึ่งอย่างเฉยชา ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่แยแส “ท่านคิดว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้จะใช้พวกท่านไปก่อกวนความสงบของนางหรือ? ฝันไปเถอะ พวกท่านยังไม่คู่ควร”“เหอะ พูดเสียน่าฟัง ถ้าไม่ใช่เพราะจดหมายที่เจ้าเขียนไปฟ้อง หลินเนี่ยนฉืออยู่ที่อู๋โจวอยู่ดี ๆ จะเข้ามาที่เมืองหลวงทำไม? แล้วยังต้องการถอนหมั้นกับข้าอีก?!”ถึงตอนนี้เวินจื่อเยวี่ยยังคงเชื่อว่าเวินซื่อไปพูดอะไรกับหลินเนี่ยนฉือ ถึงทำให้หลินเนี่ยนฉือทำเช่นนั้น“ท่านคิดว่าข้อมูลในใต้หล้านี้มีสิ่งใดที่สามารถปิดบังได้อย่างนั้นหรือ? จวนเจิ้นกั๋วกงของพวกท่านได้ทำเรื่องที่น่าอับอายขายขี้หน้า ไร้ยางอายมาไม่น้อย แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงตั้งน
อูฐผอมซูบยังตัวใหญ่กว่าม้าการจะทำลายจวนเจิ้นกั๋วกงอันใหญ่โตแห่งนี้โดยอาศัยแมลงเพียงไม่กี่ตัว มันเป็นไปไม่ได้เลยแน่นอน มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิงเพียงแต่ราคาที่ต้องจ่ายนั้นสูงเกินไปอย่างเช่นการหมั้นหมายระหว่างจวนเจิ้นกั๋วกงและสกุลหลินเมื่อจวนเจิ้นกั๋วกงถูกกล่าวหาว่าสมคบคิดกับชาวต่างเผ่า เวินเฉวียนเซิ่งจะต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อชำระล้างให้หลุดพ้นจากข้อกล่าวหานี้และวิธีการที่ดีที่สุดก็ต้องเป็นการดึงผู้คนให้เข้ามาพัวพันมากขึ้นสกุลหลินที่ยังมีการหมั้นหมายกับจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นกลุ่มแรกที่รับศึกหนัก โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างหลินเนี่ยนฉือและเวินซื่อ และจะกลายเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เวินเฉวียนเซิ่งดึงสกุลหลินให้ลงมาพัวพันด้วยดังนั้นก่อนจะยุติการหมั้นหมายระหว่างหลินเนี่ยนฉือและเวินจื่อเยวี่ย เวินซื่อยังไม่สามารถทำอะไรบุ่มบ่ามได้ทว่า ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถแตะต้องจวนเจิ้นกั๋วกงได้ แต่การมีเวินเยวี่ยเพียงคนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องที่เสียหาย“หมั้น...หมั้นหมาย?”ในขณะนี้ เสียงที่สับสนของเวินเยวี่ยก็ดังขึ้นจากทางด้านหลังของ เวินจื่อเยวี่ย“พี่สาม ท่านหมั้นกับใครตั้
“ท่าน…!”เวินเยวี่ยลมแทบจับเมื่อได้ยินที่เวินซื่อพูดนางข่มไฟโทสะเอาไว้ “ธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่คนของกองทัพธงดำเสียหน่อย ให้ท่านมาทำการค้นหา ไม่น่าจะเหมาะสมกระมัง?”เวินเยวี่ยฝืนยิ้ม “ท้ายที่สุดแล้วบุญคุณความแค้นระหว่างพี่หญิงห้ากับเยวี่ยเอ๋อร์นั้นเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งกันทั่วทุกคน ถ้าเกิด…”ประโยคสุดท้ายนี้ไม่ได้พูดออกมาทั้งหมด แต่ก็สามารถเข้าใจทุกอย่างที่ควรเข้าใจถ้าเกิดเวินซื่อเข้าไปวางกลอุบายบางอย่างเพื่อใส่ร้ายนางแล้วจะทำเช่นไร?