“ระหว่างเราดูเหมือนไม่จำเป็นต้องพบกันอีกกระมัง”เวินซื่อเอ่ยอย่างเย็นชาอันหลันซินทอดถอนใจ “เจ้าช่างไร้เยื่อใยเสียจริง อาซื่อ นึกถึงเมื่อก่อนนี้ข้าเห็นเจ้าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด”เวินซื่อขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “อย่าเรียกชื่อนี้อีก แม่ชีก็ไม่ใช่เพื่อนของเจ้าเช่นกัน”“แม่ชี?”นี่เป็นครั้งแรกที่อันหลันซินได้ยินคำแทนตัวเช่นนี้ หลังจากอึ้งอยู่สักพัก ก็กลั้นหัวเราะไม่อยู่ทันทีพลางเอ่ยว่า “ไม่นึกว่าเจ้าจะออกบวชจริง ๆ แม้แต่คำแทนตัวก็เปลี่ยน ข้านึกว่าเจ้าทำแบบนี้เพื่อประชันกับเวินเยวี่ยเสียอีก”เวินซื่อไม่อยากฟังคำพูดไร้สาระจากนางอีก จึงหันหลังกำลังจะเดินจากไปไม่นึกว่าอันหลันซินจะดื้อดึงตามมา “รอข้าด้วย ทำไมเพื่อนเก่าพบกันยังไม่ทันพูดอะไรกันสักคำ ก็จะรีบไปเช่นนี้เล่า?”อันหลันซินเดินจ้ำ ๆ ไปหาเวินซื่อ จ้องมองนางจากหัวจรดเท้าอย่างไม่กะพริบตา “อืม น่าเสียดายที่ผมของเจ้ายังไม่ถูกโกน ไม่เช่นนั้นข้ายังอยากเห็นเจ้ากลายเป็นแม่ชีตัวน้อยจริง ๆ”เวินซื่อยังคงไม่สนใจเช่นเคยอันหลันซินเอาแต่พูดต่อไป “แต่ตอนนี้สภาพของเจ้าก็ดูดีทีเดียว แม้ว่าชุดสีฟ้าทะเลนี้จะดูเรียบง่ายไปหน่อย แต่ก็มีเสน่ห์เฉพาะตัวเ
หลังจากทิ้งคำพูดประโยคนี้ไว้ เวินซื่อเดินไปจวนอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนทันที“คารวะธิดาศักดิ์สิทธิ์”องครักษ์เฝ้าประตูไม่แม้แต่จะขัดขวาง หลังทำความเคารพก็ปล่อยให้เวินซื่อเดินเข้าไปการปฏิบัติเช่นนี้อันหลันซินไม่คิดว่าตัวเองจะได้รับนางเพียงยืนอยู่หน้าประตูใหญ่จวนอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน มองดูร่างของเวินซื่อหายวับไปด้านในอย่างรวดเร็ว“คุณหนูรอง คราวนี้จะทำอย่างไรดี เห็นได้ชัดว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์กับท่านอ๋องสนิทสนมกันมาก หากท่านคิดจะเล่นงานธิดาศักดิ์สิทธิ์ คาดว่าคงไม่ง่ายขนาดนั้นนะเจ้าคะ”สาวใช้คนสนิทของอันหลันซินอดกล่าวอย่างกังวลไม่ได้“ไม่เป็นไร ข้ามีวิธีของข้า”อันหลันซินแค่นหัวเราะเสียงค่อย จากนั้นหันหลังจากไป เมื่อกลับไปถึงรถม้าได้สั่งให้กลับจวนทันทีเพียงไม่นาน นอกห้องหนังสือของราชเลขาฝ่ายขวาที่กำลังสะสางงานราชการอยู่“บุตรสาวหลันซินคารวะท่านพ่อเจ้าค่ะ”“เข้ามา”อันปี่เค่อกล่าวเพียงสั้นๆพลันได้ยินตรงประตูมีเสียงของคนเดินเข้ามาดังขึ้น ทว่าต่อให้เป็นเช่นนั้น อันปี่เค่อก็ยังสะสางงานของเขาโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง“มีธุระอะไรก็รีบว่ามา พูดจบก็รีบออกไป อย่าทำให้ข้าเสียเวลา”นี่ก็คือ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้นั้นเกลียดหญิงสาวที่เข้าใกล้? เจ้าอยากเป็นคนของเขา? เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร? เจ้านึกว่าที่เจ้าอยากเข้าใกล้จะไม่ทำให้เขาฆ่าเจ้าหรือ?”