พอเวินซื่อได้ฟังก็รู้ทันทีว่าเขาต้องการแลกเปลี่ยนอะไรกับนางแต่ก็ไม่รู้ว่าสิ่งของในมือเวินจื่อเยวี่ยจะมีคุณค่าเพียงพอหรือไม่เวินซื่อในขณะนี้ยังไม่รู้ว่าเวินจื่อเยวี่ยเอาสิ่งของอะไรมาเมื่อนางออกไปและได้เห็นว่าวในมือของเวินจื่อเยวี่ยแล้ว นางก็หัวเราะออกมาด้วยความโมโห“นึกไม่ถึงเลยว่าท่านจะเอาว่าวที่ท่านแม่ทำให้ท่านกับมือออกมาจริง ๆ?!”เวินจื่อเยวี่ยเอ่ยด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “ในเมื่อเจ้ารู้ว่าว่าวนี้มีความหมายต่อข้าอย่างไร ข้าก็จะไม่พูดไร้สาระให้มากนัก เจ้าต้องการสิ่งของของท่านแม่มิใช่หรือ? ตอนนี้ข้าจะมอบว่าวตัวนี้ให้กับเจ้า แต่เจ้าต้องส่งตัวน้องหกออกมา”เวินซื่ออดหัวเราะเยาะไม่ได้ “เวินจื่อเยวี่ย ข้านึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าท่านจะทำเพื่อเวินเยวี่ยจนถึงขั้นนี้ ท่านคงไม่ได้คิดจะไม่ยอมรับแม้แต่แม่ของตัวเองเพื่อนางหรอกนะ?”“ข้าไม่ได้ไม่ยอมรับท่านแม่!”เวินจื่อเยวี่ยที่ได้ยินคำพูดนี้ของเวินซื่อก็เอ่ยโต้แย้งทันที“ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าลักพาตัวน้องหกไป ข้าจะไม่มีทางเอาสิ่งของของท่านแม่ออกมาหรอก!”เวินซื่อเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว “ดังนั้นระหว่างแม่ของตัวเองกับคนนอกคนเดียว ท่านก็เลือกคนนอก!”“เ
“เจ้าว่าอะไรนะ?”เวินจื่อเยวี่ยมองเวินซื่ออย่างไม่เชื่อสายตาเวินซื่อพูดซ้ำอย่างเย็นชาอีกรอบหนึ่ง “ข้าบอกว่า ข้าไม่แลก! ตอนนี้ได้ยินชัดเจนหรือยัง? ยังต้องการให้ข้าพูดซ้ำอีกรอบหรือไม่?”“เวินซื่อ! เจ้า...!”ขณะที่เวินจื่อเยวี่ยเรียกชื่อเวินซื่ออีกครั้ง เงาสีดำก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาทันทีเวินจื่อเยวี่ยตกใจในทันใด ชักกริชออกมาโดยสัญชาตญาณ คิดจะป้องกันตัวแต่การเคลื่อนไหวของเขาช้าเกินไปเขาเพิ่งชักกริชออกมาก็ถูกจู๋เยวี่ยปัดมันทิ้งไป จากนั้นจู๋เยวี่ยก็ใช้มืออีกข้างหนึ่งกำหมัด ต่อยหน้าเวินจื่อเยวี่ยอย่างแรง“พลั่ก!”เวินจื่อเยวี่ยโดนต่อยอย่างจังจนล้มลงกับพื้นแต่ไม่รอให้เขาลุกขึ้นโต้ตอบกลับ จู๋เยวี่ยก็ประทับฝ่าเท้าเข้าที่หน้าอกอีกครั้ง ถีบเขากระเด็นออกไปการถีบครั้งนี้ทำให้เวินจื่อเยวี่ยแทบกระอักเลือด“เจ้า...เจ้าเป็นใครกัน?! ถึงกล้าลงไม้ลงมือกับคุณชายอย่างข้า!”เวินจื่อเยวี่ยในเวลานี้ยังไม่แสดงปฏิกิริยาใด ๆเขาพูดว่า “คุณชายอย่างข้า” เพื่อที่จะข่มขู่จู๋เยวี่ยแต่ขณะที่เวินซื่อก้าวเข้ามาทีละก้าวจากทางด้านหลัง เดินเข้ามาหาเวินจื่อเยวี่ยอย่างช้า ๆ จู๋เยวี่ยเข้ามายืนอกผายไหล่ผึ่งอ
