เราเริ่มออกเดินกันแบบเงียบ ๆ อีกครั้ง "ว่าแต่ฉันไม่ได้วางแผนจะเก็บหุ้นที่คุณยายโอนให้ไว้หรอกนะ" ฉันเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วยิ้ม "ฉะนั้นก็ให้ทนายของคุณร่างเอกสารการโอนหุ้นส่งมาให้ฉันทางเมล์ แล้วฉันจะเซ็นชื่อให้ทันที แบบไม่มีปัญหาเลยแหละ"มาร์คส่ายหัวแล้วบอกว่า "ไม่เอา คุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอก ในเมื่อคุณยายโอนหุ้นให้คุณแล้ว หุ้นนั้นก็เป็นของคุณ ไม่ใช่ของผม ถ้าคุณไม่อยากได้หุ้นนั้นจากคุณยาย ก็ถือซะว่าหุ้นนั้นคือค่าเลี้ยงดูของผมตราบใดที่คุณไม่ขายหุ้นพวกนั้นไป"ฉันยักไหล่ด้วยความรู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย ฉันคิดว่าหุ้นบริษัทจะมีความหมายกับเขาอย่างมากซะอีก ฉันคิดว่าเขาจะแอบเดือดดาลอยู่ข้างในตอนที่ฉันเซ็นเอกสารการโอนหุ้น แต่ตอนนี้เขากลับดูไม่แยแสกับเรื่องนั้นเลย ช่างน่าประทับใจจริง ๆ "ถ้าคุณเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ ก็แค่ติดต่อทนายความของฉันมานะ" ฉันยื่นนามบัตรของทนายความให้เขา "เผื่อว่าคุณไม่อยากโทรหาฉัน หรือติดต่อฉันไม่ได้"เขาจ้องมองนามบัตรนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหยิบมาใส่กระเป๋าโดยไม่เหลือบมองอะไรเลยตอนนี้เราทั้งคู่ได้เดินไปถึงลานจอดรถแล้ว ฉันเดินไปที่รถของฉันแล้วปลดล็อค“เอาล่ะ" ฉันพูดออกไปอ
หลังจากนั้นการขับรถมุ่งตรงไปยังที่ทำงานก็เป็นไปอย่างราบรื่นมาก ราวกับคนทั้งโลกนี้เป็นศัตรูกับริชชี่ ไม่มีการจราจรที่ติดขัดในระหว่างทางอีกเลยไม่นานนักฉันก็ขับไปถึงบริษัท ล้อรถบดกับถนนดังเอี๊ยดในขณะที่ฉันเอาเท้าแตะเบรกอย่างปุบปับ แล้วจอดรถอย่างไม่ระมัดระวัง ฉันมองหารถตำรวจพร้อมกับล็อครถของตัวเอง แต่ไม่มีรถตำรวจอยู่แถวนั้นเลย ไม่มีการเปิดสัญญาณไฟฉุกเฉินสีน้ำเงินแดง หรือเสียงไซเรนดังขึ้นในบริเวณนั้นเลย“โชคดีจังที่ฉันมาทันเวลา" ฉันพึมพำกับตัวเองแล้วรีบเข้าไปข้างใน ฉันไม่สนใจคำทักทายในขณะที่รีบวิ่งเข้าไปในลิฟท์ ฉันกดลิฟท์ขึ้นไปยังห้องทำงานของริชชี่ พร้อมกับโทรศัพท์ผ่านไลน์ไปหาหัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัย“สวัสดีครับ คุณผู้หญิง"“สวัสดีค่ะ" ฉันตอบรับคำทักทายของเขา แล้วตรงเข้าประเด็นเลยว่าฉันโทรหาเขาทำไม "ตอนนี้ ฉันต้องการให้คุณสกัดกั้นริชชี่ หัวหน้าแผนกบริการลูกค้า เอาไว้ทุกทางออก อย่าให้เขาเล็ดลอดออกไปได้"“ครับ คุณผู้หญิง"ฉันได้ยินเขาตะโกนสั่งลูกน้องก่อนที่ฉันจะทันจะได้วางสายลงด้วยซ้ำไป เยี่ยมฉันจะทำให้แน่ใจว่าเขาจะโดนจับกุมตัว ฉันได้ให้เวลาและโอกาสกับเขาในการทบทวนพฤติกรรมแย่ ๆ แล