อันปี่เค่อเหน็บแนมนางอย่างเจ็บแสบ “เป็นแค่ลูกอนุภรรยาคนหนึ่งควรกลับไปเย็บผ้าก็กลับไปเย็บผ้า อย่ามัวแต่คิดเรื่องชั่วช้าสามานย์ ข้าเองก็ไม่มีเวลาฟังคำพูดไร้สาระพวกนี้ของเจ้า”“ออกไป!”“ข้ารู้ความลับหนึ่งของอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน ข้าทำให้เขายอมรับข้าได้”อันหลันซินกล่าวกะทันหัน“เจ้ารู้ความลับของอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนหรือ?”อันปี่เค่อแค่นหัวเราะ “เจ้าจะไปรู้อะไรได้?”“ความลับนี้ข้าถามมาจากเวินซื่อ”อันหลันซินสีหน้าคงเดิม เอ่ยอย่างสงบนิ่ง“เวินซื่อ?”อันปี่เค่อขมวดคิ้วทันที “เจ้ากับธิดาศักดิ์สิทธิ์แตกหักกันเพราะเรื่องในตอนนั้นนานแล้วไม่ใช่หรือ? ธิดาศักดิ์สิทธิ์จะไปบอกความลับอะไรเจ้า?”อันหลันซินทำท่าใจเย็น “ถูกต้องว่าพวกเราแตกคอกันแล้ว แต่น่าเสียดายที่ธิดาศักดิ์สิทธิ์ใจอ่อนเกินไป ข้าแค่ร้องไห้ต่อหน้านาง นางก็ให้อภัยข้าอีกครั้งแล้วเจ้าค่ะ”“เจ้าพูดจริงหรือ?”อันปี่เค่อหรี่ตาลงเล็กน้อยเขารู้ดีว่าเวินซื่อ
“อืม!”เวินซื่อพยักหน้าหนักๆ หนึ่งที แล้วกินต่อไป“วันนี้ท่านมาหาข้าเพื่อเรื่องนี้หรือ?”“ใช่ เพื่อเรื่องนี้แหละ”คนใจร้าย ยังนึกว่าคิดถึงเขาเลยมาเยี่ยมเขาซะอีกเป่ยเฉินหยวนเองก็ไม่ได้คาดหวังว่านางจะเข้าใจในตอนนี้ถึงอย่างไรหนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล ค่อยเป็นค่อยไปก็แล้วกัน“ใช่สิ จะว่าไปที่ข้ามีข่าวหนึ่งที่ต้องแจ้งให้ท่านทราบ”“อะไร?”เวินซื่อหยุดการกระทำในมือ แล้วมองเขาอย่างใคร่รู้เป่ยเฉินหยวนยื่นนิ้วมือไปเช็ดเศษขนมที่มุมปากของนางอย่างเป็นธรรมชาติเวินซื่อเพิ่งรู้สึกว่าไม่เหมาะสม เตรียมจะหดหัวกลับมา พลันได้ยินเป่ยเฉินหยวนกล่าวขึ้น“ช่วงก่อนผู้ใต้บัญชาข้าหาตัวคนสกุลหลานที่ตอนนั้นอยู่ในเมืองหลวงพบ”เวินซื่อลืมการกระทำของตัวเองทันที พร้อมมองเขาอย่างตะลึง “จริง...จริงหรือ?”“เป็นจริงแน่นอน”เป่ยเฉินหยวนเก็บมือกลับมา ใช้ผ้าเช็ดหน้าตัวเองเช็ดอย่างเบามือ จากนั้นกล่าวเสียงเรียบ “ข้าจะโกหกท่านหรือ?”“ไม่ใช่ ข้าเพียงแต่รู้สึกประหลาดใจเท่านั้น”เวินซื่อรีบส่ายหน้า แน่นอนว่านางไม่สงสัยเป่ยเฉินหยวน ทว่า...คนสกุลหลานนอกจากผู้ที่ไม่ใช่ญาติสายตรงซึ่งแยกบ้านออกจากเมืองหลวงนานแล้ว พวก