โชคดีที่เตรียมตัวไว้ก่อน ไม่เช่นนั้นตอนนี้คงโดนงูพิษตัวนั้นกัดไปแล้ว“ขอถามสักหน่อยได้หรือไม่ ใครเป็นคนแจ้งข้อมูลนี้ให้ท่านทราบ?”ชายวัยกลางคนเสอจิ่วหัวเราะเสียงแหบพร่า “คนทรยศเช่นนี้ข้าเสอจิ่วน่าจะกำจัดเขาให้พ้นไปตั้งแต่เนิ่น ๆ”เวินซื่อคงไม่ทรยศต่อจินซือถูในเวลานี้แน่นอนนางเพียงส่งเสียงยิ้มเยาะ “นายของพวกเจ้าขี้ขลาดเกินไป แค่ข่มขู่ให้ทุกคนตกใจไปอย่างนั้นเอง แค่นี้ยังต้องถามคนอื่นอีกหรือ?”“จุ๊ ๆ คำพูดนี้พูดได้มีเหตุผลมาก”เสอจิ่วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “แต่ข้าอยากรู้มาก ธิดาศักดิ์สิทธิ์ พวกท่านข่มขู่คุณหนูของข้าอย่างไร”ท่าทีที่เขาถามคำถามนี้อย่างยิ้มแย้ม เต็มไปด้วยการแสดงความน่าเกรงขามเหมือนกับวางแผนถามให้กระจ่าง จากนั้นค่อยแก้แค้นให้เวินเยวี่ยอย่างหนักน่าเสียดายต่อให้เขาจะแสดงความน่าเกรงขาม เวินซื่อก็ไม่เกรงกลัวเขาเลย“วิธีการของข้ามีมากมาย หากเจ้าอยากรู้มากละก็ ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะสาธิตให้ดูบนร่างกายของเจ้า”เวินซื่อยิ้มเล็กน้อยเช่นกัน ในดวงตามีแววเย็นชาอย่างเหลือล้น“ช่างมันเถอะ ร่างกายของข้าเสอจิ่วยังมีความลับใหญ่หลวงเก็บซ่อนอยู่ ไม่อาจปล่อยให้ธิดาศักดิ์สิทธิ์สาธิตบ
หลังจากนัดเวลาแลกตัวกันแล้ว เสอจิ่วก็หันหลังเดินจากไปแต่ทันทีที่เขาออกจากเรือนเล็กของเวินซื่อ ก็สังเกตเห็นบางอย่างโดยฉับพลัน พลางหันหน้ามองไปในทิศทางหนึ่งจากนั้นก็เห็นแม่ชีเฒ่าหน้าตาบึ้งตึงผู้หนึ่งยืนอยู่ใต้ประตูพระจันทร์ที่อยู่ไม่ไกลนัก กำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาขุ่นมัวเสอจิ่วไม่เห็นแม่ชีเฒ่าผู้นี้อยู่ในสายตาเขาสะบัดเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง งูหลายตัวก็โผล่หัวออกมาจากใต้เสื้อผ้าของเขา ส่งเสียงขู่ “ฟ่อฟ่อ” ไปทางแม่ชีเฒ่าเสอจิ่วยังนึกว่าจะได้เห็นแม่ชีเฒ่าผู้นั้นตกใจจนเสียขวัญ แต่นึกไม่ถึงว่าสีหน้าของแม่ชีเฒ่าผู้นั้นจะไม่เปลี่ยนแปลงสักนิดเสอจิ่วส่งเสียง “หึ” ในทันที รู้สึกเบื่อหน่ายก่อนจะหันหลังกลับหายเข้าไปในอารามสุ่ยเยว่ในเรือนเล็ก หลังจากที่เสอจิ่วจากไปแล้วจู๋เยวี่ยก็ทำการตรวจสอบทั้งภายในและภายนอกเรือนเล็กจนทั่วการตรวจสอบครั้งนี้ ได้พบงูพิษมากกว่าสิบตัว“เสอจิ่วผู้นี้มาครั้งหนึ่ง เรือนเล็กของข้าหลังนี้ก็แทบจะกลายเป็นรังงูไปแล้ว”หลังจากฆ่างูพิษพวกนั้นหมดแล้ว จู๋เยวี่ยก็รวบรวมซากงูพิษไว้ด้วยกันด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เตรียมจะจัดการเผาพวกมันทิ้งทันทีและในขณะนี้เอง เสียงของม่อโ
คำพูดนี้ดูเหมือนกลัวว่าม่อโฉวซือไท่จะคิดมากเกินไป ดังนั้นจึงตั้งใจอธิบายโดยเฉพาะแต่เหมือนเขายิ่งอธิบายมากเท่าใด ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนอยากปกปิดแต่กลับเปิดเผยกว่าเดิมเวินซื่อเชิดหน้าลุกขึ้นยืน “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ถ้าอย่างนั้นท่านอ๋องรีบเข้ามานั่งก่อนเถิด ข้าจะเข้าไปชงชาร้อน