12.00 น. ณ อพาร์ทเม้นท์เก่าในย่านชุมชน
แสงแดดยามบ่ายที่ส่องผ่านทะลุผ้าม่านเข้ามากระทบเปลือกตา ทำให้คนที่หลับอยู่เหมือนถูกปลุกให้ตื่นทั้งที่ยังไม่ถึงเวลา ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ดีกรีสูงที่ดื่มเข้าไปหลายแก้วทำให้คาลรอสรู้สึกหนักหัวจนไม่อยากลืมตาขึ้นมาแม้แต่นิดเดียว มือหนาควานหาคว้าผ้าห่มที่กองอยู่ใต้เอวขึ้นมาคลุมโปร่งบังแสงอ่อนที่สาดส่องทำท่าว่าจะหลับต่ออีกสักหน่อย แต่ความทรงจำเลือนรางในคืนที่ผ่านมา ทำให้สมองหนักอึ้งพยายามรื้อค้นคิดทบทวนมันอีกครั้ง ‘อืม...คราวนี้ฝันแปลกกว่าทุกที สงสัยจะคงดื่มมากไปหน่อย...’ อาการเมาค้างและความงัวเงียทำให้ร่างสูงใต้ห่มสรุปเอาง่าย ๆ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนมันก็แค่ความฝัน ทว่ากลิ่นอับของผ้าห่มผืนหนาที่โชยเข้าจมูกและผิวสัมผัสของที่นอนที่ไม่สบายตัวเหมือนทุกที ทำให้เขาต้องฝืนโผล่หน้าออกมาและเปิดตาหรี่มองรอบตัวอย่างเสียไม่ได้ ไม่กี่วินาที เมื่อสิ่งที่อยู่ในครรลองสายตาชัดเจนขึ้น ดวงตาที่หรี่ดูก็เปิดกว้างมองภาพห้องนอนที่ไม่คุ้นเคย สภาพห้องที่ดูค่อนข้างแคบกลางเก่ากลางใหม่ กับข้าวของเครื่องใช้ธรรมดาที่จัดวางแบบไม่ค่อยเป็นระเบียนและไม่เป็นสัดส่วนสักเท่าไร หรืออาจเรียกได้ว่าดูค่อนจะข้างรกเสียมากว่า ด้วยความที่สติยังกลับมาไม่เต็มที คาลรอสยันกายลุกขึ้นนั่งไล่สายตามองไปทั่วทั้งห้อง ชายหนุ่มสูงโปร่งในชุดเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์สีซีด กำลังยืนฉีกซองเครื่องดื่มสำเร็จรูปและเทมันลงไปในแก้วเซรามิกสองใบ กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นลอยอบอวลไปทั่วทั้งห้อง เสียงช้อนสเตนเลสกระทบตัวแก้วดังถี่เป็นจังหวะ เมื่อคนที่ยืนอยู่กำลังคนผงกาแฟให้ละลายเข้ากันหลังจากที่เทน้ำร้อนตามลงไปในแก้ว แม้จะเป็นเพียงรูปร่างทางด้านหลัง แต่ใบหน้ามึนงงก็ไม่สามารถที่จะละสายตาไปจากหนุ่มแปลกหน้าคนนั้นได้เลย คาลรอสรวบรวมสติอีกครั้งเพื่อทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน หากว่ามันไม่ใช่ความฝัน เช่นนั้นคนที่อยู่ตรงหน้าเขาในเวลานี้ก็ต้องเป็นคนที่เขาตามหามาตลอดอย่างแน่นอน อาการที่เมาค้างหายไปเป็นปลิดทิ้ง สายตาที่เต็มไปด้วยความหวังเฝ้ามองด้านหลังของชายหนุ่ม จนกระทั่งร่างสูงเพรียวค่อย ๆ หันมาพร้อมกับกาแฟร้อนสองแก้วที่ส่งกลิ่นหอมชวนตื่นอยู่ในมือ “อ้าว! ตื่นแล้วเหรอ ผมคิดว่าจะปลุกคุณอยู่พอดีเลย” น้ำเสียงคุ้นหูที่คาลรอสได้ยินในทุกค่ำคืน