"ตอนนี้มีเราอยู่เพียงสองคน ท่านมีอะไรจะพูดก็พูดมาเถอะ"น้ำเสียงของหลินเพียวเหมียวแผ่วเบา นางกล่าวอย่างช้า ๆ "ฮูหยินของท่านคนนี้ นิสัยยังเหมือนตอนสาว ๆ ไม่มีผิด ไม่ได้เปลี่ยนเลยซักนิด สมัยนั้น พอนางรู้ว่าก่อนท่านจะสอบติดจอหงวนก็ได้มีภรรยาอยู่แล้ว นางก็ให้ข้าดื่มพิษดอกไม้แดง ผ่านไปหลายปี นางยังมาให้ข้าดื่มหงอนกระเรียนแดงอีก"กล่าวถึงช่วงหลัง หลินเพียวเหมียวกลับนึกหัวเราะขึ้นมากู้เจิ้นเทียนจ้องมองนางเขม็ง มีหยาดน้ำตาที่ร่วงลงมาจากขอบตา"เพียวเหมียว เพราะข้าผิดต่อเจ้าเอง"สมัยก่อน เขาเป็นเพียงบัณฑิตที่ยากไร้ ส่วนเพียวเหมียวกลับเป็นคุณหนูที่มีสกุลรุนชาติ นางไม่เพียงไม่รังเกียจเขา ยังตามมาอยู่กินด้วย จวบจนสอบได้เป็นจอหงวน ท่านหญิงผิงหนิงพึงพอใจในตัวเขา จึงใช้ครอบครัวเขามาข่มขู่ ทำให้กู้เจิ้นเทียนไม่มีทางเลือก จำต้องทอดทิ้งหลินเพียวเหมียวหลายปีที่ผ่านมา กู้เจิ้นเทียนไม่กล้าโต้แย้งกับท่านหญิงผิงหนิง ได้แต่พาตัวหลินเพียวเหมียวไปซ่อนไว้ในที่ ๆ ไม่มีใครพบเห็นเพียงแต่ เขานึกไม่ถึงว่า ต่อให้ระมัดระวังสักเพียงไหน ท่านหญิงซึ่งทรงอิทธิพลนัก สุดท้ายก็ยังคงตามหาหลินเพียวเหมียวได้พบอยู่ดี อีกทั
ทันใดนั้นสีหน้าขององค์ชายใหญ่ก็โกรธขึ้นมา ในสายตาของเขา การที่ตนมาหาซูจื่อหังด้วยตัวเองในตอนนี้นั้น ถือว่าเป็นพระคุณอันยิ่งใหญ่ที่ตนมอบให้อีกฝ่ายแต่ดูซูจื่อหังสิ ไม่เพียงไม่รับน้ําใจ ยังทําตัวสูงส่งอีก องค์ชายใหญ่ที่เคยถูกคนอื่นประจบสอพลอมาโดยตลอดจนเคยชินจะทนได้อย่างไรกันล่ะเขาลูบคางตัวเอง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็เอ่ยปากว่า "ดูเหมือนว่าในใจใต้เท้าซูจะยอมรับน้องสามเป็นเจ้านายแล้วใช่ไหม?"ซูจื่อหังได้ยินเช่นนั้นก็เงยหน้าขึ้นแล้วมององค์ชายใหญ่แวบหนึ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นอย่างกะทันหันและเอ่ยด้วยสีหน้าเคารพนบนอบว่า "ตําแหน่งของกระหม่อมเป็นฮ่องเต้ที่พระราชทานให้ ดังนั้น ในใจของกระหม่อม ย่อมมีเพียงฮ่องเต้เพียงคนเดียวที่เป็นเจ้านายของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ""เจ้าอย่ามาแกล้งโง่กับข้าเลย" องค์ชายใหญ่มองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา แล้วสะบัดแขนเสื้อพูดว่า "เจ้าอย่าคิดว่าในใจข้าไม่รู้ว่าเจ้ากําลังคิดอะไรอยู่ เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือ เจ้าอยากจะประคองน้องสามของข้าขึ้นตําแหน่งไม่ใช่หรือไงกัน? แต่ข้าจะบอกให้นะ ไม่ว่าจะดูยังไงบัลลังค์นี้ก็ตกไปไม่ถึงน้องสาม ต่อให้เจ้าติดตามน้องสาม อนาคตจะมีอะไรได้ สู้ติดตาม