"ริชชี่"“ครับ คุณซิดนีย์" เขาตอบกลับมาแล้วทำให้ฉันอดหัวเราะด้วยความขมขื่นไม่ได้ เขาไม่ได้เรียกชื่อฉันซิดนีย์เฉย ๆ เหมือนวันอื่น ๆ แล้วเหรอ? แต่ตอนนี้มีคำว่าคุณเพิ่มเข้ามาด้วยได้ยังไงกัน?“บอกฉันมา ริชชี่ คุณจะได้อะไรจากการจ้างนักฆ่าที่ปลอมตัวเป็นผู้จัดซื้อให้มาฆ่าฉัน?ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างก็ปรากฏชัดแล้ว เมื่อเราพูดคุยกันถึงการเพิ่มอะไรใหม่ ๆ เข้ามาในลักซ์ โว้ค แล้วเห็นได้ชัดว่าริชชี่ในฐานะที่เป็นหัวหน้าแผนกจะต้องอยู่ที่นั่นและทำการนำเสนองาน แต่เขากลายเป็นหนึ่งในหัวหน้าแผนกที่ไม่แสดงความคิดเห็นอะไรออกมาเลย“นักฆ่าอะไรเหรอครับ?” เขาพูดปากคอสั่นเล็กน้อย "คุณหมายความว่ายังไง? ผมไม่เข้าใจว่าคุณกำลังพูดถึงอะไร" เขาพูดต่อโดยพยายามแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง แต่ฉันก็มองเห็นหมด ไม่ว่าจะเป็นการขยับนิ้วอย่างกระสับกระส่าย ปากที่สั่นระริก คิ้วขมวดโดยไม่จำเป็น หรือหรือการหรี่ตาลง ทั้งหมดทั้งมวลนั้นล้วนเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความรู้สึกผิดฉันเลิกคิ้วขึ้น "คุณต้องการหลบหนีจากเรื่องนี้เหรอ? ถึงได้แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย"เขาขมวดคิ้วเข้าหากันมากขึ้น "อะไรนะ...ทำไม...” เขาพูดตะกุกตะกักอย่า
หลังจากแน่ใจว่าริชชี่ถูกจับกุมตัวไปแล้ว ฉันก็เรียกพนักงานทุกคนมาประชุม และออกปากเตือนพวกเขาอย่างจริงจัง ถ้าพวกเขาไม่พร้อมที่จะทำงานก็ควรยื่นจดหมายลาออกซะ เมื่อฉันไม่ได้ติดแหงกอยู่ในชีวิตแต่งงานอีกต่อไป ยุคที่ไม่มีการกำกับดูแลอย่างเข้มงวดและสม่ำเสมอจึงกลายเป็นอดีตไปแล้ว จากนั้นก็สั่งให้พนักงานในฝ่ายทรัพยากรบุคคลเริ่มดำเนินการสรรหาบุคลากรจากภายในบริษัท เพื่อหาคนที่เหมาะสมมาทำงานในตำแหน่งของริชชี่หลังจากประชุมเสร็จแล้ว ฉันก็รีบบึ่งไปที่โรงพยาบาล ในที่สุดก็ถึงวันที่เกรซจะออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว เธอจะได้ลุกออกจากเตียงแข็ง ๆ ของโรงพยาบาลซะทีฉันพบหัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยในระหว่างที่เดินออกมา แล้วสั่งให้เขายังคงดูแลความปลอดภัยเอาไว้อย่างแน่นหนา ใครจะไปรู้ว่าริชชี่ยังมีลูกน้องแบบแบรนอยู่อีกกี่คน?ฉันขับรถไปยังโรงพยาบาล แล้วแวะร้านขายของชำเพื่อซื้อผักต่าง ๆ ที่จะใช้ทำอาหารให้เกรซกิน เธอเบื่ออาหารของโรงพยาบาลเต็มทีแล้ว เธอต้องการอาหารที่ปรุงเป็นพิเศษ นอกจากนี้ฉันก็ยังซื้อไวน์ดี ๆ มาฉลองการหย่าร้างกับมาร์คด้วย มันคงจะสนุกกว่าถ้าได้ไปเที่ยวบาร์ ซึ่งอาจจะเป็นบาร์ของลุยจิก็ได้ แต่ฉันก็ไม่อยากเ
