หลังจากแน่ใจว่าริชชี่ถูกจับกุมตัวไปแล้ว ฉันก็เรียกพนักงานทุกคนมาประชุม และออกปากเตือนพวกเขาอย่างจริงจัง ถ้าพวกเขาไม่พร้อมที่จะทำงานก็ควรยื่นจดหมายลาออกซะ เมื่อฉันไม่ได้ติดแหงกอยู่ในชีวิตแต่งงานอีกต่อไป ยุคที่ไม่มีการกำกับดูแลอย่างเข้มงวดและสม่ำเสมอจึงกลายเป็นอดีตไปแล้ว จากนั้นก็สั่งให้พนักงานในฝ่ายทรัพยากรบุคคลเริ่มดำเนินการสรรหาบุคลากรจากภายในบริษัท เพื่อหาคนที่เหมาะสมมาทำงานในตำแหน่งของริชชี่หลังจากประชุมเสร็จแล้ว ฉันก็รีบบึ่งไปที่โรงพยาบาล ในที่สุดก็ถึงวันที่เกรซจะออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว เธอจะได้ลุกออกจากเตียงแข็ง ๆ ของโรงพยาบาลซะทีฉันพบหัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยในระหว่างที่เดินออกมา แล้วสั่งให้เขายังคงดูแลความปลอดภัยเอาไว้อย่างแน่นหนา ใครจะไปรู้ว่าริชชี่ยังมีลูกน้องแบบแบรนอยู่อีกกี่คน?ฉันขับรถไปยังโรงพยาบาล แล้วแวะร้านขายของชำเพื่อซื้อผักต่าง ๆ ที่จะใช้ทำอาหารให้เกรซกิน เธอเบื่ออาหารของโรงพยาบาลเต็มทีแล้ว เธอต้องการอาหารที่ปรุงเป็นพิเศษ นอกจากนี้ฉันก็ยังซื้อไวน์ดี ๆ มาฉลองการหย่าร้างกับมาร์คด้วย มันคงจะสนุกกว่าถ้าได้ไปเที่ยวบาร์ ซึ่งอาจจะเป็นบาร์ของลุยจิก็ได้ แต่ฉันก็ไม่อยากเ
ผู้ชายคนนั้นหุบยิ้มทันที แล้วถ้าคุณมองเข้าไปใกล้ ๆ ก็เห็นใบหน้าของเขาดูแข็งกร้าวขึ้น เขาไม่คิดว่าเธอจะเข้ามาใกล้มาก หรือถามเขาตรง ๆ แบบนั้นเขาหัวเราะอย่างเคอะเขิน อาจเพราะพยายามจะทำลายบรรยากาศที่ดูตึงเครียด แต่ก็สายไปแล้วล่ะ "เอาล่ะครับ คุณผู้หญิง เราแค่อยากจะคุยกับเกรซเพื่อหาข้อตกลงที่จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย"ฉันยิ้มเยาะเมื่อเห็นสายตาของเขาดูอ่อนลงไปชั่วขณะ คนพวกนี้ไม่ยอมหยุดทำอะไรง่าย ๆ หรอก ฉันพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า "เสียใจนะ ฉันบอกคุณได้แต่เพียงว่าคุณเกรซจะไม่ยอมถอนฟ้องอย่างแน่นอน ถ้าคุณไม่อยากเสียเวลาก็เชิญออกไปได้แล้ว"ฉันถอยหลังไปหนึ่งก้าวเมื่อจู ๆ ประตูห้องเปิดออก แล้วเกรซก็เดินออกมา ผู้ชายคนนั้นมองฉันอย่างสาดเสียเทเสีย ก่อนจะหันหน้าไปทางโรงพยาบาล...เธอหันไปเผชิญหน้ากับผู้ชายคนนั้นด้วย "ฉันชื่อเกรซ เชิญเข้ามาดื่มกาแฟข้างใน แล้วบอกฉันมาว่าคุณจะเสนอเงื่อนไขอะไรให้"ฉันอ้าปากค้างในขณะที่ผู้ชายคนนั้นมีดวงตาเป็นประกาย เขาหันมายิ้มให้ฉันอย่างผู้ชนะ "ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นหรอกครับคุณเกรซ เพราะตอนนี้เราไม่เหลือเวลามากนัก"เกรซพยักหน้าโดยไม่หันมามองฉันสักนิดเดียว! ฉันคงจะร