ตาเฒ่าหลานรีบวิ่งโงนเงนออกมา เปิดประตูแล้วพุ่งไปตรงหน้าเวินซื่อใบหน้าที่แก่ชราไม่รู้ว่ามีน้ำตาไหลรินตั้งแต่เมื่อใด เขามองเวินซื่อตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ ในดวงตาเต็มไปด้วยความอาวรณ์และโศกเศร้าผ่านไปสักครู่ เขาถึงได้ส่ายหน้าเชื่องช้า แล้วตื่นขึ้นจากความเพ้อฝันชั่ววูบ “เจ้าไม่ใช่คุณหนูใหญ่ เจ้าไม่ใช่นาง...”คุณหนูใหญ่สกุลหลานของพวกเขาได้ตายไปแล้วไม่อาจกลับมาได้อีกแล้วตาเฒ่าหลานพึมพำ “คิดว่า เจ้าน่าจะเป็นลูกสาวของคุณหนูใหญ่ คงเป็นคุณหนูเวินซื่อสินะ?”เวินซื่อพยักหน้า “ข้าเอง ไม่ทราบว่าท่านคือ...?”นางยังไม่รู้จักสถานะของตาเฒ่าหลาน และไม่รู้ว่าควรเรียกขานเขาว่าอย่างไรตาเฒ่าหลานยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา ต่อมาทันใดนั้นเขาคุกเข่าลงตรงหน้าเวินซื่อ “หลานถงเซิงคารวะคุณหนูเวินซื่อ ตอนนั้นได้รับความเมตตาจากนายท่าน จึงเป็นพ่อบ้านอยู่ในสกุลหลานหลายสิบปี”เขาเป็นบ่าวในเรือนเบี้ยของสกุลหลาน ทว่าโชคดีที่เกิดวันเดือนปีเดียวกันกับนายท่าน ดังนั้นนายท่านผู้เฒ่าจึงประทานชื่อถงเซิงให้ กระทั่งประทานชื่อแซ่หลานให้เขาดังนั้นหลังจากสกุลหลานสิ้นไปแล้ว เขายังคงใช้แซ่ว่าหลาน ไม่อยากจะลืมผู้เป็นนายในอดีตแ
ตาเฒ่าหลานที่ได้ยินดังนั้นแปลกใจเล็กน้อย “คุณหนูเวินซื่อพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? หรือเจิ้นกั๋วกงนั่นไล่ท่านออกจากสกุลเวินจริงหรือ?!”เมื่อพูดมาถึงประโยคสุดท้าย ตาเฒ่าหลานเสียงดังขึ้นทันควัน อารมณ์ฉุนเฉียวเวินซื่อส่ายหน้า “ท่านลุงหลานอย่าโมโห เขาไม่ได้ไล่ข้าออกมา แต่ข้าออกมาเองต่างหาก”“เกิดเรื่องใดขึ้นหรือ? ครอบครัวเดียวกันแท้ๆ เหตุใดจึงต้องไปล่ะ?”ตาเฒ่าหลานมองเวินซื่อด้วยสีหน้ากังวลท่าทางจริงใจเช่นนั้นทำให้เวินซื่ออบอุ่นในใจหลังครุ่นคิด นางไม่ได้เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในสกุลเวินให้ฟัง เลือกเล่าเพียงเรื่องที่ไม่สำคัญให้ตาเฒ่าหลานฟังเท่านั้น“เกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ตอนนี้ข้าหลุดพ้นจากสกุลเวินแล้ว แม้จะออกบวชเป็นชี แต่ได้รับพระเมตตาจากฝ่าบาท ได้รับแต่งตั้งเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ ถือว่าดีมากแล้ว”ดีมากอะไรกัน!บ่อน้ำตาตาเฒ่าหลานเกือบแตกอีกครั้งคุณหนูน้อยของเขาทั้งคน ตอนนี้กลับต้องออกบวชเป็นนางชีเสียแล้วหากไม่ใช่เพราะถูกรังแกอย่างหนักในสกุลเวิน แล้วจะยินดีออกบวชเป็นชี เพื่อออกมาจากสกุลเวินได้อย่างไร? !“ข้ารู้อยู่แล้ว เจ้าเวินเฉวียนเซิ่งนั
