คือกู้เยว่หวาถูซินเยว่จำเสียงของนางได้ แทบจะในฉับพลันทันใดแต่ว่า นางก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย นี่มันเวลาไหน ทำไมจู่ ๆ กู้เยว่หวามาหาถึงบ้านได้เพราะเท่าที่นางรู้ นับแต่เฉินหวานไปจากเมืองผิงโจว กู้เยว่หวาก็ไม่ค่อยได้มาหาตนอีกถูซินเยว่รีบเปิดประตูเร็วพลัน ที่ไหนได้ กู้เยว่หวายืนอยู่ด้านนอกกลับสองตาแดงก่ำ ซ้ำยังตาบวมปูด แสดงถึงว่าได้ผ่านการร้องไห้อย่างหนักมา"นี่มันเกิดอะไรขึ้น" กู้เยว่หวาเป็นหญิงสาวที่ใสซื่อ ถูซินเยว่จึงค่อนข้างชอบนางอยู่มาก เมื่อเห็นนางร้องห่มร้องไห้จนน่าสงสารเช่นนี้ จึงรีบดึงตัวเข้ามาในบ้านทันที"ซินเยว่" กู้เยว่หวาขยี้ตาตนเอง เช็ดน้ำตาจนแห้ง กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบเครือว่า "ข้าไม่รู้จะไปที่ไหนได้อีก จึงต้องมาอยู่กับเจ้าชั่วคราวที่นี่"ถูซินเยว่หยุดชะงัก รู้แล้วว่าคงเกิดอะไรขึ้นแน่"ทำไมไม่กลับบ้านล่ะ ที่บ้านเกิดเรื่องหรืออย่างไร?""ไม่ใช่" กู้เยว่หวาส่ายหน้าก่อน แต่แล้วก็พยักหน้า กล่าวเสริมต่อว่า "ใช่ ข้าก็ไม่รู้จะพูดยังไงดี ซินเยว่ ข้าไม่อยากกลับไปบ้านอีกแล้ว ข้ารู้สึกว่าตัวเองไม่มีบ้านอีก""อยู่ดี ๆ ทำไมพูดจารุนแรงเช่นนี้ล่ะ"ถูซินเยว่เห็นนางร้องไห้จนน่าสงสา
กู้เยว่หวาเงยหน้ามองถูซินเยว่ แววตาเป็นประกายวูบขึ้น แต่แล้วก็กลายเป็นหม่นลงอีก นางกล่าวอย่างอ่อนใจว่า "ที่บ้านกลายเป็นแบบนี้แล้ว ถึงข้ากลับไปยังจะทำอะไรได้อีก? ขนาดท่านแม่ยังรังเกียจข้า แล้วไม่รู้ว่าท่านพ่อจะยิ่งเกลียดชังหรือเปล่า"เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ กู้เยว่หวาก็พูดอย่างสิ้นหวังต่อ "ยังมีหลินเพียวเหมียว นางเป็นคนสวยงามนัก บุคลิกก็สง่างาม ข้าไม่เข้าใจเลยจริง ๆ เหตุใดผู้หญิงประเภทนี้ จึงยอมเป็นอนุของพ่อข้าได้ นางหวังอะไรกันแน่?"หวังอะไรน่ะหรือ?ถูซินเยว่ก็ไม่รู้ว่าหลินเพียวเหมียวต้องการอะไรเช่นกัน แต่มีเรื่องหนึ่งที่นางมั่นใจเต็มร้อย ก็คือทั้งใต้เท้ากู้และกู้ฮูหยิน จะไม่ถือเอาเรื่องนี้เป็นเหตุ จนตัดขาดกับกู้เยว่หวาแน่นอนเพราะบัดนี้ ถูซินเยว่ก็กำลังจะเป็นแม่คน ฉะนั้นนางจึงรู้ดีว่า ในสายตาของพ่อแม่ทุกคน ลูกมีความสำคัญเพียงไหนอีกอย่าง ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา กู้เยว่หวาได้รับการเลี่้ยงดูจากพวกท่านเป็นอย่างดี แล้วจะขัดขาดง่าย ๆ ได้อย่างไร"นี่เป็นเรื่องของผู้ใหญ่" ถูซินเยว่ลูบแผ่นหลังของกู้เยว่หวา ปลอบใจนางและกล่าวว่า "เราเกิดเป็นบุตรหลาน เรื่องเช่นนี้ก็ปล่อยให้พ่อแม่ไปจัดการเองเถอะ