"ฉันคิดว่านี่โอเคแล้วนะ เกรซ เธอดูสวยมากเลย ถึงแม้ว่าเธอจะนอนหมดสติอยู่บนเตียงนั่น เธอก็ยังสวยอยู่ดี"เธอร้องออกมาพร้อมกับกลอกตา "โอ๊ย อย่าย้ำเตือนให้ฉันนึกถึงวันเก่า ๆ อีกเลย ฉันจะบ้าตายที่เห็นหน้าตาฉันในสภาพแบบนั้น ฉันกลัวจังเลยว่าแผลเป็นนั้นจะไม่จางหายไป"ฉันหัวเราะในขณะขยับเข้าไปใกล้เธอพร้อมกับจัดชุดเธอให้เข้าที่ จากนั้นก็ช่วยสวมสร้อยคอให้เธอ สร้อยมรกตที่ฉันทำให้เธอนั่นแหละ "เสร็จแล้ว"เธอหยุดนิ่งเหมือนตะลึงงันไปชั่วครู่ จากนั้นก็กรีดร้องแล้วกอดฉันแน่น "เธอเจอมันแล้ว!”“ฉันกระชากมาจากคอนังแม่มดคนนั้น มันใส่สร้อยเส้นนี้อยู่"“เธอน่าเอาสร้อยเส้นนี้รัดคอมันไปเลยนะ" เธอแนะนำ แล้วเราก็หัวเราะกันดังลั่น“โอ้ ไม่นะ ได้โปรด" ฉันพูดในขณะที่กำลังหัวเราะอยู่ "ฉันไม่อยากจบชีวิตอยู่ในคุกเหมือนริชชี่ ฉันแน่ใจว่าพ่อมันต้องทำให้ฉันเน่าตายอยู่ในคุกแน่ ๆ"“มาร์คไม่ให้ปล่อยให้ทำอย่างนั้นหรอก" เธอยักคิ้วฉันกลอกตา "โอ๊ย เรื่องนี้ก็ผ่านไปแล้วน่า" ที่ตลกก็คือนับตั้งแต่วันที่เราเซ็นใบหย่ากัน ฉันก็ไม่ได้คิดถึงเขาอีกเลย“แต่ฉันแน่ใจว่าเธอต้องคิดถึงคุณยายดอริส" เกรซพูดพร้อมกับหันหน้าเข้าหากระจก ใบห
"พูดตามตรงนะ ทีแรกฉันก็คิดว่าพวกแกกำลังเมาอะไรอยู่ซะอีก" ฉันจิบไวน์หลังจากเว้นช่วงไป โดยจ้องมองพวกเขาผ่านปากแก้วไวน์ “แต่พอดูดี ๆ ก็เห็นว่าพวกแกกำลังทำตัวโง่เง่ากันตามปกตินี่" ฉันพูดออกไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ ฉันจ้องพวกเขาตาเขม็งจนทำให้พวกเขาถึงกับหยุดหัวเราะ แล้วจ้องมองมาที่เรา“คนแพ้จะรู้สึกสบายใจเป็นอย่างมากที่ได้เรียกคนอื่นว่าไอ้ขี้แพ้ นั่นทำให้แกรู้สึกดีที่คิดว่าแกไม่ใช่ผู้แพ้เพียงคนเดียวใช่ไหม?” ถ้าดวงตาของแซนดร้ากระโจนออกมาฆ่าฉันได้ มันคงทำไปแล้ว "เอาล่ะ ฉันขออธิบายให้แกเข้าใจง่าย ๆ นะแซนดร้า เราไม่ใช่ผู้แพ้แต่แกนั่นแหละที่เป็น แกเป็นผู้แพ้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมาในชีวิตนี้ ฉันหมายความว่ามีแต่คนรุ่นราวคราวเดียวกับแกเท่านั้นแหละ ที่จะวิ่งกลับไปฟ้องพ่อแม่ให้มาช่วยสะสางปัญหาให้ จริงไหมล่ะคุณแซนดร้า?” ฉันเลิกคิ้วขึ้น "แต่เอาเถอะ แกควรขอบคุณพ่อที่เป็นคนมีตำแหน่งนะ"ฉันเบือนหน้าหนีภาพอันน่าเบื่อของแซนดร้าที่กำลังกัดฟันกรอดและกำมือแน่น แล้วหันไปมองโจเอล "ฉันพูดถูกใช่ไหมล่ะ?” ฉันยกคิ้วขึ้นเพื่อเรียกร้องให้เขาตอบ "พ่อของเธอได้ช่วยพวกแกไว้...” ฉันละคำบางคำเอาไว้ "ว่าแต่โจเอล มีอ