ผู้ชายคนนั้นหุบยิ้มทันที แล้วถ้าคุณมองเข้าไปใกล้ ๆ ก็เห็นใบหน้าของเขาดูแข็งกร้าวขึ้น เขาไม่คิดว่าเธอจะเข้ามาใกล้มาก หรือถามเขาตรง ๆ แบบนั้นเขาหัวเราะอย่างเคอะเขิน อาจเพราะพยายามจะทำลายบรรยากาศที่ดูตึงเครียด แต่ก็สายไปแล้วล่ะ "เอาล่ะครับ คุณผู้หญิง เราแค่อยากจะคุยกับเกรซเพื่อหาข้อตกลงที่จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย"ฉันยิ้มเยาะเมื่อเห็นสายตาของเขาดูอ่อนลงไปชั่วขณะ คนพวกนี้ไม่ยอมหยุดทำอะไรง่าย ๆ หรอก ฉันพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า "เสียใจนะ ฉันบอกคุณได้แต่เพียงว่าคุณเกรซจะไม่ยอมถอนฟ้องอย่างแน่นอน ถ้าคุณไม่อยากเสียเวลาก็เชิญออกไปได้แล้ว"ฉันถอยหลังไปหนึ่งก้าวเมื่อจู ๆ ประตูห้องเปิดออก แล้วเกรซก็เดินออกมา ผู้ชายคนนั้นมองฉันอย่างสาดเสียเทเสีย ก่อนจะหันหน้าไปทางโรงพยาบาล...เธอหันไปเผชิญหน้ากับผู้ชายคนนั้นด้วย "ฉันชื่อเกรซ เชิญเข้ามาดื่มกาแฟข้างใน แล้วบอกฉันมาว่าคุณจะเสนอเงื่อนไขอะไรให้"ฉันอ้าปากค้างในขณะที่ผู้ชายคนนั้นมีดวงตาเป็นประกาย เขาหันมายิ้มให้ฉันอย่างผู้ชนะ "ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นหรอกครับคุณเกรซ เพราะตอนนี้เราไม่เหลือเวลามากนัก"เกรซพยักหน้าโดยไม่หันมามองฉันสักนิดเดียว! ฉันคงจะร
"ฉันคิดว่านี่โอเคแล้วนะ เกรซ เธอดูสวยมากเลย ถึงแม้ว่าเธอจะนอนหมดสติอยู่บนเตียงนั่น เธอก็ยังสวยอยู่ดี"เธอร้องออกมาพร้อมกับกลอกตา "โอ๊ย อย่าย้ำเตือนให้ฉันนึกถึงวันเก่า ๆ อีกเลย ฉันจะบ้าตายที่เห็นหน้าตาฉันในสภาพแบบนั้น ฉันกลัวจังเลยว่าแผลเป็นนั้นจะไม่จางหายไป"ฉันหัวเราะในขณะขยับเข้าไปใกล้เธอพร้อมกับจัดชุดเธอให้เข้าที่ จากนั้นก็ช่วยสวมสร้อยคอให้เธอ สร้อยมรกตที่ฉันทำให้เธอนั่นแหละ "เสร็จแล้ว"เธอหยุดนิ่งเหมือนตะลึงงันไปชั่วครู่ จากนั้นก็กรีดร้องแล้วกอดฉันแน่น "เธอเจอมันแล้ว!”“ฉันกระชากมาจากคอนังแม่มดคนนั้น มันใส่สร้อยเส้นนี้อยู่"“เธอน่าเอาสร้อยเส้นนี้รัดคอมันไปเลยนะ" เธอแนะนำ แล้วเราก็หัวเราะกันดังลั่น“โอ้ ไม่นะ ได้โปรด" ฉันพูดในขณะที่กำลังหัวเราะอยู่ "ฉันไม่อยากจบชีวิตอยู่ในคุกเหมือนริชชี่ ฉันแน่ใจว่าพ่อมันต้องทำให้ฉันเน่าตายอยู่ในคุกแน่ ๆ"“มาร์คไม่ให้ปล่อยให้ทำอย่างนั้นหรอก" เธอยักคิ้วฉันกลอกตา "โอ๊ย เรื่องนี้ก็ผ่านไปแล้วน่า" ที่ตลกก็คือนับตั้งแต่วันที่เราเซ็นใบหย่ากัน ฉันก็ไม่ได้คิดถึงเขาอีกเลย“แต่ฉันแน่ใจว่าเธอต้องคิดถึงคุณยายดอริส" เกรซพูดพร้อมกับหันหน้าเข้าหากระจก ใบห
