ถูซินเยว่จับนางหยูให้นั่งลงบนม้านั่ง จากนั้นก็พยายามอธิบายอยู่นาน ผ่านไปครู่ใหญ่ นางหยูจึงได้สติกลับมา เบิกตาโพลง นิ้วมือสั่นระริก ถามขึ้นว่า "สรุปก็คือซินเยว่เจ้าเป็นเพื่อนกับเสือตัวนี้งั้นหรอ แถมมันยังเคยช่วยชีวิตเจ้าไว้ด้วย?""ใช่" ถูซินเยว่พยักหน้าอย่างขมีขมันนางหยูตกตะลึงจนพูดไม่ออกแม้ว่านางจะเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว แต่จะให้ยอมรับความจริงให้ได้ เกรงว่าคงต้องใช้เวลาอีกสักพักซูจื่อหังตบหลังนางหยูเบา ๆ พูดขึ้นว่า "ท่านแม่วางใจเถอะ เสือตัวนี้ไม่ทำร้ายคน หากไม่ใช่เพราะมันครั้งที่แล้วซินเยว่ก็คงไม่ได้มีโอกาสกลับมาบ้านอีก ลูกเองก็คุ้นเคยกับเสือตัวนี้เป็นอย่างดี ท่านวางใจเถอะนะ"ขณะที่พูดอยู่นั้น เสี่ยวหวงก็เลียน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ในถ้วยจนหมด มันเดินชูคอออกมาจากในบ้าน เมื่อเดินมาถึงนางหยู มันก็ส่งเสียงโฮกขึ้นมาหนึ่งที จากนั้นก็ถอยไปถูขากางเกงของถูซินเยว่ สองตาจ้องมองไปยังนางหยูที่อยู่ฝั่งตรงข้ามนางหยูตกใจจนวิญญาณเกือบจะหลุดออกจากร่าง ร่างกายสั่นเทา ต้องใช้เวลานานกว่าจะได้สติกลับคืนมาถูซินเยว่เห็นท่าทางที่หวาดกลัวของนางหยู ก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแต่นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
แต่ซูจื่อหังไม่มีความทรงจำอะไรต่อหลางฮุยมากนัก จำได้เพียงแค่ว่าหลางฮุยเคยทำเรื่องไม่ดีไว้มากมายในหมู่บ้านต้าเย่ ดังนั้นทุกคนในหมู่บ้านจึงรังเกียจเขาอย่างมากเพียงเพราะว่าหลางฮุยมีคนคอยหนุนหลังเป็นอย่างดี จึงไม่มีใครกล้าพูดอะไรนับตั้งแต่ที่ถูซินเยว่ทำร้ายหลางฮุยไปยกใหญ่ หมู่บ้านก็เงียบลงไปมากแล้วทุกคนก็ค่อย ๆ ลืมหลางฮุยไปหลางฮุยเสียมารยาทกับถูซินเยว่เสียก่อน ดังนั้นซูจื่อหังจึงไม่คิดว่าถูซินเยว่ทำอะไรผิด หากเขาอยู่กับถู่ซินหยูในเวลานั้น เขาคงจะโกรธมากกว่าถูซินเยว่เสียอีก และอาจจะใช้วิธีการที่รุนแรงกว่านี้ยังไงเสีย ในใจของซูจื่อหัง ไม่มีใครสามารถรังแกเมียของเขาได้ขณะที่เขากำลังคิด ถูซินเยว่ก็พูดขึ้นเบา ๆ ว่า "ข้าไม่รู้จัก"วันนั้นในร้านก๋วยเตี๋ยว คนรับใช้ในวังได้ยินในสิ่งที่พวกเขาพูด จึงแอบเอาเรื่องนี้ไปบอกนาง เถียนชุ่ยฮวาเดิมทีก็ทั้งเชื่อทั้งสงสัย แต่พอหลังจากถามหลางฮุย แล้วเห็นสภาพของหลางฮุยที่เหมือนคนโดนเหยียบหางมานั้น ความสงสัยเพียงน้อยนิดก็หายไปในพริบตานางก็เชื่อมั่นทันที ว่าผู้ชายของนางถูกทำร้ายถึงเพียงนี้ ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลซูเป็นแน่แต่ก็ไม่เคยคิดว่า ถูซิ