น้ำเสียงของถูซินเยว่มั่นใจเต็มเปี่ยมกู้เยว่หวาจ้องมองถูซินเยว่นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงได้กล่าวต่อ "สามีภรรยาคือคน ๆ เดียวกัน เจ้าเชื่อใจเขาเช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องดี แต่ว่า แต่ซักวันหนึ่ง เกิดสามีเจ้านอกใจจริง ๆ เจ้ามิเสียใจแย่หรอกหรือ?"กู้เยว่หวาใช่ว่าจะมีเจตนาทำให้เสียบรรยากาศ เพียงแต่หลังเกิดเหตุการณ์พ่อแม่ของนางมา ทำให้ยากจะเชื่อได้ว่า ระหว่างสามีภรรยาจะได้อยู่ร่วมอย่างมีความสุขจริง ๆเดิมทีกู้เยว่หวาเพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อย แต่ไม่คาดคิดว่า ถูซินเยว่จะเอาเรื่องนี้ไปขบคิดอย่างจริงจัง นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงได้กล่าวว่า "หากว่าซูจื่อหังนอกใจข้าจริง ข้าก็คงไม่อดทนเช่นกัน ถึงตอนนั้นอาจจะพาลูกหนีไป และต่อจากนั้น ก็จะไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับเขาอีก ถือว่าในอดีตตัวเองตาบอด ดูคนผิดไป"กู้เยว่หวาหยุดชะงัก มองดูถูซินเยว่ด้วยความแปลกใจ คล้ายกับได้พบเจอคนที่ตนไม่เคยรู้จักมาก่อนอย่างนั้น นางถอนใจและกล่าวว่า "เจ้าเป็นคนใจแข็งนัก หากเป็นข้า คงไม่กล้าทำเรื่องเช่นนี้ออกมา อย่างตอนนี้แม่ข้าทะเลาะกับท่านพ่อก็จริง นางเพียงแต่โกรธว่า เหตุใดท่านพ่อต้องนอกใจนาง แต่ไม่เคยคิดหนีออกจากบ้านแม้แต่
ถูซินเยว่เคยมาที่เรือนของหลินเพียวเหมียวก่อนแล้ว ทันทีที่มาถึง ก็เข้าไปยังห้องโถงดอกไม้อย่างคุ้นเคยหลินเพียวเหมียวกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หวาย มองดูนกแก้วที่ยืนอยู่บนคอน ด้านข้างมีถ้วยชาวางอยู่ สายตาว่างเปล่า ราวกับไร้ซึ่งจิตวิญญาณถูซินเยว่รีบเดินเข้าไปหานาง"น้าหลิน ได้ยินว่าอยากพบข้าหรือ?""นั่งก่อน" หลินเพียวเหมียวชี้ไปยังเก้าอี้ที่อยู่ข้าง ๆ ตน พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "เจ้าตั้งครรภ์อยู่ ยังอุตส่าห์มาพบข้าได้ ช่างรบกวนจริง ๆ""ไม่รบกวนเลย" ถูซินเยว่สั่นศีรษะและรีบกล่าวตอบ "ตั้งครรภ์ก็ไม่ได้มีปัญหามาก ข้าเป็นคนแข็งแรงอยู่ ตอนรู้ว่าตั้งครรภ์ใหม่ ๆ ต่อให้เป็นเขาหิมะข้าก็ยังปีนขึ้นไป เพียงแต่..."เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ถูซินเยว่ก็ให้หยุดเล็กน้อย และกล่าวต่ออีก "เพียงแต่เป็นห่วงน้าหลิน""ข้าไม่เป็นอะไร ของที่เจ้าส่งมาคราวก่อน ข้าได้ดื่มแล้ว หลายวันนี้รู้สึกมื้อเท้าอุ่นขึ้นมาก ขอบใจที่ยังนึกถึงข้า" เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ หลินเพียวเหมียวจึงได้ละสายตามาจากนกแก้วสีเหลือง พลางกล่าวเสียงเบาต่อ "ที่ให้เจ้ามาพบ เพราะมีเรื่องหนึ่งจะหารือด้วย ได้ยินว่าเจ้าจะไปเมืองหลวงงั้นหรือ?""อึม" ถูซิน