หกเดือนต่อมาฉันหยิบกุญแจรถขึ้นมาในขณะคุยโทรศัพท์โดยหนีบเอาไว้กับหูและไหล่ "บอกนักบินให้ขับช้า ๆ หน่อย ฉันยังอยู่ที่บ้านอยู่เลย"เกรซหัวเราะเบา ๆ "เดี๋ยวฉันยื่นโทรศัพท์ให้เธอคุยกับนักบินเองเลยดีกว่า ยัยตัวร้าย"ฉันปล่อยหัวเราะออกมาดังลั่นจนโทรศัพท์เกือบจะเลื่อนหลุดจากไหล่ "อะไรยะ! ฉันหวังว่าปากคอของเธอคงไม่ได้เก่งขึ้นเพียงอย่างเดียวในระหว่างไปเที่ยวทริปนี้มาหรอกนะ"“มารับฉันแล้วเธอจะรู้เอง" แล้วเธอก็หยุดชะงักไปชั่วครู่ฉันได้ยินเสียงคนพูดอู้อี้อยู่ทางเบื้องหลัง และเสียงของใครบางคนที่กำลังออกคำสั่งอย่างแผ่วเบา ซึ่งจะต้องเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินอย่างแน่นอน "กรุณาปิดโทรศัพท์และเก็บข้าวของให้เข้าที่ในระหว่างเครื่องบินลงจอดในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้"“โอเค ฉันต้องวางสายแล้ว" เกรซพูดขึ้น "เรากำลังแลนดิ้ง" จากนั้นเธอก็ขู่ด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง "อย่าให้ฉันต้องรอนานนะ ซิดนีย์!"“ค่ะ คุณผู้หญิง" ฉันพูดออกไปถึงแม้ว่าสายจะขาดไปแล้วฉันจับข้าวของทุกอย่างยัดลงไปในกระเป๋าถือ เดินออกจากบ้าน ล็อคประตู แล้วเดินตรงไปที่รถ ฉันสตาร์ทรถแล้วขับไปรับเพื่อนสาวที่สนามบิน หลังจากเธอไปอยู่ที่ปารีสมา
"เธอดูดีมากเลยเพื่อนสาว" ฉันยิ้มให้เธอเธอหน้าแดงแล้วกอดฉันอีกครั้ง "ขอบคุณจ้ะ" เธอดึงตัวกลับ "เธอก็ไม่ได้แย่อะไรนี่"“ซิดนีย์!”ฉันกับเกรซสบตากันเมื่อได้ยินคนมาเรียกชื่อฉัน จากนั้นเราทั้งคู่กันหันไปตามเสียงนั้นฉันเลิกคิ้วมองคนที่กำลังเดินเข้ามาหาเรา มาร์คกับเบลล่านั่นเอง ช่างน่าประหลาดใจจริง ๆ อันที่จริงฉันไม่เคยคาดคิดว่าจะมีโอกาสมาเจอพวกเขาที่นี่ได้หลังจาก เกรซเดินทางไปปารีสแล้ว ฉันก็ได้รับมอบหมายให้เป็นคนดูแลกิจการของบริษัท ฉันยุ่งมากกับการจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย และไล่พนักงานที่ขัดขวางความก้าวหน้าของบริษัทออกไป จนไม่มีเวลาแม้แต่จะนึกถึงมาร์คหรือเบลล่าหรือใครก็ตาม หรือแม้แต่สิ่งใดก็ตามที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเติบโตของบริษัทแม้แต่ตอนที่ฉันไปที่บริษัทจีที กรุป ฉันก็ไม่เคยเจอเขาเลย พอมานั่งคิดดูในตอนนี้ ฉันก็สงสัยจังว่าเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร ฉันหมายความว่าฉันไปที่จีที กรุปตั้งหลายครั้ง แต่เราไม่เคยเจอกันเลย เขาคงหลบหน้าฉันใช่ไหม? แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก นับเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำไป เพราะฉันไม่ได้อยากจะเจอเขาเลยการได้มาเห็นพวกเขาในตอนนี้ มาร์คกำลังยิ้มแฉ่งและเบลล่ากำลังแย้มยิ้มให้มา