แน่นอนว่า เมื่อหลางฮุยได้ยินถึงคนตระกูลซู ก็ตื่นเต้นจนเกือบจะกระโดดลุกขึ้นจากเตียง เส้นเลือดดำแสดงออกมาเด่นชัด อีกทั้งสีหน้าก็เผยความดุร้ายออกมา"เป็นคนของหมู่บ้านต้าเย่จริงด้วย" เฉินหัวขมวดคิ้ว มือที่มีความเป็นผู้ดีก็ตบลงบนโต๊ะไม้ลูกแพร์สีเหลืองตรงหน้า จนทำให้ถ้วยชาสั่นสะเทือนเถียนชุ่ยฮวาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ตัวสั่นไปตามกัน ทั้งเผยสายตาเป็นกังวลขึ้น"คนหมู่บ้านต้าเย่กล้าดุร้ายขนาดนี้เชียวหรือ ถึงทำให้หลางฮุยเป็นแบบนี้ จะปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ ไม่ได้แล้ว !" เถียนชุ่ยฮวาก็ใส่ไฟเข้าไปเรื่อย ๆถึงแม้ว่าหลางฮุยถูกตัดลิ้นจนพูดไม่ได้ แต่ว่าหูของเขาไม่มีปัญหา ดังนั้นเขาได้ยินสิ่งที่เถียนชุ่ยฮวาพูดเขาพยักหน้าอย่างแรง แล้วจับมือเฉินหัวแน่น เสียงอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ทั้งสายตาก็เต็มไปด้วยความโกรธแค้นเฉินหัวเข้าใจ ว่าอีกฝ่ายต้องการให้ตนแก้แค้นให้"ไม่ต้องห่วง !" เฉินหัวก็มือหลางฮุยแน่น ใบหน้าที่สวยงามของนางสัมผัสได้ถึงความชั่วร้าย ถึงแม้ว่าไม่เคยโกรธถึงเพียงนี้ แต่สิ่งที่พูดออกมา กลับทำให้คนเย็นชาไปทั้งตัว"พวกเขาทำร้ายน้องชายเพียงคนเดียวของข้าต้องเป็นเช่นนี้ ข้าจะแก้แค้นให้เจ้าเอง ! พวกเขาทำร้ายเจ้
"ถูซินเยว่หรือ ?" เฉินหัวตะลึงไปครู่หนึ่ง เพราะไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนแต่ว่า ในเมื่อซูเฟิ่งอี๋บอกว่าเป็นเมียของซูจื่อหัง แน่นอนว่าต้องเป็นผู้หญิงอยู่แล้วถึงแม้ว่าหลางฮุยเป็นคนขี้เกียจ ไม่เอาการเอางาน แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะโดนผู้หญิงคนหนึ่งรังแกได้ !อีกอย่าง ผู้หญิงคนเดียวจัดการหลางฮุยจนเป็นแบบนั้น ? เมื่อนึกถึงเลือดที่หยดจากหว่างขาของอีกฝ่าย ท่าทางลิ้นจุกปาก แค่เฉินหัวคิดก็รู้สึกหวาดกลัวเธออาศัยอยู่ในเรือนลึกสุด และทำความรู้จักกับนางสนมที่ท่าทางไม่ปลอดภัยอยู่สองสามคนเอง เมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้น ร่างกายก็ยิ่งอดไม่ได้จนสั่นคลอน แล้วผู้หญิงชนบทธรรมดา ๆ จะเป็นอย่างไร"เจ้าล้อข้าเล่นหรือ ?!"เฉินหัวด่าขึ้นอย่างโกรธเคืองซูเฟิ่งอี๋ตอบกลับไปด้วยความหวาดกลัว "เปล่า ๆ ข้ากล้าเสียที่ไหนกัน ?"ขณะพูด เธอเหลือบมองท่าทางของคนเหล่านั้นที่อยู่ข้างหลังเธอ และเผยสีหน้าหวาดกลัวของความกลัวที่มาประจวบเหมาะพอดี ราวกับคนเหล่านั้นทำให้เธอตกใจ ดังนั้นจึงพูดความจริงออกมาเฉินหัวท่าทีเหมือนจะเชื่อแต่ก็ไม่เชื่อซูเฟิ่งอี๋กระซิบอย่างรวดเร็วว่า "เจ้าไม่รู้หรอกว่าถูซินเยว่กล้าฆ่างูพิษและหมูป่าด้วยมือเ