ๆ”นางสาวเท้าวิ่งเข้าไปในห้องอย่างเร่งรีบเหลือเพียงเป่ยเฉินหยวนและม่อโฉวซือไท่อยู่ในเรือนม่อโฉวซือไท่กล่าวอย่างราบเรียบ “ความคิดของท่านอ๋องชัดเจนเกินไป แม้ว่าท่านจะคิดอะไรก็จงสำรวมไว้บ้าง ตอนนี้อู๋โยวยังเป็นคนของอารามสุ่ยเยว่ของเรา ท่านทำเช่นนี้มีแต่จะเป็นผลเสียต่อการบำเพ็ญตนของนางเท่านั้น”เป่ยเฉินหยวนไม่ควรโต้แย้งในขณะนี้จริง ๆหลังจากเขาได้รับจดหมายแล้ว ก็เป็นห่วงมากเหลือเกิน ถึงได้วิ่งมาหาอย่างทนไม่ไหวแต่หลังจากมาถึงแล้ว เมื่อเห็นม่อโฉวซือไท่อยู่ในเรือนเล็ก เขาถึงรู้ตัวว่าการกระทำของตัวเองนั้นบุ่มบ่ามเพียงใดการวิ่งมาหาถึงเรือนสตรีในยามกลางดึก หากถูกใครที่มีเจตนาไม่ดีเห็นเข้า อาจทำให้ชื่อเสียงของอู๋โยวแพร่กระจายออกไปในทางเสื่อมเสียได้เป่ยเฉินหยวนเอ่ยขึ้นมาอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “เป็นความผิดของข
หลังจากที่เป่ยเฉินหยวนกลับไปแล้ว เวินซื่อก็กลับเข้ามาในมิติอีกครั้งแต่คราวนี้นางไม่ได้ไปหาเวินเยวี่ยอีกอีกสามวันก็จะเป็นเวลาแลกตัวภายในสามวันนี้ นางจำเป็นต้องตระเตรียมการบางอย่างก่อนโดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องรับมือกับชายวัยกลางคนผู้นั้นที่มีนามว่าเสอจิ่วอีกฝ่ายชำนาญเรื่องการใช้พิษ เรื่องนี้อาจารย์ของนางสามารถรับมือได้แต่อีกฝ่ายยังสามารถควบคุมงูได้อีกซ้ำยังเป็นงูพิษร้ายแรงอีกด้วยเรื่องนี้หากยังไม่คิดหาวิธีแก้ไข ถึงเวลานั้นพวกนางก็จะยิ่งเป็นฝ่ายถูกกระทำเพราะถึงอย่างไรต่อให้ไม่เกรงกลัว ก็ยังกลัวถูกงูกัดอยู่ดีดังนั้นหลังจากกลับเข้ามาในมิติแล้ว เวินซื่อจึงขึ้นไปบนชั้นสองก่อนตอนนี้ที่นี่ไม่เพียงแต่มีพวกสมุนไพรที่มีความเป็นพิษวางอยู่เท่านั้น แต่ยังมีแมลงพิษอีกหลายตัวด้วยมีมดคันไฟ มีคางคก แล้วยังมีแมงมุมพิษจำนวนหนึ่งอีกด้วยแต่หลังจากที่เวินซื่อกวาดสายตามองพวกมันแล้ว สุดท้ายก็ไปหยุดอยู่ที่แมงป่องกว่าสิบตัวในมุมหนึ่งถ้าให้บอกว่าพิษที่ร้ายแรงที่สุดในบรรดาสัตว์มีพิษทั้งห้า ก็ต้องเป็นแมงป่องที่เป็นผู้นำของสัตว์มีพิษทั้งห้าอยู่แล้วไม่ใช่เพราะพิษบนตัวพวกมันเท่านั้น แต่ยังเป็น
เวินจื่อเฉินที่คิดถึงน้องสาวมากจริง ๆ ไม่อยากยอมแพ้ จึงไล่ตามไปอีกครั้ง การไล่ตามครั้งนี้ถึงได้สังเกตเห็นว่า ทิศทางที่น้องสาวของเขาต้องการไปไม่ใช่เมืองหลวง และไม่ใช่หมู่บ้านสองแห่งที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงหลังจากรออยู่สักพักใหญ่ ถึงมองเห็นว่าไม่ไกลจากถนนข้างหน้ามีศาลาพักร้อนหลังหนึ่งที่มีไว้ให้ผู้คนที่สัญจรไปมาได้หยุดพัก เวินจื่อเฉินมองไปที่ศาลาพักร้อนหลังนั้นจากระยะไกล “ศาลาปี้เยวี่ย? พวกน้องหญิงมาทำอะไรที่นี่?”