ใบหน้าและดวงตาที่จารึกฝังแน่นอยู่ในความรู้สึก ความโหยหาที่มีอยู่ในใจทำให้คาลรอสนิ่งอึ้งได้แต่มองคนตรงหน้าตาไม่กะพริบ เมื่อคนที่อยู่ในความฝันบัดนี้ได้มายืนอยู่ต่อหน้าเขาแล้วจริง ๆ ชายหนุ่มทำหน้าประหลาดใจเดินเข้ามาใกล้ ๆ และวางแก้วกาแฟร้อนเอาไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียง มือเรียวยาวยื่นออกมาแตะไปที่หน้าฝากคนบนเตียงเบา ๆ “คุณไม่สบายตรงไหนรึเปล่าครับ” น้ำเสียงละมุนและสายตาที่คุ้นเคยทำให้คาลรอสกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก นัยน์ตาแฝงไปด้วยความสับสน การสัมผัสของชายแปลกหน้าและคำสนทนาช่วยยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า...เขาไม่ได้กำลังฝันอยู่อย่างแน่นอน หัวใจที่เต้นรัวและความรู้สึกที่ทั้งโหยหาและสับสนทำให้คาลรอสไม่สามารถควบคุมสติของตัวเองเอาไว้ได้ มือหนากระชากคอเสื้อคว้าร่างของชายหนุ่มขึ้นมาบนเตียงนอน และนั่งคร่อมทับร่างนั้นเอาไว้อย่างรวดเร็ว “นายเป็นใคร!” น้ำเสียงกดต่ำ กับสายตาที่มองคนใต้ร่างด้วยความสงสัย “นี่ นี่คุณจะทำอะไร ถามกันดี ๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องใช้กำลังเลย” ชายหนุ่มตอบกลับแบบใจเย็น แต่มือทั้งสองข้างก็ยังพยายามที่จะดันหน้าอกคาลรอสออกไป ไม่ให้เข้ามาใกล้เองมากไปกว่านี้ “ตอบ! นายเป็นใคร ทำไมฉันถึงได้...ตอบ นายเป็นใคร” คาลรอสกระชากคอเสื้อของคนที่อยู่ใต้ร่างขึ้นมาแล้วตะคอกใส่ แต่ก็ยังยั้งคำพูดเอาไว้ไม่ยอมเอ่ยถึงเหตุผลที่เขาทำแบบนี้ เพราะไม่อยากถูกหาว่าเป็นคนสติไม่ดีที่เอาแต่เพ้อเจ้อไปกับความฝันที่หาสาระอะไรไม่ได้ “ตอบก็ตอบซิ! จะตะคอกทำไมเล่า! อีกอย่างคุณลุกออกไปก่อนได้มั้ยเนี่ย! มันหนัก!” ชายหนุ่มโวยกลับ พลางดิ้นรนพยายามแกะมือที่จับค้างอยู่บนคอเสื้อของตนด้วยน้ำหนักตัวที่เริ่มกดทับลงมาจนรู้สึกอึดอัด ทว่านอกจากคาลรอสจะไม่สนใจแล้ว เขายังคว้าข้อมือทั้งสองข้างที่พยายามจะผลักเขาออกขึ้นมารวบเอาไว้แน่น จนคนใต้ร่างจำต้องหยุดขัดขืนไปโดยปริยาย “นายจะตอบไม่ตอบ ว่าไง!” คาลรอสกระแทกเสียงย้ำคำถามเดิม พร้อมกับลมหายใจถี่ที่พ่นออกมาด้วยความกระวนกระวายใคร่รู้เต็มที ชายหนุ่มใต้ร่างที่หยุดขัดขืนอย่างจำใจขบกรามเม้มริมฝีปากแน่นนิ่วหน้ามองคนแปลกหน้าที่ยึดข้อมือตัวเองเอาไว้แน่นจนปลายนิ้วซีดชาไปหมด คนหนึ่งถาม ส่วนอีกคนไม่ยอมตอบ ทว่าแววตาของคนใต้ร่างที่จ้องมองกลับมานั้นทำให้คาลรอสรู้สึกผิดอย่างไม่มีเหตุผล จนเขาต้องคลายน้ำหนักมือของตัวเองออกและขยับกายเล็กน้อยเพื่อจะได้ไม่ทิ้งน้ำหนักตัวลงไปมากนัก