“อู๋โยว อย่าเสียใจเพราะคนที่ไม่รักท่านเพียงคนเดียว”เป่ยเฉินหยวนมองดูน้ำตาที่ไหลรินจากหางตาเวินซื่อ หลังจากยกมือเช็ดให้นางอย่างแผ่วเบา จึงกล่าวอย่างสงสาร “เพราะเขาไม่คู่ควร”คำพูดนี้พูดไปถึงกลางใจของเวินซื่อทันที“ท่านพูดถูก เขาไม่คู่ควร!”เวินซื่อสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเก็บความโศกเศร้าไว้ในใจ“คุณหนูน้อย อย่าเสียใจ แม้ท่านจะไม่ใช่บุตรสาวสกุลเวินอีกแล้ว แต่ท่านเป็นบุตรสาวสกุลหลาน ท่านเป็นสายเลือดของคุณหนูใหญ่”แน่นอนว่าเป็นคนสกุลหลานที่แท้จริงหลังจากเรื่องเจ็บปวดจบลง ตาเฒ่าหลานก็ดีใจเพราะเรื่องนี้มากเดิมทีนึกว่าคนสกุลหลานจะไม่มีทายาทแล้ว แต่ตอนนี้เมื่อมีคุณหนูน้อย สกุลหลานมีทายาทแล้ว!“ท่านลุงหลาน ท่านพูดถูก ข้าหลุดพ้นจากสกุลเวินแล้ว แต่ยังไม่ออกจากสกุลหลาน”เมื่อก่อนเพราะคนฝั่งท่านตาเกิดเรื่องแต่แรก จึงทำให้ความสัมพันธ์ของนางกับสกุลท่านตาไม่ลึกซึ้งแต่ตอนนี้นางรู้สึกมีที่พึ่งพิงขึ้นมาอย่างประหลาดนางเป็นลูกสาวหลานจื่อจวิน แน่นอนว่าต้องแซ่หลานด้วยเวินซื่อยิ้มพร้อมกล่าว “เจิ้นกั๋วกงลบชื่อข้าออกจากบันทึกลำดับญาติตระกูลเวินพอดี ตอนนี้ต่อให้ข้าจะนำชื่อเข้าบันทึกลำดับญาติ ก็ต้
ยังจำเป่ยเฉินซื่อจื่อเพียงคนเดียวหลังจากตระกูลถูกฆ่าล้างตระกูลได้ตาเฒ่าหลานหัวเราะเสียงดัง “ฮ่าๆ ๆ ๆ ช่างเป็นวาสนาต่อกัน นึกไม่ถึงว่าหลังจากผ่านมานานหลายปี สกุลหลานกับจวนเป่ยเฉินอ๋องจะกลับมาผูกสัมพันธ์กันอีกครั้ง”“สกุลหลาน...กับสัมพันธ์จวนเป่ยเฉินอ๋อง?”เป่ยเฉินหยวนสงสัยเล็กน้อยเพราะตอนจวนเป่ยเฉินอ๋องถูกฆ่าล้างตระกูล เขาเพิ่งคลอด เพราะฉะนั้นจึงไม่รู้เรื่องราวมากมายเกี่ยวกับจวนเป่ยเฉินอ๋องในอดีตแต่ฟังจากคำพูดของพ่อบ้านเฒ่าสกุลหลาน ดูเหมือนเขาจะรู้อะไรบางอย่าง“ถูกต้อง มารดาของพระองค์กับคุณหนูใหญ่ของพวกเราเป็นสหายกัน ตอนนั้นทั้งสองคนสนิทกันมาก มักไปมาหาสู่กัน ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างสกุลหลานกับจวนเป่ยเฉินอ๋องจึงดีมากพ่ะย่ะค่ะ”ขณะที่ฟังคำพูดของตาเฒ่าหลาน เวินซื่อและเป่ยเฉินหยวนหันไปสบตาอีกฝ่ายตาเฒ่าหลานหัวเราะชอบใจ “กระทั่งก่อนที่พระองค์และคุณหนูน้อยจะคลอด คุณหนูใหญ่และพระชายายังเคยหมั้นหมายพวกท่านไว้ตั้งแต่อยู่ในท้อง ดูว่าใครคลอดเด็กชายใครคลอดเด็กหญิง แม้แต่ของแทนใจก็ยังมี”แม้แต่สวรรค์ยังเข้าข้างข้า!เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ เป่ยเฉินหยวนแทบจะหัวเราะออกมาเขานึกไม่ถึง
“อ๊า!”ในยามวิกาล ไม่ว่าใครก็ตามที่จู่ๆ ได้มาเห็นภาพเช่นนี้ ย่อมตกใจจนขวัญหนีดีฝ่ออันหลันซินก็เป็นเช่นนั้น ตกใจเสียจนกรีดร้องออกมา ทั้งคนหงายหลังล้มลงไปกองกับพื้น ศีรษะยังกระแทกเข้ากับโต๊ะอีกด้วยเสียงดังโครมครามทำให้คนที่เฝ้าอยู่ด้านนอกเข้ามาทันที“ปัง!”“เกิดอะไรขึ้น?!”สาวใช้และองครักษ์หลายคนพังประตูเข้ามา เมื่อเห็นอันหลันซินล้มลงไปกองอยู่กับพื้น พวกเขาก็รีบกวาดตามองไปรอบๆ ทันที แต่น่าเสียดายที่กลับไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ“ผะ...