"แน่นอนอยู่แล้ว" ถูซินเยว่ทำปากจู๋ แล้วมองไปที่หลางฮุยซึ่งกำลังนอนอยู่บนเก้าอี้หวาย และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า "ในเมื่อพาเขามาด้วย ก็แสดงว่าเป็นคนหนุนหลังที่เขาหามาไม่ใช่หรือ? ผู้ชายทั้งคนกลับต้องให้ผู้หญิงตัวเล็กๆ เป็นที่พึ่ง น่าขายหน้าจริงๆ"หญิงสาวปากร้าย เพียงประโยคเดียวก็ทำเอาคนที่อยู่ตรงข้ามโกรธจัดโดยฉพาะหลางฮุย เดิมทีเขาก็โกรธแค้นถูซินเยว่อยู่แล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมาก็ยิ่งโกรธแทบบ้าตาย"เจ้า! นังแพศยา! เจ้ากล้าพูดเช่นนี้งั้นรึ!""นี่เป็นพี่ใหญ่ของหลางฮุย เราพึ่งพี่ใหญ่แล้วจะทำไม?!" เถียนชุ่ยฮวาโต้เถียงอย่างไม่ยอมแพ้เฉินหัวเองก็ขมวดคิ้วอย่างรังเกียจเช่นกัน "ปากคอเราะร้าย เห็นแล้วน่ารังเกียจจริงๆ ทีี่บ้านไม่สั่งสอนเลยจริงๆ!"ถูซินเยว่ส่งเสียง "หึ" ในลำคอ อีกฝ่ายไม่พูดไม่จา ก็บุกเข้ามาทุบเตะบ้านพวกเขาจนพัง แบบนี้หรือคือคนที่มีการสั่งสอนซูจื่อหังดึงมือถูซินเยว่ไปนั่งลงด้านข้าง แล้วยกมือเทน้ำชาแก้วหนึ่งมาวางไว้ตรงหน้าถูซินเยว่ พร้อมยิ้มอย่างอ่อนโยนว่า "ที่รัก ดื่มชา""อื้อ" ถูซินเยว่พยักหน้า แล้วยกขึ้นมาดื่ม จากนั้นก็วางลง ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า "ชาวันนี้เหมือนจ
บรรยากาศในลานบ้านราวกับถูหยุดเอาไว้ ชั่วขณะหนึ่งไม่มีใครกล้าปริปากพูดเหล่าชายฉกรรจ์ที่เฉินหัวพามาหาเรื่องต่างไปหลบอยู่ตรงประตู ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดังแต่ละคนอยากจะวิ่งหนีไปเสียเดี๋ยวนี้เลย ยิ่งไปไกลจากลานบ้านตรงนี้เท่าไรก็ยิ่งดีแต่สิ่งที่พวกเขากลัวยิ่งกว่าก็คือ หากขยับก็จะดึงดูดความสนใจของเสือ ถึงตอนนั้นถ้าเสือกระโจนเข้ามา มันก็จะกัดและกินพวกเขาเหมือนกับชายฉกรรจ์โดนตบจนหมดสติเมื่อสักครู่ในบรรยากาศที่แปลกประหลาดเช่นนี้ มีบางคนที่ทนรับไม่ไหวถึงขนาดที่ฉี่รดใส่กางเกงทันใดนั้นกลิ่นฉี่ก็ลอยคลุ้งไปทั่วลานบ้านเสี่ยวหวงส่ายหัวไปมาอย่างหงุดหงิด ราวกับว่ามันไม่พอใจที่ได้กลิ่นเหม็นของฉี่ถูซินเยว่เองก็ขมวดคิ้วก่อนหน้านี้เธอได้แขวนถุงหอมที่ทำจากสมุนไพรไว้ที่ลานบ้านหลายถุง เพื่อใช้ไล่กลิ่นคาวในลานบ้านหลังจากที่จับปลา ดังนั้นลานบ้านของพวกเขาจึงอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของสมุนไพรตลอด ซึ่งให้ความรู้สึกที่สดชื่นมากทว่าตอนนี้กลับคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหม็นของฉี่ซึ่งชวนให้น่าสะอิดสะเอียนใจเป็อย่างมากถูซินเยว่ใช้มือลูบเบาๆ ไปที่หัวของเสี่ยวหวงเป็นการปลอบใจ สายตากว้านมองไปยังชายฉกรรจ์ที่เมื
