ตาเฒ่าหลานรีบวิ่งโงนเงนออกมา เปิดประตูแล้วพุ่งไปตรงหน้าเวินซื่อใบหน้าที่แก่ชราไม่รู้ว่ามีน้ำตาไหลรินตั้งแต่เมื่อใด เขามองเวินซื่อตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ ในดวงตาเต็มไปด้วยความอาวรณ์และโศกเศร้าผ่านไปสักครู่ เขาถึงได้ส่ายหน้าเชื่องช้า แล้วตื่นขึ้นจากความเพ้อฝันชั่ววูบ “เจ้าไม่ใช่คุณหนูใหญ่ เจ้าไม่ใช่นาง...”คุณหนูใหญ่สกุลหลานของพวกเขาได้ตายไปแล้วไม่อาจกลับมาได้อีกแล้วตาเฒ่าหลานพึมพำ “คิดว่า เจ้าน่าจะเป็นลูกสาวของคุณหนูใหญ่ คงเป็นคุณหนูเวินซื่อสินะ?”เวินซื่อพยักหน้า “ข้าเอง ไม่ทราบว่าท่านคือ...?”นางยังไม่รู้จักสถานะของตาเฒ่าหลาน และไม่รู้ว่าควรเรียกขานเขาว่าอย่างไรตาเฒ่าหลานยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา ต่อมาทันใดนั้นเขาคุกเข่าลงตรงหน้าเวินซื่อ “หลานถงเซิงคารวะคุณหนูเวินซื่อ ตอนนั้นได้รับความเมตตาจากนายท่าน จึงเป็นพ่อบ้านอยู่ในสกุลหลานหลายสิบปี”เขาเป็นบ่าวในเรือนเบี้ยของสกุลหลาน ทว่าโชคดีที่เกิดวันเดือนปีเดียวกันกับนายท่าน ดังนั้นนายท่านผู้เฒ่าจึงประทานชื่อถงเซิงให้ กระทั่งประทานชื่อแซ่หลานให้เขาดังนั้นหลังจากสกุลหลานสิ้นไปแล้ว เขายังคงใช้แซ่ว่าหลาน ไม่อยากจะลืมผู้เป็นนายในอดีตแ
ตาเฒ่าหลานที่ได้ยินดังนั้นแปลกใจเล็กน้อย “คุณหนูเวินซื่อพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? หรือเจิ้นกั๋วกงนั่นไล่ท่านออกจากสกุลเวินจริงหรือ?!”เมื่อพูดมาถึงประโยคสุดท้าย ตาเฒ่าหลานเสียงดังขึ้นทันควัน อารมณ์ฉุนเฉียวเวินซื่อส่ายหน้า “ท่านลุงหลานอย่าโมโห เขาไม่ได้ไล่ข้าออกมา แต่ข้าออกมาเองต่างหาก”“เกิดเรื่องใดขึ้นหรือ? ครอบครัวเดียวกันแท้ๆ เหตุใดจึงต้องไปล่ะ?”ตาเฒ่าหลานมองเวินซื่อด้วยสีหน้ากังวลท่าทางจริงใจเช่นนั้นทำให้เวินซื่ออบอุ่นในใจหลังครุ่นคิด นางไม่ได้เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในสกุลเวินให้ฟัง เลือกเล่าเพียงเรื่องที่ไม่สำคัญให้ตาเฒ่าหลานฟังเท่านั้น“เกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ตอนนี้ข้าหลุดพ้นจากสกุลเวินแล้ว แม้จะออกบวชเป็นชี แต่ได้รับพระเมตตาจากฝ่าบาท ได้รับแต่งตั้งเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ ถือว่าดีมากแล้ว”ดีมากอะไรกัน!บ่อน้ำตาตาเฒ่าหลานเกือบแตกอีกครั้งคุณหนูน้อยของเขาทั้งคน ตอนนี้กลับต้องออกบวชเป็นนางชีเสียแล้วหากไม่ใช่เพราะถูกรังแกอย่างหนักในสกุลเวิน แล้วจะยินดีออกบวชเป็นชี เพื่อออกมาจากสกุลเวินได้อย่างไร? !“ข้ารู้อยู่แล้ว เจ้าเวินเฉวียนเซิ่งนั
