เมืองหลงไห่
ผ่านมาสามเดือนหลินจื่อเยว่ก็เดินทางมาถึงเมืองหลงไห่ ทันทีที่ได้สูดอากาศบริสุทธิ์และไอจากทะเลก็ทำให้หลินจื่อเยว่รู้สึกสดชื่นจากการเดินทางรอนแรมมากว่าสองเดือน ตลอดเส้นทางที่ผ่านมายังเมืองหลงไห่ หลินจื่อเยว่ก็คอยช่วยเหลือผู้คนไม่ขาด อีกทั้งยังสังหารคนชั่วไปก็ไม่น้อย ความทรงจำของร่างเดิมเมื่อครั้งถูกโจรป่าดักปล้นสอนให้นางรู้ว่าควรสังหารทันทีที่มีโอกาส จริงอยู่ว่านางเป็นหมอ และจรรยาบรรณของหมอคือการรักษาชีวิต หากแต่หลินจื่อเยว่ก็มีคติตัวเองว่า จะมิยอมช่วยคนชั่วเพื่อให้มันไปสังหารหรือทำร้ายผู้คนบริสุทธิ์อีกทุกครั้งก่อนจะเข้าช่วยเหลือผู้คน นางมักจะทำการเปลี่ยนหน้าแปรเสียง จนผู้คนที่นางช่วยเหลือมักเจอท่านหมอต่างกัน หากทว่าวิธีการรักษาคล้ายคลึงกันมาก ๆ จนทำให้เล่าลือกันว่ามีท่านหมอปีศาจออกมาท่องยุทธภพหลินจื่อเยว่ตัดสินใจที่จะลงหลักปักฐานที่เมืองหลงไห่นี้ เพราะเป็นหัวเมืองทางใต้ แต่ก็มิได้คิดเปิดโรงหมอแต่อย่างใด นางเช่าห้องพักที่โรงเตี๊ยมระหว่างที่หาซื้อบ้านสักหลัง“เสี่ยวเอ้อร์ ละแวกนี้มีบ้านว่างหรือปล่อยขายหรือไม่” หลินจื่อเยว่เลือกถามหลินจื่อเยว่ยังคงใช้ชีวิตให้ดำเนินไปเฉกเช่นเดิม ด้วยเพราะครรภ์ยังไม่โต และมิได้มีอาการแพ้ครรภ์หนัก ทำให้ทุกเช้านางจะเดินไปทางเนินเขาเลียบชายหาดเพื่อออกหาสมุนไพร ซึ่งมีสมุนไพรที่ในหุบเขาทางเหนือไม่มีเยอะแยะมากมาย“แม่นางหลิน แม่นางหลินจริง ๆ ด้วย” เสียงหนึ่งดังขึ้นขณะที่หลินจื่อเยว่กำลังจะเดินลัดไปทางเนินเขาครั้นเมื่อหญิงสาวหันไปมองตามเสียงเรียก ก็พบเข้ากับอาเยียน สตรีที่นางเคยช่วยชีวิตเอาไว้เมื่อครั้งเดินทางมาหลงไห่“อาเยียน!!!” หลินจื่อเยว่อุทานร้องเรียกชื่อสตรีตัวสูงกว่านางเล็กน้อง ก่อนจะหลุบสายตามองเท้าข้างที่เคยบาดเจ็บ ทำให้เจ้าของเท้าหลุบสายตามองตาม“บาดแผลของข้าหายดีแล้วเจ้าค่ะ เพราะยาของแม่นาง เพียงสิบห้าวันบาดแผลก็ปิดสมานกัน จนข้าเลือกที่จะเดินทางมาหลงไห่เพื่อตามหาแม่นาง”“ตามหาข้าหรือ มีอันใดกัน”“เอ่อ ข้าอยากตอบแทนแม่นางที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ในครานั้น เพราะหากแม่นางไม่ผ่านไปพบข้า ตัวข้าก็คงนอนแห้งตายอยู่กลางป่า มิมีผู้ใดผ่านไปพบเป็นแน่ ข้าเลยตั้งใจเอาไว้ว่าหากเท้าข้าหายดีจะเดินทางมาหล