คอลรอสมองใบหน้าคุ้นตาอย่างพิเคราะห์ ทั้งใบหน้า ทั้งดวงตา ทั้งน้ำเสียง เขามั่นใจว่าคนคนนี้คือคนในฝันที่เขาตามหามาตลอดอย่างแน่นอน แต่ทำไม ทำไม... ในที่สุดความรู้สึกท่วมท้นภายในใจที่ไม่สามารถอธิบายได้ก็เอ่อล้นออกมาทางดวงตา เป็นม่านน้ำใสที่หยดลงมาอย่างไม่ทันรู้ตัว ชายใต้ร่างชะงักนิ่ง มองคนแปลกหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง พลันปฏิกิริยาขัดขืนที่มีก่อนหน้าก็หายไปสิ้น สันกรามที่ขบกันแน่นค่อย ๆ คลายออกก่อนจะตอบออกไปอย่างใจเย็น “ผมก็เป็นคนที่คุณช่วยไว้เมื่อคืนไง” การตอบแบบเลี่ยง ๆ ไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นเท่าไรนัก ตรงกันข้ามมันกลับยิ่งเป็นการกระตุ้นความรู้สึกของอีกฝ่ายให้ทวีมากขึ้นไปอีก ดังนั้นข้อมือที่ถูกที่รวบไว้จึงถูกคาลรอสกระชากเข้าไปหาจนใบหน้าอยู่ห่างกันแค่คืบ “ฉันถาม ว่านายเป็นใคร ตอบ!” น้ำเสียงกร้าวเน้นคำและย้ำท้ายประโยค ดวงตาแดงก่ำยังมีม่านน้ำเออคลอจนบดบังภาพเบื้องหน้าเริ่มพร่าเลือนลงทุกขณะ ‘ท่านคาลรอส ทำไมถึง...’ ชายหนุ่มใต้ร่างสูดลมหายใจเข้าลึก คลี่ยิ้มบาง พยายามซ่อนความรู้สึกของตนเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสม่ำเสมออย่างใจเย็น “ผมชื่อเลฟ อายุ 22 พึ่งย้ายมาเมืองข้างเคียงมาอยู่ในอพาร์ทเม้นท์ซอมซ่ออย่างที่คุณเห็น แล้วก็เป็นแค่คนที่คุณบังเอิญช่วยเอาไว้เมื่อคืนก็เท่านั้น” ‘แค่บังเอิญ...ก็เท่านั้นเหรอ’ คำตอบที่ได้รับทำให้คาลรอสยิ้มเฝื่อน ไม่รู้ทำไม ชื่อ ‘เลฟ’ กับคำว่า ‘ก็เท่านั้น’ ที่ได้ยินถึงทำให้เขารู้สึกเหมือนจิตใจมันจมหายลงไปในหลุบลึกยังไงบอกไม่ถูก คาลรอสที่เริ่มรู้สึกถึงหยาดน้ำข้างแก้มที่ไหลออกมาจากขอบตาร้อนผ่าวของตัวเองปล่อยข้อมือคนใต้ แล้วรีบผละออกมาเพื่อปล่อยเลฟให้เป็นอิสระ ร่างสูงนั่งหันหลังหย่อนขาทั้งสองข้างลงบนพื้นที่ด้านหนึ่งของเตียงนอน ใช้หลังมือปาดน้ำตาออกไปอย่างลวก ๆ ส่วนเลฟพอเป็นอิสระก็รีบยันกายลุกขึ้น แล้วถอยตัวไปอยู่อีกมุมหนึ่งของเตียงจนหลังติดกำแพง “เลฟ งั้นเหรอ” คาลรอสเอ่ยชื่อชายหนุ่มแปลกหน้าแผ่วเบาคล้ายพูดกับตัวเอง ทว่าน้ำเสียงนั้นกลับเจือปนไปด้วยความผิดหวังที่ซ่อนอยู่ เขาคิดทบทวนถึงความฝันของตนอีกครั้ง ทั้งรูปร่าง ใบหน้าแม้กระทั่งแววตาหรือน้ำเสียง ทุกอย่างเขาล้วนรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด แต่ว่า ‘ชื่อเลฟ ทำไมถึงชื่อเลฟ ไม่ใช่โคลว์ ทำไม...’ “เอ่อ...