มุมมองของมาร์คผมรู้สึกเป็นกังวลมากในช่วงนี้ จิตใจเต้นไม่เป็นส่ำทุกครั้งเหมือนพร้อมจะล่องลอยออกไป และก็นึกถึงการเตะที่ผมรู้สึกได้บนหน้าท้องของเบลล่า ผมรู้สึกได้ถึงการเตะนั้นบนฝ่าผมอยู่ตลอดเวลาราวกับว่าเพิ่งเอามือคลำไปหยก ๆ นี่เอง มันเหมือนเป็นการย้ำเตือนเป็นประจำทุกวันว่าผมกำลังจะกลายเป็นพ่อในไม่ช้านี้ ผมกำลังจะกลายเป็นพ่อของเด็กที่ตนเองยังไม่รู้ว่าอยากจะได้หรือเปล่า ผู้หญิงคนที่ผมเริ่มจะมีความรู้สึกขัดแย้งกับเธอกำลังอุ้มท้องลูกของผมอยู่ แล้วผมไม่รู้ว่าจะต้องจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร ผมรู้สึกอับจนหนทางมากเคยคิดว่าผมรักเบลล่าและพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่กับเธอ แล้วสุดท้ายผมก็ได้อยู่กับเธอ แต่ผมไม่แน่ใจว่ายังรักเธออยู่หรือเปล่า เวลาที่เห็นเธอหรือรอยยิ้มนั้น หัวใจก็ไม่ได้เต้นรัวอีกแล้ว ผมไม่รู้สึกสบายเหมือนอยู่ที่บ้านอีกต่อไป เวลาที่มีเธอเข้ามาอยู่ใกล้ ๆ แต่กลับรู้สึก...อึดอัดจนหายใจไม่ออก แล้วจู่ ๆ ก็แค่อยากให้อยู่ห่างจากเธอช่วงเวลาดี ๆ ระหว่างเรามีเพียงชั่วเวลาเดียวเท่านั้น คือเวลาที่เรามีอะไรกัน ช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่นาทีที่ผมอยากสนองความต้องการทางเพศของตัวเอง คือช่วง
วันนั้นผมรู้สึกว้าวุ่นใจอยู่ตลอดเวลา เริ่มตั้งแต่ในขณะแต่งตัวเตรียมจะออกไปทำงาน… ในขณะเดินทางไปทำงาน จนถึงเวลาที่ผมหย่อนตัวนั่งในห้องทำงานดังนั้น เมื่อเธอเข้ามาหาผมในอีกสองเดือนต่อมา พร้อมกับผลอัลตร้าซาวนด์ และวางมือบนหน้าท้องอันแบนราบ ดวงตาเปล่งประกายไปด้วยความหวัง ความสุข และความหวาดกลัว ซึ่งผมไม่รู้สึกประหลาดใจอะไรเลย“มาร์ค ฉันท้องค่ะ" เธอพูดด้วยเสียงสั่นเครือและเบาจนแทบจะไม่ได้ยินผมนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นพร้อมกับจ้องมองเธอ ผมแอบคิดอยู่ในใจเอาไว้แล้ว ผมรู้อยู่แล้วว่าเธอท้องแต่ผมก็ยังคงตกตะลึง ใบหน้าแดงเหมือนห้อเลือด เมื่อตระหนักได้ว่าในที่สุดสิ่งที่ผมกลัวเหลือเกินได้เกิดขึ้นแล้ว "แต่ผมจำได้ว่าได้บอกให้คุณกินยาคุมกำเนิดแล้วนี่!” ผมโพล่งออกไปด้วยความโกรธเกรี้ยวโดยไม่ได้คิดถึงความรู้สึกของเธอเลยเธอมองผมน้ำตาคลอเบ้าอย่างที่คาดเอาไว้ "ฉันกินยานั่นแล้ว" เสียงสั่นเครือ "แต่มันคงใช้ไม่ได้ผล" มันเป็นอุบัติเหตุ เข้าใจไหมคะ? ฉันไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นเหมือนกัน แต่ฉันอยากเก็บเด็กคนนี้ไว้ มาร์ค" เธอขยับเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น "แล้วหมอก็บอกว่าร่างกายของฉันอ่อนแอเกินไป ถ้าฉันไม่เก็บเด็กคนนี้เอาไว
มุมมองของนักเขียนอาน่าถอนหายใจเสียงดังขณะเดินเข้าไปในห้องพักของเดนนิสและนั่งลงข้าง ๆ เขา เธอหยิบหนังสือออกมาและเริ่มอ่านเป็นครั้งคราว เธอจะเปิดโทรศัพท์เพื่อดูจัสตินนอนหลับหรือเล่นรอบบ้านในขณะที่พี่เลี้ยงยุ่งอยู่ หรือแค่ซุกตัวบนโซฟาตัวหนึ่งเพื่ออ่านหนังสือ โดยคอยจับตาดูจัสตินตอนนี้มันกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของอาน่าไปแล้วในวันที่เธอพักค้างคืนที่โรงพยาบาล