สำหรับไป๋อี้หรัน องค์ชายใหญ่ไม่ข่มเหงเขาเหมือนที่ทำกับซูจื่อหัง ท่าทีเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเขาถามไถ่ถึงสุขภาพของไป๋อี้หรันก่อนว่าดีขึ้นแล้วหรือยัง จากนั้นค่อยถามว่าอีกฝ่ายจะมาที่เมืองหลวงตอนไหน หวังว่าจะได้ร่วมมือกับไป๋อี้หรันทำงานใหญ่ด้วยกันหลังจากที่ไป๋อี้หรันอ่านจดหมายจบก็วางลงไปในเตาเผา จากนั้นเขียนจดหมายตอบกลับไปว่า เนื้อหาจดหมายเขียนประมาณว่าอีกครึ่งเดือนจะไปถึงเมืองหลวงแล้ว ส่วนสุขภาพของเขาปกติดี หลายปีมานี้ต้องขอบคุณองค์ชายใหญ่ที่คอยชื่นชม ไม่ว่ายังไงก็ตาม เขาก็จะไม่เห็นแก่ผลประโยชน์จนลืมบุญคุณแน่นอน จะจดจำพระคุณขององค์ชายใหญ่เอาไว้ตามที่ไป๋อี้หรันเคยพูดมาก็คือ ตอนเขายังเด็กเคยเจอเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างมาก่อน ตอนนั้นเขายังไม่มีความสามารถในการปกป้องตนเอง เป็นเพราะองค์ชายใหญ่ ตระกูลไป๋ถึงได้มีความรุ่งโรจน์อย่างทุกวันนี้ดังนั้น แม้ว่าจากการพูดคุยระหว่างไป๋อี้หรันกับถูซินเยว่ เขาก็รู้ว่าองค์ชายใหญ่มีข้อบกพร่องหลายอย่าง แต่ก็ยังไม่ได้หักหลังอีกฝ่ายดังนั้น ถูซินเยว่จึงรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากไป๋อี้หรันนี้มีความคิดที่แปลกมากจริง ๆ ทั้งที่เขาก็รู้ องค์ชายใหญ่ไม่ใช่ผู้ที่ช
ถูซินเยว่อดยิ้มไม่ได้ หนิงอวี้ผู้นี้ นางรู้ดีอีกฝ่ายเป็นเพื่อนร่วมเรียนกับซูจื่อหังกันมาหลายปี ในใจไม่มีทางที่จะมีความคิดเรื่องไม่ดีแน่นอนตัวเองมาแบบกะทันหัน ก่อนมาก็ไม่ได้ติดต่อบอกซูจื่อหังว่าตัวเองจะมาเลย อีกฝ่ายไม่อยู่ก็เป็นเรื่องธรรมดาถูซินเยว่หันไปมองนางหยูหนึ่งครั้ง แล้วเอ่ยถามอย่างใส่ใจว่า “ท่านแม่คงเหนื่อยแย่แล้ว ข้าว่าจื่อหังคงไม่กลับมาตอนนี้หรอก เดี๋ยวพวกเราออกไปทานข้าวกันสักมื้อ แล้วเดี๋ยวค่อยไปพักผ่อนดีกว่า”นางหยูพยักหน้าระหว่างทางที่มา นางรู้สึกเหนื่อยจริง ๆ แต่ตอนนี้มาถึงเมืองหลวงแล้ว พอคิดว่าอีกไม่นานก็จะได้เจอซูจื่อหังแล้ว ความรู้สึกง่วงที่มีอยู่ของนางหยูจึงหายไปไม่น้อย ตอนนี้ นางแทบอยากจะเดินไปข้างหน้าของซูจื่อหัง แล้วมองดูลูกชายที่นางเลี้ยงจนโตมาปานนี้ให้ดี ๆ ว่าช่วงเวลาที่มาเมืองหลวงนี้ มีเรื่องอะไรให้ลำบากหรือทุกร้อนใจหรือเปล่า ผอมลงไปหรือเปล่า ดูซีดเซียวและอิดโรยลงไปหรือเปล่าหนิงอวี้เห็นว่าพวกเธอจะไปทานข้าว จึงเอ่ยอย่างรีบเร่ง “ข้าก็ยังไม่ได้ทานข้าวพอดี ไม่สู้ให้ข้าเลี้ยงข้าวพวกท่าน อาซ้อ พวกท่านเดินทางมาไกล ข้าเลี้ยงพวกท่านก็เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว
ไม่ได้เจอกันนานขนาดนี้ ไม่มีใครรู้ว่าในใจของซูจื่อหังคิดถึงถูซินเยว่มากเเค่ไหนเขาเป็นคนที่แสดงออกไม่เก่งมาโดยตลอด แม้แต่ต่อหน้าถูซินเยว่ก็ไม่เคยพูดว่าชอบอะไรทำนองนั้น เมื่อเขาต้องออกจากผิงโจว แม้แต่กระทั่งคำมั่นสัญญาว่าจะรักกันชั่วฟ้าดิน ซูจื่อหังก็ไม่เคยพูดให้ถูซินเย่วได้วางใจแต่มีเพียงซูจื่อหังเท่านั้นที่รู้ว่าเขามีทุกวันนี้ได้ก็เพราะว่าถูซินเยว่ ถ้าไม่ใช่เพราะถูซินเย่ว เขาคงไม่สามารถมาถึงจุดที่เขาเป็นอยู่ทุกวันนี้ได้เขาพูดอะไรไม่ออก ได้แต่กอดเธอไว้ในอ้อมกอดแน่น แทบอยากให้อีกฝ่ายเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเลือดเนื้อเขา ทั้งสองคนจะได้ไม่มีวันพรากจากกันอีกแม้ว่าถูซินเยว่จะคิดถึงซูจื่อหังมาก แต่ในใจเธอก็ยังมีสติ เมื่อเห็นซูจื่อหังเริ่มกอดแน่นขึ้นเรื่อย ๆ เธอก็พูดอย่างรวดเร็วว่า "เบา ๆ หน่อย ท่านโดนท้องข้าแล้ว""หา?" เมื่อเห็นถูซินเยว่บอกว่าเจ็บ ซูจื่อหังก็รีบปล่อยอีกฝ่าย แล้วก้มหน้ามองดูท้องของถูซินเย่วเเวบหนึ่งโดยสัญชาตญาณ แม้ว่าในห้องจะจุดเทียนอยู่ แต่แสงเทียนจะสว่างได้มากเท่าไหร่กัน ภายใต้แสงเทียนที่อ่อน ๆ ซูจื่อหังมองเห็นได้เพียงท้องของถูซินเย่วนูนออกมาเล็กน้อยเขาตกตะลึงอยู่คร
เมื่อกี้ใบหน้าของซูจื่อหังยังตื่นเต้นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ อยากจะโยนถูซินเยว่ขึ้นกลางอากาศด้วยซ้ำ แต่พอได้ยินว่าจะทําร้ายลูกเอาได้ ก็รีบวางเธอลงอย่างเชื่อฟัง"ซินเยว่ขอบใจนะ ขอบใจที่ทําให้ข้าประหลาดใจได้ขนาดนี้"ซูจื่อหังวางถูซินเยว่ไว้ข้างเตียง ดวงตาทั้งคู่จ้องมองท้องของอีกฝ่ายอย่างตาไม่กะพริบ รู้สึกเพียงว่าเห็นท้องน้อยนูนขึ้นเล็กน้อย มองไม่พออยู่เสมอถูซินเยว่เห็นอีกฝ่ายเป็นเช่นนี้ ก็อดหัวเราะไม่ได้เธอลูบหัวซูจื่อหังแล้วพูดว่า "เอาล่ะ ท่านพี่อย่าจ้องมองท้องของข้าอีกต่อไปเลย ไม่ว่าจะมองยังไง ลูกก็ออกมาจากท้องตอนนี้ไม่ได้อยู่ดี!"ใบหน้าของซูจื่อหังปรากฏความเขินอายอย่างหาได้ยาก เขามองเมียตัวเองที่อยู่ข้างหน้าเขานิ้ง ๆ และยิ้มกล่าวว่า "ข้าแค่คิดว่ามันวิเศษมาก ในท้องเล็ก ๆ นี้มีลูกของเราแล้ว" "ใช่" ถูซินเยว่กล่าวว่า "ต่อไปเจ้าต้องปฏิบัติต่อข้าอย่างดีแล้ว เพราะตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าไม่ใช่ตัวคนเดียวแล้ว ถ้าท่านทําให้ข้าไม่มีความสุข ลูกของท่านก็จะไม่ดีใจไปด้วย"ซูจื่อหังรีบให้คํามั่นสัญญาว่า "เมียจ๋าวางใจได้ ต่อให้ไม่มีลูก ข้าก็จะทําดีกับเจ้าเป็นสองเท่า จะไม่ทําให้เจ้าผิดหวังแน่น
นอกจากตอนที่ถูซินเยว่ไปเมืองหลวงและพบกันเพียงครั้งเดียวก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งสองคนก็แยกจากกันอย่างน้อยก็ห้าเดือนแล้วในช่วงเวลานี้ ซูจื่อหังอยู่ในเมืองหลวงเพื่อเตรียมตัวสอบ หลังจากรู้ว่าตัวเองสอบผ่านแล้ว ก็คือการสอบวัดระดับและรอพระประสงค์จากฮ่องเต้ ดังนั้น ช่วงเวลานี้ของซูจื่อหังจึงจืดชืดมากจริง ๆ และไม่มีอะไรใหม่ที่จะพูดเลย แต่ถูซินเยว่ไม่เหมือนกัน ซูจื่อหังรู้ว่าอีกฝ่ายไปที่ภูเขาเทียนซาน รักษาคุณชายของจวนตระกูลไป๋ให้หายเขาเทียนซาน สถานที่ที่ห่างไกลขนาดนั้น แม้แต่ซูจื่อหังก็ยังไม่เคยไปถูซินเยว่ต้องการบอกเรื่องนี้กับอีกฝ่ายมานานแล้ว หลังจากฟังคําพูดของซูจื่อหังแล้วเธอก็รีบปิดปากและหัวเราะเบา ๆ ว่า "ตอนที่ข้าไปเขาเทียนซานก่อนหน้านี้ข้ายังไม่รู้ว่าข้าท้องอยู่ ที่เขาเทียนซานนั้นหนาวมาก หิมะตกตลอด บนขอบของบัวหิมะยังมีงูหลามยักษ์ตัวหนึ่ง น่ากลัวมากเลย..."