เวินซื่อหันหน้าไปเผชิญหน้ากับเวินเยวี่ย รอยยิ้มเล็ก ๆ เผยออกมาบนใบหน้าอันบริสุทธิ์ผุดผ่องและงดงามของนาง “ข้าไม่ต่ำช้าไร้ยางอายเหมือนเจ้า”ใบหน้าของเวินเยวี่ยสลดลงเพราะดำด่าของนางทันทีแต่วินาทีต่อมาก็ได้ยินเวินซื่อพูดว่า “แต่ว่านี่มันก็เป็นปัญหาจริง ๆ ในเมื่อคุณหนูหกสกุลเวินเป็นกังวลเช่นนี้ เช่นนั้นข้าธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็ขอยืนค้นหาอยู่ที่ประตูแล้วกัน”ยืนค้นหาอยู่ที่ประตูหรือ?แล้วจะค้นหาอย่างไร?ขณะที่เวินเยวี่ยและคนอื่น ๆ กำลังงุนงง เวินซื่อก็พลิกฝ่ามือ ก่อนจะหยิบขวดหยกขวดหนึ่งออกมาจากกลางฝ่ามือของนางฉางเสี่ยวหานก้าวเข้าไปรับขวดหยกจากมือของเว
“เหลวไหลสิ้นดี!”แววอันตรายฉายผ่านดวงตาอันคมกริบของเวินเฉวียนเซิ่งในทันใดเขาจ้องไปที่รถม้าที่เวินซื่อนั่งอยู่ สายตามองทะลุช่องว่างของม่านหน้าต่าง พลางชี้ตรงไปที่เวินซื่อ “เวินซื่อ เจ้ารู้ไหมว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่? เจ้ากำลังใส่ร้ายขุนนางในราชสำนักซึ่งเป็นความผิดร้ายแรง!”“หากเจ้าไม่สามารถแสดงหลักฐานใด ๆ ได้ ต่อให้เจ้าจะเคยเป็นลูกสาวของข้า ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ เด็ดขาด!”“เจิ้นกั๋วกงไม่จำเป็นต้องใจร้อนขู่ขวัญเช่นนี้”ว่าแล้วเวินซื่อก็ยกมือขึ้นเปิดม่านรถแล้ว เดินออกมาจากด้านในอย่างช้า ๆเสี่ยวหานก้าวไปข้างหน้าอย่างมีไหวพริบ ทำตามสาวใช้เหล่านั้น เอื้อมมือออกไปช่วยประคองธิดาศักดิ์สิทธิ์ของนางลงจากรถม้าช้า ๆหลังจากลงสู่พื้นและยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว เวินซื่อก็เงยหน้าขึ้นมองเวินเฉวียนเซิ่งผ่านกองทัพธงดำ นางยิ้มเล็กน้อย “ถ้าธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่มีหลักฐาน วันนี้จะกล้านำกองกำลังไปปิดล้อมจวนเจิ้นกั๋วกงของท่านได้อย่างไร”การทำงานตามคำสั่งส่วนตัวของอ๋องผู้สำเร็จราชการเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การทำงานตามพระราชโองการของฝ่าบาทก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเวินซื่อยกมือขึ้น รับพระราชโองการจากมือของกองทัพ
ให้อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนมาหนุนหลังนางแล้วอย่างไรต่อ เขาไม่เชื่อว่า อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้สง่างามจะบังคับเขาให้ถอนหมั้นได้อย่างนั้นหรือ!เมื่อเวินเฉวียนเซิ่งได้ยินเวินจื่อเยวี่ยพูด ก็มองเขาแวบหนึ่งอย่างเย็นชา “เจ้าควรคิดหาวิธีช่วยพี่ใหญ่ของเจ้าก่อนดีกว่า ถ้าครั้งนี้พี่ใหญ่ของเจ้าตาย ก็อย่าได้คิดเรื่องหมั้นหมายเลย ข้าเวินเฉวียนเซิ่ง ไม่มีลูกชายที่ใจไม้ไส้ระกำอย่างเจ้า”ใบหน้าของเวินจื่อเยวี่ยขรึมลงทันทีเขารู้ว่าลูกชายคนโปรดของบิดาไม่ใช่เขา แต่เป็นพี่ใหญ่ที่บิดาเลี้ยงดูอย่างสุดชีวิตจิตใจแต่เขานึกไม่ถึงว่ามาถึงขั้นนี้แล้ว บิดาจะยังโหดร้ายถึงเพียงนี้ เอาการหมั้นหมายของเขามาข่มขู่เขาเวินจื่อเยวี่ยไม่ได้พูดอะไรอีกแต่ในขณะนี้ พ่อบ้านนั้นพูดด้วยสีหน้าขมขื่น “ท่านกั๋วกง คุณชายสาม ครั้งนี้ผู้ที่นำกองทัพธงดำมาไม่ใช่ท่านอ๋องขอรับ”เมื่อได้ยินคำพูดนี้เวินเฉวียนเซิ่งก็หันกลับไปหาพ่อบ้าน “ไม่ใช่เป่ยเฉินหยวนหรอกหรือ? แล้วใครล่ะ?”