หนีคนชั่วแต่ไม่พ้นมือปีศาจ
ยามนี้นางเข้าใจแล้วว่ามีคนเห็นชีวิตผู้อื่นเป็นของเล่น ทั้งลูกธนู ทั้งสุนัขดุร้าย กำลังไล่ล่าหมายเอาชีวิตพวกเขา
หญิงสาวไม่รอช้า นางสืบเท้าไปข้างหน้าโดยไร้จุดหมาย กระทั่งมีเด็กสาวคนหนึ่งยื่นมือมาจับข้อมือนางหมับแล้วฉุดให้ออกวิ่งตาม
อวิ๋นมู่หลันหันไปมองอีกฝ่ายเห็นว่าซีกหน้าของนางข้างหนึ่งมีแผลลึก ซึ่งอาจเกิดจากของมีคม บาดแผลเช่นนี้น่ากลัวและชวนให้ขนลุก
“ปะ… ไป... อย่าอยู่ที่นี่ พวกมันจะฆ่าเราทุกคน”
‘ตะ… แต่พวกเขาเป็นทหาร เหตุใดถึงทำกับผู้อื่นเช่นนั้น!’ อวิ๋นมู่หลันถาม แต่เสียงนางไม่อาจสื่อความหมายให้อีกฝ่ายเข้าใจ
เด็กสาวไม่สนใจฟัง เร่งฉุดให้อวิ๋นมู่หลันไปหลบหลังหินก้อนใหญ่ กระทั่งพวกนางหายใจหายคอสะดวกจึงเอ่ยว่า
“หาก ‘หนานหยาง’ ยังไม่ล่มสลาย พวกข้าคงไม่ต้องพบความบัดซบเช่นนี้ เมื่อวานน้องสาวข้าถูกชาวต้าเหอข่มเหงจนเสียชีวิต นางคิดโง่ ๆ ที่จะรับใช้ในค่ายทหาร แต่กลับถูกจับใส่ป้ายแขวนคอเพื่อให้ทหารเลวระบายความใคร่ พวกมันตั้งสิบสี่คนรุมโทรมนางจนถึงแก่ชีวิต!”
อวิ๋นมู่หลันตัวสั่น ไม่ใช่ว่ากลัว แต่นางเกลียดทหารในค่ายนี้จับใจ ทั้งที่เกิดเป็นชาวต้าเหอ ทว่าเหตุใดชีวิตนี้เพิ่งจะรับรู้ได้ว่าพวกมีอำนาจช่างชั่วช้า กระทำต่อผู้อื่นราวกับไม่ใช่มนุษย์!
ขณะที่หลบอยู่ตรงนั้น มีทหารคลั่งนายหนึ่งตามไล่ฆ่าเชลยที่ถูกยิง ทว่ายังไม่สิ้นลมหายใจ เสียงร้องโหยหวนดังอยู่ใกล้ ๆ พร้อมเสียงคำรามและเห่ากรรโชกของสุนัขหลายตัว
“เจ้าถูกจับตัวมาได้อย่างไร...”
อวิ๋นมู่หลันพยายามใช้ภาษามือสื่อสารกับเด็กสาวคนนั้น
“เป็นใบ้หรอกหรือ... แต่ถึงจะมีปานอัปลักษณ์บนหน้า ทว่าพี่สาวยังงดงามถึงเพียงนี้ หากถูกจับตัวคงกลายเป็นของเล่นให้พวกมันย่ำยี”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อวิ๋นมู่หลันก็แจ้งชัดว่านางต้องหาโอกาสหนีไปให้ไกล กระทั่งทหารคลั่งเข้ามาใกล้ เด็กสาวก็คว้าเอาก้อนหินก้อนใหญ่และเตรียมใช้มันทำร้ายเขา
พริบตาต่อมา เด็กสาวจึงอ้อมไปข้างหลังทหารคนหนึ่ง จากนั้นก็แสร้งทำเป็นบาดเจ็บ ส่งเสียงร้องเบา ๆ เพื่อเรียกอีกฝ่าย
“บาดเจ็บหรือ... ถ้ายอมให้ข้าปล่อยความสุขใส่ข้างในตัวเจ้าก็จะมีชีวิตรอด อย่างน้อยก็ให้ข้าเย่อสักหนึ่งถึงสองชั่วยามเถิด”
เด็กสาวแสร้งทำท่าตื่นตระหนก
“อ้าขาให้กว้าง ๆ ซี ข้าจะได้เย่อเจ้าให้ถึงใจ แลกกับการต่อลมหายใจอีกสักหน่อย”
ทหารเอ่ยจบก็แลบลิ้นเลียริมฝีปากหนา ๆ ของตน พร้อมแกะสายรัดเอวออก
ภาพเบื้องหน้านั้นอวิ๋นมู่หลันไม่อยากดูด้วยซ้ำ แต่นางก็ต้องฝืนทนพร้อมคิดจนหัวแทบระเบิดว่าจะช่วยเด็กสาวอย่างไรเพราะอีกฝ่ายไม่ได้บอกแผนการใด ๆ ต่อนาง
กระทั่งทหารหนุ่มขึ้นคร่อมเด็กสาว เขาใช้มืออันหยาบกร้านลูบไล้ตัวนางอย่างหื่นกระหาย เด็กสาวก็ใช้โอกาสนั้น จับหินที่วางไว้ใกล้ ๆ ตัวทุบใส่ท้ายทอยเขาเต็มแรง
อวิ๋นมู่หลันเห็นภาพดังกล่าวชัดเจน นางค่อนข้างเสียขวัญ แต่ไม่รอช้าพุ่งเข้าไปจับดาบของนายทหารที่วางไว้เพื่อใช้มันเป็นอาวุธไม่ให้อีกฝ่ายเข้าทำร้ายเด็กสาว
“รวมหัวหลอกข้าหรือ!”
