ดวงตาของหลินเซียงเย็นยะเยือก “คุณมีหลักฐานหรือเปล่า?”เซี่ยหว่าน “เขากินอาหารที่คุณทำ จากนั้นก็แสดงอาการว่าถูกพิษนี่ ยังต้องหาหลักฐานอะไรอีก?”หลินเซียง “อาหารก็เขาซื้อเองทั้งนั้น ถ้าอิงตามตรรกะของคุณ งั้นก็บอกได้ว่าเขาวางยาตัวเองแล้วมาใส่ร้ายฉันอย่างนั้นใช่ไหม?”“คุณ!”สีหน้าเซี่ยหว่านเปลี่ยนไป “คุณหลิน คุณกำลังบิดเบือนความจริงอยู่นะ!”หลินเซียง “มันก็ดีกว่าการที่คุณเอาข้อมูลแค่ส่วนหนึ่งมาตัดสินคนอื่น”บรรยากาศระหว่างทั้งสองเต็มไปด้วยความตึงเครียด“พอแล้ว!”ลู่สือเยี่ยนพูดขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาของเขาไม่สู้ดีนัก ดวงตาจ้องมองหลินเซียงอย่างเย็นชา “ทำไมผมต้องหย่ากับคุณ คุณไม่รู้หรือไง? หลินเซียง ผมไม่อยากพูดให้มันดูรุนแรงไปกว่านี้ เซ็นชื่อเถอะ ไม่งั้น…”“ไม่งั้นยังไง?”หลินเซียงจ้องมองเขา มองผู้ชายที่เธอเคยรัก เคยใช้ชีวิตอย่างมีความสุขด้วยกัน ใจของเธอเต็มไปด้วยความเหยียดหยัน“จะฆ่าฉันเหรอ?”น้ำเสียงของเธอเบาเหมือนขนนกที่ลอยมาแตะใจลู่สือเยี่ยน แต่เขากลับรู้สึกหงุดหงิดโดยไม่รู้สาเหตุไม่ใช่ว่าเธออยากหย่ามาโดยตลอดหรอกเหรอ?ทำไมตอนนี้ถึงพูดแบบนี้?น้ำเสียงของลู่สือเยี่ยนหนักแน่นขึ
ลู่สือเยี่ยนมองเข้าไปในดวงตาที่กระจ่างใสของเธอ ใบหน้าเธอยังคงซีดเซียวเล็กน้อย แต่แววตาเริ่มเปลี่ยนเป็นหม่นหมองลงทุกขณะทันใดนั้น หลินเซียงก็นั่งลงแล้วพูดว่า "ช่างมันเถอะ คุณมีมิลทินแล้ว ฉันไม่ชอบอีกต่อไป"ลู่สือเยี่ยน: "..."น้ำเสียงของเขาฟังดูน่ากลัว “หมายความว่าไง?”หลินเซียง "ถึงตอนนี้ไม่มี แต่เดี๋ยวมันก็จะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็วอยู่แล้ว ฉันพูดอะไรผิดตรงไหนมิทราบ?"ลู่สือเยี่ยนมองเธอที่ทำท่าทีไม่ใส่ใจอะไรและเต็มไปด้วยการกล่าวโทษของเธอ ทำให้เขาจนแทบจะระเบิด!เขาพูดขึ้น "คุณไม่ได้มาที่นี่เพื่อคุยเรื่องหย่าหรอกเหรอ?"หลินเซียงทำท่าเหมือนสมองช้า "จริงด้วย ฉันคงลืมไปแล้วถ้าคุณไม่เตือน"เธอหยิบเอกสารหย่าออกมาเปิดดู แสยะยิ้มเยาะเย้ย แล้วฉีกเป็นชิ้น ๆ ต่อหน้าเขาอีกครั้ง"ฉันยังยืนยันคำเดิมว่า ไม่หย่า!"หลังจากพูดอย่างนั้น เธอก็โยนกระดาษที่ฉีกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ลงในถังขยะ หันหลังกลับและจากไปโดยไม่คำนึงถึงสีหน้าเย็นชาของลู่สือเยี่ยนใช่แล้วเธอแค่มายั่วให้เขาโกรธทำไมเธอต้องหย่าทันทีที่เขาบอกว่าต้องการหย่า และหย่าไม่ได้ตราบใดที่เขาไม่ยินยอมด้วยเล่า?เขากลายเป็นคนควบคุมทุกสิ่งในโลกให้หม