หลี่หรงเอ๋อร์เดินกลับตำหนักด้วยสีหน้าท่าทางที่เต็มไปด้วยโทสะ นางกำนัลที่ติดตามใบหน้าเต็มไปด้วยรอยนิ้วมือทั้งห้า กระนั้นก็มิมีใครกล้าพูดสิ่งใดออกมา ด้วยเพราะหากพูดจากไม่เข้าหูองค์หญิงของพวกนาง ไม่แน่ว่าแม้แต่ชีวิตก็อาจจะรักษาเอาไว้ไม่ได้เสียแล้วหญิงสาวผุดลุกผุดนั่งด้วยความร้อนใจ สุดท้ายก็เอ่ยปากเสียงลั่นทั่วตำหนัก “ไปตำหนักหลงเสวียน ผู่เอ๋อร์ เตรียมชาที่ได้มาจากทางเหนือไปด้วย”แม้นหลายเดือนมานี้มีข่าวว่าบิดาป่วยจนบางครั้งมิอาจออกว่าราชการได้ กระนั้นเพียงออกพระราชโองการพระราชทานสมรสให้เพียงไม่กี่ประโยค คงมิทำให้บิดาของนางอาการทรุดลงหนักหรอกกระมังหลี่หรงเอ๋อร์เดินออกจากตำหนักอีกครั้ง ใช้เวลาไม่นานนางก็มาถึงตำหนักของผู้เป็นบิดา นางสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะคลี่ยิ้มเต็มใบหน้าแล้วเดินตรงเข้าไปในตำหนัก“องค์หญิง ฝ่าบาททรงพักผ่อน มิต้องการให้ผู้ใดเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” เหิงกงกงโค้งกายให้สตรีตรงหน้า พลางเอ่ยพูดบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม“แม้แต่เราหรือเหิงกงกง ข้าว่าท่านอายุมากจนเลอะเลือนมากกว่า แต่ไหนแต่ไรมาเสด็จพ่ออยากให้ข้ามาหาเสมอ หรือ
เมืองหลงไห่เป็นเวลาร่วมเดือนแล้วที่หลินจื่อเยว่อยู่ที่นี่ หน้าท้องที่เคยแบนราบเมื่อเดือนก่อนยามนี้เกิดเป็นหน้าท้องนูนขึ้นมาให้เห็นแล้ว จากปกตินางจะเดินเข้าไปหาสมุนไพรที่เนินเขาทุกวัน ช่วงนี้เลยปรับมาเป็นเข้าไปหาวันเว้นวันแทนภายในบ้านหลังใหญ่โตมิได้เปิดเป็นโรงหมออย่างที่อาเยียนคาดเดา เพราะเห็นว่าหลินจื่อเยว่นั้นมีความรู้เรื่องการแพทย์ อีกทั้งยังปรุงยาบรรเทาอาการต่าง ๆ เอาไว้อีกมากมาย“นายหญิง เหตุใดจึงไม่เปิดโรงหมอเล่าเจ้าคะ” เมื่อสงสัยก็มีเพียงต้องถามออกไปให้กระจ่างเท่านั้น“เปิดโรงหมอก็มีแต่คนที่สามารถเดินทางมาได้ แล้วคนที่ไม่สามารถเดินทางมาหาหมอได้เล่า”คำตอบของหลินจื่อเยว่ทำให้อาเยียนหวนคิดถึงตนตอนที่ถูกหมีดำทำร้าย เป็นจริงอย่างที่หลินจื่อเยว่เอ่ยมาทุกประโยค กระนั้นก็มีเรื่องให้สตรีเช่นนางสงสัย เพราะนับตั้งแต่นางเดินทางมายังหลงไห่ นางก็มิเคยเห็นนายหญิงของนางทำการค้าใด แล้วนายหญิงของนางเอาเงินที่ใดมาใช้จ่าย“ข้าน้อยเพียงแค่สงสัยนะเจ้าคะ”“สงสัยอันใดก็ถามออกมาให้หมด จะได้บอกเจ้าเสียที
วันเวลาล่วงเลยผันผ่านจากวันเป็นเดือน เคลื่อนผ่านจนตอนนี้อายุครรภ์ของหลินจื่อเยว่เข้าสู่ช่วงเดือนที่หก หน้าท้องพองนูนจนหญิงสาวเริ่มอุ้ยอ้าย นางมองอาเยียนที่วิ่งทำโน่นทีทำนี่ทีจนวุ่นวายก็ได้แต่นึกว่า หากยามนี้นางไร้อาเยียนอยู่ด้วยจะเป็นอย่างไร อาเยียนนั้นนอกจากเรียนรู้วิชาปรุงยาจากนางแล้ว วรยุทธ์ก็อยู่ในขั้นสูง ยามต้องออกไปหาสมุนไพรแทนนางในช่วงนี้ นางจึงค่อนข้างวางใจทุก ๆ เช้าหลินจื่อเยว่มักจะดื่มยาบำรุง ก่อนจะออกมานั่งสูดอากาศข้างนอก