ผมยังไม่ได้ขอบคุณเลย คุณ...” “คาลรอส คาลรอส มาโดวา” สายตาคมเหลือบมองผ่านไหล่ พลางบอกชื่อของตัวเองออกไป เมื่อได้ยินคำพูดอึกอักของอีกฝ่ายที่ไม่รู้ว่าจะเรียกเขาว่าอะไรดีก่อนจะเบือนหน้าหนีไปอีกครั้ง “ครับ คุณคาลรอส ขอบคุณที่ช่วยผมไว้ ทำให้คุณลำบากแท้ ๆ เลย” เลฟยิ้มอ่อน มองแผ่นหลังของคนที่ปากย้ำนักหนาว่าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ทว่าสายตาที่แอบมองนั้นกลับซ่อนความรู้สึกเอาไว้มากมาย เป็นความรู้สึกคิดถึงคะนึงหาที่ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน นานหลายวัฏจักรซ้ำแล้วซ้ำอีก นานซะจนเหนื่อยล้าเต็มที “ฮืมม..มม” ไม่นานเมื่อความเงียบเข้าคลุมพื้นที่ คาลรอสที่รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลก็ส่งเสียงระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ในตอนนี้ไม่ว่าเพราะสาเหตุอะไรก็ตาม ถึงจะไม่ใช่ชื่อเดียวกัน แต่เขาก็ไม่ต้องการให้คนคนนี้ ‘เลฟ’ อันตรธานหายไปเหมือนเช่นฝุ่นควันในยามตื่นจากฝันอย่างทุกที เพราะงั้นไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน เขาก็จะยื้อเจ้าหนุ่มแปลหหน้าคนนี้เอาไว้ให้ได้ “นายอยู่ที่นี่คนเดียวงั้นเหรอ” น้ำเสียงเรียบเอ่ยถามขึ้น ทั้งที่สายยังหันมองไปทางอื่น “เอ่อ ผมอยู่...กับคนรักน่ะครับ คือตอนนี้เธอออกไปข้างนอกอีกเดี๋ยวก็คงจะกลับมาแล้ว” ใบหน้าเรียวมนแสร้งยิ้มบาง พลางพูดประโยคที่ฟังดูคล้ายต้องการส่งแขกไปในตัว “คนรัก งั้นเหรอ” “ครับ คนรัก” แน่นอนว่าประโยคนี้ใช้ไม่ได้ผลกับคาลรอส อันที่จริงต้องเรียกว่าไม่เข้าหูเลยมากกว่า แถมคำโกหกที่คิดขึ้นมาแบบกะทันหันก็ไม่ค่อยแนบเนียนสักเท่าไร จับพิรุธได้ง่ายชนิดที่เรียกว่าไม่ต้องพยายามเลยด้วยซ้ำ เมื่อสายตาคมกวาดมองไปรอบห้องเพื่อหาหลักฐาน เตียงขนาดสามฟุตครึ่ง หมอนหนึ่งใบ ผ้าห่มผืนเก่าเนื้อหยาบระคายผิว โต๊ะเก้าอี้กับของใช้จำเป็นไม่กี่อย่าง ห้องซอมซ่อเหม็นกลิ่นอับขนาดกะทัดรัด ถ้าจะเรียกให้ตรงตัวก็คงต้องใช้คำว่า ‘รังหนู’ นั่นแหละ มันบ่งบอกชัดเจนว่าเจ้าของห้องมีคุณภาพชีวิตที่ไม่ดีเอาเสียเลย ยิ่งเรื่องเงินในกระเป๋าคงไม่ต้องพูดถึง ซื้อกินคงไม่มีปัญญา แล้วสภาพแบบนี้จะไปมีปัญญาหาคนรักที่ไหนมาอยู่ด้วยกัน น่าแปลก ทำไมต้องพยายามคิดคำโกหกที่ไม่เข้าท่าพวกนี้ขึ้นมาด้วย ถ้าไม่เพราะไม่ไว้ใจคนอื่นก็คงต้องการปิดบังอะไรบางอย่าง ถึงกระนั้น เขาก็เลือกที่จะไหลไปตามน้ำ... “อืม...