อะไรนะ?หยวนเป่าตั้งสติไม่ทัน คิดว่าตนเองฟังผิดเขาหันหลับมาและถามย้ำอีกครั้งว่า "เมื่อกี้เจ้าบอกว่าบ้านซินเยว่มีอะไรนะ?""โอ้ย ก็เสือไง!" หลิวชุนฮวากระทืบเท้าแล้วพูดเสริมสีหน้าของอีกฝ่ายจนตอนนี้ก็ยังซีดขาว ท่าทางจะถูกเสี่ยวหวงทำให้ตกใจไม่น้อยจริงๆครั้งนี้หยวนเป่าได้ยินชัดเจนแล้ว เพียงแต่เขาคิดว่าตนเองนั้นหูฝาด หัวหน้าหมู่บ้านก็เช่นกัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยหลี่เม่าจึงรีบอธิบายว่า "บ้านซินเยว่มีเสือตัวใหญ่อยู่ พวกเจ้าไม่ได้ฟังผิด เป็นเสือของจริงที่ออกมาจากในป่า เสือที่กินคน!"หลี่เม่าพูดพร้อมพยายามกระทืบเท้าตนเองเพื่อสื่อถึงความหวาดกลัวและความตกใจของตนเองครั้งนี้หยวนเป่าและหัวหน้าหมู่บ้านก็เข้าใจเสียทีเสือ?บ้านซินเยว่มีเสือ?ไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม พระเจ้า!!"แล้วพวกหลางฮุยล่ะ?""มีเสือตัวใหญ่ขนาดนั้นอยู่ พวกหลางฮุยใครจะกล้าแตะต้องคนของตระกูลซู เสือตัวนั้นไม่กินพวกหลางฮุยก็ดีแค่ไหนแล้ว" หลี่เม่ามองหยวนเป่าอย่างไร้คำบรรยาย ไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงถามคำถามที่โง่เขลาเช่นนี้ออกมาได้กลับเป็นหยวนเป่าที่พยักหน้าราวกับตรัสรู้ในอะไรบางอย่าง เท้าที่คิดจะก้าวออกไปเมื่อสักครู
ตอนที่ซูฟาเสียงมาหาเรื่องในช่วงปีใหม่ ซูจื่อหังเคยพูดบอกเรื่องที่จะสร้างบ้านใหม่กับเขาไป ตอนนั้นชายหนุ่มยังเจาะจงพูดถึงเรื่องบ้านใหม่ที่จะสร้างให้ห่างจากลานบ้านของตระกูลซูด้วย เพื่อป้องกันเวลาที่เขากับถูซินเยว่ไม่อยู่ นางหยูจะถูกรังแกอีกเพียงแต่ แม้ว่าซูจื่อหังจะคิดเช่นนั้น และปรึกษากับถูซินเยว่แล้ว แต่ทว่าทั้งคู่เดินสำรวจรอบหมู่บ้านหนึ่งวันเต็มๆ ก็ไม่เจอพื้นที่ที่เหมาะจะสร้างบ้านใหม่หมู่บ้านต้าเย่แบ่งเป็นฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่มาก แต่จะว่าเล็กก็ไม่เล็กตอนนี้บ้านที่พวกเขาอาศัยอยู่ แม้ว่าจะอยู่ท้ายหมู่บ้าน แต่ด้านหลังติดกับภูเขา และหน้าหันเข้าหาธารน้ำ ทัศนวิสัยกว้างไกล ทิวทัศน์ก็นับว่าดี ข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือ บ้านขนาดเล็กไปหน่อย และรอบๆ ก็มีญาติพี่น้องแย่ๆ อาศัยอยู่เดินมาทั้งวันแต่ไม่ได้อะไรกลับมาเลย ตกเย็นตอนที่กำลังกลับบ้าน ถูซินเยว่ก็ปลอบใจซูจื่อหังว่า "ไม่เป็นไร วันนี้หาไม่เจอ พรุ่งนี้ค่อยไปหาใหม่ หรือลองไปถามหัวหน้าหมู่บ้านดูว่ามีบ้านไหนจะขายที่ดินไหม""อื้อ เอาตามที่เจ้าว่านั่นแหละ" ซูจื่อหังพยักหน้าเขานั้นไม่ได้รีบร้อน เพียงแต่ใกล้จะถึงฤดูใบ