หลินเซียงตอบรับ “ฟังดูแล้วก็ดูเป็นวิธีการที่ใช้ได้เหมือนกัน”รอยยิ้มบนริมฝีปากของอวิ๋นหลานหยักลึกขึ้นเล็กน้อย "จริง ๆ แล้ว ฉันค่อนข้างชอบเธอนะ คงจะดีไม่น้อยถ้าเธอได้อยู่กับสือเยี่ยนตลอดไป"หลินเซียงคลี่ยิ้มบาง “ฉันจะลองพิจารณาดูค่ะ”อวิ๋นหลานพยักหน้า “เอาล่ะ ถ้าเธอต้องการอะไร ขอแค่บอกฉัน แล้วฉันจะช่วยเธออย่างแน่นอน”"ขอบคุณค่ะ คุณนายลู่"หลินเซียงมีท่าทีสุภาพ แต่ภายในใจเธอพอจะคาดเดาได้อย่างคลุมเครือว่าอวิ๋นหลานมาคุยด้วยนัยแอบแฝงบางอย่าง แต่เมื่อพิจารณาจากสถานะของอวิ๋นหลานแล้ว เธอไม่มีต้นทุนที่จะต่อกรกับอีกฝ่ายดังนั้นไม่ว่าอวิ๋นหลานจะพูดอะไร เธอทำได้แค่แสดงท่าทีเห็นด้วย ส่วนจะทำหรือไม่นั่นเป็นเรื่องของเธอหลินเซียงลุกขึ้น พูดว่า "คุณนายลู่ ฉันต้องกลับบ้านแล้วค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ"“โอเค เดินทางระวังด้วยล่ะ”อวิ๋นหลานเฝ้าดูการจากไปของเธอด้วยรอยยิ้ม จิบกาแฟช้า ๆ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาวางบนตัก แล้วกดปุ่มหยุดการบันทึกเสียงดวงตาของเธอฉายแววมาดร้าย แต่ก็เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว…เมื่อหลินเซียงกลับถึงบ้าน เธอได้รับสายจากซ่งซ่งเธอเปิดสปีกเกอร์โฟนและคุยกับซ่งซ่งขณะทำอาหารไปพลาง“เซียงเซี
หลินเซียงตกใจ ฉินโหย่วหานอยู่แถวนี้เหรอ?“อ๋อ ค่ะ”เธอวางสายโทรศัพท์ หลินเซียงเดินไปที่ประตู ไม่นานเสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้น เธอเปิดประตูออกไปก็พบกับฉินโหย่วหานที่ยืนอยู่ตรงหน้า พร้อมกับผมสั้นสีม่วงสะดุดตา“พี่หาน มาแล้วเหรอคะ”หลินเซียงยิ้มให้เขาเล็กน้อยฉินโหย่วหานยิ้มมุมปาก ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มยิ่งขึ้น ดวงตาที่สวยคมราวกับจะดึงดูดคนให้หลงใหล “สรุปมีเรื่องอะไร?”หลินเซียงเชิญเขาเข้ามา แล้วเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟังโดยสังเขปฉินโหย่วหานเห็นผักที่วางอยู่บนโต๊ะ จึงถามขึ้นด้วยความสงสัย “งั้นเหรอ ตอนที่คุณออกมาจากสถานีตำรวจ ก็เพราะเรื่องนี้?”หลินเซียงพยักหน้า “ค่ะ”ฉินโหย่วหาน “ตอนนั้นผมถามคุณ ทำไมคุณไม่ยอมบอก?”หลินเซียงรู้สึกเขินอาย ลูบจมูกแล้วพูดว่า “ฉันคิดว่าเรื่องนี้น่าจะได้รับการแก้ไขโดยเร็วที่สุด แต่ปรากฏว่าสถานีตำรวจทำงานไม่เร็วอย่างที่คิด ฉันไม่อยากแบกรับความผิดนี้ไปเรื่อย ๆ เลยอยากจะสืบหาความจริงให้เร็วที่สุด”เธอชะงักไปเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “ฉันแค่คิดว่า ถ้าบอกคุณเรื่องมันจะยิ่งยุ่งยากเข้าไปใหญ่ แต่ตอนนี้ ฉันจำเป็นต้องรบกวนคุณแล้วล่ะค่ะ”ฉินโหย่วหานหัวเราะเบา ๆ “ได้