“อู๋โยว อย่าเสียใจเพราะคนที่ไม่รักท่านเพียงคนเดียว”เป่ยเฉินหยวนมองดูน้ำตาที่ไหลรินจากหางตาเวินซื่อ หลังจากยกมือเช็ดให้นางอย่างแผ่วเบา จึงกล่าวอย่างสงสาร “เพราะเขาไม่คู่ควร”คำพูดนี้พูดไปถึงกลางใจของเวินซื่อทันที“ท่านพูดถูก เขาไม่คู่ควร!”เวินซื่อสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเก็บความโศกเศร้าไว้ในใจ“คุณหนูน้อย อย่าเสียใจ แม้ท่านจะไม่ใช่บุตรสาวสกุลเวินอีกแล้ว แต่ท่านเป็นบุตรสาวสกุลหลาน ท่านเป็นสายเลือดของคุณหนูใหญ่”แน่นอนว่าเป็นคนสกุลหลานที่แท้จริงหลังจากเรื่องเจ็บปวดจบลง ตาเฒ่าหลานก็ดีใจเพราะเรื่องนี้มากเดิมทีนึกว่าคนสกุลหลานจะไม่มีทายาทแล้ว แต่ตอนนี้เมื่อมีคุณหนูน้อย สกุลหลานมีทายาทแล้ว!“ท่านลุงหลาน ท่านพูดถูก ข้าหลุดพ้นจากสกุลเวินแล้ว แต่ยังไม่ออกจากสกุลหลาน”เมื่อก่อนเพราะคนฝั่งท่านตาเกิดเรื่องแต่แรก จึงทำให้ความสัมพันธ์ของนางกับสกุลท่านตาไม่ลึกซึ้งแต่ตอนนี้นางรู้สึกมีที่พึ่งพิงขึ้นมาอย่างประหลาดนางเป็นลูกสาวหลานจื่อจวิน แน่นอนว่าต้องแซ่หลานด้วยเวินซื่อยิ้มพร้อมกล่าว “เจิ้นกั๋วกงลบชื่อข้าออกจากบันทึกลำดับญาติตระกูลเวินพอดี ตอนนี้ต่อให้ข้าจะนำชื่อเข้าบันทึกลำดับญาติ ก็ต้
ยังจำเป่ยเฉินซื่อจื่อเพียงคนเดียวหลังจากตระกูลถูกฆ่าล้างตระกูลได้ตาเฒ่าหลานหัวเราะเสียงดัง “ฮ่าๆ ๆ ๆ ช่างเป็นวาสนาต่อกัน นึกไม่ถึงว่าหลังจากผ่านมานานหลายปี สกุลหลานกับจวนเป่ยเฉินอ๋องจะกลับมาผูกสัมพันธ์กันอีกครั้ง”“สกุลหลาน...กับสัมพันธ์จวนเป่ยเฉินอ๋อง?”เป่ยเฉินหยวนสงสัยเล็กน้อยเพราะตอนจวนเป่ยเฉินอ๋องถูกฆ่าล้างตระกูล เขาเพิ่งคลอด เพราะฉะนั้นจึงไม่รู้เรื่องราวมากมายเกี่ยวกับจวนเป่ยเฉินอ๋องในอดีตแต่ฟังจากคำพูดของพ่อบ้านเฒ่าสกุลหลาน ดูเหมือนเขาจะรู้อะไรบางอย่าง“ถูกต้อง มารดาของพระองค์กับคุณหนูใหญ่ของพวกเราเป็นสหายกัน ตอนนั้นทั้งสองคนสนิทกันมาก มักไปมาหาสู่กัน ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างสกุลหลานกับจวนเป่ยเฉินอ๋องจึงดีมากพ่ะย่ะค่ะ”ขณะที่ฟังคำพูดของตาเฒ่าหลาน เวินซื่อและเป่ยเฉินหยวนหันไปสบตาอีกฝ่ายตาเฒ่าหลานหัวเราะชอบใจ “กระทั่งก่อนที่พระองค์และคุณหนูน้อยจะคลอด คุณหนูใหญ่และพระชายายังเคยหมั้นหมายพวกท่านไว้ตั้งแต่อยู่ในท้อง ดูว่าใครคลอดเด็กชายใครคลอดเด็กหญิง แม้แต่ของแทนใจก็ยังมี”แม้แต่สวรรค์ยังเข้าข้างข้า!เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ เป่ยเฉินหยวนแทบจะหัวเราะออกมาเขานึกไม่ถึง