ทั้งคู่เดินถึงหน้าประตู ปะเหมาะเวลานี้ จวนแม่ทัพหลิ่วก็มีคนเดินออกมาเช่นกัน"คนนี้ก็คือใต้เท้าซูที่เจ้าชอบอย่างงั้นหรือ" ฮูหยินหลิ่วเหลียวมองบุตรีซึ่งอยู่ข้างกาย สื่อเป็นนัยให้อีกฝ่ายอย่าได้วู่วามทุกวันนี้คราใดที่หลิ่วโหรวโหรวเห็นถูซินเยว่กับซูจื่อหังเดินมาด้วยกัน ด้วยท่าทีรักใคร่ปรองดอง นางจะรู้สึกเดือดดาลในใจ ราวกับภูเขาไฟที่ใกล้ระเบิดกระนั้นนางทำเสียงฮึดฮัด "ถูซินเยว่มีวันนี้ได้ ก็เพราะอาศัยบารมีซูจื่อหัง แต่คอยดูไปเถิด หญิงบ้านนอกเช่นนาง ใหม่ ๆ ยังพอทำให้ซูจื่อหังพอใจได้บ้าง แต่พอนานวันเข้า ได้เห็นสาวงามในเมืองหลวงมากมาย ความรักของพวกเขายังมั่นคงเหมือนแต่ก่อนได้อีก ก็แสดงว่าผิดมนุษย์แล้ว"ฮูหยินหลิ่วแสดงท่าทีนิ่งเฉยแต่บุตรีพูดก็มีเหตุผล ผู้ชายในโลกนี้น้อยนักที่จะไม่คิดได้ใหม่ลืมเก่า ยกตัวอย่างเช่นสามีของนาง ในอดีตก็เคยให้คำมั่นสัญญา ว่าแม้เป็นหรือตายก็จะขอรักอดีตคนรักเพียงผู้เดียว แต่พอบ้านเขาประสบภาวะเดือดร้อน สุดท้ายก็มาเลือกแต่งงานกับตน จนบัดนี้ลืมหน้านังคนแพศยานั่นไปถึงไหนต่อไหนแล้วแสดงว่าความจริงใจของผู้ชายคือสิ่งที่ไร้ประโยชน์ปกติเสแสร้งทำเป็นรักมั่นจริงใจ แต่พอเอ
หากซูจื่อหังไม่รังเกียจถูซินเยว่แล้วล่ะก็ งั้นต่อให้หลิ่วโหรวโหรววทุ่มเทแรงกายแรงใจมากแค่ไหนก็ตาม เกรงว่าก็คงไม่สามารถเข้าไปในจวนสกุลซูได้ดั่งใจปรารถนาหรอกแต่น่าขําที่ลูกสาวคนนี้ของนางกลับไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้เลย รู้แต่ไปเหยียดหยามถูซินเยว่อย่างโง่เขลาเท่านั้นนี่ถ้าทําให้ถูซินเยว่อับอายต่อหน้าทุกคนก็ว่าไปอย่าง แต่นี่กลับยังโดนถูซินเย่วตอบโต้กลับมาจนขายหน้า นี่ไม่ใช่เป็นการตบหน้าตัวเองหรือไง?เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฮูหยินหลิ่วก็ไม่อยากเห็นหน้าลูกสาวคนนี้แม้แต่นิดนางขมวดคิ้ว จู่ ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้และอดไม่ได้ที่จะพูดว่า "ใช่แล้ว เรื่องนี้ข้ายังไม่ได้บอกพ่อเจ้า ถ้าพ่อเจ้ารู้ ดูสิว่าเขาจะสั่งสอนเจ้ายังไง เจ้าระวังตัวหน่อย"ภายใต้การเกลี้ยกล่อมและคําเตือนของฮูหยินหลิ่ว ในที่สุดหลิ่วโหรวโหรวก็หลับตาลง นางนั่งอยู่บนที่นั่งของตัวเองอย่างเซ็ง ๆ ทั้งหน้ามีแค่อารมณ์เดียวนั่นก็คือ นางไม่มีความสุขฮูหยินหลิ่วถอนหายใจอย่างจนใจ แล้วเงยหน้ามองฝั่งตรงข้าม ตําแหน่งของนาง มีเพิงดอกไม้อยู่ตรงกลางบดบังร่างของถูซินเยว่พอดี ดังนั้นนางจึงเห็นเพียงโครงร่างผ่านเถาวัลย์อย่างคลุมเครือเท่
วันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงเชิญตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ก่อนมาซูจื่อหังเคยพูดกับนางว่า เขากับตระกูลจางเข้ากันได้ดีในราชสํานัก ดังนั้นวันนี้ ถูซินเยว่ก็ไม่อยากสร้างปัญหาอะไรให้กับตระกูลจาง เพื่อไม่ให้คนอื่นรู้สึกว่าพวกเขาไม่มีมารยาทเห็นเหล่าฮูหยินกับหลิ่วโหรวโหรวเพิ่งเยาะเย้ยเธอเมื่อครู่ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ถูซินเยว่ก็สบายใจไม่น้อย