ขณะที่เขากำลังงุนงงอยู่นั้น ก็สังเกตเห็นคนสามคนที่สวมเสื้อผ้าผิดแผกไปเดินออกมาจากอีกด้านหนึ่งของศาลาปี้เยวี่ยเวินจื่อเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อยทันที พลางหยุดฝีเท้าลงเขาที่รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ วิ่งไปที่ซ่อนตัวที่หลังต้นไม้ใหญ่เงียบ ๆ จากนั้นก็โผล่หัวออกมามองไปทางด้านนั้น“เวินจื่อเฉินตามมาแล้ว”ม่อโฉวซือไท่ชำเลืองมองผ่านหางตาไปทางด้านหลัง พลางเอ่ยเตือนเวินซื่อเวินซื่อไม่ได้มองไปทางด้านหลังเลย พลางเอ่ยอย่างราบเรียบ “ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ขอเพียงอีกประเดี๋ยวไม่ออกมาขัดขวางข้าก็พอ”ม่อโฉวซือไท่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีกอาจารย์กับศิษย์จดจ่ออยู่ที่การรับมือกับเสอจิ่วและพวกทั้ง
“อื้อ?! อื้อ ๆ ๆ!”เสอจิ่ว?เสอจิ่วมาแล้ว!ในที่สุดพวกเขาก็มาช่วยข้าแล้ว!เวินซื่อนังตัวแสบสมควรตาย วันตายของนางใกล้เข้ามาแล้ว!เวินเยวี่ยแทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจน่าเสียดายหากไม่ได้อยู่ในกำมือของเวินซื่อ ตอนนี้นางคงอยากปรี่เข้าไปตรงที่มีเสียงของเสอจิ่วในทันทีเวินเยวี่ยที่ถูกปิดตาไว้มองอะไรไม่เห็นเลย ทำได้เพียงแยกแยะสถานการณ์ตรงหน้าโดยอาศัยเสียงที่เพิ่งได้ยิน“เวินซื่อ!”เมื่อเสอจิ่วและคนอื่น ๆ เห็นเวินเยวี่ยที่มีสภาพอันน่าเวทนาในเวลานี้ ก็อดไม่ได้ที่จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่นอน ยกเว้นจินซือถูเขาอาจเป็นคนผ่าเหล่าเพียงคนเดียวในสามคนที่รู้สึกว่าฉากนี้เป็นที่น่าพึงพอใจของทุกคนน่าเสียดายที่ตอนนี้อยู่ต่อหน้าสองคนนั้น เขายังต้องเสแสร้งอยู่ดังนั้นก่อนที่เสอจิ่วและคนอื่น ๆ จะได้เอ่ยปาก เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองกลั้นหัวเราะไม่อยู่ จึงคำรามลั่นด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว “ท่านก็ไม่รักษาคำพูดเลย เหตุใดถึงปฏิบัติต่อคุณหนูเวินเยวี่ยของเราเช่นนี้? ดูสภาพของนางในตอนนี้สิ ท่านทำอะไรกับนางกันแน่?!”ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ก็ทำได้ดีทีเดียว!เวินซื่อเหลือบมองเขา สังเกตเห็นความชื่นชมที่หลบซ่
ถึงขั้นเอาอีกฝ่ายมาข่มขู่เวินจื่อเยวี่ย ทำให้เวินจื่อเยวี่ยต้องเลือกระหว่างนางและหลินเนี่ยนฉือแล้วนางสารเลวที่ยังไม่เดินผ่านประตูเข้ามาจะเอาอะไรมาเทียบกับนาง!เวินเยวี่ยโกรธจัดจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ในเสี้ยววินาทีที่ก้มศีรษะลง สายตาอาบยาพิษช่างน่าสะพรึงกลัว“ยุแยงตะแคงรั่ว?”เวินซื่อแค่รู้สึกว่าคำพูดของเวินจื่อเยวี่ยน่าขบขันมาก “มีเพียงคนที่มีหัวใจเท่านั้นถึงจะรู้สึกว่าใคร ๆ ก็เป็นเช่นนี้”นางเหลือบมองเวินเยวี่ยแวบหนึ่งอย่างเฉยชา ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่แยแส “ท่านคิดว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้จะใช้พวกท่านไปก่อกวนความสงบของนางหรือ? ฝันไปเถอะ พวกท่านยังไม่คู่ควร”“เหอะ พูดเสียน่าฟัง ถ้าไม่ใช่เพราะจดหมายที่เจ้าเขียนไปฟ้อง หลินเนี่ยนฉืออยู่ที่อู๋โจวอยู่ดี ๆ จะเข้ามาที่เมืองหลวงทำไม? แล้วยังต้องการถอนหมั้นกับข้าอีก?!”