มือเรียวยกขึ้นลูบหน้าท้องแผ่วเบา“ลูกแม่ วันนี้อากาศดีทีเดียว แม่พาเจ้ามานั่งรับลม เจ้าชอบหรือไม่”หลินจื่อเยว่มักจะทำเช่นนี้ประจำ ในทุก ๆ วันนอกจากเดินเล่นเพื่อออกกำลัง นางมักจะมานั่งพูดคุยกับเจ้าก้อนแป้งที่อยู่ในครรภ์ ทว่าจู่ ๆ กลับมีแรงกระทุ้งฝ่ามือเรียวจนหลินจื่อเยว่ตกใจ“เจ้าชอบหรือลูกแม่ ถีบท้องแม่อีกได้หรือไม่”และเพียงผู้เป็นมารดาร้องขอด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ก็ปรากฏแรงถีบที่ส่งถึงฝ่ามือออกมาอีกครั้ง ทำเอาใบหน้างดงามของหลินจื่อเยว่แต้มแต่งไปด้วยรอยยิ้มปีติ“นายหญิง วันนี้จะออกไ
ขณะเดินผ่านไปยังตำหนักหลงเสวียน โดยมีจางหมิ่นเดินตามมาติด ๆ ปรายสายตาคู่คมกลับเห็นเงาคนผู้หนึ่งเดินหายเข้าไปทางสวนบุปผชาติ จึงตวัดสายตาหันไปมองทางจางหมิ่นราวกับกำลังสั่งความกันผ่านทางสายตา ไร้เสียงวาจาใด ๆ ออกมา จางหมิ่นเมื่อเข้าใจความต้องการของผู้เป็นนายแล้วก็ก้มศีรษะให้ครั้งหนึ่ง ก่อนจะเดินแยกไปทางบุปผชาติทันที ปล่อยให้เซี่ยวจวินเดินไปยังตำหนักหลงเสวียนเพียงลำพังจางหมิ่นใช้วิชาตัวเบาเร่งตามติดบางอย่างเข้ามาภายในสวนบุปผชาติ ทว่าสิ่งที่พบกลับมีเพียงความว่างเปล่า ทั้งที่ตลอดเวลาที่ตามเขายังเห็นเงาหลังของสิ่งนั้นไว ๆ คล้ายกับมันหายไปเพียงเขาเผลอกะพริบตาเท่านั้นขณะกำลังกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ใบหูซ้ายก็พลันกระดิก ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบวัตถุที่พุ่งจู่โจมมาจากทางด้านหลัง จากนั้นก็ใช้ความว่องไวตรงเข้าไปยังหลังต้นไม้และกระชากสตรีนางหนึ่งเหวี่ยงนางจนล้มลงไปกับพื้น“นี่ท่านทำอันใดกัน ผู้ช่วยท่านโหรทำเช่นนี้กับคนของตำหนักเจียงกุ้ยเฟยได้หรือ” นางกำนัลที่ถูกจับได้เอ่ยคำเบ่งอำนาจ ด้วยคิดว่าในที่แห่งนี้ทุกคนล้วนแต่เกรงใจเจียงกุ้ยเฟย“ย่อมทำเช่นนั้นไม่ได้ เว้น
นับตั้งแต่นั้นมาเจียงเหม่ย หรือเจียงกุ้ยเฟยก็เข้ามาอยู่ในวังหลวง กลายเป็นพระสนมคนโปรดของหลี่เซียน อีกทั้งมิว่าเวลาจะผ่านผันนานวันเท่าใด ใบหน้างามของโฉมสะคราญก็ยังคงอ่อนเยาว์ มิได้ชราหรือมีริ้วรอยขึ้นแม้แต่น้อยทว่าความลุ่มหลงที่เปรียบดั่งภาพมายาก็คงอยู่ไม่นาน นับตั้งแต่บุรุษนามว่าเซี่ยวจวินปรากฎกายขึ้น ฮ่องเต้หลี่เซียนก็มิเคยมานอนค้างที่ตำหนักฝูหรง และมิเคยเรียกนางไปปรนนิบัติรับใช้ใกล้ชิดอีกเลย สตรีเดียวที่สามารถไปเยือนตำหนักหลงเสวียนได้โดยที่มิต้องเอ่ยขอคือสตรีที่ผู้คนทั่วทั้งใต้หล้าพากันเรียกว่า มารดาแห่งแผ่นดิน หรือ หลิวฮองเฮาแม้นฮ่องเต้หลี่เซียนจะรูปโฉมงดงาม ความสามารถล้วนปรีชาชาญเฉกเช่นบุรุษนักรบนักปกครอง