ทหารคลั่งว่าและพยายามลุกยืน กระทั่งทรงตัวได้เขาก็เป่าปากส่งสัญญาณเรียกทหารอีกคนที่แยกตัวออกไป จัดการกับเชลยคนอื่น
ช่วงเวลาดังกล่าวตึงเครียดเหลือเกิน แต่เด็กสาวไม่ได้แสดงท่าทีเกรงกลัว นางยื่นมือมาขอดาบจากอวิ๋นมู่หลัน และกวัดแกว่งไปข้างหน้าหมายปลิดชีพทหารคลั่ง ทว่านางอาจช้าไปเสียหน่อย เพราะไม่ทันได้ทำร้ายทหารคลั่งลูกธนูก็พุ่งเข้ามาปักที่เนินหน้าอกซ้ายของนาง!
แรงจากลูกธนูมีพลังมากจนทำให้ดาบในมือเด็กสาวล่วงหล่น
อึดใจต่อมา คนที่ยิงธนูจึงเผยกายให้เห็น
“นะ… นั่น... เป็นนังใบ้หรอกหรือ.... ฮ่า ๆ ๆ สวรรค์เป็นใจให้ข้าได้เล่นสนุกกับเจ้าจริง ๆ”
ซ่งเถียน ทหารที่ดูแลสุนัขโผล่มา เขาหัวเราะอย่างร้ายกาจ พร้อมย่างสามขุมไปกระชากแขนของอวิ๋นมู่หลันจนนางหวิดล้มคะมำลงพื้น
“จงเป็นสุนัขตัวเมียให้ข้าเย่อเสีย เจ้ารู้หรือไม่เหตุใดแม่ของลูกสุนัขพวกนั้นถึงตาย!”
อวิ๋นมู่หลันไม่อยากฟังสิ่งใด ยิ่งมองดวงตาของทหารชั่วนางยิ่งขยะแขยง และนางไม่อยากคาดเดาเรื่องชวนให้คลื่นเหียนใด ๆ
“เวลาที่ข้าเข้าไปในตัวมัน ทั้งลื่น ทั้งอุ่น!”
หญิงสาวได้ยินคำดังกล่าวแล้วพลันเดือดดาล แต่นางถูกบีบข้อมือไว้และเขาก็มีอาวุธ ไฉนนางจะกล้าทำเรื่องบุ่มบ่าม
“พี่สาวอย่าได้ยอมพวกเดรัจฉานนี้” เด็กสาวตวาดลั่นและฮึดสุด กำลังที่จะสู้
“ดี... ข้าจะฉีดน้ำเข้าทั้งปากและก้นพวกเจ้าให้หนำใจ”
ทหารผู้ดูแลสุนัขว่าแล้วก็หัวเราะอย่างสาแก่ใจ ทว่าเขาไม่ทันได้ระวังตัวเมื่อเด็กสาวดึงธนูออกจากร่างของตน นางก็สกัดจุดห้ามเลือด จากนั้นจึงใช้มันแทงทะลุคอทหารคลั่งที่ได้รับบาดเจ็บ พอเขาร้องโหวกเหวกพยายามจัดการนาง เด็กสาวก็ถีบอีกฝ่ายสุดแรง แต่นางกลับพลาดท่าเมื่อดาบในมือซ่งเถียนฟันเข้าใส่กลางหลังนาง
อวิ๋นมู่หลันเห็นภาพดังกล่าวเต็มสองตาและนางเดือดดาลจัดจนอดทนไม่ไหว แรงที่มีเท่าไหร่นางเค้นออกมาจนสามารถสะบัดตนหลุดจากทหารชั่ว ดาบที่ตกอยู่บนพื้นก่อนหน้านางเอื้อมไปหยิบมา แต่มือนางสั่นจนเกือบจะจับไว้ไม่ไหว
“นังใบ้ ถ้าไม่อยากตายจงทิ้งดาบเสีย ถอดเสื้อผ้าออก และใช้กลีบของเจ้าแลกกับชีวิต”
โทสะของอวิ๋นมู่หลันเดือดจัดขึ้นไปอีก นางรวมรวบพลังของตนตั้งใจว่าหากชายผู้นี้คิดทำร้ายเด็กสาวอีก นางจะฆ่าเขาด้วยมือของนางเอง
“พี่สาว หนี ไป... อย่าให้มันจับตัวได้”
เด็กสาวเอ่ยจบก็บ้าเลือด นางพุ่งเข้าใส่ทหารชั่ว พร้อมลูกธนูในมือ เสียงต่อสู้และเสียงกรีดร้องโหยหวนดังไม่หยุด ขณะเดียวกัน อวิ๋นมู่หลันก็เห็นเงาของสุนัขหลายตัวเคลื่อนไหว ก่อนที่พวกมันจะรุมเข้ากัดศพคนตายที่นอนอยู่บริเวณนั้น
“หนีไป!”
เสียงเด็กสาวยังดังก้องอยู่ในหัว และขณะที่บ่ายหน้าไปอย่างรวดเร็ว อวิ๋นมู่หลันร้องไห้ด้วยมิอาจเก็บกลั้นอารมณ์อ่อนไหวได้อีก น้ำตานางไหลนองหน้า กระทั่งวิ่งไปจนเข้าไปใกล้แนวหน้าผาสูงและไม่ทันสังเกตสิ่งใดจึงเซเสียหลักแล้วพลัดตกลงไปเบื้องล่าง
เนื่องจากมีทั้งเถาวัลย์และกิ่งไม้มากมายร่างอวิ๋นมู่หลันจึงไม่ได้รับแรงกระแทกรุนแรง กระนั้นก็จุกเจ็บหลายที่ อีกทั้งได้แผลเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ขาและแขน มีอาการเคล็ดขัดยอกพอสมควร นางนอนนิ่ง ๆ อยู่บนพื้นดินจวบจนแน่ใจว่ากระดูกไม่ได้หัก
ซึ่งขณะที่นางพลัดตกเหวลึกนั้น นางหลับ ๆ ตื่นอยู่สามวันเต็ม ๆ เมื่อลุกยืนได้ก็กวาดตามองไปโดยทั่ว จุดที่นางยืนทั้งเย็นชื้นและมีกลิ่นหอมของดอกไม้ป่า อวิ๋นมู่หลันยื่นมือไปข้างหน้า กระทั่งได้ท่อนไม้มาหนึ่งท่อนแล้วใช้มันเป็นสิ่งช่วยพยุงเดิน
นางสืบเท้าออกจากจุดที่ตกลงมาไปไกลพอสมควร ตอนนี้รู้ว่าดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว เสียงแมลงกลางคืนดังอึงอล พร้อมกันนั้นก็มีเสียงร้องของสัตว์ป่าอยู่มิห่างตัว อวิ๋นมู่หลันกลัวจับใจ แต่นางคิดว่าอย่างน้อยก็รอดพ้นจากทหารชั่ว ทว่าอยู่ที่ใดหญิงสาวไม่อาจล่วงรู้ เมื่อก้าวไปได้อีกเล็กน้อย ร่างอรชรพลันถูกมือใหญ่ของใครบางคนรั้งเอวคอดไปแนบชิดร่างอุ่นซ่าน!