ผี! มีผีอยู่บนหลังคา!”อันหลันซินในเวลานี้ยังคงคิดว่านั่นเป็นผีจริงๆ ตกใจเสียจนไม่กล้ามองอีก ได้แต่ยกมือขึ้นชี้ไปยังหลังคาอย่างสั่นเทาแต่เมื่อเหล่าสาวใช้และองครักษ์เงยหน้ามองขึ้นไป กลับไม่เห็นสิ่งใดเลยเหล่าองครักษ์ถึงกับออกไปข้างนอก แล้วปีนขึ้นไปตรวจดูบนหลังคาโดยตรงแต่กลับไม่พบอะไรเลยเหล่าสาวใช้และองครักษ์ที่คอยจับตาดูอันหลันซินต่างพากันคิดไปว่า นี่คงเป็นกลอุบายอะไรสักอย่างที่อันหลันซินคิดขึ้นมาเพื่อหลอกตาการเฝ้าระวังของพวกเขา ดังนั้น แต่ละคนจึงแสดงสีหน้าเย็นชา“คุณหนูอัน ทางที่ดีท่านควรจะสงบเสงี่ยมหน่อย อย่าเล่นลูกไม้อะไรอีก มิฉะนั้นพวกเราจะทำต
“รอข้า อาซื่อ ข้าจะกลับไปหาเจ้าอย่างแน่นอน”“พวกสารเลวสมควรตายพวกนั้น อย่าหวังว่าจะมาขวางข้าได้!”ก่อนหน้านี้ อันหลันซินพอนึกถึงหลินเนี่ยนฉือทีไร ก็แทบอยากจะถลกหนังนาง ดื่มเลือดนางเสียให้รู้แล้วรู้รอดตอนนี้ นางก็มีคนที่เกลียดชังในระดับเดียวกันเพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้วนั่นก็คือเป่ยเฉินหยวน!บุรุษสารเลวสมควรตายผู้นั้น!กล้ามาหลอกลวงนาง แถมยังกล้าโยนนางมาทิ้งที่ลู่โจวอีกกระทั่งสั่งให้หนิงหย่วนโหวผู้นั้นส่งคนมาคอยจับตาดูนางตลอดเวลาอีก!หากไม่ใช่เพราะการจัดการเหล่านี้ของเขา ป่านนี้นางกลับไปหาอาซื่อได้ตั้งนานแล้วแต่เป็นเพราะเขา อันหลันซินหนีไปได้ครั้งหนึ่งก็ถูกจับกลับมาครั้งหนึ่ง หนีไปสิบครั้งก็ถูกจับกลับมาสิบครั้ง!ทุกครั้งยังไม่ทันหนีพ้นเขตลู่โจว ก็ถูกหนิงหย่วนโหวผู้นั้นส่งคนมาตามจับตัวกลับไปอีก!ไม่ว่าจะเป็นไอ้สารเลวที่ชอบยุ่งไม่เข้าเรื่องคนนี้ หรือไอ้บุรุษชั่วช้าที่กล้าหลอกลวงนางก็ตาม ล้วนสมควรตาย สมควรตาย สมควรตาย!แต่แน่นอนว่าคนที่นางเกลียดที่สุดก็ยังคงเป็นหลินเนี่ยนฉือกล้าฉวยโอกาสตอนที่นางไม่อยู่ข้างกายอาซื่อ กลับเมืองหลวงไปอย่างกะทันหัน!ตอนนี้ อันหลันซินพอนึกขึ้นได้ว่า
นางย่อมรู้อยู่แล้วว่าตัวเองไม่เหมาะกับการเข้าวัง แต่สกุลหลินต้องการโอกาสเช่นนี้อีกทั้ง…หลินเนี่ยนฉือมองเวินซื่อที่นั่งอยู่ข้างเตียง นางเม้มปากเบาๆผู้หญิงแปดในสิบทั่วหล้าล้วนอยากเป็นฮองเฮาอย่างไรก็ตามนั่นเป็นถึงมารดาแห่งแผ่นดินแต่อยากเป็นฮองเฮาก็ต้องเสียสละหลายสิ่งหลายอย่าง ซึ่งอย่างแรกก็คืออิสระและเดิมทีนางก็เป็นที่ใฝ่หาความอิสระแต่ถ้าหากสามารถใช้อิสระของตัวเองแลกกับโอกาสที่ตระกูลจะได้กลับคืนสู่เมืองหลวง และสิทธิ์ในการปกป้องคนที่อยากปกป้อง เช่นนั้นนางก็ยินดีทิ้งอิสระของตัวเองดังนั้นแม้หลินเนี่ยนฉือจะบ่นต่อหน้าเวินซื่อมากมาย แต่กลับไม่เคยพูดว่าไม่อยากเป็นฮองเฮานางรู้ดี อาซื่อต้องยืนข้างนางแน่นอนแต่นางไม่อยากให้อาซื่อเป็นห่วงนางทำได้ก็แค่อิสรภาพเล็กน้อย ไม่มีอะไรที่เสียสละไม่ได้หลินเนี่ยนฉือคิดเช่นนี้ และยิ่งหนักแน่นในความคิดของตัวเองเวินซื่อหันกลับไปมองตาของนาง แม้หลินเนี่ยนฉือไม่อยากให้นางเป็นห่วง แต่นางจะไม่ห่วงเพื่อนที่ดีที่สุดของตัวเองได้อย่างไร?