ทั้งยังมีจิตใจดี เมตตาเมื่อต้องเมตตา ทว่ายามต้องสังหารก็มิเคยมีความลังเล กระนั้นกลับไม่เคยเข้ามาอยู่ในใจของสตรีเช่นเจียงเหม่ยได้เลย เพราะสิ่งเดียวที่สตรีเช่นเจียงเหม่ยต้องการคืออำนาจที่จะได้อยู่เหนือผู้คน ตามที่บิดาปลูกฝังมาตั้งแต่ต้นตลอดระยะเวลาห้าปีที่เข้ามาอยู่ในวังหลวง แม้จะมีองค์ชายให้สามีได้ภูมิใจ ทว่าก็มิอาจจะรู้สึกดีใจและภูมิใจมากกว่าบุตรชายที่กำ
“แล้วท่านว่าใครเหมาะสมล่ะใต้เท้าเจียง หรือท่านจะเสนอชื่อตัวเองกันท่านพ่อตา”เจียงเหวินที่มิได้เตรียมรับมือกับเหตุการณ์นี้เอาไว้ก็รู้สึกคล้ายคนน้ำท่วมปาก เพราะหากจะให้เขาเอ่ยเสนอชื่อหลี่หมิงไปตรง ๆ ก็จะทำให้ดูจงใจเกินไป“เอ่อ ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าให้บรรดาขุนนางแต่ละกรมกองลองเสนอดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”“เอ้า เป็นเช่นนั้นหรือ เจิ้นคิดว่าท่านมีชื่อผู้ใดในใจแล้วเสียอีก แต่ว่านะใต้เท้าเจียง องค์รัชทายาทหลี่ชุนกำลังจะกลับมาถึงเมืองหลวงในอีกสามวัน เช่นนั้นคงมิต้องรบกวนให้ต้องเสนอชื่อผู้สำเร็จราชการแทนให้วุ่นวายหรอก อีกทั้งเจิ้นยังมีชีพอยู่ เพียงแค่ป่วย มิได้สิ้นลมถึงจะยกมือขึ้นประทับตราลงบนฎีกาไม่ได้”สิ้นเสียงของหลี่เซียนทำเอาทั่วทั้งท้องพระโรงเงียบสงัด เพราะเป็นจริงอย่างที่หลี่เซียนกล่าวทุกประการ และจากการปรากฏตัวของเขาก็เป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่าสิ่งที่เจียงเหวินกล่าวไม่เป็นความจริง“เอาละ เจิ้นว่าวันนี้เราเสียเวลากันมามากพอแล้ว แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีเถอะขุนนางที่รัก ปิดประชุมได้”หลี่เ
แง้... แอ๊...เสียงร้องของทารกวัยหนึ่งเดือนดังลั่นไปทั่วทั้งคฤหาสน์ หลินจื่อเยว่ตัดสินใจเปิดบ้านเป็นโรงหมอเล็ก ๆ โดยที่หนึ่งวันรับผู้ป่วยเพียงไม่กี่ราย และรับเฉพาะผู้ป่วยที่อาการรุนแรงเท่านั้น โดยมีอาเยียนเป็นผู้ช่วย แม้ว่านางจะมิได้ขัดสนเรื่องเงินทอง แต่ที่เปิดโรงหมอก็เพื่อแก้เบื่อระหว่างรอเสวี่ยอี้โตเท่านั้นหลินจื่อเยว่ตรงเข้ามาอุ้มบุตรชายที่ร้องไห้หาน้ำนมหลังจากหลับกลางวันไปนานเกือบ ๆ สองชั่วยาม อากาศด้านนอกยังคงหนาวอยู่มาก ทำให้ใกล้เปลของเด็กน้อยมีเตาผิงที่หลินจื่อเยว่ตั้งใจให้ช่างในหมู่บ้านมาทำขึ้นใหม่ เพื่อให้ความอบอุ่นกับยามลูกชายหลับกลางวัน“เสวี่ยอี้ของแม่ หิวหรือเจ้า”“แอ๊...แอ๊...”เสียงร้องตอบเรียกรอยยิ้มของผู้เป็นมารดาอย่างหลินจื่อเยว่ได้เป็นอย่างดี หญิงสาวเดินกลับมานั่งที่ตั่งไม้บุนวมก่อนจะเอาบุตรชายเข้าเต้า และเพียงได้ดื่มกินน้ำนม ปากเล็ก ๆ นั่นก็ออกแรงดูดเป็นจริงเป็นจังทันทีหลินเสวี่ยอี้เป็นเด็กกินจุ ทำให้หลินจื่อเยว่จำเป็นต้องรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และมีสารอาหารเพิ่มน้ำนม เพื่อให้