"พูดตามตรงนะ ทีแรกฉันก็คิดว่าพวกแกกำลังเมาอะไรอยู่ซะอีก" ฉันจิบไวน์หลังจากเว้นช่วงไป โดยจ้องมองพวกเขาผ่านปากแก้วไวน์ “แต่พอดูดี ๆ ก็เห็นว่าพวกแกกำลังทำตัวโง่เง่ากันตามปกตินี่" ฉันพูดออกไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ ฉันจ้องพวกเขาตาเขม็งจนทำให้พวกเขาถึงกับหยุดหัวเราะ แล้วจ้องมองมาที่เรา“คนแพ้จะรู้สึกสบายใจเป็นอย่างมากที่ได้เรียกคนอื่นว่าไอ้ขี้แพ้ นั่นทำให้แกรู้สึกดีที่คิดว่าแกไม่ใช่ผู้แพ้เพียงคนเดียวใช่ไหม?” ถ้าดวงตาของแซนดร้ากระโจนออกมาฆ่าฉันได้ มันคงทำไปแล้ว "เอาล่ะ ฉันขออธิบายให้แกเข้าใจง่าย ๆ นะแซนดร้า เราไม่ใช่ผู้แพ้แต่แกนั่นแหละที่เป็น แกเป็นผู้แพ้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมาในชีวิตนี้ ฉันหมายความว่ามีแต่คนรุ่นราวคราวเดียวกับแกเท่านั้นแหละ ที่จะวิ่งกลับไปฟ้องพ่อแม่ให้มาช่วยสะสางปัญหาให้ จริงไหมล่ะคุณแซนดร้า?” ฉันเลิกคิ้วขึ้น "แต่เอาเถอะ แกควรขอบคุณพ่อที่เป็นคนมีตำแหน่งนะ"ฉันเบือนหน้าหนีภาพอันน่าเบื่อของแซนดร้าที่กำลังกัดฟันกรอดและกำมือแน่น แล้วหันไปมองโจเอล "ฉันพูดถูกใช่ไหมล่ะ?” ฉันยกคิ้วขึ้นเพื่อเรียกร้องให้เขาตอบ "พ่อของเธอได้ช่วยพวกแกไว้...” ฉันละคำบางคำเอาไว้ "ว่าแต่โจเอล มีอ
หกเดือนต่อมาฉันหยิบกุญแจรถขึ้นมาในขณะคุยโทรศัพท์โดยหนีบเอาไว้กับหูและไหล่ "บอกนักบินให้ขับช้า ๆ หน่อย ฉันยังอยู่ที่บ้านอยู่เลย"เกรซหัวเราะเบา ๆ "เดี๋ยวฉันยื่นโทรศัพท์ให้เธอคุยกับนักบินเองเลยดีกว่า ยัยตัวร้าย"ฉันปล่อยหัวเราะออกมาดังลั่นจนโทรศัพท์เกือบจะเลื่อนหลุดจากไหล่ "อะไรยะ! ฉันหวังว่าปากคอของเธอคงไม่ได้เก่งขึ้นเพียงอย่างเดียวในระหว่างไปเที่ยวทริปนี้มาหรอกนะ"“มารับฉันแล้วเธอจะรู้เอง" แล้วเธอก็หยุดชะงักไปชั่วครู่ฉันได้ยินเสียงคนพูดอู้อี้อยู่ทางเบื้องหลัง และเสียงของใครบางคนที่กำลังออกคำสั่งอย่างแผ่วเบา ซึ่งจะต้องเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินอย่างแน่นอน "กรุณาปิดโทรศัพท์และเก็บข้าวของให้เข้าที่ในระหว่างเครื่องบินลงจอดในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้"“โอเค ฉันต้องวางสายแล้ว" เกรซพูดขึ้น "เรากำลังแลนดิ้ง" จากนั้นเธอก็ขู่ด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง "อย่าให้ฉันต้องรอนานนะ ซิดนีย์!"“ค่ะ คุณผู้หญิง" ฉันพูดออกไปถึงแม้ว่าสายจะขาดไปแล้วฉันจับข้าวของทุกอย่างยัดลงไปในกระเป๋าถือ เดินออกจากบ้าน ล็อคประตู แล้วเดินตรงไปที่รถ ฉันสตาร์ทรถแล้วขับไปรับเพื่อนสาวที่สนามบิน หลังจากเธอไปอยู่ที่ปารีสมา
มุมมองของซิดนีย์ ฉันเงยหน้าขึ้นมองพาดหัวข่าวที่เพิ่งเด้งขึ้นมาบนแถบแจ้งเตือน หัวข้อข่าวที่สะดุดตาเขียนว่า - "หญิงเจ้าเล่ห์แท้งลูก ทำตั๋วเข้าสู่ความมั่งคั่งหลุดลอยไป" ภาพมาร์คอุ้มเบลล่าที่โชกไปด้วยเลือดเข้าสู่รถพยาบาลถูกแนบมากับโพสต์ข่าว แม้ว่าจะมีโมเสคบาง ๆ เบลอใบหน้าพวกเขาเอาไว้ แต่คนที่คุ้นเคยกับวงสังคมชั้นสูงย่อมจำพวกเขาได้ในทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อเบลล่าเพิ่งอวดภาพการตั้งครรภ์ของเธอไปทั่วโซเชียลมีเดีย “พวกเขาทะเลาะกันหรือเปล่านะ?” ฉันนึกสงสัยด้วยความอยากรู้ แต่ความสงสัยนั้นก็ไม่ได้มากพอจะทำให้ฉันเสียสมาธิจากงานมาเปิดข่าวอ่านฉันถอนหายใจแล้วปัดหน้าจอไปยังรูปตัวอย่างของเครื่องประดับที่ลูกค้าต้องการ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตั้งแต่แรก ฉันเปรียบเทียบกับแบบร่างที่ฉันร่างไว้แล้วส่ายหัวเบา ๆ ฉันพอใจกับสิ่งที่ตัวเองทำ ฉันมั่นใจว่ามาถูกทางแล้ว และสิ่งที่ฉันวาดไว้นั้นก็ดูสวยงามกว่าด้วยซ้ำไป ลูกค้าได้ขอให้สตูดิโอของเราปรับแต่งรายละเอียดเพิ่มเติมเล็กน้อย และสิ่งที่ฉันทำอยู่ตรงนี้ก็นับว่ายอดเยี่ยม ฉันมั่นใจว่าลูกค้าจะต้องถูกใจแน่ ฉันวางโทรศัพท์ลงและเริ่มเติ
ความโกรธพลุ่งพล่านในตัวผม ทั้งแทนซิดนีย์และตัวผมเอง ผมมองเธอด้วยสายตาดูแคลน "ไม่จำเป็นต้องโยนความผิดให้ซิดนีย์เหมือนที่คุณทำมาตลอด ไม่ต้องกลบเกลื่อนคำโกหกของคุณด้วยการทำให้เธอดูแย่ด้วย เพราะมันไม่เกี่ยวอะไรกับเธอเลย ผมไม่ได้ติดต่อกับเธอมานานแล้ว ตั้งแต่หย่ากันด้วยซ้ำ เพราะงั้นอย่าเอาเธอเข้ามาเกี่ยว" "เชื่อฉันสิ ตั้งแต่ซิด…" ผมหลับตาและกัดฟันแน่น พยายามควบคุมความโกรธ แต่เธอกำลังทำให้มันยากขึ้น "หยุดพูดได้แล้ว เบลล่า ผมไม่อยากฟังคำโกหกที่คุณแต่งขึ้นมาอีกแล้ว ผมได้ยินมามากพอแล้ว" "มาร์ค…" "คุณควรพักผ่อน" ผมตัดบทเธออีกครั้ง "ผมจะไปแล้ว ผมจะติดต่อไมเคิลกับคลาริสสาให้มาดูแลคุณ" เลือดเหมือนจะหายไปจากใบหน้าของเบลล่า ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก ก่อนที่เธอจะกรีดร้อง เสียงและร่างกายของเธอสั่นสะท้าน "คุณจะเลิกกับฉันใช่ไหม?!" ผมเลิกคิ้วขึ้น "เราเคยเป็นอะไรกันด้วยเหรอ? เราไม่เคยตกลงอะไรกันอย่างเป็นทางการ คุณกลับมาจากทริปแล้วก็เข้ามาอยู่ในอ้อมแขนผมโดยไม่มีคำพูดอะไร แล้วคุณก็เอาการตั้งครรภ์ที่ไม่ใช่ลูกของผมมามัดผมมือชกอีก ผมอยู่กับคุณเพราะคุณทำให้ผมต้องอยู่…" "คุณพูดแบบ
"เธอฟื้นหรือยังครับ? ผมเข้าไปหาเธอได้ไหม?" ในที่สุดผมก็สามารถเปล่งเสียงออกมาได้ หมอส่ายหน้า "เธอยังไม่ได้สติจากฤทธิ์ยาสลบ ตอนนี้เธอกำลังจะถูกย้ายไปยังห้องพักฟื้นแล้ว รออีกสักหน่อย เธอก็น่าจะฟื้นแล้ว" "ขอบคุณครับ" หมอพยักหน้าแล้วเดินจากไป ผมนั่งอยู่ที่แผนกต้อนรับ พยายามใจเย็นขณะที่รอให้เบลล่าฟื้นขึ้นมา จนกระทั่งพยาบาลเดินเข้ามาหาผม "คุณมาร์ค ผู้หญิงที่คุณพามาได้ถูกย้ายไปยังห้องพักคนไข้แล้วค่ะ และเธอก็ฟื้นแล้วด้วย ถ้าคุณพร้อมเข้าไปหาเธอ ฉันจะพาคุณไปที่ห้องของเธอนะคะ" ผมลุกขึ้นและพยักหน้า "พาผมไปได้เลยครับ" เธอเดินนำไปและผมเดินตามเธอ เราผ่านห้องหลายห้องก่อนที่เธอจะหยุดที่หน้าประตู