อวิ๋นมู่หลันไม่ทันดิ้นรนเพื่อให้ตนหลุดพ้นจากร่างกายอีกฝ่าย ด้วยเป็นตอนนั้นที่ดวงตากลมโตได้เห็นว่า รอบ ๆ ตัวนางมีงูนับร้อยตัวนอนจำศีลอยู่!
เหงื่อกาฬผุดท่วมร่างอวิ๋นมู่หลัน เลือดในกายเหมือนจะจับตัวแข็งจนสองขาไม่อาจขยับไหว กระทั่งได้ยินเสียงทุ้ม ๆ ซึ่งกระซิบข้างหู ก็เป็นนางที่ไม่รู้ว่าควรเลือกเผชิญหน้ากับงูเหล่านั้นหรือบุรุษผู้นี้ดี!
เจ้าไม่เคยกอดบุรุษหรือ! เมื่อกวนเฉินหลางกลับมาที่ค่ายทหาร เขามีความคิดจะสั่งทหารจับตัวรองแม่ทัพเหนี่ยวไปโบยให้เนื้อแตก ทว่าอีกฝ่ายมีคำสั่งของรัชทายาทอยู่ในมือ อีกทั้งเหล่าขุนนางหลายคนลงนามเห็นชอบให้จัดการข้าศึกเหล่านั้น เขาจึงได้แต่ผ่อนปรน จากนั้นก็ทำในสิ่งที่ตนมีอำนาจ นั่นก็คือสั่งให้ตามจับเชลยกลับคืนแล้วส่งตัวไปใช้แรงงาน อย่างน้อยพวกเขาไม่ต้องรับโทษตาย ทั้งยังมีโอกาสได้ใช้ชีวิตต่อไป ที่สำคัญในกลุ่มของเชลยที่จับตัวได้มีบุคคลที่เขาต้องการตัวนั่นก็คือเมิ่งถู ซึ่งมีศักดิ์เป็นองค์ชายของแผ่นดินซึ่งล่มสลายลงไปแล้ว หนานหยาง และพอเขารู้ว่าเชลยถูกไล่ต้อนเข้าไปในค่ายกลชายหนุ่มก็เดือดดาล “ไม่ใช่เพียงแค่คนจากหนานหยาง ยังมีสตรีแซ่อวิ๋นด้วย” โจวจื่อเว่ยร้อนใจ พอได้พบหน้ากวนเฉินหลางจึงแจ้งข่าวร้ายทันที “ฮึ นางเป็นคนของเจ้า สาวใช้ห้องข้างมิใช่หรือ!” แม่ทัพกวนกล่าวอย่างตรงไปตรงมา เขายกนางให้อีกฝ่ายทั้งที่ใจไม่เห็นด้วยสักนิด “โถ พี่กวน...” เมื่อต้องการให้อีกฝ่ายช่วยเหลือโจวจื่อเว่ยมักเรียกกวนเฉินหลางเช่นนั้น อย่างไรค
ป้อนน้ำหวานซ่านทรวง บนต้นไม้สูงที่แผ่กิ่งก้านออกไปไกลและเชื่อมต่อกับต้นไม้อื่น ๆ ด้านบนนี้ให้ความร่มรื่น ทั้งเป็นเกาะกำบังที่ดีเนื่องจากอยู่ในช่วงเวลากลางคืนทั้งยังมีสัตว์กินเนื้อและแมลงหลายชนิดอยู่ด้านล่าง กวนเฉินหลางจึงเลือกพักอยู่บนนี้ “หากไม่พลัดตกลงไป เจ้าคงมีชีวิตรอดได้อีกหนึ่งคืน” อวิ๋นมู่หลันถลึงตาใส่เขา ทั้งที่อยากสงบเสงี่ยมไม่คิดกวนใจกวนเฉินหลาง แต่เขาเป็นคนปากร้าย พูดจาดี ๆ กับผู้อื่นไม่เป็น ‘ข้าดูแลตัวเองได้ หาใช่สตรีอ่อนแออย่างที่ท่านคิด!’ “ประเสริฐ เช่นนี้ข้าควรส่งเสริมเจ้าให้มาก” ชายหนุ่มเอ่ยจบก็ปรับสมดุลในร่างกาย ยามนั้นเหงื่อซึมบนหน้าผาก การหายใจก็ควบคุมลำบากกว่าปกติ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเมื่อเข้ามาในค่ายกลเขาต้องรับมือหลายชีวิต หนึ่งในนั้นคือเมิ่งถู อีกฝ่ายแสร้งป่วยไข้ หลังจากเขาใช้ตาข่ายสุนัขดักจับตัวแล้วส่งขังคุกในค่ายทหาร แต่เหนี่ยวซีกังซึ่งประมาทและบ้าอำนาจคิดอวดบารมีของตน จึงปล่อยเมิ่งถูกับเชลยนับร้อยชีวิต ก่อนไล่ต้อนฝ่ายนั้นด้วยการยิงธนูเพื่อให้เข้ามาในพื้นที่อันตรายนี้ “ข้าทำทั้ง
แนบเนื้อผสานใจ อวิ๋นมู่หลันนึกว่าตนฝันไป เมื่อลืมตาตื่นนางก็รู้ว่ากำลังนอนซุกซบร่างกายอีกฝ่าย ที่เรียกว่าเกือบจะเปลือยเปล่านางตกเป็นของเขาแล้ว!?!... เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร! เมื่อแสงตะวันแรกโผล่พ้นขอบฟ้าอาการไข้ของชายหนุ่มก็เหมือนจะลดลง สีหน้าเขาแต้มสีเลือด ไม่ดูซีดจัด ดวงตาไม่ได้เจือความน่าหวาดหวั่นเหมือนกลางดึก ทว่าสิ่งที่ทำให้หญิงสาวต้องก้มหน้าต่ำคือกึ่งกลางลำตัวเขา แท่งหยกใหญ่โตที่กราดเกรี้ยวหนักเมื่อคืนกลับตั้งผงาด ถึงจะมีผ้าปิดไว้ ทว่าภาพดังกล่าวชวนให้นางครั่นคร้ามใจ นางบอกตนเองว่าอย่าอยู่ใกล้เขาให้มาก มิเช่นนั้นเรื่องน่าละอายอาจเกิดขึ้นอีก เสียงครางกระเส่า เสียงหอบหายใจหนักหน่วง ซึ่งเป็นจังหวะแสนรัญจวนยังดังย้ำย้อนในหัว และแรงกระแทกพร้อมความเข้มข้นจากเรือนกายสูงใหญ่ที่แทรกเข้าสู่ความนุ่มนิ่มอันชุ่มชื่นในเนื้อสาว มันคือสิ่งที่อวิ๋นมู่หลันยังสับสน ร่างกายนางตอบรับเขาทุกหยาดหยด! “เจ้าบีบและรัดข้าแน่นกว่าสตรีใด ๆ ในใต้หล้านี้” ถ้อยคำของเขาแฝงความนัยเยี่ยงไร นางไม่ใช่คนปัญญาทึบ ทว่าเมื่อได้ยินกลับ
หลักฐานมัดตัว! กวนเฉินหลางรู้ว่าหญิงใบ้หิวและสิ่งที่เขาหามาคือดอกไม้กินได้และผลไม้ลูกเล็กสีแดงและม่วงเข้มสดรสหวานอมเปรี้ยว (เบอร์รี่) เขากินให้นางดู ซึ่งนางก็ลังเลมิน้อย แต่ท้องนั้นร้องหิวจึงฝืนกลืนลงไป กระทั่งหยิบผลไม้ดังกล่าวลงท้องจนหมดดวงตากลมโตก็สำนึกบุญคุณต่อเขา “หากอยากกินให้อิ่มกว่านี้และปรารถนารสชาติอันยอดเยี่ยม คงต้องเป็นความหวานมันซึ่งปลดปล่อยจากตัวข้าเท่านั้นที่เจ้าสมควรกลืนลงท้อง” อวิ๋นมู่หลันไม่ได้นึกขำหรือสนุกกับสิ่งที่เขากล่าว นางตกใจมาก กว่า มัจจุราชกวนคงเป็นบ้าไปแล้วถึงกล่าววาจาเย้าหยอกนาง กระนั้นสิ่งที่ลอยเข้าหูสัปดนยิ่งนัก ทว่าเหตุใดนางถึงเขินอายจนหน้าแดง “เมื่อครู่เจ้าขึ้นไปข้างบนเขาได้สิ่งใดมา” หญิงสาวยิ้มกว้าง นางเก็บเห็ดมาหลายดอกรวมถึงหน่อไม้หวาน “เจ้าทำให้ข้าทึ่งมิน้อย” หญิงสาวรู้สึกว่าตนมีประโยชน์อยู่บ้าง นางเติบโตจากก้นครัวและยังหาของป่าเก่งเป็นที่หนึ่ง เรื่องให้งอมืองอเท้าและอดตายย่อมมิใช่ อวิ๋นมู่หลันคนนี้ จากนั้นนางแกะก็เปลือกหน่อไม้แล้วส่งยอดอ่อนให้เขา
เถาวัลย์มนุษย์ ทหารหน่วยลับของกวนเฉินหลางปรากฏตัวในอีกอึดใจต่อมา พวกเขาได้รับบาดเจ็บมิน้อย ตอนนี้เหลือเพียงสองคนเท่านั้น “ขออภัยที่ผู้น้อยวู่วาม” เขาหมายถึงการยิงเกาทัณฑ์ใส่ร่างเด็กสาวชาวหนานหยาง จากนั้นหนึ่งในสองจึงเบนสายตาไปยังสตรีซึ่งกองอยู่บนพื้น เขาจำได้ว่ากวนเฉินหลางช่วยนางไว้จากขบวนเจ้าสาวและเป็นสตรีบ้าใบ้ที่มีโลหิตทมิฬแสนอัปลักษณ์แปะอยู่บนใบหน้า กวนเฉินหลางพ่นลมหายใจร้อนติด ๆ กัน สายตาคมกริบจ้องร่าง อวิ๋นมู่หลันที่ยามนี้เหมือนเสื้อผ้าเก่า ๆ กองหนึ่ง “มัดนางแขวนไว้กับต้นไม้ เพื่อล่อเมิ่งถูออกมา!” คำสั่งของเขาป่าเถื่อนและอำมหิต อวิ๋นมู่หลันตัวสั่น น้ำตานางไหลคลอหน่วยในทันที นางไม่ได้กลัวแต่โกรธแค้นเขาอย่างที่สุด และสิ่งที่นางต้องพึงจำไว้ให้ขึ้นใจคือมัจจุราชกวนอย่างไรก็เป็นปีศาจร้าย เขาไม่เคยเห็นชีวิตผู้อื่นอยู่ในสายตา “แต่... นางเป็นสตรีวิปลาส เหตุใดเมิ่งถูจึงจะเอาชีวิตของตนเข้าช่วยนางขอรับ” ทหารผู้หนึ่งเอ่ยถามด้วยความสงสัย กวนเฉินหลางมองอวิ๋นมู่หลันอีกหน หัวใจเขาเจ็บแปล
อวิ๋นมู่หลันสลบไปหลังจากนางดิ้นพยายามหาทางให้ตนหลุดพ้นจากเถาวัลย์ ภาพในหัวหมุนคว้างสับสนไปหมด ทั้งเหตุการณ์ก่อนที่นางจะถูกจับขึ้นรถม้าในขบวนเจ้าสาวมาพร้อมกับอวิ๋นหยวนม่าน ทุกอย่างเหมือนเพิ่งผ่านพ้นไป นางพยายามร้องขอพี่รองให้ช่วย ทว่าเสียงกรีดร้องของสาวใช้ข้างนอกรถม้าและแม่นมที่ต้องเสียชีวิตดังก้องในหัวแทน อวิ๋นมู่หลันไม่อยากเชื่อว่าโลกจะโหดร้ายกับนางถึงเพียงนี้ กระทั้งชั่วขณะหนึ่งนางได้เห็นภาพของบุรุษผมขาวซึ่งจนวันนี้ยังเป็นปริศนาที่ติดค้างในใจ “แม่นางน้อยจะได้พบหายนะครั้งใหญ่... หากหลุดพ้นได้ เจ้าจะเป็นสตรีที่อยู่เหนือผู้อื่น” ในครั้งนั้นอวิ๋นมู่หลันเป็นเด็กที่ชอบเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เมื่อถูกทักจากชายผมขาวที่แต่งตัวคล้ายนักปราชญ์ นางก็บอกแม่นมหยุดเดินเพื่อที่จะคุยกับเขา “ท่านเป็นหมอดูขอทานเยี่ยงนั้นหรือ” อีกฝ่ายได้ยินก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี “เรียกเช่นนั้นคงไม่ผิด ข้าเห็นสิ่งใดย่อมเอ่ยเช่นนั้น ในภายภาคหน้าแม่นางน้อยจะชี้ทางให้คนโง่เขลาผู้หนึ่งพบแสงสว่าง” อวิ๋นมู่หลันมองอีกฝ่ายและหัวเราะเสียงใส
หัวเสือหางงู เมิ่งถู องค์ชายไร้แผ่นดินบาดเจ็บจากการถูกฝ่ามือของกวนเฉินหลางซัดใส่กลางหลัง อีกฝ่ายยังมีวรยุทธ์หาตัวจับได้ยากมิเปลี่ยน และยังเป็นศัตรูอับดับหนึ่งของเขา เกือบครึ่งปีที่เมิ่งถูต้องหลบหนีกวนเฉินหลาง แต่ฝ่ายนั้นมีหูตากว้างไกล สุดท้ายเขาจึงถูกจับตัวและส่งเข้าค่ายอินทรีทองคำรอเดินทางไปยังเมืองหลวงต้าเหอ ซึ่งนับว่าโชคยังเข้าข้างเขาที่ยังมีชาวหนานหยางปะปนอยู่ในค่ายทหารแห่งนั้น และด้วยความบ้าอำนาจของรองแม่ทัพเหนี่ยวที่ได้ตำแหน่งดังกล่าวเพราะพี่สาวเป็นพระสนมคนโปรดของฮ่องเต้ เขาจึงถูกปล่อยตัวพร้อมเชลยอีกหลายคนให้เอาชีวิตรอดในค่ายกลปรมาจารย์จาง องค์ชายแห่งหนานหยางรักษาตัวในค่ายกลของปรมาจารย์จาง พร้อมรวบรวมกำลังคนจากเชลยศึกที่รอดชีวิต คนเหล่านั้นเป็นชาวบ้านธรรมดาแต่ถูกฝึกฝนให้ทำงานพิเศษเพื่อกอบกู้แผ่นดินที่ล่มสลาย เมื่อเมิ่งถูคิดถึงคำสั่งเสียของบิดาความแค้นและความชิงชังต่อต้าเหอทำให้เขากระอักเลือดกองโต ก่อนหน้านี้เขาเสียลูกน้องไปหลายคน ทว่าทุกอย่างยังไม่สิ้นสุดแค่นั้น เขารู้ว่าอย่างไรเสียค่ายกลดังกล่าวจะช่วยให้เขารอดพ้นจากเงื้อมมือของก
ปลายดาบในมือซ่งเถียนล้อเล่นกับผิวกายสาว เขารู้สึกย่ามใจยิ่งได้ทำให้นางกลัว และครางเสียงอู้อี้ เขาก็เสียวสยิวราวกับน้ำอุ่น ๆ ในร่างกายจะพวยพุ่งราดรดบนเนื้อตัวหญิงใบ้ อวิ๋นมู่หลันกรีดร้องในใจ นางตัวสั่นดิ้นแรงกว่าเดิม และนั่นทำให้ดาบที่ซ่งเถียนถือบาดเนื้อตรงต้นแขนนาง “ข้าไม่ชอบเย่อกับร่างไร้วิญญาณ อย่าขัดขืนให้ต้องเจ็บตัว” อวิ๋นมู่หลันเดือดดาลจนไอร้อนท่วมร่าง และนางส่งเสียงร้องราวกับคนเสียสติ “แต่จะว่าไปเจ้าห้อยโตงเตงเช่นนี้ก็ดี ข้าจะได้ฝังแท่งหยกและโยกร่างเจ้าไปด้วย ฮ่า ๆ ๆ” บัดซบสิ้นดี นางต้องตกเป็นทาสกามให้คนชั่วเช่นนี้จริง ๆ หรือ หญิงใบ้คิดจนศีรษะแทบระเบิด เป็นตอนนั้นที่เถาวัลย์ที่มัดแขนข้างหนึ่งของนางขาด โดยนางหารู้ไม่ว่าเกิดจากฝีมือของชายร่างสูงใหญ่ที่ซัดอาวุธลับเข้าใส่ ฝ่ายกวนเฉินหลางกัดฟันกรอด ๆ เขาอดทนอย่างที่สุด เพื่อยุติใจซึ่งเดือดพล่านและความต้องการตัดหัวทหารชั่ว ซ่งเถียนคือคนที่เขาสั่งให้ดูแลสุนัขลิ้นดำ นอกจากปล่อยให้ลูกสุนัขหายมันยังกล้ากระทำเรื่องต่ำช้าต่อสาวใช้ห้องข้างของโจวจื
ลูกหมา ลูกข้า และลูกของเรา หญิงสาวอารมณ์ดีจนนางยังประหลาดใจ ถึงพรุ่งนี้กวนเฉินหลางจะแต่งอนุเข้าเรือนนอก และอีกฝ่ายยังเป็นพี่สาวนาง แต่พอรับรู้เรื่องเสี่ยวเฮยอวิ๋นมู่หลันกลับเลิกสนใจการขึ้นเกี้ยวของอวิ๋นหยวนม่านไปเสียนี่ ซึ่งเรื่องนี้ส่งผลทำให้คนที่กำลังจะได้เป็นเจ้าบ่าวเครียดจัดจนนั่งไม่ติด กวนเฉินหลางร้อนใจ ยิ่งเห็นนางยิ้มและมองเขาราวกับไม่เห็นว่ามีตัวตน หัวใจบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ก็เหมือนถูกเหล็กร้อน