เรื่องราวจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ระหว่างเซี่ยวจวินและหลินจื่อเยว่ ถูกบอกเล่าให้กับเหล่าศิษย์พี่ทุกคนได้ฟังในค่ำคืนที่พวกเขาจัดงานฉลองต้อนรับหลานคนแรกของสำนักเจินเฉียงลุกมานั่งข้างเซี่ยวจวินพลางยกมือขึ้นตบไหล่เขาปุ ๆ อย่างเห็นใจ “น้องเขย ศิษย์น้องข้าผู้นี้นิสัยห่างไกลความเป็นสตรีปกติ ข้าเล่าเห็นใจเจ้าเสียจริง”“ใช่ ๆ พวกข้าเองก็เห็นใจเจ้า”“ศิษย์พี่ทั้งหลายรักข้าเสียจริง พากันเห็นใจบุรุษด้วยกัน ไยมิเห็นใจข้าบ้างเล่าที่มีสามีโดยที่ตอนนั้นมิรู้ว่าเขาชื่อเสียงเรียงนามอันใด”บุรุษทั้งเก้าคนพากันส่ายหน้าให้ เพราะไม่ได้รู้สึกเห็นใจสตรีเช่นศิษย์น้องเล็กอย่างที่นางเรียกร้องเลยแม้แต่น้อย“พวกท่านมิต้องเห็นใจข้าก็ได้ เพราะข้ายินยอมนางเอง มิได้ขัดขืนยามนางลุกขึ้นมาปลุกปล้ำข้า...”เพียะฝ่ามือเรียวฟาดลงบนต้นแขนแกร่งของสามีมิคิดถนอมแรง ใจจริงอยากจะแทรกกำลังภายในเข้าไปด้วยเสียด้วยซ้ำ ที่นำเรื่องน่าอายเช่นนี้ออกมาบอกเล่า ก่อนที่หลินจื่อเยว่จะหนีอุ้มเอาหลินเสวี่ยอี้เข้าไปนอนเสีย ปล่อยให้บรรดาบุรุษได้นั่ง
เทศกาลหยวนเซียวครึกครื้นไปด้วยผู้คนที่พากันออกมาชมโคมไฟกันยังจัตุรัสกลางเมืองหลวง โคมไฟกระดาษที่ถูกบรรจงเขียนภาพหรือคำกลอนขึ้นลอยไปบนฟ้ายามค่ำคืน จนทั่วนภาสว่างโร่มิต่างจากกลางวันมากมายนักเซี่ยวจวินพาหลินจื่อเยว่และหลินเสวี่ยอี้มาหยุดยืนกลางสะพาน ในมือมีโคมไฟที่เป็นรูปครอบครัวนกพิราบเผือกสีขาวนวลสามตัวเกาะอยู่บนกิ่งไม้“นกพิราบเป็นตัวแทนสันติภาพ” หลินจื่อเยว่เอ่ยขึ้นขณะทอดมองสายตาไปยังโคมไฟของพวกเขาที่ค่อย ๆ ลอยสูงขึ้น“ไม่ผิด หากแต่นกพิราบสามตัวนี้กำลังเกาะอยู่บนกิ่งไม้ ตัวผู้และตัวเมียกระพือปีกป้องลูกน้อย ข้ามองมันแทนตัวพวกเรา มีข้า มีเจ้า มีเสวี่ยอี้โผบินไปบนท้องนภาอย่างอิสระนับจากนี้”“โหราจารย์เอกแห่งวังหลวงมีคารมคมคายเช่นนี้เลยหรือ มิน่าทำให้องค์หญิงหลงใหลได้ถึงเพียงนั้น”หลินจื่อเยว่เอ่ยแซว กว่าเรื่องราวขององค์หญิงหลี่หรงเอ๋อร์จะจบลง นางแทบจะกลายร่างเป็นนางมารวันละสิบครั้ง ทว่าได้ฮ่องเต้หลี่เซียนและองค์รัชทายาทช่วยปรามจนนางถอดใจไป ก่อนจะถูกส่งตัวไปอภิเษกกับองค์ชายต่างแคว้นเพื่อเชื่อมสัมพันธ์สตรีด้วยกันม