ถ้างั้นฉันไม่อยู่รบกวนนายแล้วล่ะ” น้ำเสียงนิ่งเรียบเอ่ยอย่างรู้ตัวว่าถูกเชิญกลับแบบอ้อม ๆ พลางยันกายลุกขึ้นยืนเพื่อเตรียมออกไปจากห้องพักเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนเลฟพอเห็นท่าทางแบบนั้นของเขาก็รีบผุดลุก คลานขลุกขลักออกจากเตียงเหมือนมากัน “เอ่อ เดี๋ยวผมเดินไปส่งข้างล่างนะครับ” เลฟยังคงพูดจาอย่างเว้นระยะห่างอย่างชัดเจน ทว่ายิ่งพยายามเท่าไร สำหรับคาลรอสแล้วมันก็ยิ่งไม่เนียนเท่านั้น ซึ่งนั่นทำให้เขายิ่งมั่นใจว่าเจ้าหนุ่มแปลกหน้าที่เหมือนคนในความฝันของเขาต้องกำลังปิดบังอะไรอยู่แน่นอนอย่างแน่นอน “ไม่ต้อง ฉันรบกวนนายมามากแล้ว ไปล่ะ” ร่างสูงที่หยุดยืนอยู่ตรงประตูหันมาบอกลา พอพูดจบก็สาวเท้าเดินออกไปโดยไม่หันกลับมามองอีกเลย เลฟมองตามแผ่นหลังที่หายลับไปจากขอบประตู พริบตาหนึ่งเหมือนว่าตัวเองกำลังจะยื่นมือไปรั้งไหล่สูงเอาไว้ แต่สุดท้ายก็ชะงักนิ่ง หดมือกลับมาไว้ข้างตัว แล้วยืนฟังเสียงฝีเท้าที่เดินห่างออกไปเรื่อย ๆ กระทั่งรอบตัวเงียบสนิทอีกครั้ง ความเศร้าและความคะนึงหาถาโถมเข้ามาในหัวใจ จนผิวหนังเย็นเหยียบไร้ความรู้สึกคล้ายหนาวสั่นขึ้นมาทั้งที่มันเป็นไปไม่ได้ สายตาหม่นเศร้าก้มมองฝ่ามือของตัวเองพลางยิ้มอย่างเจ็บปวด อย่างน้อยการได้พบกันอีกครั้งก็ถือเป็นคำลาที่ไม่เลวเหมือนกัน... ‘ท่านคาลรอส...ภูตผีอย่างผม อย่าจดจำไว้เลยขอรับ’ ...“บางทีนี่อาจเป็นปาฏิหาริย์ ความยึดติดของท่านที่พันธนาการข้าเอาไว้ และความยึดติดของข้าที่ดื้อดึงไม่ยอมจากไปไหน ท่านคาลรอส ท่านอยู่ที่ไหนขอรับ...” เสียงถ้อยคำที่กับดังมาจากห้วงเวลาอันแสนไกล ทั้งที่สายตากลับมองเห็นผู้ที่เอื้อนเอ่ยอยู่ใกล้แค่เอื้อมมือคว้า ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งใบหน้าเรียวได้รูปกับดวงตาคู่นั้นเป็นใครกัน...ทำไมถึงได้รู้สึกคุ้นเคยแบบนี้นะ... 5.00 pm ติ๊ด ๆ ติ๊ด ๆ เสียงเตือนจากโทรศัพท์มือถือที่ถูกตั้งเวลาเอาไว้ ปลุกคาลรอสให้ตื่นในเวลาเดิมเหมือนอย่างทุกที ร่างหนาขยับตัวลุกขึ้นจากเตียงนอน ดึงม่านหน้าต่างให้เปิดออกเพื่อมองดูแสงอาทิตย์ยามเย็น คาลรอส ชายหนุ่มรูปร่างสูงหุ่นสมาร์ท คิ้วเข้มได้รูป รับกับใบหน้าคมอย่างลงตัว เจ้าของร้านเหล้าแห่งหนึ่งในถนนสายยามราตรี ดวงตาคมมองออกไปนอกหน้าต่างห้องนอนที่อยู่บนตึกสูงหลายสิบชั้น ดูรถราที่วิ่งไปมาและแสงไฟตามหัวมุมถนนที่เริ่มเปิดขึ้นบางส่วนเพื่อรอรับยามราตรีที่กำลังจะมาถึง คาลรอสพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะหันหลังเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อเตรียมตัวไปที่ร้านของตนเหมือนอย่างทุกที ... ร้าน...พบกันอีกครั้ง... ร่างสูงในชุดเสื้อแขนยา