ถึงตอนนี้เวินจื่อเยวี่ยยังคงเชื่อว่าเวินซื่อไปพูดอะไรกับหลินเนี่ยนฉือ ถึงทำให้หลินเนี่ยนฉือทำเช่นนั้น“ท่านคิดว่าข้อมูลในใต้หล้านี้มีสิ่งใดที่สามารถปิดบังได้อย่างนั้นหรือ? จวนเจิ้นกั๋วกงของพวกท่านได้ทำเรื่องที่น่าอับอายขายขี้หน้า ไร้ยางอายมาไม่น้อย แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงตั้งน
อูฐผอมซูบยังตัวใหญ่กว่าม้าการจะทำลายจวนเจิ้นกั๋วกงอันใหญ่โตแห่งนี้โดยอาศัยแมลงเพียงไม่กี่ตัว มันเป็นไปไม่ได้เลยแน่นอน มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิงเพียงแต่ราคาที่ต้องจ่ายนั้นสูงเกินไปอย่างเช่นการหมั้นหมายระหว่างจวนเจิ้นกั๋วกงและสกุลหลินเมื่อจวนเจิ้นกั๋วกงถูกกล่าวหาว่าสมคบคิดกับชาวต่างเผ่า เวินเฉวียนเซิ่งจะต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อชำระล้างให้หลุดพ้นจากข้อกล่าวหานี้และวิธีการที่ดีที่สุดก็ต้องเป็นการดึงผู้คนให้เข้ามาพัวพันมากขึ้นสกุลหลินที่ยังมีการหมั้นหมายกับจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นกลุ่มแรกที่รับศึกหนัก โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างหลินเนี่ยนฉือและเวินซื่อ และจะกลายเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เวินเฉวียนเซิ่งดึงสกุลหลินให้ลงมาพัวพันด้วยดังนั้นก่อนจะยุติการหมั้นหมายระหว่างหลินเนี่ยนฉือและเวินจื่อเยวี่ย เวินซื่อยังไม่สามารถทำอะไรบุ่มบ่ามได้ทว่า ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถแตะต้องจวนเจิ้นกั๋วกงได้ แต่การมีเวินเยวี่ยเพียงคนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องที่เสียหาย“หมั้น...หมั้นหมาย?”ในขณะนี้ เสียงที่สับสนของเวินเยวี่ยก็ดังขึ้นจากทางด้านหลังของ เวินจื่อเยวี่ย“พี่สาม ท่านหมั้นกับใครตั้
“ท่าน…!”เวินเยวี่ยลมแทบจับเมื่อได้ยินที่เวินซื่อพูดนางข่มไฟโทสะเอาไว้ “ธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่คนของกองทัพธงดำเสียหน่อย ให้ท่านมาทำการค้นหา ไม่น่าจะเหมาะสมกระมัง?”เวินเยวี่ยฝืนยิ้ม “ท้ายที่สุดแล้วบุญคุณความแค้นระหว่างพี่หญิงห้ากับเยวี่ยเอ๋อร์นั้นเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งกันทั่วทุกคน ถ้าเกิด…”ประโยคสุดท้ายนี้ไม่ได้พูดออกมาทั้งหมด แต่ก็สามารถเข้าใจทุกอย่างที่ควรเข้าใจถ้าเกิดเวินซื่อเข้าไปวางกลอุบายบางอย่างเพื่อใส่ร้ายนางแล้วจะทำเช่นไร?