เมื่อผู้หญิงพูด เธอเล่าเรื่องอย่างช้า ๆ ซูจื่อหังได้ยินสิ่งที่น่าตื่นเต้นก็รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ที่นั่นและเป็นห่วงอีกฝ่ายไปด้วยเมื่อได้ยินว่าถูซินเยว่เกือบจะแท้งลูก เขาก็อดไม่ได้ที่จะลูบท้องของอีกฝ่ายและคิดในใจว่าโชคดีที่ไม่เป็นอะไร
ถ้าถูซินเยว่ไม่ท้องอยู่เรื่องนี้ยังสามารถรอได้ แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกำลังตั้งครรภ์จะให้อยู่โรงเตี๊ยมต่อก็ไม่ดี เพราะไม่สะดวกสบายหลายอย่างแต่เมื่อถูซินเยว่ฟังซูจื่อหังพูดจบมุมปากก็ปรากฏรอยยิ้มบางๆ แล้วพูดขึ้นอย่างทนไม่ไหว "ข้ารู้ว่าตอนนี้ท่านพี่ยังไม่ได้รับตำแหน่ง ในมือเลยไม่ค่อยมีเงิน ให้ข้าใช้เงินของตัวเองจัดการเรื่องบ้านที่เมืองหลวงก่อนดีไหม"ซูจื่อหังได้ยินก็รีบส่ายหัว ยืนกรานปฏิเสธทันที "ทำแบบนี้ไม่ได้ เงินนี้เป็นของเจ้า ถ้าข้าเอาเงินของเจ้าไปจัดการเรื่องบ้านก็เท่ากับเกาะเจ้ากินล่ะสิ?"สีหน้าชายหนุ่มเต็มไปด้วยการไม่ยอมรับแม้ตอนนี้เขาจะยังไม่มีเงิน แต่จะให้ปวกเปียกไปเกาะเมียตัวเองกินได้ยังไงแต่ถูซินเยว่ไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลยสักนิด เธอรู้จักซูจื่อหังดีซูจื่อหังตั้งใจอ่านหนังสือจนตอนนี้สอบติดแล้ว ถึงแม้คนเป็นขุนนางจะมีอำนาจ แต่ถ้าต้องพึ่งเงินเดือนอย่างเดียว ในมือก็มีเงินได้ไม่มากหรอก อย่าว่าแต่ภายในระยะเวลาสั้น ๆ นี้จะซื้อบ้านในเมืองหลวงเลย ต่อให้เก็บเงินอีกสิบปีก็เป็นไปไม่ได้คนอย่างซูจื่อหัง ถ้าอนาคตได้เป็นขุนนางก็ย่อมเป็นคนซื่อสัตย์เที่ยงตรง ถูซินเยว่เป็นคนทำมาค้าขาย ถ้าในบ้า
ทั้งคู่เดินถึงหน้าประตู ปะเหมาะเวลานี้ จวนแม่ทัพหลิ่วก็มีคนเดินออกมาเช่นกัน"คนนี้ก็คือใต้เท้าซูที่เจ้าชอบอย่างงั้นหรือ" ฮูหยินหลิ่วเหลียวมองบุตรีซึ่งอยู่ข้างกาย สื่อเป็นนัยให้อีกฝ่ายอย่าได้วู่วามทุกวันนี้คราใดที่หลิ่วโหรวโหรวเห็นถูซินเยว่กับซูจื่อหังเดินมาด้วยกัน ด้วยท่าทีรักใคร่ปรองดอง นางจะรู้สึกเดือดดาลในใจ ราวกับภูเขาไฟที่ใกล้ระเบิดกระนั้นนางทำเสียงฮึดฮัด "ถูซินเยว่มีวันนี้ได้ ก็เพราะอาศัยบารมีซูจื่อหัง แต่คอยดูไปเถิด หญิงบ้านนอกเช่นนาง ใหม่ ๆ ยังพอทำให้ซูจื่อหังพอใจได้บ้าง แต่พอนานวันเข้า ได้เห็นสาวงามในเมืองหลวงมากมาย ความรักของพวกเขายังมั่นคงเหมือนแต่ก่อนได้อีก ก็แสดงว่าผิดมนุษย์แล้ว"ฮูหยินหลิ่วแสดงท่าทีนิ่งเฉยแต่บุตรีพูดก็มีเหตุผล ผู้ชายในโลกนี้น้อยนักที่จะไม่คิดได้ใหม่ลืมเก่า ยกตัวอย่างเช่นสามีของนาง ในอดีตก็เคยให้คำมั่นสัญญา ว่าแม้เป็นหรือตายก็จะขอรักอดีตคนรักเพียงผู้เดียว แต่พอบ้านเขาประสบภาวะเดือดร้อน สุดท้ายก็มาเลือกแต่งงานกับตน จนบัดนี้ลืมหน้านังคนแพศยานั่นไปถึงไหนต่อไหนแล้วแสดงว่าความจริงใจของผู้ชายคือสิ่งที่ไร้ประโยชน์ปกติเสแสร้งทำเป็นรักมั่นจริงใจ แต่พอเอ