แม้ถูซินเยว่จะไม่เคยพบหน้ากู้ฮูหยินผู้นี้ แต่ดูจากที่ใต้เท้ากู้ไม่กล้ารับอนุภรรยามาเป็นเวลาหลายปี ได้แต่เลี้ยงดูหลินเพียวเหมียวให้อยู่ข้างนอก ก็แสดงว่ากู้ฮูหยินไม่ใช่คนที่เข้าถึงได้ง่ายนักแต่ว่า น้าหลินเป็นคนอ่อนนอกแต่แข็งใน ก็คงไม่ยอมให้ใครมาง่าย ๆไหน ๆ ก็ว่างอยู่ ถูซินเยว่จึงรอน้าหลินไปพลาง พร้อมเปิดดูสมุดบัญชีในห้องไปพลาง แต่ที่นางแปลกใจก็คือ นางดูบัญชีในมือจนหมดทั้งเล่มแล้ว ก็ยังไม่เห็นน้าหลินขึ้นมาซักทีตามหลักถ้ากู้ฮูหยินมาพบ ถ้าไม่ข่มขู่ให้หลินเพียวเหมียวไปจากใต้เท้ากู้เสีย ก็คือจะมาเล่นงานนาง จึงไม่จำเป็นต้องอยู่คุยเป็นชั่วยามก็ยังไม่เลิกราซักทีถูซินเยว่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงได้วางสมุดบัญชีในมือลง พร้อมกับเดินออกไปด้านนอกนั้น บ่าวคนหนึ่งกำลังเช็ดฝุ่นอยู่ที่ทางเดิน เมื่อเห็นถูซินเยว่ออกมา จึงรีบเดินมาอย่างนอบน้อมพลางกล่าว่า "เถ้าแก่เนียะ""น้าหลินล่ะ?""เถ้าแก่เนียะหลินไปเรือนด้านหลัง ยังไม่ได้กลับมาขอรับ""แล้วกู้ฮูหยินล่ะ""กู้ฮูหยินมานั่งเพียงครู่เดียว ไม่ถึงหนึ่งจิบถ้วยชาก็กลับไปแล้ว" บ่าวมองดูถูซินเยว่ด้วยความแปลกใจ พลางกล่าวเสริมต่อว่า "จนถึงป่านนี้ น่าจะกลับไ
"ตอนนี้มีเราอยู่เพียงสองคน ท่านมีอะไรจะพูดก็พูดมาเถอะ"น้ำเสียงของหลินเพียวเหมียวแผ่วเบา นางกล่าวอย่างช้า ๆ "ฮูหยินของท่านคนนี้ นิสัยยังเหมือนตอนสาว ๆ ไม่มีผิด ไม่ได้เปลี่ยนเลยซักนิด สมัยนั้น พอนางรู้ว่าก่อนท่านจะสอบติดจอหงวนก็ได้มีภรรยาอยู่แล้ว นางก็ให้ข้าดื่มพิษดอกไม้แดง ผ่านไปหลายปี นางยังมาให้ข้าดื่มหงอนกระเรียนแดงอีก"กล่าวถึงช่วงหลัง หลินเพียวเหมียวกลับนึกหัวเราะขึ้นมากู้เจิ้นเทียนจ้องมองนางเขม็ง มีหยาดน้ำตาที่ร่วงลงมาจากขอบตา"เพียวเหมียว เพราะข้าผิดต่อเจ้าเอง"สมัยก่อน เขาเป็นเพียงบัณฑิตที่ยากไร้ ส่วนเพียวเหมียวกลับเป็นคุณหนูที่มีสกุลรุนชาติ นางไม่เพียงไม่รังเกียจเขา ยังตามมาอยู่กินด้วย จวบจนสอบได้เป็นจอหงวน ท่านหญิงผิงหนิงพึงพอใจในตัวเขา จึงใช้ครอบครัวเขามาข่มขู่ ทำให้กู้เจิ้นเทียนไม่มีทางเลือก จำต้องทอดทิ้งหลินเพียวเหมียวหลายปีที่ผ่านมา กู้เจิ้นเทียนไม่กล้าโต้แย้งกับท่านหญิงผิงหนิง ได้แต่พาตัวหลินเพียวเหมียวไปซ่อนไว้ในที่ ๆ ไม่มีใครพบเห็นเพียงแต่ เขานึกไม่ถึงว่า ต่อให้ระมัดระวังสักเพียงไหน ท่านหญิงซึ่งทรงอิทธิพลนัก สุดท้ายก็ยังคงตามหาหลินเพียวเหมียวได้พบอยู่ดี อีกทั
ทันใดนั้นสีหน้าขององค์ชายใหญ่ก็โกรธขึ้นมา ในสายตาของเขา การที่ตนมาหาซูจื่อหังด้วยตัวเองในตอนนี้นั้น ถือว่าเป็นพระคุณอันยิ่งใหญ่ที่ตนมอบให้อีกฝ่ายแต่ดูซูจื่อหังสิ ไม่เพียงไม่รับน้ําใจ ยังทําตัวสูงส่งอีก องค์ชายใหญ่ที่เคยถูกคนอื่นประจบสอพลอมาโดยตลอดจนเคยชินจะทนได้อย่างไรกันล่ะเขาลูบคางตัวเอง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็เอ่ยปากว่า "ดูเหมือนว่าในใจใต้เท้าซูจะยอมรับน้องสามเป็นเจ้านายแล้วใช่ไหม?"