เวินซื่อหันหน้าไปเผชิญหน้ากับเวินเยวี่ย รอยยิ้มเล็ก ๆ เผยออกมาบนใบหน้าอันบริสุทธิ์ผุดผ่องและงดงามของนาง “ข้าไม่ต่ำช้าไร้ยางอายเหมือนเจ้า”ใบหน้าของเวินเยวี่ยสลดลงเพราะดำด่าของนางทันทีแต่วินาทีต่อมาก็ได้ยินเวินซื่อพูดว่า “แต่ว่านี่มันก็เป็นปัญหาจริง ๆ ในเมื่อคุณหนูหกสกุลเวินเป็นกังวลเช่นนี้ เช่นนั้นข้าธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็ขอยืนค้นหาอยู่ที่ประตูแล้วกัน”ยืนค้นหาอยู่ที่ประตูหรือ?แล้วจะค้นหาอย่างไร?ขณะที่เวินเยวี่ยและคนอื่น ๆ กำลังงุนงง เวินซื่อก็พลิกฝ่ามือ ก่อนจะหยิบขวดหยกขวดหนึ่งออกมาจากกลางฝ่ามือของนางฉางเสี่ยวหานก้าวเข้าไปรับขวดหยกจากมือของเว
“เหลวไหลสิ้นดี!”แววอันตรายฉายผ่านดวงตาอันคมกริบของเวินเฉวียนเซิ่งในทันใดเขาจ้องไปที่รถม้าที่เวินซื่อนั่งอยู่ สายตามองทะลุช่องว่างของม่านหน้าต่าง พลางชี้ตรงไปที่เวินซื่อ “เวินซื่อ เจ้ารู้ไหมว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่? เจ้ากำลังใส่ร้ายขุนนางในราชสำนักซึ่งเป็นความผิดร้ายแรง!”“หากเจ้าไม่สามารถแสดงหลักฐานใด ๆ ได้ ต่อให้เจ้าจะเคยเป็นลูกสาวของข้า ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ เด็ดขาด!”“เจิ้นกั๋วกงไม่จำเป็นต้องใจร้อนขู่ขวัญเช่นนี้”ว่าแล้วเวินซื่อก็ยกมือขึ้นเปิดม่านรถแล้ว เดินออกมาจากด้านในอย่างช้า ๆเสี่ยวหานก้าวไปข้างหน้าอย่างมีไหวพริบ ทำตามสาวใช้เหล่านั้น เอื้อมมือออกไปช่วยประคองธิดาศักดิ์สิทธิ์ของนางลงจากรถม้าช้า ๆหลังจากลงสู่พื้นและยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว เวินซื่อก็เงยหน้าขึ้นมองเวินเฉวียนเซิ่งผ่านกองทัพธงดำ นางยิ้มเล็กน้อย “ถ้าธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่มีหลักฐาน วันนี้จะกล้านำกองกำลังไปปิดล้อมจวนเจิ้นกั๋วกงของท่านได้อย่างไร”การทำงานตามคำสั่งส่วนตัวของอ๋องผู้สำเร็จราชการเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การทำงานตามพระราชโองการของฝ่าบาทก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเวินซื่อยกมือขึ้น รับพระราชโองการจากมือของกองทัพ
ให้อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนมาหนุนหลังนางแล้วอย่างไรต่อ เขาไม่เชื่อว่า อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้สง่างามจะบังคับเขาให้ถอนหมั้นได้อย่างนั้นหรือ!เมื่อเวินเฉวียนเซิ่งได้ยินเวินจื่อเยวี่ยพูด ก็มองเขาแวบหนึ่งอย่างเย็นชา “เจ้าควรคิดหาวิธีช่วยพี่ใหญ่ของเจ้าก่อนดีกว่า ถ้าครั้งนี้พี่ใหญ่ของเจ้าตาย ก็อย่าได้คิดเรื่องหมั้นหมายเลย ข้าเวินเฉวียนเซิ่ง ไม่มีลูกชายที่ใจไม้ไส้ระกำอย่างเจ้า”ใบหน้าของเวินจื่อเยวี่ยขรึมลงทันทีเขารู้ว่าลูกชายคนโปรดของบิดาไม่ใช่เขา แต่เป็นพี่ใหญ่ที่บิดาเลี้ยงดูอย่างสุดชีวิตจิตใจแต่เขานึกไม่ถึงว่ามาถึงขั้นนี้แล้ว บิดาจะยังโหดร้ายถึงเพียงนี้ เอาการหมั้นหมายของเขามาข่มขู่เขาเวินจื่อเยวี่ยไม่ได้พูดอะไรอีกแต่ในขณะนี้ พ่อบ้านนั้นพูดด้วยสีหน้าขมขื่น “ท่านกั๋วกง คุณชายสาม ครั้งนี้ผู้ที่นำกองทัพธงดำมาไม่ใช่ท่านอ๋องขอรับ”เมื่อได้ยินคำพูดนี้เวินเฉวียนเซิ่งก็หันกลับไปหาพ่อบ้าน “ไม่ใช่เป่ยเฉินหยวนหรอกหรือ? แล้วใครล่ะ?”นอกจากฮ่องเต้น้อยและเป่ยเฉินหยวนเองแล้ว ยังมีใครอีกที่สามารถระดมกองทัพธงดำ ถึงขั้นกล้าปิดล้อมจวนเจิ้นกั๋วกงของเขาได้?ขณะที่เวินเฉวียนเซิ่งกำลังครุ่นคิดในหัวว