ก้มหน้าก้มตากินอาหารด้วยตัวเองไม่สนใจใครทั้งนั้นในขณะที่เธอกําลังกินอย่างมีความสุข จู่ ๆ ก็มีคนผลักแขนของเธอเบา ๆถูซินเยว่นิ่งงันไปพักหนึ่ง หันหน้ากลับไปอย่างสงสัยใคร่รู้ เห็นหญิงสาวในชุดสีเหลืองคนหนึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ กําลังใช้ดวงตากลมโตจ้องมองเธออย่างอยากรู้อยากเห็นดวงตาของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและไร้เดียงสา แต่กลับไม่มีเจตนาร้ายเลยแม้แต่น้อยถูซินเยว่เคยเห็นคนมามากมาย เรื่องเหล่านี้เธอยังพอสามารถมองออกได้ตั้งแต่แรกเห็นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีเจตนาร้าย ท่าทีของเธอก็อ่อนโยนลงมาก"ไม่ทราบว่าแม่นางมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?"ถ้าเธอจําไม่ผิด คนที่นั่งข้างเธอเมื่อกี้น่าจะเป็นผู้หญิงที่เยาะเย้ยเธ
ถูซินเยว่ชะงัก และรู้สึกตลก เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายก็รู้สึกประหลาดใจ ตอนที่ออกจากมาตอนเช้า เธอได้สวมใส่เครื่องประดับมาหลายชิ้นจริงๆแต่ระหว่างทาง ถูซินเยว่รู้สึกว่าต่างหูระเกะระกะเกินไป จึงแอบถอดมันออกและวางไว้บนรถม้าคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าในงานเลี้ยงจะมีคนไม่กินไม่ดื่ม แต่หันมาจับจ้องที่เครื่องหัวของตนเองแทนถูซินเยว่ยื่นมือไปจับที่ผมของตนเองอัตโนมัติ จากนั้นก็พูดเสียงราบเรียบว่า "ในเมื่อวันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพ แขกสำคัญจึงเป็นตระกูลจาง แล้วเหตุใดข้าจักต้องแต่งตัวให้ดูดีขนาดนั้น""จนก็ยอมรับว่าจนเถอะ จะหาเหตุผลอะไรมาอ้างมากมายไปทำไม ในที่นี้ใครไม่รู้บ้างว่าพวกเจ้ามาจากบ้านนอก ข้าเองก็แค่รู้สึกเสียดายแทนใตเท้าซูเท่านั้น ทั้งที่มีมีอนาคตอันดี หากแต่งงานกับบุตรสาวขุนนางสักคน ก็คงยิ่งช่วยส่งเสริมให้เจริญก้าวหน้า แต่กลับเลือกจะเฝ้าอยู่แค่หญิงชาวบ้านเฉกเช่นเจ้า..."ประโยคหลังแม้ว่าจะไม่ได้พูดต่อจนจบ แต่ก็สามารถเข้าใจได้ถึงแม้บนใบหน้าของถูซินเยว่จะแสดงสีหน้าใดๆ แต่สาวรับใช้ที่อยู่ข้างๆ สีหน้าย่ำแย่มากแล้วนางอาศัยอยู่ที่ตระกูลซูมานาน ก็พอจะรู้ว่าถูซินเยว่ไม่ได้ไม่มีเงิน และเงินส่วนใ
ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในหมู่บ้านต้าเย่ เพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือเพราะผลประโยชน์อันน้อยนิด แม้เป็นครอบครัวเดียวกัน ก็ยังสามารถโกรธแค้นกันจนตัดญาติขาดมิตรไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นใด แค่ในตระกูลถู เพียงเพื่อสินสอดของตระกูลเหลียง ถูชิวหลานก็ดันทุรังจะสับเปลี่ยนตัวเธอกับลูกสาว ภายหลังยังไม่ยอมรับด้วย