ๆ นาบเข้าใส่จนทุกข์ทรมาน “อาหลันไม่สนใจข้าแล้วหรืออย่างไร” กวนเฉินหลางพยายามระงับความฉุนเฉียว เขาเก็บอารมณ์ก็แล้ว แต่ใบหน้ากลับถมึงทึง ดวงตาข้างที่มีพิษโลหิตทมิฬคล้ายจะกำเริบขึ้น ผมสีขาวส่งไอเย็นจัดแผ่ขยาย ยามนี้คำว่าปีศาจกวนยังคงน้อยไปหากใช้ขนานนามเขา ร่างสูงใหญ่ก้าวเข้าไปยังเรือนโจวจื่อเว่ย พอกุนซือหนุ่มเห็นเขาก็พยายามเรียกหาพ่อบ้านและคนของตนมาอยู่ใกล้ ๆ ที่เป็นเช่นนั้นด้วยกลัวจะถูกกวนเฉินหลางหาเรื่องระบายอารมณ์ใส่นั่นเอง “เหตุใดนางถึงเย็นชาต่อข้า!” กวนเฉินหลางถามเสียงเข้ม ก่อนจ้องไปยังคนที่อยู่ในห้องนั้น แสดงออกว่าต้องการคาดคั้นให้ผ
ใบหน้าอวิ๋นมู่หลันบึ้งตึง นางกำลังสับสนมิน้อย ตนกำลังขุ่นใจต่อพฤติกรรมเสี่ยวเฮยหรือว่าเป็นกวนเฉินหลางกันแน่! “แต่มันจะเป็นได้เช่นไร เสี่ยวเฮยยังไม่ถึงปีด้วยซ้ำ จะข่มหมาตัวเมียเป็นแล้วหรือ” อวิ๋นมู่หลันเลี้ยงเสี่ยวเฮยมาพักใหญ่ ดูอย่างไรมันก็ซุกซนเฉกเช่นเด็กเล็ก ๆ แต่นั่นแหละ นางอยู่กับเสี่ยวเฮยทุกวัน อาจไม่ทันสังเกตว่ามันตัวโตเกินวัย ตอนนี้หากเทียบอายุคนคงเท่ากับเด็กผู้ชายวัยสิบสี่สิบห้าปี “แม่นางหลัน เสี่ยวเฮยของท่านเป็นหนุ่มแล้วจริง ๆ ตอนนี้น้ำหนักเท่ากับสตรีผู้หนึ่ง ความสูงมากกว่าสามฉื่อ* (1 ฉื่อ* ประมาณ 22.7-23.1 เซนติเมตร)ภายหน้าหากโตเต็มวัย เกรงว่าคงมีตัวเท่า ๆ กับลูกม้าโลหิต และข้าอาจสู้แรงไม่ไหวด้วยซ้ำ” หลิวตงอธิบายให้นางฟัง หน้าที่ตอนนี้ของเขาคือเลี้ยงเสี่ยวเฮยให้ดี พร้อมฝึกให้เป็นสุนัขที่ฉลาดรอบรู้ในการป้องกันภัย ซึ่งเป็นคำสั่งกวนเฉินหลาง อวิ๋นมู่หลันคิดภาพตาม อย่างไรนางแค่ต้องการเลี้ยงแค่สุนัข มิใช่อยากให้เสี่ยวเฮยเป็นนักล่าหรือใช้เพื่อการศึก นางรู้ว่ากวนเฉินหลางมีหน่วยพิเศษฝึกสุนัขไว้เป็นหน่วยลอบโจมตีศัตรู ซึ่งสุนัขเหล่าน
เสี่ยวเฮยเกี้ยวรัก เย็นวันนี้โจวจื่อเว่ยไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง เขาเป็นหนุ่มทั้งแท่งย่อมมีอารมณ์พิศวาสต่อสตรีอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าภาพที่เห็นอย่างไม่ได้ตั้งใจในห้องอาบน้ำ แทนที่จะชวนให้รู้สึกหวามไหวและขาที่สามพองขยาย เขากลับต้องรีบเบือนหน้าหนี เตรียมหุนหันหลบออกไปเพื่อไม่ให้ตนตกอยู่ในสถานการณ์ชวนอึดอัด เรื่องที่เกิดขึ้นนี้สาเหตุมาจากสตรีนางนั้นกำลังแช่ร่างอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวของเขาอย่างสำราญใจ “อุ๊ย นะ… นั่น ทะ… ท่านกลับมาแล้วหรือ?” “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เช่นไร!” “โอ้ อ๊ะ ใต้เท้าโจว... ขะ… ข้า ไม่ได้ตั้งใจ” “แต่เจ้าเปลื้องอาภรณ์ อยากให้ข้าต้องเป็นบุรุษไร้ยางอายหรืออย่างไร!” “มิได้ ข้าเพียงแต่เหนียวตัว ที่เรือนของข้าบังเอิญเหลือเกินที่อ่างไม้แตกและยังประตูพัง ข้ามิอาจเปิดเผยเนื้อตัวให้ผู้อื่นเห็น ข้าถามสาวใช้แล้ว นางบอกว่าท่านไปทำงานนอกเมืองอีกสองวันถึงจะกลับ ดังนั้นข้าจึงมาที่นี่” ถึงนางยกเหตุผลมาอ้าง แต่สมควรแล้วหรือที่ต้องมาใช้ถังไม้ร่วม กับเขา ซึ่งหากเขาเหี้ยมโหดและใจคออำมหิตสักหน่อย อวิ