“เสี่ยวหาน ให้ข้าดูหน้าเจ้าหน่อยสิ”หลังจากขับไล่เวินเฉวียนเซิ่งและเวินจื่อเยวี่ยออกไปแล้ว เวินซื่อก็ดึงฉางเสี่ยวหานเข้ามา“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ตบไม่โดนหน้า ข้าหลบได้นิดหน่อย แค่ตบโดนหัวเท่านั้น”ถึงกระนั้น การตบของเวินจื่อเยวี่ยก็หนักหน่วงมาก จนศีรษะของฉางเสี่ยวหานถึงกับสั่นคลอนในตอนนั้น ใช้เวลาสักพักกว่าจะตอบสนองได้“เจ้าไม่ต้องกังวล การตบครั้งนี้ข้าจะต้องเอาคืนเขาอย่างแรงแน่นอน”สีหน้าของเวินซื่อเคร่งขรึมลง น้ำเสียงไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งฉางเสี่ยวหานลุกขึ้นกล่าวว่า “ไม่ ๆ ๆ ไม่ต้องหรอกธิดาศักดิ์สิทธิ์ เมื่อครู่ท่านช่วยตบคืนแทนเสี่ยวหานแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำอะไรอีกเจ้าค่ะ”ฉางเสี่ยวหานรู้จักคนในเมืองหลวงน้อยมาก แต่หลังจากติดตามเวินซื่อมาเป็นเวลานาน ก็ได้เรียนรู้เรื่องต่าง ๆ มากขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดที่ธิดาศักดิ์สิทธิ์พูดกับสองพ่อลูกคู่นั้นเมื่อครู่ ก็ย่อมสามารถคาดเดาตัวตนของพวกเขาได้อย่างง่ายดายคนหนึ่งคืออดีตบิดาของธิดาศักดิ์สิทธิ์ อีกคนคืออดีตพี่ชายของธิดาศักดิ์สิทธิ์ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานั้นย่ำแย่มากพออยู่แล้ว หากธิดาศักดิ์สิทธิ์ต้องทะเลาะกับพี่ชายหนักขึ้นด้วยเรื่
เขาขบริมฝีปากล่างแน่น กัดปากของตัวเองแตกเหมือนไม่รู้สึกตัว ปล่อยให้เลือดไหลลงจากมุมปากช้า ๆ“หลินเนี่ยนฉือล่ะ?”เวินจื่อเยวี่ยเอ่ยปากถามขึ้นทันใด“ข้าอยากพบนาง”“นางไม่อยากพบท่าน”เวินซื่อเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ“ข้าบอกว่าข้าอยากพบนาง!”เวินจื่อเยวี่ยตวาดลั่นอย่างฉุนเฉียวขึ้นมาทันใด พลางปัดมือของจางเสี่ยวหานออกมือของจางเสี่ยวหานถูกตีเจ็บ ตกใจสะดุ้งโหยง เมื่อนางรู้ตัวก็เอื้อมมือออกไปอีกครั้ง คว้าเพียงหนังสือถอนหมั้นฉบับนั้นไว้ส่วนจี้หยกก็ร่วงลงสู่พื้นดัง “ตุ้บ” ตามมาด้วยเสียงแตกหักดังขึ้น จี้หยกแยกออกเป็นสองส่วนทันทีเวินจื่อเยวี่ยที่ยังอยู่ในอาการฉุนเฉียวเมื่อได้ยินเสียงนี้อย่างกะทันหัน ก็ก้มหน้าลงมอง เกิดความสับสนขึ้นโดยพลันเขารีบเก็บจี้หยกขึ้นมา เมื่อมองดูรอยแตกหักนั้น ก็ไม่อาจยับยั้งไฟโทสะที่อัดอั้นอยู่เต็มอกไว้ได้ เพียงชั่วครู่ก็ระเบิดอารมณ์ใส่ฉางเสี่ยวหาน...“ใครให้เจ้าทำของของข้าพัง! เจ้าอยากตายหรือไง?!”“อะไรนะ? ไม่ใช่ข้า เป็นท่านต่างหากที่ปัดมือของข้าเอง...”“สาวใช้ต่ำต้อยอย่างเจ้ายังกล้าเถียงอีก!”เวินจื่อเยวี่ยลุกพรวดขึ้น สีหน้ามีรอยพยายาท ยกมือขึ้นตบหน้าฉางเส