หากซูจื่อหังไม่รังเกียจถูซินเยว่แล้วล่ะก็ งั้นต่อให้หลิ่วโหรวโหรววทุ่มเทแรงกายแรงใจมากแค่ไหนก็ตาม เกรงว่าก็คงไม่สามารถเข้าไปในจวนสกุลซูได้ดั่งใจปรารถนาหรอกแต่น่าขําที่ลูกสาวคนนี้ของนางกลับไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้เลย รู้แต่ไปเหยียดหยามถูซินเยว่อย่างโง่เขลาเท่านั้นนี่ถ้าทําให้ถูซินเยว่อับอายต่อหน้าทุกคนก็ว่าไปอย่าง แต่นี่กลับยังโดนถูซินเย่วตอบโต้กลับมาจนขายหน้า นี่ไม่ใช่เป็นการตบหน้าตัวเองหรือไง?เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฮูหยินหลิ่วก็ไม่อยากเห็นหน้าลูกสาวคนนี้แม้แต่นิดนางขมวดคิ้ว จู่ ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้และอดไม่ได้ที่จะพูดว่า "ใช่แล้ว เรื่องนี้ข้ายังไม่ได้บอกพ่อเจ้า ถ้าพ่อเจ้ารู้ ดูสิว่าเขาจะสั่งสอนเจ้ายังไง เจ้าระวังตัวหน่อย"ภายใต้การเกลี้ยกล่อมและคําเตือนของฮูหยินหลิ่ว ในที่สุดหลิ่วโหรวโหรวก็หลับตาลง นางนั่งอยู่บนที่นั่งของตัวเองอย่างเซ็ง ๆ ทั้งหน้ามีแค่อารมณ์เดียวนั่นก็คือ นางไม่มีความสุขฮูหยินหลิ่วถอนหายใจอย่างจนใจ แล้วเงยหน้ามองฝั่งตรงข้าม ตําแหน่งของนาง มีเพิงดอกไม้อยู่ตรงกลางบดบังร่างของถูซินเยว่พอดี ดังนั้นนางจึงเห็นเพียงโครงร่างผ่านเถาวัลย์อย่างคลุมเครือเท่
วันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงเชิญตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ก่อนมาซูจื่อหังเคยพูดกับนางว่า เขากับตระกูลจางเข้ากันได้ดีในราชสํานัก ดังนั้นวันนี้ ถูซินเยว่ก็ไม่อยากสร้างปัญหาอะไรให้กับตระกูลจาง เพื่อไม่ให้คนอื่นรู้สึกว่าพวกเขาไม่มีมารยาทเห็นเหล่าฮูหยินกับหลิ่วโหรวโหรวเพิ่งเยาะเย้ยเธอเมื่อครู่ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ถูซินเยว่ก็สบายใจไม่น้อย ก้มหน้าก้มตากินอาหารด้วยตัวเองไม่สนใจใครทั้งนั้นในขณะที่เธอกําลังกินอย่างมีความสุข จู่ ๆ ก็มีคนผลักแขนของเธอเบา ๆถูซินเยว่นิ่งงันไปพักหนึ่ง หันหน้ากลับไปอย่างสงสัยใคร่รู้ เห็นหญิงสาวในชุดสีเหลืองคนหนึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ กําลังใช้ดวงตากลมโตจ้องมองเธออย่างอยากรู้อยากเห็นดวงตาของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและไร้เดียงสา แต่กลับไม่มีเจตนาร้ายเลยแม้แต่น้อยถูซินเยว่เคยเห็นคนมามากมาย เรื่องเหล่านี้เธอยังพอสามารถมองออกได้ตั้งแต่แรกเห็นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีเจตนาร้าย ท่าทีของเธอก็อ่อนโยนลงมาก"ไม่ทราบว่าแม่นางมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?"ถ้าเธอจําไม่ผิด คนที่นั่งข้างเธอเมื่อกี้น่าจะเป็นผู้หญิงที่เยาะเย้ยเธ