ซูจื่อหังได้ยินเช่นนั้นก็เงยหน้าขึ้นแล้วมององค์ชายใหญ่แวบหนึ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นอย่างกะทันหันและเอ่ยด้วยสีหน้าเคารพนบนอบว่า "ตําแหน่งของกระหม่อมเป็นฮ่องเต้ที่พระราชทานให้ ดังนั้น ในใจของกระหม่อม ย่อมมีเพียงฮ่องเต้เพียงคนเดียวที่เป็นเจ้านายของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ""เจ้าอย่ามาแกล้งโง่กับข้าเลย" องค์ชายใหญ่มองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา แล้วสะบัดแขนเสื้อพูดว่า "เจ้าอย่าคิดว่าในใจข้าไม่รู้ว่าเจ้ากําลังคิดอะไรอยู่ เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือ เจ้าอยากจะประคองน้องสามของข้าขึ้นตําแหน่งไม่ใช่หรือไงกัน? แต่ข้าจะบอกให้นะ ไม่ว่าจะดูยังไงบัลลังค์นี้ก็ตกไปไม่ถึงน้องสาม ต่อให้เจ้าติดตามน้องสาม อนาคตจะมีอะไรได้ สู้ติดตาม
สำหรับไป๋อี้หรัน องค์ชายใหญ่ไม่ข่มเหงเขาเหมือนที่ทำกับซูจื่อหัง ท่าทีเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเขาถามไถ่ถึงสุขภาพของไป๋อี้หรันก่อนว่าดีขึ้นแล้วหรือยัง จากนั้นค่อยถามว่าอีกฝ่ายจะมาที่เมืองหลวงตอนไหน หวังว่าจะได้ร่วมมือกับไป๋อี้หรันทำงานใหญ่ด้วยกันหลังจากที่ไป๋อี้หรันอ่านจดหมายจบก็วางลงไปในเตาเผา จากนั้นเขียนจดหมายตอบกลับไปว่า เนื้อหาจดหมายเขียนประมาณว่าอีกครึ่งเดือนจะไปถึงเมืองหลวงแล้ว ส่วนสุขภาพของเขาปกติดี หลายปีมานี้ต้องขอบคุณองค์ชายใหญ่ที่คอยชื่นชม ไม่ว่ายังไงก็ตาม เขาก็จะไม่เห็นแก่ผลประโยชน์จนลืมบุญคุณแน่นอน จะจดจำพระคุณขององค์ชายใหญ่เอาไว้ตามที่ไป๋อี้หรันเคยพูดมาก็คือ ตอนเขายังเด็กเคยเจอเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างมาก่อน ตอนนั้นเขายังไม่มีความสามารถในการปกป้องตนเอง เป็นเพราะองค์ชายใหญ่ ตระกูลไป๋ถึงได้มีความรุ่งโรจน์อย่างทุกวันนี้ดังนั้น แม้ว่าจากการพูดคุยระหว่างไป๋อี้หรันกับถูซินเยว่ เขาก็รู้ว่าองค์ชายใหญ่มีข้อบกพร่องหลายอย่าง แต่ก็ยังไม่ได้หักหลังอีกฝ่ายดังนั้น ถูซินเยว่จึงรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากไป๋อี้หรันนี้มีความคิดที่แปลกมากจริง ๆ ทั้งที่เขาก็รู้ องค์ชายใหญ่ไม่ใช่ผู้ที่ช
ทั้งคู่เดินถึงหน้าประตู ปะเหมาะเวลานี้ จวนแม่ทัพหลิ่วก็มีคนเดินออกมาเช่นกัน"คนนี้ก็คือใต้เท้าซูที่เจ้าชอบอย่างงั้นหรือ" ฮูหยินหลิ่วเหลียวมองบุตรีซึ่งอยู่ข้างกาย สื่อเป็นนัยให้อีกฝ่ายอย่าได้วู่วามทุกวันนี้คราใดที่หลิ่วโหรวโหรวเห็นถูซินเยว่กับซูจื่อหังเดินมาด้วยกัน ด้วยท่าทีรักใคร่ปรองดอง นางจะรู้สึกเดือดดาลในใจ ราวกับภูเขาไฟที่ใกล้ระเบิดกระนั้นนางทำเสียงฮึดฮัด "ถูซินเยว่มีวันนี้ได้ ก็เพราะอาศัยบารมีซูจื่อหัง แต่คอยดูไปเถิด หญิงบ้านนอกเช่นนาง ใหม่ ๆ ยังพอทำให้ซูจื่อหังพอใจได้บ้าง แต่พอนานวันเข้า ได้เห็นสาวงามในเมืองหลวงมากมาย ความรักของพวกเขายังมั่นคงเหมือนแต่ก่อนได้อีก ก็แสดงว่าผิดมนุษย์แล้ว"ฮูหยินหลิ่วแสดงท่าทีนิ่งเฉยแต่บุตรีพูดก็มีเหตุผล ผู้ชายในโลกนี้น้อยนักที่จะไม่คิดได้ใหม่ลืมเก่า ยกตัวอย่างเช่นสามีของนาง ในอดีตก็เคยให้คำมั่นสัญญา ว่าแม้เป็นหรือตายก็จะขอรักอดีตคนรักเพียงผู้เดียว แต่พอบ้านเขาประสบภาวะเดือดร้อน สุดท้ายก็มาเลือกแต่งงานกับตน จนบัดนี้ลืมหน้านังคนแพศยานั่นไปถึงไหนต่อไหนแล้วแสดงว่าความจริงใจของผู้ชายคือสิ่งที่ไร้ประโยชน์ปกติเสแสร้งทำเป็นรักมั่นจริงใจ แต่พอเอ