เซี่ยวจวินอุ้มพาภรรยามาวางบนเตียงก่อนจะตามขึ้นไปคร่อมร่างเล็กเอาไว้ สายตาคู่คมไล่มองสำรวจเรือนร่างงดงามขาวผ่องไปทุกส่วนก่อนจะจับปลายเท้าเรียวขึ้นมาแล้วจรดจุมพิตไปบนหลังเท้าขาวสะอาดแผ่วเบา ยิ่งทำให้หัวใจของหลินจื่อเยว่เต้นรัวแรงหนักกว่าเดิม แม้นจะอยากดึงเท้ากลับ ทว่าก็มิอาจทำได้ เนื่องจากเซี่ยวจวินมิยอมปล่อยริมฝีปากหยักไล่พรมจูบขึ้นมาตั้งแต่ปลายเท้า ท่อนขา จนมาถึงต้นขาด้านใน เซี่ยวจวินขบเม้มมันเบา ๆ จนเกิดรอยสีกุหลาบ เซี่ยวจวินผละใบหน้าออกมาแล้วสบมองดวงตาคู่สวยครู่หนึ่ง จังหวะเดียวกันก็สอดก้านนิ้วแกร่งยาวเรียวชำแรกแทรกเข้าไปในกลีบผงางาม เรียกเสียงครางหวานจากคนตัวเล็กได้เป็นอย่างดีเซี่ยวจวินมิได้หยุดเพียงเท่านั้น ยังคงโน้มลงไปตวัดดูดดึงยอดปทุมสีหวานราวกับมันเป็นของหวานเลิศรสจากสวรรค์ก็ไม่ปาน“ภรรยาข้างดงามและหอมหวานเสียจริง”“อึก ท่านพี่”ความร้อนในกายแล่นปลาบไปทั่วเรือนร่าง ยิ่งยามที่ลิ้นของสามีดูดึงยอดปทุม คล้ายกับความร้อนยิ่งเพิ่มสูงขึ้นจนกายบางบิดเร่าไปมา ยิ่งก้านนิ้วที่สอดแทรกเข้าไปภายในกายขยับเข้าออกในจังหวะท
วันต่อมาเซี่ยวจวินเดินทางเข้าวังตั้งแต่ช่วงเช้าพร้อมด้วยหลินจื่อเยว่ หากแต่วันนี้บุตรชายมิได้มาด้วย เพราะเจ้าตัวอยากไปเที่ยวตลาดกับท่านป้าอาเยียนหลังจากได้เผยความรู้สึกของกันและกันให้ได้รับรู้ และทำการแยกห้องนอนกับหลินเสวี่ยอี้ ทั้งสองก็ช่วยกันทำงาน ให้คำปรึกษากันและกันในทุกเรื่อง แม้ว่าเซี่ยวจวินจะยกอำนาจการตัดสินใจเรื่องภายในจวนให้กับหลินจื่อเยว่ ทว่านางก็ยังถามไถ่จากพ่อบ้าน ด้วยว่าที่ผ่านเขาเป็นคนดูแลจวนนี้มาตลอดเมื่อเข้ามาถึงวังหลวงทั้งเซี่ยวจวินและหลินจื่อเยว่ก็ตรงไปยังตำหนักหลงเสวียนทันที เหิงกงกงยังคงต้อนรับทั้งสองด้วยใบหน้าแย้มยิ้มปรีดา เพราะนับจากวันที่หลินจื่อเยว่แนะนำให้หลี่เซียนแช่น้ำสมุนไพรเพื่อขับพิษ ดูเหมือนหลี่เซียนก็ค่อย ๆ แข็งแรงขึ้น“เซี่ยวจวินหรือ มา ๆ เข้ามา” เสียงของหลี่เซียนดูสดใสขึ้น“เซี่ยวจวินถวายพระพรฝ่าบาท”“จื่อเยว่ถวายพระพรฝ่าบาท”ทั้งสองเอ่ยขึ้นพลางยอบกาบย่อตัวลงคารวะตามพิธีการ“นั่งเถอะ”“พระอาการเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท&rdqu
เซี่ยวจวินตั้งใจมอบหมายงานให้กับคนอื่นดูแลต่อจากนี้ แน่นอนว่านอกจากเขาและจางหมิ่นแล้วยังมีโหราจารย์อีกท่านที่เชี่ยวชาญการทำนายดวงชะตา และพยากรณ์ความเป็นไปของบ้านเมืองได้ขณะที่เซี่ยวจวินเข้าไปจัดการงานที่เหลือเพื่อมอบหมายให้คนอื่นหลังจากนี้ หลินจื่อเยว่และหลินเสวี่ยอี้ก็พากันเดินชมสวนใกล้ ๆ กลิ่นหอมของดอกไม้นานาพรรณเรียกรอยยิ้มจากใบหน้างามได้เป็นอย่างดี