นอกจากฮ่องเต้น้อยและเป่ยเฉินหยวนเองแล้ว ยังมีใครอีกที่สามารถระดมกองทัพธงดำ ถึงขั้นกล้าปิดล้อมจวนเจิ้นกั๋วกงของเขาได้?ขณะที่เวินเฉวียนเซิ่งกำลังครุ่นคิดในหัวว
“เสี่ยวหาน ให้ข้าดูหน้าเจ้าหน่อยสิ”หลังจากขับไล่เวินเฉวียนเซิ่งและเวินจื่อเยวี่ยออกไปแล้ว เวินซื่อก็ดึงฉางเสี่ยวหานเข้ามา“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ตบไม่โดนหน้า ข้าหลบได้นิดหน่อย แค่ตบโดนหัวเท่านั้น”ถึงกระนั้น การตบของเวินจื่อเยวี่ยก็หนักหน่วงมาก จนศีรษะของฉางเสี่ยวหานถึงกับสั่นคลอนในตอนนั้น ใช้เวลาสักพักกว่าจะตอบสนองได้“เจ้าไม่ต้องกังวล การตบครั้งนี้ข้าจะต้องเอาคืนเขาอย่างแรงแน่นอน”สีหน้าของเวินซื่อเคร่งขรึมลง น้ำเสียงไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งฉางเสี่ยวหานลุกขึ้นกล่าวว่า “ไม่ ๆ ๆ ไม่ต้องหรอกธิดาศักดิ์สิทธิ์ เมื่อครู่ท่านช่วยตบคืนแทนเสี่ยวหานแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำอะไรอีกเจ้าค่ะ”ฉางเสี่ยวหานรู้จักคนในเมืองหลวงน้อยมาก แต่หลังจากติดตามเวินซื่อมาเป็นเวลานาน ก็ได้เรียนรู้เรื่องต่าง ๆ มากขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดที่ธิดาศักดิ์สิทธิ์พูดกับสองพ่อลูกคู่นั้นเมื่อครู่ ก็ย่อมสามารถคาดเดาตัวตนของพวกเขาได้อย่างง่ายดายคนหนึ่งคืออดีตบิดาของธิดาศักดิ์สิทธิ์ อีกคนคืออดีตพี่ชายของธิดาศักดิ์สิทธิ์ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานั้นย่ำแย่มากพออยู่แล้ว หากธิดาศักดิ์สิทธิ์ต้องทะเลาะกับพี่ชายหนักขึ้นด้วยเรื่
เขาขบริมฝีปากล่างแน่น กัดปากของตัวเองแตกเหมือนไม่รู้สึกตัว ปล่อยให้เลือดไหลลงจากมุมปากช้า ๆ“หลินเนี่ยนฉือล่ะ?”เวินจื่อเยวี่ยเอ่ยปากถามขึ้นทันใด“ข้าอยากพบนาง”“นางไม่อยากพบท่าน”เวินซื่อเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ“ข้าบอกว่าข้าอยากพบนาง!”เวินจื่อเยวี่ยตวาดลั่นอย่างฉุนเฉียวขึ้นมาทันใด พลางปัดมือของจางเสี่ยวหานออกมือของจางเสี่ยวหานถูกตีเจ็บ ตกใจสะดุ้งโหยง เมื่อนางรู้ตัวก็เอื้อมมือออกไปอีกครั้ง คว้าเพียงหนังสือถอนหมั้นฉบับนั้นไว้ส่วนจี้หยกก็ร่วงลงสู่พื้นดัง “ตุ้บ” ตามมาด้วยเสียงแตกหักดังขึ้น จี้หยกแยกออกเป็นสองส่วนทันทีเวินจื่อเยวี่ยที่ยังอยู่ในอาการฉุนเฉียวเมื่อได้ยินเสียงนี้อย่างกะทันหัน ก็ก้มหน้าลงมอง เกิดความสับสนขึ้นโดยพลันเขารีบเก็บจี้หยกขึ้นมา เมื่อมองดูรอยแตกหักนั้น ก็ไม่อาจยับยั้งไฟโทสะที่อัดอั้นอยู่เต็มอกไว้ได้ เพียงชั่วครู่ก็ระเบิดอารมณ์ใส่ฉางเสี่ยวหาน...“ใครให้เจ้าทำของของข้าพัง! เจ้าอยากตายหรือไง?!”“อะไรนะ? ไม่ใช่ข้า เป็นท่านต่างหากที่ปัดมือของข้าเอง...”“สาวใช้ต่ำต้อยอย่างเจ้ายังกล้าเถียงอีก!”เวินจื่อเยวี่ยลุกพรวดขึ้น สีหน้ามีรอยพยายาท ยกมือขึ้นตบหน้าฉางเส