เวินจื่อเยวี่ยมองเวินเฉวียนเซิ่งอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ท่านพ่อ พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”เวินจื่อเยวี่ยเงียบไปครู่หนึ่ง “เจ้าน่าจะเข้าใจ เจ้าสาม”“ข้าไม่เข้าใจ!”เวินจื่อเยวี่ยตวาดออกมาทันใด พลางจ้องมองไปที่บิดาของเขาอย่างไม่ละสายตาเวินเฉวียนเซิ่งถอนหายใจอีกครั้ง “แค่การหมั้นหมายเท่านั้น พ่อรู้ว่าเจ้าไม่เต็มใจยอมรับ แต่พี่ใหญ่ของเจ้ามีเวลาเหลือไม่มากแล้ว ถ้ายังไม่เอายากลับไปอีก เขาจะต้องตายในไม่ช้า”“เจ้าสาม เจ้าจะทนเห็นพี่ใหญ่ของเจ้าตายไปได้จริงหรือ?”เวินจื่อเยวี่ยที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ของเขาได้ถามด้วยเสียงอันสั่นเครือเล็กน้อย “ก็เลยต้องเสียสละการหมั้นของข้าเพื่อช่วยพี่ใหญ่อย่างนั้นหรือ? ทั้ง ๆ ที่เรายังมีวิธีอื่นอีก แต่ท่านก็ยังยืนกรานที่จะขอร้องเวินซื่อ?!”“ยังมีวิธีอื่นอีกหรือ?”สีหน้าของเวินเฉวียนเซิ่งเย็นชาลง น้ำเสียงแย่มาก “ไม่ว่าจะเป็นบัวหิมะก็ดี เห็ดหลินจือสีม่วงอายุหนึ่งร้อยปีก็ดี หรือหญ้าฝรั่นที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วยซ้ำก็ดี เจ้าคิดว่ามีสิ่งไหนหาง่ายบ้าง?!”“หากพี่ใหญ่ของเจ้ายังยืดเวลาได้อีกครึ่งค่อนเดือน พ่อก็จะไม่รีบร้อนเช่นนี้! แต่นี่พี่ใหญ่ของเจ้าอาจตายได้
นางมองเวินเฉวียนเซิ่งอย่างเย็นชา “ท่านไม่มีคุณสมบัตินี้ตั้งนานแล้ว”“เวินซื่อ! จงระวังท่าทีในการพูดจาของเจ้าด้วย แม้ว่าตอนนี้เจ้าจะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่ความสัมพันธ์พ่อลูกของเจ้ากับพ่อจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลง อย่าลืมว่ายังมีเลือดของสกุลเวินไหลเวียนอยู่ในตัวเจ้า”“ใครบอกว่าเปลี่ยนแปลงไม่ได้?”เวินซื่อยิ้มเยาะ “ความสัมพันธ์นี้จะเปลี่ยนไปในไม่ช้า แต่ตอนนี้ขอวกกลับเข้าประเด็นก่อน ท่านเจิ้นจั๋วกง ท่านยังไม่ได้บอกตัวเลือกของท่านเลย ท่านวางแผนที่จะเลือกใครกันแน่?”ล้มเหลวในการเล่นกับอารมณ์ ล้มเหลวในการข่มขู่กลับมาสู่เงื่อนไขข้อแรกสุดอีกครั้ง สายตาของเวินเฉวียนเซิ่งเย็นชาลงระดับหนึ่งในทันใดเวินซื่อดูเหมือนจะมองไม่เห็นเลย เร่งรัดเขาด้วยอารมณ์ที่ดีมาก“ข้ามีเวลาไม่มากนัก ท่านเจิ้นจั๋วกงรีบตัดสินใจโดยเร็วที่สุดเถอะ มิฉะนั้นก็จะไม่มีการเจรจาใด ๆ อีกแล้ว”นางหันไปมองเวินเฉวียนเซิ่งด้วยรอยยิ้มตาหยี “‘พี่ใหญ่แสนดี’ ของข้าก็น่าจะมีเวลาไม่เพียงพอใช่ไหม?”“ถุย!”เวินจื่อเยวี่ยถ่มน้ำลายใส่นางอย่างรุนแรง “พี่ใหญ่ไม่มีน้องสาวที่ชั่วร้ายอย่างเจ้า!”“ถูกต้อง ข้าชั่วร้าย แต่ก็เทียบไม่ได้กับเว