เธอเปิดประตู "นี่ค่ะห้องพักฟื้นของเธอ" ผมเดินเข้าไปในห้อง และพยาบาลก็เดินออกไป ศีรษะของเบลล่าหันไปอีกด้าน เธอสวมชุดของโรงพยาบาลและมีหมวกคลุมผมอยู่ ผมจินตนาการว่าเธออาจกำลังร้องไห้อย่างเงียบ ๆ ขณะที่หันหน้าหนีไปอีกทาง"เบลล่า" ผมเรียกชื่อเธอเบา ๆ และเธอก็หันมาทันที ใบหน้าของเธอซีดเซียว ดวงตาแดงก่ำ ผมเดาว่าเธอคงจะร้องไห้หรือไม่ก็ปล่อยให้น้ำตาไหลอย่างเงียบ ๆ เพราะทันทีที่สายตาของเธอจับจ้
มุมมองของมาร์คผมวิ่งตามพยาบาลที่กำลังเข็นเปลหามเธอเข้าไปในโรงพยาบาล ไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเลย ในตอนที่ผมตะโกนขอความช่วยเหลือหลังจากเบลล่าเริ่มมีเลือดออก แต่ทันทีที่ผมลงมาชั้นล่าง รถพยาบาลก็มาถึง ทันทีที่ผมขึ้นรถพยาบาล ผมจับมือเธอไว้ ผมเรียกชื่อเธอหลายครั้ง หวังว่าเธอจะลืมตาขึ้น แต่เธอก็ยังคงหลับตาอยู่ หมอพรวดพราดออกมาจากมุมหนึ่ง โดยมีหูฟังแพทย์ห้อยอยู่บนคออย่างไม่เรียบร้อย ขณะที่เราทั้งสองรีบเดินตามพยาบาลที่กำลังเข็นเปลหาม ผมเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เขาฟัง "ผมคิดว่าเขาต้องทำร้ายเธอแน่ เพราะเธออยู่ดี ๆ ก็เริ่มมีเลือดออก" หมอพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปในห้องที่พวกเขาเข็นเธอเข้าไป เธอถูกย้ายขึ้นเตียงโรงพยาบาลแล้ว ผมไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้อง จึงยืนอยู่ข้างนอกและมองผ่านกระจกฝ้าบนประตู หมอส่ายหน้าในขณะที่ตรวจเธอ จากนั้นเขาพูดบางอย่างกับพยาบาลที่อยู่ด้วย พวกเธอพยักหน้าและรีบออกจากห้องไป "ขอโทษนะคะ" พวกเขาพูดพร้อมกันเบา ๆ ผมจึงหลบให้พวกเขาผ่านไป จากนั้นหมอก็ออกมาด้วยเช่นกัน เขาบอกกับผมทันทีว่า "อาการของเธอวิกฤตมาก ต้องเข้ารับการผ่าตัดโดยด่วน เราจะย้ายเธอไปยัง
ผมขึ้นรถและขับด้วยความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด มุ่งตรงไปยังอะพาร์ตเมนต์ของเธอ ตั้งแต่วันที่เธอปฏิเสธที่จะมางานฉลองวันเกิด เธอก็ไม่ได้กลับมาที่บ้านของผมอีกเลย ดังนั้นมันคงสมเหตุสมผลถ้าเธอจะอยู่ที่อะพาร์ตเมนต์ของตัวเอง หรือบางทีเธออาจไปหาที่ร้องไห้บนไหล่ของคนรัก ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ผมจะได้รู้เมื่อไปถึงอะพาร์ตเมนต์ของเธอ ผมไม่สนใจที่จะขับรถเข้าทางจอดรถอย่างถูกต้อง แค่หยุดรถทันที ดับเครื่องยนต์ และพุ่งขึ้นบันไดไปยังอะพาร์ตเมนต์ของเธอ ทันทีที่ผมไปถึงหน้าประตู ผมก็ไม่ลังเลที่จะทุบกำปั้นลงบนประตู "เบลล่า!" ผมตะโกนออกไปด้วยความโกรธและความเจ็บปวดที่อัดแน่น ไม่มีเสียงตอบรับจากข้างใน แต่ผมไม่ยอมแพ้ ผมยังคงทุบกำปั้นลงบนประตู ผมยกกำปั้นขึ้นเพื่อเคาะอีกครั้งเป็นครั้งที่สี่ เมื่อเสียงบทสนทนาดังแว่วเข้าหู ผมชะงักไปและปล่อยมือค้างอยู่ในอากาศ จากนั้นเสียงเหล่านั้นก็ดังขึ้นและชัดเจนมากขึ้น จนกระทั่งเสียงของเบลล่าดังทะลุประตูออกมา "ฉันไม่มีเงินให้คุณอีกแล้ว ไอ้ผีพนันเอ๊ย! ออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้!" น้ำเสียงของเธอดูหงุดหงิด และจากระดับความดังของเสียงก็พอจะบอกได้ว่าเธอกำลังโกรธจัดเสีย