12.00 น. ณ อพาร์ทเม้นท์เก่าในย่านชุมชนแสงแดดยามบ่ายที่ส่องผ่านทะลุผ้าม่านเข้ามากระทบเปลือกตา ทำให้คนที่หลับอยู่เหมือนถูกปลุกให้ตื่นทั้งที่ยังไม่ถึงเวลา ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ดีกรีสูงที่ดื่มเข้าไปหลายแก้วทำให้คาลรอสรู้สึกหนักหัวจนไม่อยากลืมตาขึ้นมาแม้แต่นิดเดียวมือหนาควานหาคว้าผ้าห่มที่กองอยู่ใต้เอวขึ้นมาคลุมโปร่งบังแสงอ่อนที่สาดส่องทำท่าว่าจะหลับต่ออีกสักหน่อย แต่ความทรงจำเลือนรางในคืนที่ผ่านมา ทำให้สมองหนักอึ้งพยายามรื้อค้นคิดทบทวนมันอีกครั้ง ‘อืม...คราวนี้ฝันแปลกกว่าทุกที สงสัยจะคงดื่มมากไปหน่อย...’อาการเมาค้างและความงัวเงียทำให้ร่างสูงใต้ห่มสรุปเอาง่าย ๆ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนมันก็แค่ความฝัน ทว่ากลิ่นอับของผ้าห่มผืนหนาที่โชยเข้าจมูกและผิวสัมผัสของที่นอนที่ไม่สบายตัวเหมือนทุกที ทำให้เขาต้องฝืนโผล่หน้าออกมาและเปิดตาหรี่มองรอบตัวอย่างเสียไม่ได้ไม่กี่วินาที เมื่อสิ่งที่อยู่ในครรลองสายตาชัดเจนขึ้น ดวงตาที่หรี่ดูก็เปิดกว้างมองภาพห้องนอนที่ไม่คุ้นเคย สภาพห้องที่ดูค่อนข้างแคบกลางเก่ากลางใหม่ กับข้าวของเครื่องใช้ธรรมดาที่จัดวางแบบไม่ค่อยเป็นระเบียนและไม่เป็นสัดส่วนสักเท่าไร หรืออาจเรีย
“บางทีนี่อาจเป็นปาฏิหาริย์ ความยึดติดของท่านที่พันธนาการข้าเอาไว้ และความยึดติดของข้าที่ดื้อดึงไม่ยอมจากไปไหน ท่านคาลรอส ท่านอยู่ที่ไหนขอรับ...” เสียงถ้อยคำที่กับดังมาจากห้วงเวลาอันแสนไกล ทั้งที่สายตากลับมองเห็นผู้ที่เอื้อนเอ่ยอยู่ใกล้แค่เอื้อมมือคว้า ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งใบหน้าเรียวได้รูปกับดวงตาคู่นั้นเป็นใครกัน...ทำไมถึงได้รู้สึกคุ้นเคยแบบนี้นะ... 5.00 pm ติ๊ด ๆ ติ๊ด ๆ เสียงเตือนจากโทรศัพท์มือถือที่ถูกตั้งเวลาเอาไว้ ปลุกคาลรอสให้ตื่นในเวลาเดิมเหมือนอย่างทุกที ร่างหนาขยับตัวลุกขึ้นจากเตียงนอน ดึงม่านหน้าต่างให้เปิดออกเพื่อมองดูแสงอาทิตย์ยามเย็น คาลรอส ชายหนุ่มรูปร่างสูงหุ่นสมาร์ท คิ้วเข้มได้รูป รับกับใบหน้าคมอย่างลงตัว เจ้าของร้านเหล้าแห่งหนึ่งในถนนสายยามราตรี ดวงตาคมมองออกไปนอกหน้าต่างห้องนอนที่อยู่บนตึกสูงหลายสิบชั้น ดูรถราที่วิ่งไปมาและแสงไฟตามหัวมุมถนนที่เริ่มเปิดขึ้นบางส่วนเพื่อรอรับยามราตรีที่กำลังจะมาถึง คาลรอสพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะหันหลังเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อเตรียมตัวไปที่ร้านของตนเหมือนอย่างทุกที ... ร้าน...พบกันอีกครั้ง... ร่างสูงในชุดเสื้อแขนยา