หากซูจื่อหังไม่รังเกียจถูซินเยว่แล้วล่ะก็ งั้นต่อให้หลิ่วโหรวโหรววทุ่มเทแรงกายแรงใจมากแค่ไหนก็ตาม เกรงว่าก็คงไม่สามารถเข้าไปในจวนสกุลซูได้ดั่งใจปรารถนาหรอกแต่น่าขําที่ลูกสาวคนนี้ของนางกลับไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้เลย รู้แต่ไปเหยียดหยามถูซินเยว่อย่างโง่เขลาเท่านั้นนี่ถ้าทําให้ถูซินเยว่อับอายต่อหน้าทุกคนก็ว่าไปอย่าง แต่นี่กลับยังโดนถูซินเย่วตอบโต้กลับมาจนขายหน้า นี่ไม่ใช่เป็นการตบหน้าตัวเองหรือไง?เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฮูหยินหลิ่วก็ไม่อยากเห็นหน้าลูกสาวคนนี้แม้แต่นิดนางขมวดคิ้ว จู่ ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้และอดไม่ได้ที่จะพูดว่า "ใช่แล้ว เรื่องนี้ข้ายังไม่ได้บอกพ่อเจ้า ถ้าพ่อเจ้ารู้ ดูสิว่าเขาจะสั่งสอนเจ้ายังไง เจ้าระวังตัวหน่อย"ภายใต้การเกลี้ยกล่อมและคําเตือนของฮูหยินหลิ่ว ในที่สุดหลิ่วโหรวโหรวก็หลับตาลง นางนั่งอยู่บนที่นั่งของตัวเองอย่างเซ็ง ๆ ทั้งหน้ามีแค่อารมณ์เดียวนั่นก็คือ นางไม่มีความสุขฮูหยินหลิ่วถอนหายใจอย่างจนใจ แล้วเงยหน้ามองฝั่งตรงข้าม ตําแหน่งของนาง มีเพิงดอกไม้อยู่ตรงกลางบดบังร่างของถูซินเยว่พอดี ดังนั้นนางจึงเห็นเพียงโครงร่างผ่านเถาวัลย์อย่างคลุมเครือเท่
วันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงเชิญตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ก่อนมาซูจื่อหังเคยพูดกับนางว่า เขากับตระกูลจางเข้ากันได้ดีในราชสํานัก ดังนั้นวันนี้ ถูซินเยว่ก็ไม่อยากสร้างปัญหาอะไรให้กับตระกูลจาง เพื่อไม่ให้คนอื่นรู้สึกว่าพวกเขาไม่มีมารยาทเห็นเหล่าฮูหยินกับหลิ่วโหรวโหรวเพิ่งเยาะเย้ยเธอเมื่อครู่ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ถูซินเยว่ก็สบายใจไม่น้อย ก้มหน้าก้มตากินอาหารด้วยตัวเองไม่สนใจใครทั้งนั้นในขณะที่เธอกําลังกินอย่างมีความสุข จู่ ๆ ก็มีคนผลักแขนของเธอเบา ๆถูซินเยว่นิ่งงันไปพักหนึ่ง หันหน้ากลับไปอย่างสงสัยใคร่รู้ เห็นหญิงสาวในชุดสีเหลืองคนหนึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ กําลังใช้ดวงตากลมโตจ้องมองเธออย่างอยากรู้อยากเห็นดวงตาของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและไร้เดียงสา แต่กลับไม่มีเจตนาร้ายเลยแม้แต่น้อยถูซินเยว่เคยเห็นคนมามากมาย เรื่องเหล่านี้เธอยังพอสามารถมองออกได้ตั้งแต่แรกเห็นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีเจตนาร้าย ท่าทีของเธอก็อ่อนโยนลงมาก"ไม่ทราบว่าแม่นางมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?"ถ้าเธอจําไม่ผิด คนที่นั่งข้างเธอเมื่อกี้น่าจะเป็นผู้หญิงที่เยาะเย้ยเธ