เธอจะออกจากที่นั่นแต่เช้าเพื่อไปดูแลจัสตินและกลับมา ขณะที่เธอนั่งอยู่ข้างๆ เขา นิ้วอุ่นๆ ของเธอประสานกับนิ้วเย็นๆ ที่ยังคงนิ่งของเขา เธอจะอ่านหนังสือเดนนิสยังคงอยู่ในอาการโคม่า และในแต่ละวัน อาน่ารู้สึกว่าความกลัวกำลังเพิ่มขึ้น... กลัวว่าเขาอาจจะยังคงอยู่ในอาการโคม่าจนถึงแก่ชีวิต ทั้งหมดเป็นเพราะเธอคนเดียวเธอต้องการให้เขาลืมตาขึ้นมามองเธอด้วยความรักที่เขามีให้เธอเสมอ เธอต้องการบอกเขาว่าเธอรักเขามากแค่ไหนและรู้สึกขอบคุณที่มีเขาในชีวิตของเธอ แต่ที่สำคัญที่สุด เธอต้องการขอโทษเขาเธอเห็นแก่ตัวมาก คิดว่าความเจ็บปวดของพวกเขาไม่ยิ่งใหญ่เท่าของเธอ... พวกเขาทุกคนรักเอมี่อย่างสุดซึ้ง และพวกเขาทุกคนเจ็บปวดกับการจากไปของเธอจากชีวิตนี้ ห
มุมมองของนักเขียนชารอนถูกตัดสินว่าไม่มีความผิดฐานมีส่วนร่วมโดยตรงในการเสียชีวิตของเอมี่ แต่มีความผิดฐานสมรู้ร่วมคิด เธอโชคดีพอที่จะได้รับการลดหย่อนโทษ จำคุกในระยะเวลาอันสั้น ทนายของเธอทำให้แน่ใจว่ามันจะเป็นเช่นนั้น และทั้งหมดนี้เป็นเพราะพ่อของเธอแม้ว่าพ่อของเธอจะผิดหวังกับทุกสิ่งที่เธอทำ แต่เธอก็เป็นลูกสาวของเขา ทายาทที่น่าเกรงขามเพียงคนเดียวของเขา ไม่มีทางที่เขาจะทอดทิ้งเธอได้ขณะที่เธอรับโทษจำคุก นับถอยหลังสู่วันที่เธอจะได้ออกไปจากที่นั่นในที่สุด เธอได้รับเอกสารหย่าร้างส่งมาให้เธอเธอคิดว่าเช้าวันนั้นหนาวเกินไปสำหรับฤดูกาล ห้องขังเล็กๆ ของเธอรู้สึกเล็กกะทันหัน มันรู้สึกเหมือนมันจะปิดล้อมเธอ และเธอเอามือสอดเข้าไปในช่องประตูเพื่อหายใจเมื่อหนึ่งในผู้คุมมาพาเธอไปเธอนั่งลง ได้รับปากกา และต่อหน้าเธอ บนโต๊ะเหล็ก มีจดหมายหย่าร้างวางอยู่ เหตุผลหลักที่เธอเข้าไปเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมและการกระทำสกปรกเหล่านี้ทั้งหมดคือเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ไอเดนทิ้งเธอ มันน่าเศร้าจริงๆ ที่เธอทำงานอย่างหนักเพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งนี้ แต่กลับถูกโยนใส่อย่างแรงที่ใบหน้าของเธอในตอนท้ายดวงตาปวดหนึบด้วยน้ำตาขณะที่เธ
"หยุด!" เสียงของเธอสั่นเครือขณะที่เธอตะโกนบอกคนขับแท็กซี่แค่นั้นก็เพียงพอให้อาน่าหันกลับมา"ฉันทำอะไรลงไป?" ลมหายใจของเธอสั่นเทาขณะที่เธอเปิดประตูและรีบออกจากแท็กซี่ มือของเธอสั่นเทาขณะที่เธอสะดุดลงบนทางเท้า"เดนนิส!" เธอตะโกนขณะที่เข่าของเธอล้มลงบนพื้นคอนกรีตแข็ง "ได้โปรด อย่า" เธอพูดกระซิบ สายตาของเธอจ้องมองไปที่รถที่พังยับเยิน "เดนนิส ต้องรอดให้ได้นะ"เธอคลานไปที่รถ มองเข้าไปข้างในเพื่อดูเขา แต่ข้างในนั้นมืดมิดและเสียงสะอื้นของเธอก็ดังขึ้น "ทำไมฉันถึงออกมา? ทำไมฉันไม่รอเขา?"