มุมมองของมาร์ค"นี่คือรายงานของคุณเบลล่าที่ขอให้ตามสืบครับ" ผมได้ยินผู้ช่วยส่วนตัวพูด ผมพึมพำตอบกลับไป จากนั้นอีกสองสามวินาทีต่อมา ผมก็เงยหน้าขึ้นจากแฟ้มเอกสารที่มีรายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับนักลงทุนรายล่าสุดของจีที กรุ๊ป เพียงเพื่อจะเห็นแค่แผ่นหลังของผู้ช่วยส่วนตัวที่รีบเดินออกจากห้องไป ผมหยุดและนึกสงสัยว่าเขาจะรีบไปไหน พลันเบี่ยงสายตากลับมายังรายงานซึ่งผมมอบหมายให้เขาไปจัดการที่เขาเพิ่งนำมาวางไว้ให้ แม้ผมจะอยากอ่านรายละเอียดทุกอย่างในรายงานด้วยตัวเอง แต่ผมก็ยุ่งเกินไป จึงตั้งใจจะให้เขาสรุปเนื้อหาให้ฟัง เพราะเขาเป็นคนรวบรวมข้อมูลทั้งหมดหลังจ้างนักสืบเอกชนให้ดำเนินการ แต่ตอนนี้เขากลับออกไปเสียแล้ว ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กำลังจะโทรตามเขา แต่ผมกลับหยุดมือไว้ก่อน สายตาเลื่อนไปที่รายงานที่วางอยู่บนโต๊ะ ทับกับกองเอกสารมากมายที่ผมยังต้องอ่านมันการอ่านรายงานคงใช้เวลาไม่เกินสามสิบนาที ดังนั้นแทนที่จะเรียกให้ผู้ช่วยทิ้งงานของตัวเองแล้วมาสรุปรายงานให้ผมฟัง ทั้งที่ผมแค่อ่านผ่าน ๆ เอาเองก็ได้ ผมจึงวางโทรศัพท์ลงและหยิบรายงานนั่นขึ้นมาแทน ผมเปิดดูคร่าว ๆ ทันที ก่อนจะต้องเลิกคิ้วขึ้น มัน
ลูคัสถอนหายใจ ก่อนจะตอบว่า "เพราะพวกเขาไม่ยอมให้ผมกลับมาไง" "พวกเขา?" คิ้วฉันขมวดเข้าหากันขณะมองเขาอย่างงุนงง "ใครไม่ยอมให้คุณกลับมาเหรอ?" ขนตาของเขากวาดลง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มขมขื่น "คนในครอบครัวของผมน่ะ" คิ้วฉันขมวดลึกขึ้นขณะที่พยายามทำความเข้าใจสิ่งที่เขาพูด ฉันส่ายหน้า "ฉันงงไปหมดแล้ว ช่วยอธิบายให้ชัดหน่อยได้ไหม?" "แบบว่า…ที่คุณเพิ่งรู้ว่าผมกับมาร์คเกี่ยวข้องกัน เพราะจริง ๆ แล้วผมเป็นลูกนอกสมรส ตอนแรกครอบครัวไม่ยอมรับผม ผมเป็นความลับอันโสมมที่ไม่เคยถูกพูดถึงหรือเอ่ยถึง ถูกซุกซ่อนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาล พ่อของผมคือสามีผู้ล่วงลับของดอริส ซึ่งเป็นสายสัมพันธ์เดียวที่เชื่อมผมเข้ากับครอบครัวนี้ ตอนที่พ่อกำลังจะเสีย สิ่งที่เขาปรารถนาเพียงอย่างเดียวคือให้ครอบครัวดูแลผมอย่างดี พวกเขาจึงรับผมกลับมาอย่างเสียไม่ได้" ฉันขมวดคิ้ว "งั้นก็หมายความว่ามันไม่ใช่ว่าพ่อของคุณไม่มีเวลาให้คุณ แต่เขา…" ฉันหยุด แล้วกระซิบออกมา "ป่วย" เขาพยักหน้าช้า ๆ อย่างสงบ ฉันอยากถามเขาว่า ‘แล้วแม่ของเขาล่ะ?’ แต่บางอย่างหยุดฉันไว้ ถ้าเขาอยากพูดถึงแม่ เขาคงจะพูดเอง ถ้าเขาไม่อยากพูด ฉันก็ไม่มี