อวิ๋นมูหลันก้าวมาอยู่ที่สวนหิน ใจนั้นเต้นแรงไม่หยุด ก่อนหน้าไม่ได้คิดทำตัวร้ายกาจต่อพี่สาว ทว่าธาตุแท้อีกฝ่ายแสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่าเป็นภัยใหญ่หลวงต่อชีวิตนาง หากนางยังอ่อนแอคิดเมตตาศัตรูอยู่ร่ำไป อวิ๋นมู่หลันคงไม่อาจรับมือผู้ประสงค์ร้ายต่อตนได้ การเป็นสตรีข้างกายกวนเฉินหลางมิใช่เรื่องง่าย หากอยากมีชีวิตรอด ย่อมต้องมีจิตใจเด็ดเดี่ยว ถึงขั้นอำมหิตในบางครั้ง เมื่อใคร่ครวญให้ดีอวิ๋นมู่หลันจึงแจ้งใจว่า แม้อีกฝ่ายมีสายเลือดเดียวกัน ทว่าอวิ๋นหยวนม่านไม่เคยเห็นน้องสาวคนนี้อยู่ในสายตา น้องหกผู้เร่ร่อนมาอาศัยจวนเจ้าเมืองเช่นนาง เป็นเพียงเบี้ยล่างหรือสิ่งของที่ อวิ๋นหยวนม่านไม่เคยต้องการ และคิดหาทางทำลายทิ้งตลอดมา นิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นสั่งสมความริษยาเอาไว้ในอกย่อมมาจากอนุฉุยสตรีที่มาจากสกุลใหญ่ “เจ้าอย่าหวังว่าจะมีชีวิตที่ดีกว่าข้ามู่หลัน เจ้าเป็นได้แค่ลูกของนักแสดงละครเร่ข้างถนน มีเลือดของบิดาอยู่ในตัวหรือเปล่ายังไม่แน่ชัด อย่าคิดเทียบชั้นข้าเลย” “ตะ… แต่ ข้าเป็นลูกท่านพ่อ!” “ฮึ เจ้าเอาสิ่งใดมาอ้าง แค่จดหมายและตราประ
นางหงส์ไฟ อวิ๋นหยวนม่านตัวสั่นเทาอย่างที่บังคับไม่ได้ ในหัวคิดวนเวียนถึงแต่เรื่องชวนให้ประหวั่นใจ ยามนี้นางสับสน ไม่รู้ว่าตนกำลังทำสิ่งใดอยู่ในเรือนหลังนี้ ชีวิตที่ตกอยู่ใมมือผู้อื่นที่เห็นนางเป็นศัตรูช่างบัดซบสิ้นดี แน่นอนนางไม่ใช่คนโง่เขลา ฉลาดเกินพี่น้องด้วยซ้ำ ทว่าคำสั่งใต้เท้าเหนี่ยวแจ้งชัดนางเป็นสตรีของเขา... ฝ่ายนั้นให้นางกระทำสิ่งสำคัญนางหรือจะกล้าบิดพลิ้ว เหนี่ยวซีกังเป็นคนสองหน้า ทั้งยังเห็นชีวิตผู้อื่นเป็นผักปลา และสิ่งเหล่านี้นางรู้แจ้งก็เมื่อกระโดดลงกองเพลิงแล้ว กระนั้นสิ่งที่คาดคิดว่าจะทำให้สำเร็จพังทลายลงจากฝีมือ อวิ๋นมู่หลัน สตรีแสนต่ำต้อยที่เดินทางไกลมาจากต่างแดน แต่เดิมนางสมควรถูกควักลูกตาตัดแขนขากลายเป็นขอทานด้วยซ้ำ แต่ยามนี้อีกฝ่ายกลับเป็นหนามทิ่มแทงหัวใจนางจนเป็นแผลเน่าเหม็นทุกข์ทรมาน อวิ๋นหยวนม่านจดจำทุกอย่างได้ดี ภาพในอดีตฉายชัดให้เห็น มารดานางซึ่งก็คืออนุฉุย ซึ่งเตรียมการหลายอย่างล่วงหน้า พร้อมส่งมือสั่งหารไปหลายสิบชีวิต หลังจากสืบได้ความอย่างลับ ๆ ว่า ใต้เท้าอวิ๋นมีลูกสาวอีกคน เป็นเด็กที่เกิดจากสตรีในคณะละครเร่ ที่
ฮูหยินใหญ่ของปีศาจกวน ถึงอวิ๋นมู่หลันเตรียมใจไว้แล้วแต่นางอดแสดงความหึงหวงมิได้ ในเมื่อปีศาจกวนเป็นของนาง แต่กลับเห็นดีเห็นงามกับคำพูดโจวจื่อเว่ย สิ่งนี้ส่งผลให้นางแทบกระอักเลือด เขาคิดจะแต่งพี่รองมาเป็นอนุจริง ๆ หรือ กระทั่งมีจดหมายคำสั่งจากรัชทายาทส่งมาถึงกวนเฉินหลาง สิ่งที่โจวจื่อเว่ยกล่าวบนโต๊ะอาหารคงต้องเป็นไปตามนั้น กวนเฉินหลางเดินมาจากด้านหลังแล้วรวบเอวอวิ๋นมู่หลันไป เขากอดนาง กอดนิ่ง ๆ พร้อมส่งความห่วงใยแสนอบอุ่นถึงกัน “ยามนี้อาจมีหลายสิ่งที่อาจทำให้อาหลันไม่สบายใจ” หญิงสาวอยากโวยวาย อยากตบตีเขา และสะบัดตัวหนีจากอ้อมกอดคนตัวโต แต่นางก็มีสติ ทั้งยังรู้ว่าทุกอย่างที่เขาตัดสินใจทำย่อมมีเหตุผลที่ดีรองรับ “นับแต่ข้าเลือกอยู่กับท่านแม่ทัพ ข้ารู้ว่าชีวิตจะไม่ง่าย ทั้งยังต้องพบกับเรื่องไม่คาดฝันเสมอ” “แล้วอาหลันหวงหรือไม่ หากข้าต้องรับหยวนม่านเป็นอนุ” หัวใจนางเจ็บแปลบต่อคำถามนั้น นางจะเอ่ยสิ่งใดออกไปดี ด้วยจู่ ๆ หัวสมองตื้อไปหมด และรู้สึกเหมือนถูกคนรักหักหลัง “ข้ามีทางเลือกอื่นหรื