เธอเช็ดน้ำตา "ฉันสัญญา" เธอสะอื้น "ฉันจะไม่ไปหาเอมี่อีกแล้ว ฉันสัญญา เดนนิส ได้โปรดออกมา" เธอร้องไห้ขณะที่เธอจำได้เลือนรางว่าเขาบอกเธอว่าเอมี่ได้รับความยุติธรรมแล้ว และไม่จำเป็นต้องไปหาเธออีกต่อไปนี่เป็นความผิดของเธอทั้งหมด เธอควรจะฟังเขา เธอควรจะรอเขาก่อนที่เธอจะออกไป"อาน่า!" ไอเดนตะโกนขณะที่เขารีบออกจากรถ เขารู้สึกโล่งใจที่เห็นอาน่า เขาหารถแท็กซี่หลังจากที่เดนนิสขับออกไปสักพัก และตามเขาไป เมื่อเขาสังเกตเห็นฝูงชนและเห็นว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้น เขาก็กลัวว่าจะเป็นอาน่า"ให้ตายสิ!" เขาพึมพำขณะหยุดอยู่ต่อ
มุมมองของนักเขียนหลังจากที่ไอเดนได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขาไม่ลังเลเลยก่อนที่จะเดินออกจากห้องพิจารณาคดีหัวใจของชารอนแตกสลายเมื่อมองดูไอเดนเดินออกไปอย่างโกรธจัด เขาเกลียดชังเธอมากจนทนดูการพิจารณาคดีของเธอไม่ได้เลยหรือ? น้ำตาไหลลงมาบนใบหน้าของเธอ และเธอรีบเช็ดมันออกก่อนที่พ่อของเธอจะเห็นพ่อของเธอบอกเธอไปก่อนหน้านี้ว่า "พอได้แล้ว ชารอน อย่าร้องไห้เพราะผู้ชายอย่างเขาเลย" แต่นั่นหลังจากที่เขาตำหนิเธอสำหรับทุกสิ่งที่เธอทำ"มีการตัดสินแล้วหรือยัง คุณไอเดน? คุณจะประกันตัวภรรยาของคุณไหม?"คำถามทั้งหมดของพวกเขาไม่ได้เข้าหูไอเดนแม้แต่น้อย เขาไม่ได้สนใจสิ่งใดเลยขณะที่เขาเร่งรีบไปที่รถของเขาและขับออกจากบริเวณศาลระหว่างทางไปโรงพยาบาล เขาโทรหาทีมรักษาความปลอดภัยของเขาที่ตามเขามาทันทีที่เขาขับรถออกไป "อาน่าสตาเซียเพิ่งหนีออกจากโรงพยาบาลบ้า ตามหาเธอ" เขาออกคำสั่ง "ผมจะส่งรูปของเธอให้คุณตอนนี้""ครับ"เขาตัดสาย ขณะที่เขาขับรถ เขาหารูปอาน่าที่ชัดเจนและส่งให้ทีมรักษาความปลอดภัยที่เริ่มตามหาเธอทันทีจากนั้นไอเดนพยายามโทรหาเดนนิส แต่เขาก็ยังไม่รับสายเมื่อมาถึงโรงพยาบาล เขาพบเดนนิสอยู่ข้างนอก เขา
ไอเดนเมื่อเวลาผ่านไป คดีของเอมี่ได้รับความสนใจจากสื่อมากมาย ช่องข่าวทุกช่องมีรูปเด็กผู้หญิงน่าสงสารคนนั้นขณะที่พวกเขาพูดถึงการตายที่ไม่ยุติธรรมของเธอ และทุกคนที่รับผิดชอบต้องถูกลงโทษตามนั้นท่ามกลางทุกสิ่งทุกอย่าง จุดสนใจก็เปลี่ยนจากเอมี่มาเป็นชารอนและผม อย่างไรก็ตาม มีข่าวลือเกี่ยวกับชีวิตแต่งงานของเราและการตั้งครรภ์ปลอมของเธอผมเริ่มได้รับโทรศัพท์จากหมายเลขที่ไม่รู้จักหลายหมายเลข โทรมาถามคำถามไร้สาระทั้งหมดเพื่อต้องการข้อมูลโดยตรงจากแหล่งข่าว ผมต้องเปลี่ยนซิมการ์ดในโทรศัพท์ของผมเป็นซิมที่ผู้ช่วยของผมใช้ หากมีข้อมูลใดๆ เขาก็แค่ส่งต่อมา ผมเบื่อที่จะรับมือกับสายเรียกเข้าที่ไม่หยุดหย่อนเหล่านั้นเมื่อชารอนอาการดีขึ้นและเธอต้องถูกส่งตัวกลับไปที่สถานีตำรวจ พวกเขามาถึงสถานีพร้อมกับกลุ่มนักข่าวที่ทางเข้าตำรวจคุ้มกันเธอขณะพาเธอเข้าไปข้างใน แต่นั่นไม่ได้หยุดนักข่าวจากการตะโกนถามคำถามของพวกเขา"คุณเสแสร้งว่าท้องจริง ๆ เหรอ คุณนายไอเดน?""คุณชารอน คุณยังเป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้วอยู่ไหม?""สามีของคุณอยู่ที่ไหน? เขายังรักคุณอยู่ไหม?""จะมีการหย่าร้างไหม?""คุณมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสีย
เดนนิสอาน่าถูกส่งตัวไปยังศูนย์บำบัดวิกฤตสุขภาพจิต และผมใช้เวลาส่วนใหญ่ของผมที่นั่น แม้ว่าผมจะพยายามแบ่งเวลาอย่างเท่าเทียมกันระหว่างงาน จัสติน และเอมี่ แต่ผมก็พบว่าตัวเองใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่นี่งานเป็นไปด้วยดีอย่างยิ่ง ตอนนี้ผมทำเงินได้มากกว่าที่เคยทำก่อนที่ผมจะถูกหลอก แต่ผมไม่มีความสุข คนที่ผมรักที่สุดอยู่ในบ้านพักผู้ป่วยทางจิต ทุกวันที่ผมไปที่นั่น ผมหวังว่าอาการของเธอจะเริ่มดีขึ้นในไม่ช้า ครึ่งหนึ่งของเวลา เธอดูปกติดี แค่นั่งอยู่คนเดียวด้วยสีหน้าที่เป็นกลาง เธอจะไม่พูดคุยกับใครเป็นเวลาหลายชั่วโมง อีกครึ่งหนึ่งใช้ไปกับการร้องไห้และขอร้องให้ผมพาพวกเราไปหาเอมี่แพทย์บอกว่าเธอดีขึ้น แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้นสำหรับผมจัสตินทำได้ดีมาก เขาดูเหมือนจะไม่โศกเศร้าอย่างที่ไอเดนแนะนำ มีบางครั้งที่เขาจะร้องไห้และไม่มีอะไรทำให้เขาหยุดได้จนกว่าเขาจะหลับไป แต่ช่วงเวลาเหล่านั้นหายาก และผมคิดว่าเขาแค่คิดถึงแม่ของเขาผมทำให้แน่ใจว่าผมมีเวลาให้เขาเสมอ เหมือนกับที่ผมมีเวลาให้อาน่า ไม่ว่างานจะยุ่งแค่ไหน ผมไม่ต้องการปล่อยเขาไว้กับพี่เลี้ยงทั้งหมด แม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิงที่ดี แต่ผมต้องการให้ไอเดนเติ
ไอเดนนักสืบส่งที่อยู่โรงพยาบาลที่ชารอนถูกนำตัวส่งมาให้กับผมภายในห้อง ชารอนนอนขดตัวอยู่กับตนเองพร้อมกับกุญแจมือที่คล้องอยู่พอจะเอื้อมถึงเธอรีบลุกขึ้นนั่งเมื่อเห็นผมเข้ามาในห้อง "ไอเดน" เธอหายใจออกมา ดวงตาเบิกกว้างด้วยความกลัว"ไม่เพียงแต่คุณจะเป็นอาชญากร แต่ยังเป็นคนโกหกด้วยเหรอ? คนโป้ปด!" ผมพูดออกมาขณะที่สายตาเหลือบไปที่ท้องแบนราบของเธอ ผมหัวเราะเยาะตัวเองขณะทรุดตัวลงบนเก้าอี้ที่หันหน้าเข้าหาเตียงของเธอ ผมรู้สึกหมดแรงจนแทบจะยืนด้วยขาของตัวเองไม่ได้เธอส่ายหัว น้ำตาไหลลงมาบนใบหน้าของเธอ เหมือนกับที่มันไหลลงมาบนใบหน้าของเธอตอนที่เธอถูกจับกุม "มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด ฉันสาบานได้นะ ฉัน…" เธอพูดไม่ออกและไหล่ของเธอก็สั่นเทาขณะที่เธอร้องไห้หนักขึ้นผมเอียงศีรษะไปด้านข้างและมองเธออยู่ครู่หนึ่ง ผมไม่แปลกใจเลยที่ผมไม่รู้สึกสงสารเธอแม้แต่น้อย "ถ้ามันไม่ใช่อย่างที่ผมคิด แล้วมันคืออะไร? บอกมาสิ""คุณแกล้งทำเป็นท้องมาตั้งหลายเดือน!" เสียงหัวเราะขมขื่นหลุดออกจากริมฝีปากขณะที่ผมส่ายหัว มันยังคงรู้สึกเหมือนเรื่องตลก ผมคงไม่เชื่อนักสืบเลย ถ้าไม่มีสัญญาณทั้งหมดที่ผมมองข้ามไปผมโน้มตัวไปข้างหน้