เวินจื่อเยวี่ยมองเวินเฉวียนเซิ่งอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ท่านพ่อ พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”เวินจื่อเยวี่ยเงียบไปครู่หนึ่ง “เจ้าน่าจะเข้าใจ เจ้าสาม”“ข้าไม่เข้าใจ!”เวินจื่อเยวี่ยตวาดออกมาทันใด พลางจ้องมองไปที่บิดาของเขาอย่างไม่ละสายตาเวินเฉวียนเซิ่งถอนหายใจอีกครั้ง “แค่การหมั้นหมายเท่านั้น พ่อรู้ว่าเจ้าไม่เต็มใจยอมรับ แต่พี่ใหญ่ของเจ้ามีเวลาเหลือไม่มากแล้ว ถ้ายังไม่เอายากลับไปอีก เขาจะต้องตายในไม่ช้า”“เจ้าสาม เจ้าจะทนเห็นพี่ใหญ่ของเจ้าตายไปได้จริงหรือ?”เวินจื่อเยวี่ยที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ของเขาได้ถามด้วยเสียงอันสั่นเครือเล็กน้อย “ก็เลยต้องเสียสละการหมั้นของข้าเพื่อช่วยพี่ใหญ่อย่างนั้นหรือ? ทั้ง ๆ ที่เรายังมีวิธีอื่นอีก แต่ท่านก็ยังยืนกรานที่จะขอร้องเวินซื่อ?!”“ยังมีวิธีอื่นอีกหรือ?”สีหน้าของเวินเฉวียนเซิ่งเย็นชาลง น้ำเสียงแย่มาก “ไม่ว่าจะเป็นบัวหิมะก็ดี เห็ดหลินจือสีม่วงอายุหนึ่งร้อยปีก็ดี หรือหญ้าฝรั่นที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วยซ้ำก็ดี เจ้าคิดว่ามีสิ่งไหนหาง่ายบ้าง?!”“หากพี่ใหญ่ของเจ้ายังยืดเวลาได้อีกครึ่งค่อนเดือน พ่อก็จะไม่รีบร้อนเช่นนี้! แต่นี่พี่ใหญ่ของเจ้าอาจตายได้
นางมองเวินเฉวียนเซิ่งอย่างเย็นชา “ท่านไม่มีคุณสมบัตินี้ตั้งนานแล้ว”“เวินซื่อ! จงระวังท่าทีในการพูดจาของเจ้าด้วย แม้ว่าตอนนี้เจ้าจะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่ความสัมพันธ์พ่อลูกของเจ้ากับพ่อจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลง อย่าลืมว่ายังมีเลือดของสกุลเวินไหลเวียนอยู่ในตัวเจ้า”“ใครบอกว่าเปลี่ยนแปลงไม่ได้?”เวินซื่อยิ้มเยาะ “ความสัมพันธ์นี้จะเปลี่ยนไปในไม่ช้า แต่ตอนนี้ขอวกกลับเข้าประเด็นก่อน ท่านเจิ้นจั๋วกง ท่านยังไม่ได้บอกตัวเลือกของท่านเลย ท่านวางแผนที่จะเลือกใครกันแน่?”ล้มเหลวในการเล่นกับอารมณ์ ล้มเหลวในการข่มขู่กลับมาสู่เงื่อนไขข้อแรกสุดอีกครั้ง สายตาของเวินเฉวียนเซิ่งเย็นชาลงระดับหนึ่งในทันใดเวินซื่อดูเหมือนจะมองไม่เห็นเลย เร่งรัดเขาด้วยอารมณ์ที่ดีมาก“ข้ามีเวลาไม่มากนัก ท่านเจิ้นจั๋วกงรีบตัดสินใจโดยเร็วที่สุดเถอะ มิฉะนั้นก็จะไม่มีการเจรจาใด ๆ อีกแล้ว”นางหันไปมองเวินเฉวียนเซิ่งด้วยรอยยิ้มตาหยี “‘พี่ใหญ่แสนดี’ ของข้าก็น่าจะมีเวลาไม่เพียงพอใช่ไหม?”“ถุย!”เวินจื่อเยวี่ยถ่มน้ำลายใส่นางอย่างรุนแรง “พี่ใหญ่ไม่มีน้องสาวที่ชั่วร้ายอย่างเจ้า!”“ถูกต้อง ข้าชั่วร้าย แต่ก็เทียบไม่ได้กับเว