“นี่มัน...”“ห้องลับแห่งนี้ ตาแก่อย่างข้าขุดขึ้นมาเมื่อสิบกว่าปีก่อน เพราะสิ่งของที่นายท่านเก็บไว้มีมากเกินไป อีกทั้งล้ำค่า ไม่กล้าเอาไว้ในหมู่บ้าน กลัวใครจะมาเห็นเข้า ดังนั้นข้าจึงขนย้ายสิ่งของเหล่านั้นมาซ่อนไว้ในป่าแห่งนี้ทีละน้อย”ตาเฒ่าหลานเช็ดฝุ่นบนชั้นหนังสืออย่างระมัดระวังเวินซื่อเดินเข้าไป ค่อยๆ กวาดมองสิ่งของในห้องลับหนึ่งรอบสมบัติที่สกุลหลานเก็บไว้มีไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นหนังสือที่เคยอยู่ในหอหนังสือสกุลหลาน“นึกถึงยามนั้น สกุลใหญ่ร้อยปีในเมืองหลวง มีจอหงวนถึงสามรุ่น ในยามรุ่งโรจน์ไม่มีสกุลใดเทียบเคียง ยามนั้นไม่รู้มีผู้ศึกษาเล่าเรียนมากน้อยเพียงใดแก่งแย่งกันเพื่อให้ได้หนังสือเขียนมือของนายท่านผู้เฒ่า ตอนนี้ของเหล่านั้นกลับต้องมาอยู่ในห้องลับที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันตั้งสิบกว่าปี”หากวันนี้ไม่ใช่เพราะเวินซื่อมาเยือน ตาเฒ่าหลานคิดว่าหลังจากเขาตาย สิ่งของเหล่านี้ก็ไม่มีวันได้เห็นเดือนเห็นตะวันเวินซื่อได้ยินดังนั้น ในใจรู้สึกโศกเศร้ากับชะตากรรมของสกุลหลานการล่มสลายของสกุลหลานไม่ได้ถูกปรักปรำพวกเขาแค่เลือกข้าง ในยามที่ชัยชนะใกล้มาเยือน กลับเจอกับการแก้แค้นของฝ่ายตรงข้าม
เป่ยเฉินหยวนเอ่ยขึ้นอย่างเหมาะเจาะและใส่ใจ“หากเป็นไปได้ ถ้างั้นคงต้องรบกวนท่านอ๋องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ตอนนี้ตาเฒ่าหลานแทบอยากจะย้ายไปทันทีน่าเสียดายที่ในบ้านเขายังมีของให้ต้องจัดการอีกไม่น้อย ดังนั้นต้องรออีกสองสามวันตาเฒ่าหลานจึงย้ายไปวัดจินหนานต่อมาเป่ยเฉินหยวนสั่งให้คนห่อหนังสือเหล่านั้นทั้งหมดแล้วช่วยเวินซื่อส่งกลับอารามสุ่ยเยว่จากนั้นสั่งให้ทหารจากกองทัพธงดำสองคนเฝ้าอยู่ที่นี่ก่อนจากไปเป่ยเฉินหยวนสั่งเสียงเรียบ “ปกป้องท่านลุงหลานให้ดี หากมีมือสังหารฆ่าได้ไม่เว้น หากคนสกุลเวินมาเยือน...ดูปฏิกิริยาของคนชราก่อน”“พ่ะย่ะค่ะ”แม้ท่าทีที่ตาเฒ่าหลานมีต่อเวินซื่อจะดีมากแต่เป่ยเฉินหยวนก็อยากดู ว่าอดีตพ่อบ้านสกุลหลานผู้นี้ จะปฏิบัติต่อคุณชายทั้งหลายของสกุลเวิน ซึ่งมีสายเลือดของคุณหนูใหญ่ของเขาเช่นกันอย่างไรเวินซื่อไม่รู้ว่าเป่ยเฉินหยวนช่วยนางระวังเรื่องพวกนี้นางกลับไปถึงอารามสุ่ยเยว่ แล้วปิดประตูขนย้ายหนังสือที่เป็นมรดกเหล่านั้นเข้าไปในมิติของหยกทันทีแม้หนังสือที่อยู่ในห้องลับจะถูกรักษาเป็นอย่างดี แต่ผ่านเวลามายาวนานจึงเสียหายบางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เวินซื่อจัดการหนังสือเหล
“หรือมิติแห่งนี้จะเปลี่ยนแปลงไปตามความคิดของข้า?”แต่เมื่อครู่นางแค่อยากเตรียมชั้นหนังสือเพียงไม่กี่อันเท่านั้นการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ขนาดนี้ อาจเกิดขึ้นเพราะปัจจัยอื่น จึงทำให้มันขยายใหญ่ขึ้นกะทันหันเวินซื่อนึกย้อนถึงสิ่งที่ได้กระทำเมื่อครู่อย่างละเอียด แต่น่าเสียดายที่ไม่มีเบาะแสใดเลยสุดท้ายจึงส่ายหัว ปล่อยเรื่องนี้ไว้ก่อนดีกว่ามีการเลื่อนระดับในครั้งแรก