นางยืนมองบุตรชายวิ่งไล่จับผีเสื้อที่เข้ามาดูดน้ำหวานจากเกสรทว่าขณะเดียวกันนั้นกลับก็ปรากฏสตรีในอาภรณ์งามสง่าบ่งบอกว่านางเป็นสตรีสูงศักดิ์เดินเข้ามา หลินจื่อเยว่จึงทำเพียงดึงบุตรชายให้หลบทาง แล้วก้มหน้าก้มตาลง“วังหลวงหาใช่สถานที่ที่ใครจะเข้าออกได้ มิทราบว่าแม่นางคือผู้ใดกัน เปิ่นกงมิเคยเห็นหน้ามาก่อน”หลี่หรงเอ๋อร์ทราบจากนางกำนัลว่าเจอเซี่ยวจวินเข้ามาในวังหลวง จึงเร่งแต่งกายแล้วรีบมาหา กระทั่งมาเจอหนึ่งเด็กหนึ่งสตรีแปลกหน้า“องค์หญิง”เสียงทุ้มของเซี่ยวจวินดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้หลี่หรงเอ๋อร์ซึ่งกำลังไม่พอใจที่นางถามหลินจื่อเยว่แต่กลับไม่ได้คำตอบ
เวลาผ่านไปค่อนคืนจนดึกสงัดแล้ว ทว่าร่างสูงที่นอนอยู่บนตั่งเตียงยังคงพลิกกายไปมาสลับซ้ายขวา จนสุดท้ายต้องผุดลุกขึ้นนั่ง แล้วถอนหายใจออกมาแรง ๆ เฮือกหนึ่ง เซี่ยวจวินผุดลุกขึ้นแล้วเปิดประตูเพื่อออกไปข้างนอก ภายในจวนยามนี้เงียบสงัดได้ยินเพียงเสียงลมยามราตรีที่พัดโบกต้นไม้ใบหน้าให้เสียดสีกันไปมา เท้าแกร่งเดินไปหยุดอยู่หน้าเรือนหมิงเยว่ แล้วถอนหายใจออกมาอีกรอบ ขณะที่ตั้งท่าจะหันหลังกลับ ประตูเรือนหมิงเยว่ก็ถูกเปิดออกมา“เซี่ยวจวิน เป็นท่านหรือ” หลินจื่อเยว่ซึ่งตื่นมาดูบุตรชายก็หลับไม่ลงอีก จึงตั้งใจว่าจะออกมาเดินเล่น แต่ไม่คิดว่าจะเจอใครอีกคนยืนอยู่“เป็นข้าเอง เจ้าออกมาทำไมกัน”“ข้าสิต้องถามท่าน ท่านมายืนตรงนี้ทำไม” หลินจื่อเยว่เดินเข้ามาหยุดยืนใกล้ ๆ“ข้า... เอ่อ... ข้าเพียงแค่... เฮ้อ ข้านอนไม่หลับ ก่อนหน้านี้บนรถม้ามีเจ้ากับเสวี่ยอี้นอนด้วยตลอด พอต้องกลับมานอนคนเดียวข้าเลยไม่ชิน”“...”“ข้าขอนอนด้วยได้หรือไม่”เซี่ยวจวินเอ่ยถามออกไปตรง ๆ และกว่าหลิ
“ฮู...ฮูหยิน”อาเยียนที่ออกมาเดินเล่นได้ยินแบบนั้นก็หันไปมองบุรุษที่แต่งกายด้วยอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มด้วยความงุนงง อีกทั้งตอนที่เดินเข้ามาก็ไม่เคยเห็นบุรุษผู้นี้มาก่อนเลย“ท่านเรียกข้าหรือ”“เอ่อ ฮูหยินจะไปพบนายท่านหรือขอรับ”“เดี๋ยวนะ อย่างแรกข้ามิใช่ฮูหยิน” อาเยียนที่พอจะเข้าใจอะไรก็พยายามจะอธิบาย ทว่าดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่รับฟังเท่าไร“แม้จะยังไม่กราบไหว้ฟ้าดินกัน หากแต่ฮูหยินเข้ามาแล้ว อย่างไรก็หนีไม่พ้นตำแหน่งนี้แน่นอนขอรับ”“ข้ายังพูดไม่จบ เจ้าก็ทึกทักไปเองทั้งหมด ข้าเพียงอยากบอกเจ้าว่า ข้ามิใช่ฮูหยิน ข้ามีนามว่าอาเยียน เป็นผู้ติดตามของนายหญิงหลินจื่อเยว่ หรือก็คนที่จะมาเป็นฮูหยินตามที่ท่านเข้าใจ”จางหมิ่นได้ยินเช่นนั้นก็หน้าม้านทั้งยังอับอายที่ทักคนผิดไปเช่นนั้น และหากสตรีตรงหน้าเอาเรื่องนี้ไปฟ้องนายหญิงของนาง มีหวังเขาเองก็คงได้รับโทษจากเซี่ยวจวินเช่นกัน“ข้าขออภัยแม่นาง ข้าไม่ทราบว่าเป็นผู้ติดตามของฮูหยิน ข้าจางหมิ่น เป็นผู้ช่วยของเซี่ยว เอ่อ นายท่า