อาหลันฟ้าประทาน กวนเฉินหลางมาถึงเรือนหลังดังกล่าวในอีกสองวันต่อมาและเป็นช่วงดึก ซึ่งเขาไม่อยากกวนอวิ๋นมู่หลัน ด้วยคิดว่านางคงเหนื่อยจากการเดินทางและยังต้องรับมือพี่สาวแสนอำมหิตคนนั้น ทว่าภายในห้องพัก นางกลับนั่งอ่านหนังสือรอเขาอยู่ “เหตุใดยังไม่เข้านอน” เขาถามสาวงามของตน หญิงสาวยิ้มเต็มวงหน้าก่อนแสร้งทำเป็นหน้าบึ้งเพราะนางรู้ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นมีเบื้องลึกเบื้องหลังจากฝีมือปีศาจกวน “ตอบข้ามา ท่านแม่ทัพมีแผนใดกัน” “แผน... อันใด?” คนตัวโตแกล้งทำไขสือ “ฮึ ข้าเป็นน้องสาวบุญธรรมกุนซือโจว ย่อมต้องอ่านความคิดท่านออก” “เช่นนั้น เจ้าคิดว่าข้ามีสิ่งใดในใจ” เมื่อถูกเขาท้าทายนางจึงกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพ จงใจให้ข้าพักโรงเตี๊ยมแห่งนั้น และรู้ว่าพี่รองจะมารอซีกังที่นั่น” “สมแล้วที่เป็นสตรีที่ข้าพึงพอใจ เจ้าฉลาด ทั้งยังมีเล่ห์เหลี่ยมจนน่ากลัว” “ที่เป็นเช่นนั้นล้วนเกิดจากการที่ท่านทำให้ข้าไม่อาจไว้ใจผู้ใดง่าย ๆ” “ฮ่า ๆ ๆ นับว่า เจ้าเป็นแม่เสือตัวจริง ต่อไปข้าคงวางใจ
คืนที่พระจันทร์ถูกก้อนเมฆบดบังแสง เหนี่ยวซีกังโถมแรงของเขาและแทรกความใหญ่โตเข้าสู่เนื้อนิ่มของนาง ทั้งคู่คลอเคลียกันในโรงพักม้าซึ่งมีทั้งกลิ่นฟางกลิ่นหญ้า มันให้ความรู้สึกที่แสนประหลาด น่าตื่นกลัว ชั้นต่ำ ทว่ากลับเพิ่มความสยิวร้อนแรงทั้งนางกับเขา “อยากไปเมืองหลวงกับข้าหรือไม่” “ตะ… แต่... ข้าคือหยวนม่าน บุตรสาวของเจ้าเมืองซ่ง ผู้ที่ต้องแต่งเป็นอนุของแม่ทัพกวน!” “กังวลใจอันใด ยามนี้เจ้าอยู่กับข้า ย่อมเป็นสตรีของซีกัง ใต้เท้าระดับสามผู้ดูแลหน่วยบูรพา!” เขาว่าอย่างไม่ยี่หระต่ออำนาจของกวนเฉินหลาง ยามนี้ถึงฝ่ายนั้นอยู่เหนือเขาหนึ่งขั้น แต่กลับไม่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เช่นเดิม อีกทั้งยังบังอาจขวางทางรัชทายาท ดังนั้นอนาคตกวนเฉินหลางยังจะสดใสอีกหรือ “เช่นนั้น ชีวิตนี้ของผู้น้อยคงต้องฝากใต้เท้าชี้นำ” นางว่าแล้วจึงช้อนสายตามองเขา ก่อนถูกชายหนุ่มจับให้หันหลังเข้าผนังคอกม้า จากนั้นเขาก็เริ่มขยับสะโพกรัวแรง พร้อมส่งเสียงสั่นพร่า ทั้งหยาบคายสลับการตบตีบั้นท้ายนาง ก่อนบีบปลายคางบังคับให้นางหันหน้ามาจูบแลกลิ้น อวิ๋นหยวน
คืนนั้นอวิ๋นมู่หลันไม่ได้กลับค่าย และกวนเฉินหลางก็ดีกับนางเหลือเกิน เขาพาชมเมืองเล็ก ๆ ที่มีอาหารอร่อย ทั้งยังมีโรงละครที่น่าตื่นใจ นอกจากมีนางรำเอวอ่อน การแสดงวิชาปามีดกับฟาดแส้ที่น่าตื่นตาตื่นใจ ยังมีหุ่นกระบอกเคลื่อนไหวด้วยมือให้ชมด้วย หญิงสาวนึกว่าตนย้อนกลับคืนสู่วัยเด็ก นางยิ้มอยู่ตลอดและคนตัวโตก็เอาใจ คอยป้อนของหวานให้กินไม่ขาดปาก “ท่านแม่ทัพ... ข้ากินเองได้” “เห็นอาหลันชอบ ข้าจึงอยากเอาใจ” เขาพูดง่าย ๆ เช่นนั้น แต่นางกลับสะเทิ้นอาย ยามนี้หัวใจไปอยู่กับคนผมขาวหน้าดุ มองอย่างไรเขาก็เป็นบุรุษที่นางพึงใจ แม้ลึก ๆ มีอคติอยู่ ทว่ากวนเฉินหลางช่วยนางหลายหน จริงอยู่บุรุษผู้นี้ไม่ใช่คนดี และยังขึ้นชื่อว่าปีศาจ ทว่าปีศาจย่อมมีหัวใจและเลือดเนื้อ หลังจากเพลินใจในโรงละคร เขาพานางไปเลือกซื้อผ้า และเครื่อง ประดับที่ตลาดกลางคืนติดคลองสายยาว แสงไฟและเสียงดนตรีกับผู้คนที่เดินขวักไขว่ให้ความบันเทิงใจ อวิ๋นมู่หลันไม่คาดคิดว่า จะมีโอกาสเดินเคียงข้างผู้ชายตัวโตมาก่อนจึงค่อนข้างประหม่า แต่เป็นกวนเฉินหลางที่ดูแลนางอ