ถูซินเยว่ชะงัก และรู้สึกตลก เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายก็รู้สึกประหลาดใจ ตอนที่ออกจากมาตอนเช้า เธอได้สวมใส่เครื่องประดับมาหลายชิ้นจริงๆแต่ระหว่างทาง ถูซินเยว่รู้สึกว่าต่างหูระเกะระกะเกินไป จึงแอบถอดมันออกและวางไว้บนรถม้าคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าในงานเลี้ยงจะมีคนไม่กินไม่ดื่ม แต่หันมาจับจ้องที่เครื่องหัวของตนเองแทนถูซินเยว่ยื่นมือไปจับที่ผมของตนเองอัตโนมัติ จากนั้นก็พูดเสียงราบเรียบว่า "ในเมื่อวันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพ แขกสำคัญจึงเป็นตระกูลจาง แล้วเหตุใดข้าจักต้องแต่งตัวให้ดูดีขนาดนั้น""จนก็ยอมรับว่าจนเถอะ จะหาเหตุผลอะไรมาอ้างมากมายไปทำไม ในที่นี้ใครไม่รู้บ้างว่าพวกเจ้ามาจากบ้านนอก ข้าเองก็แค่รู้สึกเสียดายแทนใตเท้าซูเท่านั้น ทั้งที่มีมีอนาคตอันดี หากแต่งงานกับบุตรสาวขุนนางสักคน ก็คงยิ่งช่วยส่งเสริมให้เจริญก้าวหน้า แต่กลับเลือกจะเฝ้าอยู่แค่หญิงชาวบ้านเฉกเช่นเจ้า..."ประโยคหลังแม้ว่าจะไม่ได้พูดต่อจนจบ แต่ก็สามารถเข้าใจได้ถึงแม้บนใบหน้าของถูซินเยว่จะแสดงสีหน้าใดๆ แต่สาวรับใช้ที่อยู่ข้างๆ สีหน้าย่ำแย่มากแล้วนางอาศัยอยู่ที่ตระกูลซูมานาน ก็พอจะรู้ว่าถูซินเยว่ไม่ได้ไม่มีเงิน และเงินส่วนใ
ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในหมู่บ้านต้าเย่ เพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือเพราะผลประโยชน์อันน้อยนิด แม้เป็นครอบครัวเดียวกัน ก็ยังสามารถโกรธแค้นกันจนตัดญาติขาดมิตรไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นใด แค่ในตระกูลถู เพียงเพื่อสินสอดของตระกูลเหลียง ถูชิวหลานก็ดันทุรังจะสับเปลี่ยนตัวเธอกับลูกสาว ภายหลังยังไม่ยอมรับด้วย แถมยังผลักไสความผิดทุกอย่างไปที่เจ้าของร่างหากเธอไม่ได้ข้ามิติมาอยู่ในร่างของเจ้าของร่างซื่อบื้อคนนั้น นางจะใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลซูอย่างไร เกรงว่าคงเหลือแต่เสี้ยววิญญาณแล้วอย่างด้านซูเฟิ่งอี๋ในตระกูลซู ตอนนั้นพวกเขาเองก็หวงแหนเงินเล็กๆ น้อยๆ เห็นชีวิตนางหยูกำลังตกอยู่ในอันตรายก็ยังไม่ยอมรักษาให้นางเรื่องราวของญาติสนิทมิตรสหายที่ทำร้ายคนใกล้ตัวเพียงเพื่อผลประโยชน์และเงินทองมีมากมายเกินกว่าจะพูด ขนาดบ้านเธอยังเป็นเช่นนี้ แล้วต้าฉีที่มีบ้านสกุลมากมายขนาดนี้ล่ะชาวบ้านธรรมดาทั่วไป อาจทำไปเพื่อเงินทอง แต่องค์ชายสามกับองค์ชายใหญ่ กลับทำเพื่อแก่งแย่งแผ่นดิน ขนาดที่เป็นการต่อสู้เพื่อความเป็นความตาย และไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้ใคร ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้"ชีวิตคนเรามีหลายเรื่องที่มักไม่เป็นดังที่หวัง ข