หลินเซียงถามด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ ว่า “ไม่… อร่อยเหรอคะ?”ฉินโหย่วหานมองเธอ แล้วพูดขึ้นมาอย่างกะทันหันว่า “แค่ข้าวหนึ่งมื้อ คงไม่พอหรอก”“คะ?” หลินเซียงเบิกตากว้าง “แล้วต้องกี่มื้อถึงจะพอล่ะ?”ฉินโหย่วหานอดขำกับท่าทางน่ารัก ๆ ของเธอไม่ได้ เขาชูมือขึ้นมา แล้วชูนิ้วขึ้นเป็นเลขสามหลินเซียงหัวเราะ “สามมื้อเหรอคะ? ไม่มีปัญหาค่ะ ว่างเมื่อไหร่ก็บอกฉันได้เลยะคะ ฉันจะรีบทำให้เลยค่ะ”ท่าทางนอบน้อมถ่อมตนนั้น ยิ่งดูก็ยิ่งเหมือนกำลังปฏิบัติต่อพี่ชายคนหนึ่งฉินโหย่วหานรู้สึกถึงความคุ้นเคยแปลก ๆ จึงค่อย ๆ ลดมือลง “ไว้ผมว่างเมื่อไหร่ค่อยบอกก็แล้วกัน”“ได้ค่ะ” หลินเซียงรับคำทันทีแค่ทำกับข้าวไม่ใช่เรื่องยากอะไร ขอแค่ได้ชดใช้เรื่องที่ผ่านมาที่ติดค้างเขา เธอก็พอใจแล้วถึงใจฉินโหย่วหานจะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ แต่กับข้าวที่หลินเซียงทำนั้นอร่อยจริง ๆ ออกจะถูกปากเขาด้วยซ้ำเขาถึงกับกินข้าวไปสองชาม!เมื่อมองไปยังกับข้าวที่เกือบจะหมดจาน ฉินโหย่วหานถึงกับสงสัยในตัวเองหลินเซียงเดินเข้ามาเพื่อจะรินน้ำดื่ม เหลือบมองโต๊ะอาหารแล้วถามว่า “พี่หาน กับข้าวพอไหมคะ?”ฉินโหย่วหาน “...พอแล้วล่ะ”หลินเซียงโล่งใจ
วันรุ่งขึ้น หลินเซียงมาทำงานที่บริษัทอีกครั้ง งานมากมายรอเธออยู่ แต่เธอกลับไม่รู้สึกหงุดหงิดกับมัน แถมยังตั้งตารอเวลาพักเที่ยงอย่างใจจดใจจ่อเที่ยงวันนั้นเอง ฉินโหย่วหานโทรมาแจ้งผลการตรวจสอบ และส่งรายงานมาให้เธอทางอีเมล“ขอบคุณพี่หานค่ะ!” หลินเซียงพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นแต่ฉินโหย่วหานกลับพูดช้า ๆ ว่า “ต่อให้รู้ว่าผักชนิดไหนมีพิษแล้วจะทำยังไง? นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะพ้นผิดหรอกนะ”หลินเซียงหน้าเสียเล็กน้อย “ฉันคิดว่าผักพวกนี้ซื้อมาจากซูเปอร์มาร์เก็ต อาจมีปัญหาตั้งแต่ในซูเปอร์มาร์เก็ต เดี๋ยวฉันไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่ซูเปอร์มาร์เก็ตเอาก็ได้”ฉินโหย่วหาน “เรื่องผ่านมานานขนาดนี้แล้ว คงจะยากหน่อยนะ”หลินเซียงเม้มริมฝีปาก รู้ว่าถ้าไปตรวจสอบตั้งแต่วันนั้นเลย คงจะง่ายกว่านี้ แต่เธอก็ต้องไปให้ได้ฉินโหย่วหานพูดอย่างใจเย็น “แน่ล่ะ ถ้าเพิ่มข้าวอีกสักสิบมื้อ ผมอาจจะลองหาวิธีช่วยดู”หลินเซียงถึงกับหัวเราะแห้ง ๆ “พี่หาน ที่บ้านพี่ไม่มีพ่อครัวเหรอคะ?”ฉินโหย่วหาน “ตอบมาแค่ว่าจะทำหรือไม่ทำ”“ทำค่ะ” หลินเซียงตอบตกลงทันทีสำหรับเธอ การทำกับข้าวหนึ่งมื้อหรือสิบมื้อก็เหมือนกัน ไม่ใช่เรื่อง