ก็ต้องมีการเลื่อนระดับในครั้งที่สองรอให้เลื่อนระดับในครั้งต่อไปค่อยมาดูว่าตกลงเกิดจากสาเหตุใดเวินซื่อกลับเข้าไปในบ้านหลังเล็ก อ่อ ไม่ ตอนนี้ต้องเรียกว่าอาคารหลังใหญ่เมื่อนางเข้าไป พบว่าแม้อาคารจะมีเจ็ดชั้นแต่ส่วนใหญ่แบ่งออกเป็นสามส่วนส่วนที่หนึ่งคือที่ว่างในชั้นหนึ่งและชั้นสอง ด้านในมีสมุนไพรวางอยู่มากมาย ชั้นหนึ่งเป็นสมุนไพรทั่วไป และมีแท่นผสมยา แท่นตำยาและแท่นปรุงยา อีกทั้งมีโต๊ะเอาไว้เขียนตำรับยาบนนั้นมีพู่กัน หมึก กระดาษ แท่นฝนไว้พร้อมสรรพ ไม่จำเป็นให้นางต้องไปหาซื้อจากข้างนอกชั้นสองเป็นสมุนไพรมีพิษชนิดต่างๆ ส่วนอุปกรณ์ที่เหลือเหมือนกับชั้นหนึ่งไม่ผิดเพี้ยนแค่มองชั้นสองก็รู้ว่าเป็นส่วนที่เอาไว้ให้นางศึกษาเรื่
ความหนาวเย็นแล่นผ่านหัวใจของเวินเยวี่ยวูบหนึ่ง น้ำเสียงของนางสั่นเครือเล็กน้อย “ถ้าเจ้าฆ่าข้า คนของข้าจะต้องหั่นเจ้าเป็นชิ้นๆ อย่างแน่นอน ถึงแม้จะต้องตามล่าไปจนถึงสุดหล้าฟ้าเขียวก็ตาม”หากไม่ได้รับรู้ความจริงจากจินซือถูมาก่อน เกรงว่าเวินซื่อคงเกือบจะหลงเชื่อคำลวงของนางแล้ว“จริงหรือ? เช่นนั้นก็ให้พวกเขามาเถิด ส่วนเจ้า ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าตายง่ายดายเช่นนั้นหรอก ก่อนจะฆ่าเจ้า เจ้าต้องช่วยข้าอีกสักเล็กน้อย”ตอนแรกเวินเยวี่ยยังไม่เข้าใจว่าที่เวินซื่อกล่าวหมายความว่าอย่างไรแต่เพียงไม่นาน นางก็เข้าใจแล้ว“สิ่งใดกัน? เจ้าเอาอะไรวางลงบนตัวข้า?!”ทันใดนั้น เวินเยวี่ยก็ตื่นตระหนกเมื่อครู่มีบางอย่างไต่ไปมาบนร่างกายของนาง!ตอนนี้ก็ยังอยู่!เวินเยวี่ยขยับตัวไปมาภายในกรงอย่างรุนแรงพยายามที่จะสลัดสิ่งที่กำลังไต่ไปมาบนร่างกายของนางออกไปทว่าตอนนี้ มีเพียงเวินซื่อที่อยู่นอกกรงเท่านั้นที่มองเห็นแมงมุมสีดำตัวนั้นกำลังไต่ไปทั่วร่างกายของนางแมงมุมตัวนั้นมีขนาดใหญ่เท่ากำปั้น แม้จะมีเพียงตัวเดียว แต่มันก็ใหญ่จนน่าหวาดกลัวโชคดีที่เวินเยวี่ยถูกปิดตาเอาไว้ มิฉะนั้นนางคงจะตกใจจนหน้า
สมุนไพรทั้งหมดนี้ในที่ดินกุยอวิ๋น เป็นสิ่งที่นางได้ตกลงไว้แล้วว่าจะมอบให้กับเป่ยเฉินหยวนเป็นสมุนไพรสำหรับทหารในกองทัพธงดำที่ออกรบเพื่อราชวงศ์ต้าหมิงมาหลายปี จนสุดท้ายร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล พิการ และเจ็บปวดบัดนี้ สมุนไพรที่ปลูกไว้ได้หนึ่งเดือนแล้วกลับถูกพวกเขาทำลายไปกว่าครึ่ง แถมยังไม่เว้นแม้แต่แปลงสมุนไพรร้ายกาจถึงเพียงนี้ นางจะกลืนความโกรธแค้นนี้ลงไปได้อย่างไรนางจะไม่ปล่อยคนที่เป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ไป และคนร้ายตรงหน้าเหล่านี้ นางก็จะไม่ปล่อยไปเช่นกัน“ท่านลุงหลาน ต้องรับพวกเขาให้ดี”ผู้เฒ่าหลานไม่คิดว่าเวินซื่อจะมีด้านนี้ด้วยเดิมทีเขาคิดว่าปกติแล้วคุณหนูน้อยผู้อ่อนโยนและใจดีมาโดยตลอดนั้น จะเหมือนกับคุณหนูใหญ่มากแต่คาดไม่ถึงว่า ภายใต้ความอ่อนโยนของคุณหนูน้อย จะยังมีด้านที่โหดเหี้ยมเช่นนี้ซ่อนอยู่ช่าง...