"วันนี้เป็นงานเลี้ยงของตระกูลจาง ข้าก็นึกว่าเจ้าจะพูดคุยเรื่องอะไรกับข้า คาดไม่ถึงว่าจะใช้เรื่องนี้มาข่มขู่ข้าในที่ๆ ไม่มีคนเช่นนี้?"ชายผู้นั้นหัวคิ้วกระตุก รีบก้มศรีษะลงแล้วพูดว่า "กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่กระหม่อมทราบว่าองค์ชายสามเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่ไหนแต่ไรมา การที่บุตรสายตรงรับสืบราชบัลลลังก์ต่อก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แล้วไฉนองค์ชายสามจึงมิตั้งใจเป็นข้าราชบริพานบริสุทธิ์ คอยค้ำจุนเสด็จพี่ของพระองค์เล่าพ่ะย่ะค่ะ?"ฉีหวานหัวดราะเสียงดัง น้ำเสียงเย็นเยือกลงฉับพลัน เขาสะบัดแขนเสื้อ พร้อมสีหน้าเย็นชา "แม่ทัพหลิ่วพูดเช่นนี้ ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ตอนที่ข้าพบกับมือสังหารไล่เอาชีวิตตอนที่รีบเดินทางกลับมาจากเป่ยเจียงอันไกล แม้วันนี้ข้าไม่พูด เชื่อว่าท่านแม่ทัพเองก็คงทราบดีว่าเป็นฝีมือของใคร?"ถูซินเยว่ที่นั่งอยู่ในศาลาชะงักงัน ที่แท้คนที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับฉีหวานก็คือแม่ทัพหลิ่วนี่เอง หากนางจำไม่ผิดละก็ ก่อนหน้านี้ที่หน้าประตูตระกูลจาง ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ หลิ่วโหรวโหรวก็คือแม่ทัพหลิ่วผู้นี้สินะ?เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ถูซินเยว่ก็รู้สึกเซ็งขึ้นมา ถ้ารู้แต่แรกว่าพวกเขาจะคุยกันเรื่
หลิ่วโหรวโหรวก็มองเห็นพวกเขาเช่นกัน และเมื่อนึกถึงความสนิทสนมของถูซินเยว่และซููจื่อหังวันนั้นในจวนซู นางก็กำหมัดแน่นแม่ทัพหลิ่ว หลิ่วถิง เมื่อเห็นว่าบุตรสาวของตนเองอยู่ๆ ก็หน้าตาไม่สดใส ทั้งที่เมื่อสักครู่ยังดีอกดีใจ ก็ขมวดคิ้วถามว่า "เป็นอะไรไป? มีคนรู้จักรึ?""เจ้าค่ะ..." หลิ่วโหรวโหรวกำลังจะอ้าปากพูด ฮูหยินหลิ่วที่อยู่ข้างๆ ก็ผลักนาง และส่งสายตาให้กับอีกฝ่ายหลิ่วโหรวโหรวจึงได้แต่หุบปากเงียบอย่างไม่พอใจนักฮูหยินหลิ่วเดินไปข้างๆ หลิ่วโหรวโหรวอย่างเงียบๆ กระตุกแขนเสื้อของบุตรสาวและพูดเตือนเสียงเบาว่า "เจ้าอย่าได้พูดถึงเรื่องของตระกูลซูอีก หากเจ้าพูดถึงอีกข้าจะไม่ยกโทษให้เจ้า! เมื่อกี้เจ้าไม่เห็นฮูหยินตระกูลซูหรือย่างไร? นางท้องโตขนาดนั้นแล้ว! เจ้าคิดจะไปเป็นภรรยาน้อยของคนอื่นหรือ? พูดออกไปรังแต่จะกลายเป็นเรื่องตลก!"หลิ่วโหรวโหรวสีหน้าย่ำแย่ทันทีแม้ว่าซูจื่อหังมีภรรยาหลวงอยู่แล้ว แต่ในใจนางนั่นก็เป็นเพียงหญิงบ้านนอกที่เทียบกับตนเองไม่ได้เลยด้วยซ้ำ นางซึ่งเป็นบุตรีสายตรงของจวนแม่ทัพ จะตกเป็นรองอยู่เป็นภรรยาน้อยของซูจื่อหังหรืออย่างไร?ลำพังแค่คิด นางก็ไม่ต้องการหลิ่วโหรวโหร