ก็เพราะรู้จักนางดี ดังนั้นจึงยิ่งเป็นห่วงแต่สิ่งที่เวินซื่อไม่รู้คือ ยังเร็วเกินไปที่จะกังวลเรื่องพวกนี้ เพ
เวินซื่อมองสีหน้าพ่อบ้านหลานแวบหนึ่ง หลังจากนั้นถอนหายใจเบาๆหลังจากเยี่ยมชมหอหนังสือ สถานที่สุดท้ายที่พ่อบ้านหลานพานางมาคือโถงบรรพชนของสกุลหลานทันทีที่เข้าไปข้างใน พ่อบ้านหลานก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาทิ้งตัวคุกเข่าลงพื้น ก็โขกศีรษะ ‘ปังๆๆ’ แรงๆ“นายท่าน ฮูหยิน ฮูหยินผู้เฒ่า…บ่าวกลับมาแล้ว!”“บ่าวพาคุณหนูกลับมาแล้ว!”คุณหนูน้อย ลูกสาวของคุณหนู สายเลือดของสกุลหลานนางจะสืบทอดสกุลหลาน กลายเป็นผู้นำตระกูลรุ่นต่อไปของสกุลหลาน! พ่อบ้านหลานบอกคนสกุลหลานอย่างสะอึกสะอื้นในใจ บอกทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเวินซื่อสุดท้ายพ่อบ้านหลานกล่าวในใจ ‘นายท่าน ฮูหยิน ฮูหยินผู้เฒ่า มีคุณหนูน้อยอยู่ พวกท่านสามารถตายตาหลับแล้ว’เดิมทีเวินซื่อเดินเข้าไปอยากจุดธูป แต่เมื่อมองไปที่โต๊ะ ทุกอย่างชื้นจนขึ้นราหมดแล้วจุดธูปไม่ได้แล้วเวินซื่อหมุนกายไปคุกเข่าลงบนฟุกที่อยู่หน้าโต๊ะป้ายวิญญาณ หลังจากโขกศีรษะเหมือนพ่อบ้านหลาน นางค่อยๆ ลุกขึ้น มองดูป้ายวิญญาณเหล่านั้น พูดเพียงประโยคเดียว…“หวังว่าท่านบรรพชนทั้งหลายจะคุ้มครองหลานสาว สามารถเปลี่ยนแซ่อย่างราบรื่น รอหลังจากเปลี่ยนแซ่เวินเป็นแซ่หลาน สกุลหลานก็มีลูกส
ทั้งสองคนหนึ่งหมุนกายก็วิ่ง ส่วนอีกคนชักดาบไล่ตามขณะที่กำลังจะตามทันอยู่แล้ว จู่ๆ ก็มีสุนัขดุหลายตัวกระโจนใส่เป่ยเฉินหยวนวินาทีต่อมา เสียง “ฉึก” ดังขึ้นหลายครั้ง…หัวสุนัขหลายตัวหล่นลงพื้นหลังจากจัดการสุนัขดุพวกนั้นแล้ว ตอนที่เป่ยเฉินหยวนเงยหน้าอีกครั้ง กู่อี้ซานก็ได้หนีหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้วส่วนลูกน้องที่เหลือสามคนของเขา สองคนโดนฆ่า อีกคนโดนธนูยิงท้อง ล้มอยู่บนพื้น อยู่ห่างจากความตายไม่ไกลก็หลังจากกองทัพธงดำจัดการสุนัขดุพวกนั้นหมดแล้ว เกาเย่าเข้าไปจับตัวคนต่างแคว้นที่เหลือเพียงหนึ่งเดียวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แล้วยื่นมือไปถอดหน้ากากของอีกฝ่าย“ท่านอ๋อง เป็นผู้หญิงต่างแคว้น”แม้ใบหน้าของอีกฝ่ายถูกทำลายนานแล้ว แต่เมื่อลองสังเกตรายละเอียดต่างๆ ก็สามารถระบุเพศของอีกฝ่ายได้สีหน้าเป่ยเฉินหยวนเย็นชากว่าเขาเสียอีก เสียงก็เย็นราวกับน้ำค้างแข็ง ออกคำสั่งอย่างความไร้ปรานี “พากลับไป ทรมานจนกว่าจะพูด”“ขอรับ!”หนีไปได้หนึ่งคนไม่เป็นไร อย่างไรเสียสายลับจากต่างแดนในเมืองหลวงถูกเขาฆ่าจนเหลือแค่ไม่กี่คนแล้วต่อให้กู่อี้ซานหนีไปได้ ก็ไม่สามารถทำให้เกิดคลื่นลูกใหญ่ใดๆเขาแค่กำลังคิดว