เหมือนกับนายท่านในตอนนั้นไม่มีผิด!ดวงตาที่แก่ชราของผู้เฒ่าหลานฉายแววเฉียบคม จ้องมองเวินซื่อด้วยสายตาร้อนแรง ราวกับว่าเขามองเห็นภาพของเจ้าบ้านสกุลหลานในอดีตในตัวของนางมองจนหัวใจที่สงบนิ่งมานานหลายปีของเขาถึงกับรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมานายท่าน สกุลหลานของพวกเ
“รบกวนลุงหลานเริ่มจัดหาคนในวันพรุ่งนี้ ช่วงสองสามวันนี้ลำบากท่านแล้ว”“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ไม่ลำบากหรอก เพียงแต่ว่าคนร้ายที่วางยาพิษยังจับตัวไม่ได้ หากพวกเราแก้ไขตอนนี้ เกรงว่าคนร้ายนั่นจะกลับมาอีก”เวินซื่อย่อมเข้าใจเรื่องนี้ดีนางยิ้มเล็กน้อย “ลุงหลานวางใจได้ พรุ่งนี้ท่านจัดหาคนได้เลย คืนนี้พวกเราจะจับคน”......คืนนั้นควรจะเป็นเวลาที่เข้าสู่ห้วงนิทรา แต่กลับมีคนจำนวนหนึ่งถือถังไม้คนละใบ หลบเลี่ยงคนลาดตระเวนเหล่านั้นอย่างเงียบๆ พวกเขาแอบเข้าไปในที่ดินกุยอวิ๋นอีกครั้งอย่างชำนาญ“หัวหน้า เมื่อวานพวกเราสาดยาพิษที่แปลงสมุนไพรทางตะวันออก ทางใต้ก็สาดไปหลายแห่งแล้ว คืนนี้จะเปลี่ยนไปสาดทางตะวันตกหรือทางเหนือดี?”“ได้ ไปดูทางตะวันตกก่อนก็แล้วกัน ถึงอย่างไรคุณชายสามก็บอกว่าต้องสาดให้หมด ต้องทำหมดทุกทาง”ดังนั้น คนร้ายที่ปิดบังใบหน้าทั้งเจ็ดแปดคนจึงอ้อมผ่านไปอย่างมีจุดมุ่งหมาย มุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตกไม่นานนัก พวกเขาก็วิ่งมาถึงที่หมาย“เจ้าสอง เจ้าสาม พวกเจ้าสองคนไปดูต้นทาง มีอะไรก็รีบเป่านกหวีด เจ้าสี่ เจ้าห้า เจ้าหก พวกเจ้าสามคนไปตักน้ำ เจ้าเจ็ด เจ้ามาทำลายสมุนไพรกับข้า”“ได้เลย
“คนร้ายกระจอกๆ พวกนั้นจับตัวได้หรือไม่?”“พวกที่มาครั้งแรกจับได้แล้วขอรับ แต่ไม่กี่วันต่อมา ก็มีมาอีกสองสามคน แถมยังระมัดระวังตัวยิ่งกว่า เจ้าเล่ห์มาก พิษที่เทในแปลงสมุนไพรก็เป็นฝีมือของพวกที่มาครั้งที่สองนี้”เวินซื่อเอ่ยถาม “มีคนได้รับผลกระทบบ้างหรือไม่?”ผู้เฒ่าหลานส่ายหน้า “ยาพิษที่เทนั้นดูเหมือนจะมุ่งเป้าไปที่แปลงสมุนไพรของเราเท่านั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อคนมากนัก”เวินซื่อแค่นหัวเราะ “หากวางยาพิษคน เรื่องนี้คงไม่ง่ายดายเช่นนี้แล้ว”หลังจากที่นางทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้วก็กำชับว่า “รบกวนลุงหลานเดินทางรอบนี้ ตอนนี้ฟ้ายังไม่มืด ข้าจะไปดูที่ดินกุยอวิ๋นก่อน”ม่อโฉวซือไท่ก็อยู่ด้วยพอดี นางได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “อาจารย์จะไปกับพวกเจ้าด้วย ไปดูสักหน่อย”“ข้าก็ไปด้วยๆ !”ฉางเสี่ยวหานรีบยกมือออกจากอารามสุ่ยเยว่ ก็มีรถม้าเรียบง่ายคันหนึ่งจอดรออยู่ด้านนอกนี่เป็นสิ่งที่เวินซื่อสั่งให้ผู้เฒ่าหลานจัดหาระยะทางระหว่างที่ดินกุยอวิ๋นถึงอารามสุ่ยเยว่ก็ไม่ถือว่าใกล้ จะให้พ่อบ้านหลานที่อายุมากแล้วเดินไปเดินมาก็คงไม่ได้ดังนั้น เวินซื่อจึงให้ผู้เฒ่าหลานจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกบางอย่าง เ