หลินเซียงรับสายด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ฮัลโหล?”เสียงของลู่สือเยี่ยนกลับเย็นชาเข้าไปอีก “อยู่ไหน?”หลินเซียงนิ่งชะงักไปชั่วครู่ “มีอะไร?”หรือว่าจะเป็นเรื่องหย่าอีกแล้ว? ท่าทีของเธอออกจะชัดเจน ก่อนที่เรื่องจะถูกตรวจสอบให้กระจ่าง เธอจะไม่หย่าเด็ดขาด เขามาตามตื๊อทำไมกัน?อยู่ดี ๆ หลินเซียงนึกถึงท่าทีของเขาในอดีต แล้วก็เริ่มเข้าใจเรื่องราวขึ้นมาบ้างแล้ว เห็นอีกฝ่ายเป็นห่วงเรื่องนี้มาก ในขณะที่ตัวเธอกลับเหมือนคนนอกที่แค่มองความวุ่นวายอย่างไม่ใส่ใจ“มาโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้ ผมมีเรื่องจะถาม”ลู่สือเยี่ยนพูดจบก็วางสายไปทันที น้ำเสียงเต็มไปด้วยคำสั่งและความเย็นชา ราวกับไม่ยอมให้ปฏิเสธหลินเซียงขมวดคิ้วมองโทรศัพท์ที่ถูกวางสายไป คนคนนี้เป็นอะไรกัน? พูดอะไรก็ไม่พูดให้ชัดเจน ทำไมต้องให้เธอไปด้วย?หลินเซียงเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า ไม่ได้คิดจะไปโรงพยาบาล เธอต้องกลับไปทำงานที่บริษัทต่อ ก่อนหน้านี้เธอเถียงกับผู้จัดการไปแล้ว ผู้จัดการคงโมโหจนตาย อาจจะหักเงินเดือนเธอไปหลายเท่า ฉะนั้นเธอต้องหาเงินมาทดแทนให้ได้แต่พอมาถึงชั้นล่างของตึกบริษัท เธอก็เห็นซือเยี่ยนยืนอยู่ไม่ไกล ใบหน้าเรียบเฉย มองเห็นเธอตั้งแต่
ลู่สือเยี่ยนยืนอยู่หน้าห้องพักผู้ป่วย ใบหน้าเคร่งขรึมจ้องมองเธอ ดวงตาเรียวเล็กคมคายราวกับบ่อน้ำแข็งไร้ซึ่งอุณหภูมิ หลินเซียงรู้สึกว่าอากาศรอบตัวเย็นลงไปหลายองศา ความหนาวเย็นแผ่ขึ้นมาจากปลายเท้า รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นอย่างมากหลินเซียงใบหน้าเย็นชาลง “คุณเรียกฉันมาทำไมกัน?”หรือว่าจะเป็นเรื่องที่เซี่ยหว่านพูด? เอาเรื่องไร้สาระอะไรก็ไม่รู้มาโยนใส่หัวเธอ? หลินเซียงคิดพลางมองด้วยสายตาที่เย็นชาลู่สือเยี่ยนถามเสียงเข้ม “ทำไมต้องลักพาตัวหว่านหว่าน?”“ฮะ!”หลินเซียงหัวเราะเยาะทันที เป็นเพราะเรื่องนี้จริง ๆ ด้วย! เขากล้าที่จะเรียกเธอมาสอบสวนเพราะเรื่องที่ไม่มีมูลความจริงแบบนี้!หลินเซียงมองเขาอย่างเย็นชา “ลู่สือเยี่ยน คุณบ้าไปแล้วหรือไง? ฉันเป็นแค่เด็กกำพร้า ไม่มีที่พึ่ง ไม่มีอำนาจ ไม่มีเงินในเมืองอวิ๋นเฉิง ฉันจะเอาปัญญาที่ไหนไปลักพาตัวเธอ? ใช้เส้นผมจ่ายแทนค่าจ้างงั้นเหรอ?”พูดจบ เธอก็รู้สึกขำ และอดหัวเราะเยาะไม่ได้ แต่ขณะที่หัวเราะ น้ำตาแห่งความเศร้าก็ไหลออกมา!เขาไม่ไว้ใจเธอ… เขาไม่ไว้ใจเธอมาตั้งนานแล้วตอนที่เขาอาเจียนเป็นเลือดเพราะโดนวางยา แววตาที่มองเธอคมกริบราวกับมีด แท