เมืองหลวงในช่วงเช้าตรู่ดูคึกคัก เสียงรถม้าวิ่งสวนกันไปมาเคล้าไปกับเสียงพ่อค้าแม่ขายที่ตะโกนเรียกลูกค้าให้เข้ามาจับจ่ายใช้สอยกันเซ็งแซ่ รถม้าคันหรูแล่นไปหยุดหน้าเหลาอาหารที่ใหญ่ที่สุด เซี่ยวจวินเดินลงไปพลางยื่นมือไปรับเอาหลินเสวี่ยอี้มาอุ้มเอาไว้ด้วยแขนข้างเดียว ก่อนจะยื่นมือไปให้หลินจื่อเยว่“ท่านพ่อ ที่นี่คือเมืองหลวงหรือขอรับ”“ใช่แล้ว แต่พ่อเกรงว่ากว่าจะไปจวนเจ้าจะหิวเสียก่อน เลยแวะทานข้าว และเราค่อยกลับไปพักดีหรือไม่”หลินเสวี่ยอี้ยิ้มแต้พลางยกมือขึ้นลูบหน้าท้องที่กำลังร้องโครกครากขออาหาร จากนั้นทั้งสามพร้อมด้วยอาเยียนก็เดินเข้าไปด้านใน ที่ผ่านมาหลินจื่อเยว่ให้อาเยียนนั่งร่วมโต๊ะด้วยตลอด ด้วยเพราะไม่เคยเห็นว่านางเป็นเพียงสาวใช้ แต่เห็นนางเป็นเสมือนพี่สาวคนหนึ่ง“เซี่ยวจวิน เอ่อ หากข้าให้อาเยียนร่วมโต๊ะด้วย ท่าน...”“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะนายหญิง” อาเยียนรีบเอ่ยขัดขึ้น เพราะเกรงใจเซี่ยวจวินไม่น้อย แม้นางจะไม่ใช่สตรีสูงศักดิ์ หรือมาจากครอบครัวผู้ดีอันใด ทว่านางก็รู้ดีว่ามิควรเอาตัวไปเทียบเสมอผู้เป็นนา
“หยุดรถม้าก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ”เซี่ยวจวินหันมามองด้วยความไม่เข้าใจ กระนั้นก็สั่งให้หยุดรถม้าตามคำร้องขอของสตรีข้างกาย และทันทีที่รถม้าหยุดลงหลินจื่อเยว่ก็รีบลงไปทันที เซี่ยวจวินอุ้มหลินเสวี่ยอี้ตามลงไปจึงได้เห็นนางตรงเข้าไปช่วยชายชราที่กำลังนอนนิ่งหญิงชราที่กำลังนั่งร้องห่มร้องไห้อยู่เมื่อได้เห็นคนตรงเข้ามาช่วยก็พานดีใจ กระนั้นให้มองเต็มตาเท่าไรก็มองมิกระจ่างว่าผู้ที่สวมหมวกม่านมี่หลี่ปิดบังใบหน้ามองเห็นเพียงดวงตานั้นเป็นบุรุษหรือสตรี“ท่านยาย ท่านตาเป็นเช่นนี้มานานแล้วหรือไม่”“สักราว ๆ สองเค่อ ได้แล้วละ”หลินจื่อเยว่วางมือทาบลงไปตรงกลางระหว่างอกก็รับรู้ได้ว่าลมหายใจติดขัด การรักษาเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและแม่นยำ ทว่าจังหวะที่นางกำลังทำการรักษาใกล้เสร็จ จู่ ๆ ก็วางมือลง แววตาเต็มไปด้วยความเย็นชาจากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วหันหลังเดินขึ้นรถม้าไปทันที ไม่สนใจเสียงร้องคร่ำครวญของหญิงชราแม้แต่น้อย อาเยียนเองเมื่อเห็นผู้เป็นนายหันหลังให้ นางก็เดินกลับไปขึ้นรถม้าด้านหลังเช่นกัน สร้างความงุนงงให้กับเ