แถมยังผลักไสความผิดทุกอย่างไปที่เจ้าของร่างหากเธอไม่ได้ข้ามิติมาอยู่ในร่างของเจ้าของร่างซื่อบื้อคนนั้น นางจะใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลซูอย่างไร เกรงว่าคงเหลือแต่เสี้ยววิญญาณแล้วอย่างด้านซูเฟิ่งอี๋ในตระกูลซู ตอนนั้นพวกเขาเองก็หวงแหนเงินเล็กๆ น้อยๆ เห็นชีวิตนางหยูกำลังตกอยู่ในอันตรายก็ยังไม่ยอมรักษาให้นางเรื่องราวของญาติสนิทมิตรสหายที่ทำร้ายคนใกล้ตัวเพียงเพื่อผลประโยชน์และเงินทองมีมากมายเกินกว่าจะพูด ขนาดบ้านเธอยังเป็นเช่นนี้ แล้วต้าฉีที่มีบ้านสกุลมากมายขนาดนี้ล่ะชาวบ้านธรรมดาทั่วไป อาจทำไปเพื่อเงินทอง แต่องค์ชายสามกับองค์ชายใหญ่ กลับทำเพื่อแก่งแย่งแผ่นดิน ขนาดที่เป็นการต่อสู้เพื่อความเป็นความตาย และไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้ใคร ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้"ชีวิตคนเรามีหลายเรื่องที่มักไม่เป็นดังที่หวัง ข
"วันนี้เป็นงานเลี้ยงของตระกูลจาง ข้าก็นึกว่าเจ้าจะพูดคุยเรื่องอะไรกับข้า คาดไม่ถึงว่าจะใช้เรื่องนี้มาข่มขู่ข้าในที่ๆ ไม่มีคนเช่นนี้?"ชายผู้นั้นหัวคิ้วกระตุก รีบก้มศรีษะลงแล้วพูดว่า "กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่กระหม่อมทราบว่าองค์ชายสามเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่ไหนแต่ไรมา การที่บุตรสายตรงรับสืบราชบัลลลังก์ต่อก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แล้วไฉนองค์ชายสามจึงมิตั้งใจเป็นข้าราชบริพานบริสุทธิ์ คอยค้ำจุนเสด็จพี่ของพระองค์เล่าพ่ะย่ะค่ะ?"ฉีหวานหัวดราะเสียงดัง น้ำเสียงเย็นเยือกลงฉับพลัน เขาสะบัดแขนเสื้อ พร้อมสีหน้าเย็นชา "แม่ทัพหลิ่วพูดเช่นนี้ ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ตอนที่ข้าพบกับมือสังหารไล่เอาชีวิตตอนที่รีบเดินทางกลับมาจากเป่ยเจียงอันไกล แม้วันนี้ข้าไม่พูด เชื่อว่าท่านแม่ทัพเองก็คงทราบดีว่าเป็นฝีมือของใคร?"ถูซินเยว่ที่นั่งอยู่ในศาลาชะงักงัน ที่แท้คนที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับฉีหวานก็คือแม่ทัพหลิ่วนี่เอง หากนางจำไม่ผิดละก็ ก่อนหน้านี้ที่หน้าประตูตระกูลจาง ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ หลิ่วโหรวโหรวก็คือแม่ทัพหลิ่วผู้นี้สินะ?เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ถูซินเยว่ก็รู้สึกเซ็งขึ้นมา ถ้ารู้แต่แรกว่าพวกเขาจะคุยกันเรื่