ขณะที่ถูซินเยว่กำลังยุ่งอยู่กับการเปิดร้านขายเครื่องประดับ และนางหยูกำลังกังวลเรื่องลูกค้าอยู่นั้น เทียบเชิญฉบับหนึ่งก็ได้ส่งมาถึงที่บ้าน"เป็นงานฉลองวันเกิดของมารดาเฒ่าตระกูลจางจากเสนาบีดีกระทรวงการคลัง"ถูซินเยว่ถือเทียบเชิญไว้ในมือและยิ้มอย่างประหลาดใจ "ในเมืองหลวงแห่งนี้ข้านั้นไม่ได้รู้จักใครเลยสักคนหนึ่ง แต่นึกไม่ถึงว่าตระกูลจางจะส่งเทียบเชิญมาให้ข้า"สามีของตนเองก็เป็นข้าราชการขั้นเจ็ดเล็กๆ คนหนึ่ง แม้ว่าตระกูลจากจะไม่ใช่ข้าราชการชั้นสูง แต่ก็เป็นข้าราชการขั้นห้า และบรรพบุรุษก็ล้วนเป็นข้าราชการทั้งนั้น ซึ่งก็นับว่าเป็นตระกูลที่มีคุณธรรมสูงส่งการที่ส่งเทียบเชิญมาให้พวกเขาในงานเลี้ยงวันเกิดเช่นนี้ ก็เรียกได้ว่าไม่ได้ดูถูกพวกเขาเพียงแต่ คนในยุคโบราณส่วนมากจะดูแคลนคนทำธุรกิจ หากตนเองไปร่วมงานละก็ จะทำให้พวกเขารู้ว่าภรรยาของซูจื่อหังเป็นหญิงทำมาค้าขาย ก็ยากที่จะไม่ดูแคลนเดิมทีถูซินเยว่ไม่อยากไป แต่คาดไม่ถึงว่าซูจื่อหังจะหันมากุมมือเธอไว้ ยิ้มแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจนักว่า "บุตรชายของใต้เท้าจางสนิทกับข้า ภรรยาของข้าเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์มากที่สุดในใต้หล้า ไม่ว่าทำอะไรก็ดีทั้งนั้น แล
สำหรับถูซินเยว่แล้ว จะเป็นลูกผู้ชายหรือผู้หญิงก็ไม่เป็นไร สิ่งสำคัญคือ การที่ลูกน้อยสามารถคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัยเพราะในยุคโบราณการที่ผู้หญิงคลอดลูกนั้นเปรียบเสมือนการเดินไปขอบประตูนรก ดังนั้นการที่สามารถให้กำเนิดลูกได้อย่างปลอดภัยถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย เธอจึงไม่คาดหวังอย่างอื่นอีกแต่ว่าช่วงนี้เธอมักจะถูกนางหยูล้างสมองอยู่บ่อยๆ จนถูซินเยว่เองก็คิดว่าท้องนี้อาจจะเป็นลูกผู้ชายก็ได้เป็นผู้ชายก็ดี เพราะความคิดปิดกั้นในยุคโบราณนั้นสร้างความลำบากให้กับหญิงสาวอย่างมาก หากเป็นเด็กผู้ชาย ก็สามารถลดความลำบากหลายๆ อย่างให้เธอได้ไม่น้อยเดิมทีถูซินเยว่อยากจะถามฉงเป่าว่าในท้องตนเองนั้นเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิงกันแน่ ซึ่งตามปกติแล้วขอเพียงเอาของกินมาล่อนิดล่อหน่อย ฉงเป่าก็ยอมพูดทุกอย่าง มีเพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวที่ไม้ว่าถูซินเยว่ถามอย่างไร อีกฝ่ายก็ไม่ยอมบอก"อย่างไรเสียลูกก็อยู่ในท้องของข้า เจ้าจะบอกหน่อยมิได้หรือว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง? ถึงเจ้าพูดมา ด้วยเงื่อนไขการรักษาแบบนี้ข้าก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้มิใช่หรือไง?"อีกอย่าง ถูซินเยว่เองก็ไม่มีความคิดการให้ความสำคัญชายมากกว่าหญิงด