ถูซินเยว่ชะงัก และรู้สึกตลก เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายก็รู้สึกประหลาดใจ ตอนที่ออกจากมาตอนเช้า เธอได้สวมใส่เครื่องประดับมาหลายชิ้นจริงๆแต่ระหว่างทาง ถูซินเยว่รู้สึกว่าต่างหูระเกะระกะเกินไป จึงแอบถอดมันออกและวางไว้บนรถม้าคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าในงานเลี้ยงจะมีคนไม่กินไม่ดื่ม แต่หันมาจับจ้องที่เครื่องหัวของตนเองแทนถูซินเยว่ยื่นมือไปจับที่ผมของตนเองอัตโนมัติ จากนั้นก็พูดเสียงราบเรียบว่า "ในเมื่อวันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพ แขกสำคัญจึงเป็นตระกูลจาง แล้วเหตุใดข้าจักต้องแต่งตัวให้ดูดีขนาดนั้น""จนก็ยอมรับว่าจนเถอะ จะหาเหตุผลอะไรมาอ้างมากมายไปทำไม ในที่นี้ใครไม่รู้บ้างว่าพวกเจ้ามาจากบ้านนอก ข้าเองก็แค่รู้สึกเสียดายแทนใตเท้าซูเท่านั้น ทั้งที่มีมีอนาคตอันดี หากแต่งงานกับบุตรสาวขุนนางสักคน ก็คงยิ่งช่วยส่งเสริมให้เจริญก้าวหน้า แต่กลับเลือกจะเฝ้าอยู่แค่หญิงชาวบ้านเฉกเช่นเจ้า..."ประโยคหลังแม้ว่าจะไม่ได้พูดต่อจนจบ แต่ก็สามารถเข้าใจได้ถึงแม้บนใบหน้าของถูซินเยว่จะแสดงสีหน้าใดๆ แต่สาวรับใช้ที่อยู่ข้างๆ สีหน้าย่ำแย่มากแล้วนางอาศัยอยู่ที่ตระกูลซูมานาน ก็พอจะรู้ว่าถูซินเยว่ไม่ได้ไม่มีเงิน และเงินส่วนใ
ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในหมู่บ้านต้าเย่ เพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือเพราะผลประโยชน์อันน้อยนิด แม้เป็นครอบครัวเดียวกัน ก็ยังสามารถโกรธแค้นกันจนตัดญาติขาดมิตรไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นใด แค่ในตระกูลถู เพียงเพื่อสินสอดของตระกูลเหลียง ถูชิวหลานก็ดันทุรังจะสับเปลี่ยนตัวเธอกับลูกสาว ภายหลังยังไม่ยอมรับด้วย แถมยังผลักไสความผิดทุกอย่างไปที่เจ้าของร่างหากเธอไม่ได้ข้ามิติมาอยู่ในร่างของเจ้าของร่างซื่อบื้อคนนั้น นางจะใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลซูอย่างไร เกรงว่าคงเหลือแต่เสี้ยววิญญาณแล้วอย่างด้านซูเฟิ่งอี๋ในตระกูลซู ตอนนั้นพวกเขาเองก็หวงแหนเงินเล็กๆ น้อยๆ เห็นชีวิตนางหยูกำลังตกอยู่ในอันตรายก็ยังไม่ยอมรักษาให้นางเรื่องราวของญาติสนิทมิตรสหายที่ทำร้ายคนใกล้ตัวเพียงเพื่อผลประโยชน์และเงินทองมีมากมายเกินกว่าจะพูด ขนาดบ้านเธอยังเป็นเช่นนี้ แล้วต้าฉีที่มีบ้านสกุลมากมายขนาดนี้ล่ะชาวบ้านธรรมดาทั่วไป อาจทำไปเพื่อเงินทอง แต่องค์ชายสามกับองค์ชายใหญ่ กลับทำเพื่อแก่งแย่งแผ่นดิน ขนาดที่เป็นการต่อสู้เพื่อความเป็นความตาย และไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้ใคร ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้"ชีวิตคนเรามีหลายเรื่องที่มักไม่เป็นดังที่หวัง ข