สีหน้าที่อยู่ใต้หน้ากากของกู่อี้ซานไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ และตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่สงบ “ไม่รู้ว่าที่อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพูดหมายความว่าอย่างไร สายลับเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนอะไร พวกเราไม่เคยมี”ไม่ต้องให้เป่ยเฉินหยวนพูด วินาทีต่อมาก็มีลูกธนูแหวกอากาศพุ่งเข้ามาอีกครั้ง“ฟิ้ว!”ครั้งนี้กู่อวี้ซานที่เตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว หลบลูกธนูพ้นโดยตรง วินาทีต่อมา ลูกน้องที่อยู่ข้างหลังเขาก็กรีดร้อง“อ๊า!”กู่อี้ซานหันกลับไปมอง ลูกน้องโดนยิงตายอีกหนึ่งคนสีหน้ากู่อี้ซานดูน่าเกลียดมาก“ขอแนะนำว่าคิดให้ดีก่อนค่อยตอบ ไม่เช่นนั้นตอบผิดหนึ่งครั้ง ลูกน้องของเจ้าก็จะน้อยลงหนึ่งคน”เกาเย่ากวาดมองคนที่เหลือแวบหนึ่ง ยิ้มอย่างเย้ยหยัน “รอทุกคนตายหมดแล้ว เจ้าก็ต้องไปพบกับพวกเขาแล้ว”“ต่ำช้าไร้ยางอาย!”กู่อี้ซานกัดฟันกล่าวด่าทอแต่ปรากฏว่า…“ฉึก!”“อ๊า!”ตายอีกคนม่านตาของกู่อี้ซานที่ด่าหนึ่งคนก็ตายหนึ่งคนหดฉับพลัน เกาเย่าถอนหายใจ “บอกแล้วไม่ใช่หรือ คิดให้ดีก่อนค่อยตอบ”กู่อี้ซานกำหมัดแน่นทันทีตอนนี้ข้างหลังเขาเหลือแค่ลูกน้องสามคนแล้วทั้งสามก้าวถอยหลังด้วยความกลัว ขณะเดียวกันก็มองไปทางหัวหน้าข
ทันทีที่เวินซื่อไป เวินเฉวียนเซิ่งก็รีบเชิญหมอหลวงหลี่และหมอหลวงอีกหลายท่านมาขอพวกเขาช่วยยื้อชีวิตเวินฉางอวิ้นให้ผ่านสองชั่วยามนี้ด้วยทุกวิถีทางโชคดีที่หมอหลวงหลี่และคนอื่นก็ไม่ได้มีแค่ชื่อด้วยความร่วมมือของพวกเขา เวินฉางอวิ้นที่เดิมทีขาข้างหนึ่งได้ก้าวเข้าสู่ประตูนรกแล้ว ก็โดนพวกเขายื้อชีวิตได้เกินสองชั่วยามจนได้และโชคดีที่ครั้งนี้เวินซื่อไม่ได้หลอกเวินเฉวียนเซิ่งหลังจากนั้นสองชั่วยาม ยาถูกส่งมาได้อย่างทันเวลาพอดีหมอหลวงหลี่เปิดกล่อง หลังจากเห็นบัวหิมะที่อยู่ในนั้นก็หันไปพยักหน้าให้เวินเฉวียนเซิ่งแต่เวินเฉวียนเซิ่งยังไม่วางใจ “ลองตรวจบัวหิมะนี่ก่อน”เห็นได้ชัดว่าเขากลัวเวินซื่อทำอะไรกับบัวหิมะนี่ผลลัพธ์ยังคงเป็นเช่นเดิม…“ไม่มีปัญหา สามารถใช้ได้”หมอหลวงคนอื่นพากันโล่งอก “เช่นนั้นก็ดี รีบเอาบัวหิมะนี่ไปทำยาเถอะ เสียเวลาไม่ได้แล้ว!”เพื่อให้บัวหิมะที่หามาด้วยความยากลำบากนี้มีประสิทธิภาพสูงสุด หมอหลวงทั้งหลายแทบจะต้มยาด้วยตัวเองหลังจากนั้นก็นำยาไปป้อนให้เวินฉางอวิ้นอย่างระมัดระวัง“ใต้เท้าเจิ้งกั๋วกง ตอนนี้มียาที่ใส่บัวหิมะนี้ เพียงพอที่จะยืดเวลาให้คุณชายใหญ่อีกสั
ไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็ตัดสินใจไม่ได้สักทีดังนั้นจึงยิ่งรู้สึกผิดต่อเวินเยวี่ย ก็เลยตามใจนางจนถึงทุกวันนี้เวินเฉวียนเซิ่งกล่าวด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ “เจ้ามองออกทุกอย่าง ดังนั้นเจ้าจึงเอายาในมือของเจ้ามาขู่ข้าครั้งแล้วครั้งเล่า เจ้าคิดว่าข้าไม่สามารถหายาอย่างอื่นได้แล้วจริงๆ หรือ?”“ใต้เท้าเจิ้นกั๋วกงเป็นคนกว้างขวาง ย่อมสามารถหายาอย่างอื่นนอกจากที่ข้ามี แต่ท่านยังมีเวลาหรือไม่?”แทบจะทันทีที่สิ้นเสียงของเวินซื่อ เสียงรายงานที่ตื่นตระหนกของพ่อบ้านดังมาจากข้างหลังเวินเฉวียนเซิ่ง…“แย่แล้ว แย่แล้ว! ท่านกั๋วกง คุณชายใหญ่อาเจียนเลือดอีกแล้ว!”“ท่านกั๋วกง ท่านรีบไปดูหน่อยเถอะ เกรงว่าคุณชายใหญ่น่าจะทนได้อีกไม่นานแล้ว!”ยันต์เร่งชีวิต กำลังเร่งชีวิตของเวินฉางอวิ้น ขณะเดียวกันก็เร่งชีวิตของเวินเฉวียนเซิ่งด้วย เขาเวลานี้ราวกับเข้าใจความรู้สึกของเจ้าสามที่ตัดสินใจก่อนหน้านี้ทันทีสำหรับเวินซื่อที่อยู่ตรงหน้า เขารู้สึกถึงแรงกดดันอย่างรุนแรงนางเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆและยังเคยเป็นลูกสาวของเขาแต่ตอนนี้กลับเทียบได้กับพวกจิ้งจอกเฒ่าในราชสำนักไม่สิ บางทีอาจต้องพูดว่านางเทียบได้กับเขา
สีหน้าเวินเฉวียนเซิ่งไร้อารมณ์แทบจะทันทีที่หลังจากเวินซื่อกล่าวคำพูดประโยคนั้น อากาศระหว่างทั้งสองหยุดนิ่งโดยตรงเวินซื่อไม่ได้พูดอะไรอีกเวินเฉวียนเซิ่งก็ไม่ได้พูดเขาเอาแต่จ้องเวินซื่อด้วยสายตาเย็นชาผ่านไปครู่หนึ่งเวินเฉวียนเซิ่งจึงจะกล่าวอย่างใจเย็น “เจิ้นกั๋วกงให้กำเนิดเจ้า เลี้ยงเจ้า ต่อให้ข้ากับพวกพี่ชายของเจ้าทำผิดไปบ้าง แต่บุญคุณให้กำเนิดยิ่งใหญ่กว่าดิน บุญคุณเลี้ยงดูยิ่งใหญ่กว่าฟ้า เจ้าจะเปลี่ยนแซ่ เจ้าไม่รู้สึกผิดต่อข้า ไม่รู้สึกผิดต่อพวกพี่ๆ ของเจ้า และบรรพชนของสกุลเวินหรือ?”เวินเฉวียนเซิ่งอ้าปากก็บุญคุณให้กำเนิดและเลี้ยงดู หวังใช้บุญคุณกดดันนางแต่เวินซื่อกลับตอบเขาอย่างสงบ “ผู้ที่มีบุญคุณให้กำเนิดของข้าคือท่านแม่ หลานจื่อจวินอดีตคุณหนูใหญ่ของสกุลหลาน ดังนั้นต่อให้ข้าออกมาจากสกุลเวิน เหตุใดถึงไม่สามารถเปลี่ยนเป็นแซ่หลาน?”“อย่าลืมเสียล่ะ ก่อนหน้านี้ท่านเจิ้นกั๋วกงยังตั้งใจว่าจะไม่ให้ข้าแซ่ ‘เวิน’ อีกเลย”เวินซื่อมองเวินเฉวียนเซิ่งอย่างจะยิ้มไม่ยิ้ม “ทำไม ลืมคำพูดที่ตัวเองเคยพูดเร็วเช่นนี้เลย?”เวินเฉวียนเซิ่งหัวเราะเบาๆ และแสดงสีหน้าที่เสแสร้งจอมปลอมทันที “ตอนน