ไอเดนผมตกใจกับคำพูดของเขา เดนนิสรู้แล้วเหรอ?เดนนิสก็มีส่วนร่วมในการสอบสวนด้วย เขาแค่ไม่ได้กระตือรือร้นเท่าผม ดังนั้นมันไม่น่าแปลกใจที่เขาจะได้ยินเรื่องนี้ นอกจากนี้ มันเป็นคดีของลูกสาวเขาด้วย เขาจึงมีสิทธิ์ที่จะรู้แต่ผมเลือกที่จะเพิกเฉยต่อคำพูดที่รุนแรงของเขา ผมยังคงสับสนกับข่าวที่ว่าอนาอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวชในขณะนี้ มันเป็นไปได้อย่างไร? เขาปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ผมอยากจะตะโกนใส่เขา แต่ผมก็สงบสติอารมณ์ ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของผมตั้งแต่แรก... และของชารอน"แล้วเธออยู่ที่โรงพยาบาลไหน?" มันฟังดูไม่จริง ผมรู้ว่าเธอรักเอมี่มาก แต่ผมไม่คิดว่ามันจะส่งผลกระทบต่อเธอมากขนาดนี้เดนนิสหันมาหาผม คิ้วของเขาขมวดลึกขณะที่เขาขมวดคิ้ว "อยากรู้ไปทำไม? จะได้เอาไปบอกภรรยานายหรือไง?"ให้ตายสิ! ผมรู้สึกว่ามือกำแน่นโดยอัตโนมัติผมหายใจเข้าลึกๆ "ฉันโทรหาพวกนาย แต่ไม่มีใครรับสาย อาน่าก็ปิดโทรศัพท์อีก ฉันก็แค่เป็นห่วง..." ผมพูดเสียงแผ่วและไหล่สั่น “ฉันก็เลยตัดสินใจมาดูเธอนี่ไง"“ตอนนี้นายก็รู้แล้วนะว่าเธออยู่ไหน งั้นเชิญออกไปได้แล้ว”เขามีสิทธิ์ทุกประการที่จะขอให้ผมออกจากบ้านและชีวิต แต่ผ
ไอเดน"ไม่เป็นไรแล้วค่ะ" ชารอนพูดขณะที่เธอโอบแขนรอบไหล่ "คุณต้องหยุดโทษตัวเองเรื่องนี้ได้แล้ว ที่รัก มันไม่ใช่ความผิดของคุณ และการทุ่มเทตัวเองให้กับการสอบสวนทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไรด้วยเลย""ผมต้องหาตัวคนผิดมาให้ได้ ชารอน ผมต้องหาว่าใครทำเรื่องนี้ นี่เป็นสิ่งเดียวที่ผมทำเพื่อลูกสาวผมได้ ซึ่งจะทำให้ความรู้สึกผิดนี้ทุเลาลง" "ถ้ามันเป็นวิธีเดียว คุณก็ควรทำอยู่แล้ว" เธอให้กำลังใจ "ฉันจะคอยดูแลให้พ่อช่วยในคดีนี้ด้วย ฉันสัญญา"พ่อของเธอโทรหาผมครั้งหนึ่งเพื่อแสดงความเสียใจกับการจากไปของลูกสาวผม ซึ่งไม่ได้เป็นอะไรกับลูกสาวเขาเลย และเขาฟังดูไม่พอใจนัก ผมประหลาดใจด้วยซ้ำที่เธอจะบอกเรื่องนั้นกับพ่อของเธอ ผมสงสัยว่าเขาอยากจะช่วยเปิดโปงฆาตกรของเด็กที่ไม่ใช่ลูกของเขาในทางใดทางหนึ่งหรือไม่ แต่ผมเก็บเรื่องนั้นไว้กับตัวเอง"ขอบคุณครับ" ผมบอกเธอแทนเธอโอบกอดผมครึ่งหนึ่ง และคราวนี้ไม่ได้ผละออกทันที ในวันแบบนี้เองที่เธอไม่ได้กระโดดหนีจากผมเหมือนผมติดเชื้อเมื่อใดก็ตามที่ผมพยายามสัมผัสเธอ"แล้วคุณจะยิ้มให้ฉันไหม?" เธอยิ้มขณะที่ดึงผิวแก้มของผมเพื่อพยายามทำให้ผมยิ้มเมื่อผมเอามือของเธอออก เธอก็แสร้