เป่ยเฉินหยวนไม่คิดว่านางจะยังจำเรื่องนี้ได้ และยังจัดสรรที่ดินไว้ให้เขาแล้วเขารู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่งอู๋โยวที่ดีเช่นนี้ เขาจะไม่หวั่นไหวได้อย่างไร?เพียงแต่ว่าคนสกุลอันนั่นพูดถูก เขามีความคิดต่ำทราม หากถูกคนอื่นรู้เข้า นั่นก็เท่ากับทำลายการปฏิบัติธรรมของผู้อื่น ทำลายชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ของผู้อื่น เป็นเรื่องที่เลวทรามอย่างยิ่งดังนั้น เป่ยเฉินหยวนในตอนนี้จึงทำได้เพียงเก็บซ่อนไว้อย่างระมัดระวังเมื่อไม่มีอันหลันซิน ขบวนก็ไม่ได้ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย ไม่นานก็ออกเดินทางต่อสองวันต่อมา ขบวนที่เดินทางไกลไปยังลู่โจวในที่สุดก็กลับมาถึงเมืองหลวงแล้วครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ฝ่าบาททรงนำเหล่าขุนนางมาต้อนรับที่ประตูเมืองหลวงด้วยพระองค์เองสถานการณ์ยิ่งใหญ่เอิกเกริกเช่นนี้ ทำเอาเวินซื่อตกใจไม่น้อยภายหลังเวินซื่อถึงได้รู้ว่า ที่แท้ข่าวคราวจากลู่โจวก็แพร่เข้ามาถึงในเมืองหลวงแล้วหลังจากขอฝนที่จินโจวแก้ปัญหาภัยแล้งได้แล้ว เวินซื่อก็มีชื่อเสียงเรื่องการสวดอธิษฐานขอพรให้ผู้ประสบภัยพิบัติที่ลู่โจวเพิ่มขึ้นมาอีกตอนนี้ชื่อเสียงของนางไม่ได้เลื่องลือแค่ในเมืองหลวงและจินโจวสองแห่งเท่าน
ภายในป่า เงียบสงบไปครู่หนึ่ง ถึงมีเสียงหัวเราะเยาะเบาๆ ดังขึ้น“เจ้าพูดถูก ข้าไม่คู่ควร”เป่ยเฉินหยวนสีหน้าเย็นชา สายตาเย็นเยียบ “แต่เจ้าไม่คู่ควรยิ่งกว่า”“เจ้าอยากจะใช้คนร้ายที่หลบหนีไปได้มาบีบบังคับข้า น่าเสียดาย ข้าไม่หลงกลเจ้า”เป่ยเฉินหยวนพูดจบก็ยกมือขึ้น กองทัพธงดำจำนวนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นทันที ล้อมอันหลันซินเอาไว้อันหลันซินตกใจทันที ในใจเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี“ท่านคิดจะทำอะไร?”เป่ยเฉินหยวนกล่าวอย่างเย็นชา “ขอบคุณอู๋โยวให้ดีเถอะ หากมิใช่เพราะนาง หัวของเจ้าคงถูกข้าตัดเอาไปเตะเล่นนานแล้ว”พูดจบเขาก็หันหลังกลับไปออกคำสั่ง “เอาตัวไป มัดให้แน่นแล้วส่งไปให้หนิงหย่วนโหว ให้เขาเฝ้าไว้ให้ดีๆ ขอแค่ไม่ตาย จะจัดการอย่างไรก็แล้วแต่เขา แต่ถ้าคนหนีไป ข้าจะเอาเรื่องกับเขา”“พ่ะย่ะค่ะ!”กองทัพธงดำหลายนายรีบเข้ามาทันทีไม่!ไม่ได้!นางจะถูกพาตัวไปไม่ได้!นางอุตส่าห์รอโอกาสนี้มาอย่างยากลำบาก หากถูกพาตัวไปแล้ว ต่อไปนางจะกลับมาหาอาซื่อได้อย่างไร!อันหลันซินเห็นท่าไม่ดี อ้าปากกำลังจะร้องตะโกน“อึก...”น่าเสียดายที่นางเพิ่งจะส่งเสียงออกมา ฝักกระบี่ก็ฟาดลงบนคอของนางอย่างแรงทำให้นางสลบไ