"วันนี้เป็นงานเลี้ยงของตระกูลจาง ข้าก็นึกว่าเจ้าจะพูดคุยเรื่องอะไรกับข้า คาดไม่ถึงว่าจะใช้เรื่องนี้มาข่มขู่ข้าในที่ๆ ไม่มีคนเช่นนี้?"ชายผู้นั้นหัวคิ้วกระตุก รีบก้มศรีษะลงแล้วพูดว่า "กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่กระหม่อมทราบว่าองค์ชายสามเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่ไหนแต่ไรมา การที่บุตรสายตรงรับสืบราชบัลลลังก์ต่อก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แล้วไฉนองค์ชายสามจึงมิตั้งใจเป็นข้าราชบริพานบริสุทธิ์ คอยค้ำจุนเสด็จพี่ของพระองค์เล่าพ่ะย่ะค่ะ?"ฉีหวานหัวดราะเสียงดัง น้ำเสียงเย็นเยือกลงฉับพลัน เขาสะบัดแขนเสื้อ พร้อมสีหน้าเย็นชา "แม่ทัพหลิ่วพูดเช่นนี้ ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ตอนที่ข้าพบกับมือสังหารไล่เอาชีวิตตอนที่รีบเดินทางกลับมาจากเป่ยเจียงอันไกล แม้วันนี้ข้าไม่พูด เชื่อว่าท่านแม่ทัพเองก็คงทราบดีว่าเป็นฝีมือของใคร?"ถูซินเยว่ที่นั่งอยู่ในศาลาชะงักงัน ที่แท้คนที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับฉีหวานก็คือแม่ทัพหลิ่วนี่เอง หากนางจำไม่ผิดละก็ ก่อนหน้านี้ที่หน้าประตูตระกูลจาง ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ หลิ่วโหรวโหรวก็คือแม่ทัพหลิ่วผู้นี้สินะ?เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ถูซินเยว่ก็รู้สึกเซ็งขึ้นมา ถ้ารู้แต่แรกว่าพวกเขาจะคุยกันเรื่
หลิ่วโหรวโหรวก็มองเห็นพวกเขาเช่นกัน และเมื่อนึกถึงความสนิทสนมของถูซินเยว่และซููจื่อหังวันนั้นในจวนซู นางก็กำหมัดแน่นแม่ทัพหลิ่ว หลิ่วถิง เมื่อเห็นว่าบุตรสาวของตนเองอยู่ๆ ก็หน้าตาไม่สดใส ทั้งที่เมื่อสักครู่ยังดีอกดีใจ ก็ขมวดคิ้วถามว่า "เป็นอะไรไป? มีคนรู้จักรึ?""เจ้าค่ะ..." หลิ่วโหรวโหรวกำลังจะอ้าปากพูด ฮูหยินหลิ่วที่อยู่ข้างๆ ก็ผลักนาง และส่งสายตาให้กับอีกฝ่ายหลิ่วโหรวโหรวจึงได้แต่หุบปากเงียบอย่างไม่พอใจนักฮูหยินหลิ่วเดินไปข้างๆ หลิ่วโหรวโหรวอย่างเงียบๆ กระตุกแขนเสื้อของบุตรสาวและพูดเตือนเสียงเบาว่า "เจ้าอย่าได้พูดถึงเรื่องของตระกูลซูอีก หากเจ้าพูดถึงอีกข้าจะไม่ยกโทษให้เจ้า! เมื่อกี้เจ้าไม่เห็นฮูหยินตระกูลซูหรือย่างไร? นางท้องโตขนาดนั้นแล้ว! เจ้าคิดจะไปเป็นภรรยาน้อยของคนอื่นหรือ? พูดออกไปรังแต่จะกลายเป็นเรื่องตลก!"หลิ่วโหรวโหรวสีหน้าย่ำแย่ทันทีแม้ว่าซูจื่อหังมีภรรยาหลวงอยู่แล้ว แต่ในใจนางนั่นก็เป็นเพียงหญิงบ้านนอกที่เทียบกับตนเองไม่ได้เลยด้วยซ้ำ นางซึ่งเป็นบุตรีสายตรงของจวนแม่ทัพ จะตกเป็นรองอยู่เป็นภรรยาน้อยของซูจื่อหังหรืออย่างไร?ลำพังแค่คิด นางก็ไม่ต้องการหลิ่วโหรวโหร