ฉันพยักหน้าช้า ๆ แต่ก็ยังสงสัยว่าเขารู้ได้อย่างไรว่ามีอะไรอยู่ในกระเป๋า "คุณรู้ได้ยังไงว่ามีอะไรอยู่ในกระเป๋า?" เขาพยักหน้าไปทางกระเป๋า "ซิปมันเปิดอยู่ครึ่งหนึ่งน่ะสิ" ฉันก้มลงมองแล้วสบถออกมา "บ้าเอ๊ย!" ฉันรีบวางมันบนตักและตรวจดูว่ามีอะไรหล่นออกไปหรือเปล่า ซิปคงเปิดตอนที่โจรเหวี่ยงกระเป๋าไปมา หรือไม่ก็ตอนที่ลุยจิแย่งมันมา ฉันรู้สึกถึงสายตาของลูคัสที่จับจ้องมา ขณะที่ฉันหยิบแบบร่างออกมาตรวจดู ฉันถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นว่ามันยังอยู่อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ดี เมื่อฉันเงยหน้าขึ้น รู้สึกอึดอัดและต้องการอธิบาย "ฉันกลัวว่าแบบร่างบางแผ่น(ชิ้น)หล่นหายไปน่ะ" ฉันฝืนยิ้ม "แล้วมีอะไรหายไปไหม?" เขาเลิกคิ้วที่ได้รูปอย่างสมบูรณ์แบบขึ้น "ไม่ค่ะ ทุกอย่างยังอยู่ครบ" ฉันตอบและเริ่มเก็บแบบร่างกลับเข้ากระเป๋า "ขอผมดูหน่อยได้ไหม?" คำขอเบา ๆ ของเขาทำให้ฉันชะงัก ฉันยิ้ม หัวใจรู้สึกอบอุ่นที่เขาสนใจจะดูแบบร่างของฉัน "นี่ค่ะ" ฉันยื่นให้เขา "เชิญคุณดูได้เลย" เขารับกระดาษจากฉันและถือมันไว้อย่างระมัดระวังราวกับมันเป็นอัญมณีล้ำค่า ฉันมองเขาด้วยใจเต้นระทึก ขณะที่สายตาของเขาจับจ้องที่แบบร่า
เขาจับมือฉันแกว่งไปมาในขณะเดินชมสวนอย่างเงียบ ๆ โดยเราก็ต่างตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองในขณะดื่มด่ำกับความเงียบสงบของค่ำคืนมีแสงสว่างสาดส่องอยู่ข้างหน้า และดูเหมือนจะมีผู้คนอยู่มากมาย ฉันหรี่ตามอง "นั่นรถขายของสักอย่างใช่ไหม?” ฉันพึมพำในขณะเหลือบมองลูคัสแวบนึง ซึ่งกำลังมองไปข้างหน้าเช่นกัน“ผมก็คิดว่าอย่างนั้นนะ" ลูคัสตอบพร้อมกับยักไหล่ขึ้นเล็กน้อยเมื่อเราเดินเข้าไปใกล้มากขึ้นภาพก็ชัดเจนขึ้น แล้วฉันก็หยุดยั้งตัวเองเอาไว้ไม่ได้เลย เมื่อตระโกนออกไปว่า "ไอศกรีม!” ฉันชี้ไปที่รถไอศกรีมแล้วหันไปหาลูคัสซึ่งกำลังยืนยิ้มอยู่“ไปกันเถอะ" ฉันดึงมือออกจากเขา "ไปกินไอศกรีมกัน"ฉันรีบวิ่งไปยังรถไอศกรีมที่เปิดเพลงอยู่โดยไม่ได้รอคำตอบจากเขา ตอนที่ฉันร้องตะโกนออกไปนั้น มีเด็ก ๆ บางคนหันมามอง ดังนั้นเมื่อฉันรีบวิ่งไปที่นั่น พวกเขาก็ยังคงจ้องมองอยู่ฉันไม่สนใจสายตาที่จ้องมองมาที่ฉันเลยสักนิดเดียว ตอนนี้ฉันมีความรู้สึกเหมือนอยู่ในวัยเดียวกับพวกเขาเลย ฉันนึกถึงตอนที่ฉันกับลูคัสเคยเดินเล่นด้วยกันตอนเด็ก ๆ แล้วแวะไปที่ร้านไอศกรีม หรือรถไอศกรีมเหมือนรถคันนี้ แล้วซื้อไอศกรีมกินกันคนละสองถ้วย“คุณอยาก