คนที่ปรากฏตัวอยู่ด้านนอกรถม้าของเป่ยเฉินหยวนคืออันหลันซิน“ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน หม่อมฉันจะทำอะไรท่านได้ ท่านจะระแวงหม่อมฉันขนาดนี้ไปทำไมเพคะ?”อันหลันซินยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวขึ้นเป่ยเฉินหยวนขมวดคิ้ว สายตาไม่พอใจ “มีธุระก็พูด ไม่มีธุระก็ไสหัวไป”ท่าทีที่ไม่เกรงใจเมื่อเทียบกับรอยยิ้มที่แสดงออกมาโดยไม่รู้ตัวเมื่อครู่ ช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวจริงๆอันหลันซินแค่นเสียงหัวเราะในใจเสแสร้งอะไรกันตอนนี้รู้จักปฏิบัติต่อสตรีอื่นอย่างแตกต่างเพราะอาซื่อ แต่ต่อไปความพิเศษเช่นนี้ไม่แน่ว่าจะตกไปอยู่กับสตรีอื่นอย่างไรเสีย บุรุษในโลกนี้ก็เหมือนกันหมดอันหลันซินระงับความรังเกียจในใจ บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยน “เอาละ รู้ว่าท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนไม่ชอบหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันมีข้อแลกเปลี่ยน อยากจะคุยกับท่านสักหน่อยเพคะ”นางพูดเช่นนี้ เป่ยเฉินหยวนกลับไม่มองนางแม้แต่น้อย เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาและดูถูก “อย่างเจ้า มีคุณสมบัติอะไรมาทำข้อตกลงกับข้า?”“ที่ข้ายอมให้เจ้าอยู่ในขบวนนี้จนถึงตอนนี้ ก็เพียงเพราะเห็นแก่หน้าอู๋โยว”รอยยิ้มบนใบหน้าของอันหลันซินแข็งค้าง กัดฟันเล็กน้อย“เหอะๆ หม่อมฉั
เป่ยเฉินหยวนนอนเอนกายอย่างสบายอารมณ์อยู่ในรถม้า ในขณะเดียวกันก็นอนอยู่ข้างกายเวินซื่อ หลับตาพริ้มขยับศีรษะอย่างมีความสุข ตอบคำถามของนางทีละประโยค“ได้ ไม่แรง ไม่ได้ดึงเลย ปวดนิดหน่อย เพราะซื่อเอ๋อร์ลูบให้ หัวก็เลยไม่ปวดมากแล้ว”เวินซื่อได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกโชคดีที่นางยังจำตำแหน่งกดจุดต่างๆ บนศีรษะที่อาจารย์ม่อโฉวสอนได้ ผสมผสานกับวิธีการนวด แล้วนวดให้เป่ยเฉินหยวน ดูเหมือนว่าผลลัพธ์จะดีเลยทีเดียวเวินซื่อที่คิดว่าได้ผลจริงๆ ก็ยังคงตั้งใจจ้องมองศีรษะของเป่ยเฉินหยวน จดจ่ออยู่กับการผสมผสานวิธีการนวดและกดจุดต่างๆ ของนางหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ภายในรถม้าดูเหมือนจะเงียบสงบลงอย่างสิ้นเชิงเงียบจนแม้ว่าภายนอกจะมีเสียงล้อรถดังอยู่ ก็ยังได้ยินเสียงหายใจแผ่วเบาสม่ำเสมอภายในรถม้าเวินซื่อเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบว่าเป่ยเฉินหยวนไม่รู้ว่าหลับตาลงตั้งแต่เมื่อไรแล้วเวินซื่อเห็นดังนั้น มือที่วางอยู่บนศีรษะของเขาก็ค่อยๆ เคลื่อนไหวช้าลง จนกระทั่งพอสมควรแล้ว นางถึงได้ชักมือกลับก้มหน้าลงมองสีหน้าที่อ่อนล้าระหว่างคิ้วของเป่ยเฉินหยวน หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เวินซื่อก็หยิบขวดน้ำทิพย์ออกมาจ