ขณะที่ถูซินเยว่กำลังยุ่งอยู่กับการเปิดร้านขายเครื่องประดับ และนางหยูกำลังกังวลเรื่องลูกค้าอยู่นั้น เทียบเชิญฉบับหนึ่งก็ได้ส่งมาถึงที่บ้าน"เป็นงานฉลองวันเกิดของมารดาเฒ่าตระกูลจางจากเสนาบีดีกระทรวงการคลัง"ถูซินเยว่ถือเทียบเชิญไว้ในมือและยิ้มอย่างประหลาดใจ "ในเมืองหลวงแห่งนี้ข้านั้นไม่ได้รู้จักใครเลยสักคนหนึ่ง แต่นึกไม่ถึงว่าตระกูลจางจะส่งเทียบเชิญมาให้ข้า"สามีของตนเองก็เป็นข้าราชการขั้นเจ็ดเล็กๆ คนหนึ่ง แม้ว่าตระกูลจากจะไม่ใช่ข้าราชการชั้นสูง แต่ก็เป็นข้าราชการขั้นห้า และบรรพบุรุษก็ล้วนเป็นข้าราชการทั้งนั้น ซึ่งก็นับว่าเป็นตระกูลที่มีคุณธรรมสูงส่งการที่ส่งเทียบเชิญมาให้พวกเขาในงานเลี้ยงวันเกิดเช่นนี้ ก็เรียกได้ว่าไม่ได้ดูถูกพวกเขาเพียงแต่ คนในยุคโบราณส่วนมากจะดูแคลนคนทำธุรกิจ หากตนเองไปร่วมงานละก็ จะทำให้พวกเขารู้ว่าภรรยาของซูจื่อหังเป็นหญิงทำมาค้าขาย ก็ยากที่จะไม่ดูแคลนเดิมทีถูซินเยว่ไม่อยากไป แต่คาดไม่ถึงว่าซูจื่อหังจะหันมากุมมือเธอไว้ ยิ้มแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจนักว่า "บุตรชายของใต้เท้าจางสนิทกับข้า ภรรยาของข้าเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์มากที่สุดในใต้หล้า ไม่ว่าทำอะไรก็ดีทั้งนั้น แล
สำหรับถูซินเยว่แล้ว จะเป็นลูกผู้ชายหรือผู้หญิงก็ไม่เป็นไร สิ่งสำคัญคือ การที่ลูกน้อยสามารถคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัยเพราะในยุคโบราณการที่ผู้หญิงคลอดลูกนั้นเปรียบเสมือนการเดินไปขอบประตูนรก ดังนั้นการที่สามารถให้กำเนิดลูกได้อย่างปลอดภัยถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย เธอจึงไม่คาดหวังอย่างอื่นอีกแต่ว่าช่วงนี้เธอมักจะถูกนางหยูล้างสมองอยู่บ่อยๆ จนถูซินเยว่เองก็คิดว่าท้องนี้อาจจะเป็นลูกผู้ชายก็ได้เป็นผู้ชายก็ดี เพราะความคิดปิดกั้นในยุคโบราณนั้นสร้างความลำบากให้กับหญิงสาวอย่างมาก หากเป็นเด็กผู้ชาย ก็สามารถลดความลำบากหลายๆ อย่างให้เธอได้ไม่น้อยเดิมทีถูซินเยว่อยากจะถามฉงเป่าว่าในท้องตนเองนั้นเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิงกันแน่ ซึ่งตามปกติแล้วขอเพียงเอาของกินมาล่อนิดล่อหน่อย ฉงเป่าก็ยอมพูดทุกอย่าง มีเพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวที่ไม้ว่าถูซินเยว่ถามอย่างไร อีกฝ่ายก็ไม่ยอมบอก"อย่างไรเสียลูกก็อยู่ในท้องของข้า เจ้าจะบอกหน่อยมิได้หรือว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง? ถึงเจ้าพูดมา ด้วยเงื่อนไขการรักษาแบบนี้ข้าก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้มิใช่หรือไง?"อีกอย่าง ถูซินเยว่เองก็ไม่มีความคิดการให้ความสำคัญชายมากกว่าหญิงด