“ปวดหัวหรือ? เกิดอะไรขึ้น? ปวดเป็นพักๆ หรือว่าปวดมากตลอดเวลา?”พอเวินซื่อได้ยินเป่ยเฉินหยวนบอกว่าตนเองปวดหัว ก็ไม่ทันได้ใส่ใจกับคำเรียกที่ดูเหมือนจะสนิทสนมเกินไปนั่น รีบถามอย่างกระวนกระวาย“ปวดเป็นพักๆ เหมือนกับมีคนมากมายพูดอยู่ในหัวของข้า หนวกหูมาก ปวดเหลือเกิน”เป่ยเฉินหยวนมองนางอย่างไม่วางตา ชายหนุ่มผู้ซึ่งปกติแล้วสูงใหญ่และพึ่งพาได้เสมอ เวลานี้กลับดูอ่อนแอเหมือนหมาป่าตัวใหญ่ที่ได้รับบาดเจ็บ ทำได้เพียงส่งเสียงร้องครางกับคนตรงหน้าเพื่อระบายความเจ็บปวดของตนเวินซื่อไม่เคยเห็นเป่ยเฉินหยวนในสภาพที่อ่อนแอเช่นนี้มาก่อนแม้แต่ครั้งแรกที่เห็นเขาป่วยที่ริมลำธารเล็กๆ หลังภูเขานั่น เป่ยเฉินหยวนในตอนนั้นก็ยังคงสติไว้ได้บ้างแต่เป่ยเฉินหยวนในตอนนี้ กลับเหมือนแสดงด้านที่อ่อนแอยามเจ็บป่วยออกมาให้นางเห็นอย่างไม่มีปิดบังเวินซื่อจึงลูบหน้าผากเขาด้วยความสงสารทันที แล้วจับชีพจร “ไม่ปวดแล้วๆ ตอนนี้ข้าจะสวดมนต์ให้ท่านอ๋องเดี๋ยวนี้ ท่านนั่งฟังดีๆ อีกเดี๋ยวก็จะไม่ปวดแล้ว”แต่เป่ยเฉินหยวนในตอนนี้กลับเหมือนจะมีความคิดต่อต้านขึ้นมาเล็กน้อย ยื่นมือออกไปคว้าข้อมือของเวินซื่อที่กำลังจะชักกลับ เอ่ยด้วยน้
นางมองเวินซื่อด้วยความอาลัยอาวรณ์หางตากลับเหลือบไปมองเป่ยเฉินหยวนและเด็กสาวที่อยู่ข้างโต๊ะนั่นอย่างเย็นชาเพิ่มมาอีกคนแล้วแต่ไม่เป็นไร ยังไม่จบหรอกหลังจากที่นายท่านสกุลผังกลับไปแล้ว ไม่นานก็ส่งสัญญาขายตัวมาให้ตามคาด ทั้งยังเขียนหนังสือหย่าอนุภรรยาอย่างเป็นเรื่องเป็นราวมาหนึ่งฉบับจริงๆเมื่อได้สัญญาขายตัวและหนังสือหย่าอนุภรรยา อันหลันซินก็ไปจากที่นี่เวินซื่อให้จู๋เยวี่ยติดตามไประยะหนึ่งแน่นอนว่าเพื่อจับตาดู“เป็นอย่างไรบ้าง?”หลังจากที่จู๋เยวี่ยกลับมา เวินซื่อก็เอ่ยถาม“ดูเหมือนว่าจะมีเศษเงินที่ซ่อนเอาไว้ ซื้อของกินเล็กน้อย ห่อไว้แล้วก็ออกจากเมืองไป ดูท่าทางน่าจะกลับเมืองหลวง”กลับเมืองหลวง...จินโจวอยู่ห่างจากเมืองหลวงขนาดนี้ นางคิดจะเดินเท้ากลับไปหรือ?แล้วยังมีบิดาของนางในเมืองหลวง ทั้งภรรยาเอกและพี่สาวต่างมารดาพวกนั้น คงจะไม่ปล่อยนางไปกระมัง?ถึงอย่างนั้นนางก็ยังคิดจะกลับไป?เวินซื่อขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็คลายปมคิ้วไม่สิ นางจะเป็นห่วงอันหลันซินทำไมกัน?ต่อจากนี้ไปอันหลันซินจะเป็นตายร้ายดีก็ไม่เกี่ยวข้องกับนางที่นางช่วยครั้งนี้ก็เพราะเห็นแก่คว