หลิ่วโหรวโหรวก็มองเห็นพวกเขาเช่นกัน และเมื่อนึกถึงความสนิทสนมของถูซินเยว่และซููจื่อหังวันนั้นในจวนซู นางก็กำหมัดแน่นแม่ทัพหลิ่ว หลิ่วถิง เมื่อเห็นว่าบุตรสาวของตนเองอยู่ๆ ก็หน้าตาไม่สดใส ทั้งที่เมื่อสักครู่ยังดีอกดีใจ ก็ขมวดคิ้วถามว่า "เป็นอะไรไป? มีคนรู้จักรึ?""เจ้าค่ะ..." หลิ่วโหรวโหรวกำลังจะอ้าปากพูด ฮูหยินหลิ่วที่อยู่ข้างๆ ก็ผลักนาง และส่งสายตาให้กับอีกฝ่ายหลิ่วโหรวโหรวจึงได้แต่หุบปากเงียบอย่างไม่พอใจนักฮูหยินหลิ่วเดินไปข้างๆ หลิ่วโหรวโหรวอย่างเงียบๆ กระตุกแขนเสื้อของบุตรสาวและพูดเตือนเสียงเบาว่า "เจ้าอย่าได้พูดถึงเรื่องของตระกูลซูอีก หากเจ้าพูดถึงอีกข้าจะไม่ยกโทษให้เจ้า! เมื่อกี้เจ้าไม่เห็นฮูหยินตระกูลซูหรือย่างไร? นางท้องโตขนาดนั้นแล้ว! เจ้าคิดจะไปเป็นภรรยาน้อยของคนอื่นหรือ? พูดออกไปรังแต่จะกลายเป็นเรื่องตลก!"หลิ่วโหรวโหรวสีหน้าย่ำแย่ทันทีแม้ว่าซูจื่อหังมีภรรยาหลวงอยู่แล้ว แต่ในใจนางนั่นก็เป็นเพียงหญิงบ้านนอกที่เทียบกับตนเองไม่ได้เลยด้วยซ้ำ นางซึ่งเป็นบุตรีสายตรงของจวนแม่ทัพ จะตกเป็นรองอยู่เป็นภรรยาน้อยของซูจื่อหังหรืออย่างไร?ลำพังแค่คิด นางก็ไม่ต้องการหลิ่วโหรวโหร
ขณะที่ถูซินเยว่กำลังยุ่งอยู่กับการเปิดร้านขายเครื่องประดับ และนางหยูกำลังกังวลเรื่องลูกค้าอยู่นั้น เทียบเชิญฉบับหนึ่งก็ได้ส่งมาถึงที่บ้าน"เป็นงานฉลองวันเกิดของมารดาเฒ่าตระกูลจางจากเสนาบีดีกระทรวงการคลัง"ถูซินเยว่ถือเทียบเชิญไว้ในมือและยิ้มอย่างประหลาดใจ "ในเมืองหลวงแห่งนี้ข้านั้นไม่ได้รู้จักใครเลยสักคนหนึ่ง แต่นึกไม่ถึงว่าตระกูลจางจะส่งเทียบเชิญมาให้ข้า"สามีของตนเองก็เป็นข้าราชการขั้นเจ็ดเล็กๆ คนหนึ่ง แม้ว่าตระกูลจากจะไม่ใช่ข้าราชการชั้นสูง แต่ก็เป็นข้าราชการขั้นห้า และบรรพบุรุษก็ล้วนเป็นข้าราชการทั้งนั้น ซึ่งก็นับว่าเป็นตระกูลที่มีคุณธรรมสูงส่งการที่ส่งเทียบเชิญมาให้พวกเขาในงานเลี้ยงวันเกิดเช่นนี้ ก็เรียกได้ว่าไม่ได้ดูถูกพวกเขาเพียงแต่ คนในยุคโบราณส่วนมากจะดูแคลนคนทำธุรกิจ หากตนเองไปร่วมงานละก็ จะทำให้พวกเขารู้ว่าภรรยาของซูจื่อหังเป็นหญิงทำมาค้าขาย ก็ยากที่จะไม่ดูแคลนเดิมทีถูซินเยว่ไม่อยากไป แต่คาดไม่ถึงว่าซูจื่อหังจะหันมากุมมือเธอไว้ ยิ้มแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจนักว่า "บุตรชายของใต้เท้าจางสนิทกับข้า ภรรยาของข้าเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์มากที่สุดในใต้หล้า ไม่ว่าทำอะไรก็ดีทั้งนั้น แล
สำหรับถูซินเยว่แล้ว จะเป็นลูกผู้ชายหรือผู้หญิงก็ไม่เป็นไร สิ่งสำคัญคือ การที่ลูกน้อยสามารถคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัยเพราะในยุคโบราณการที่ผู้หญิงคลอดลูกนั้นเปรียบเสมือนการเดินไปขอบประตูนรก ดังนั้นการที่สามารถให้กำเนิดลูกได้อย่างปลอดภัยถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย เธอจึงไม่คาดหวังอย่างอื่นอีกแต่ว่าช่วงนี้เธอมักจะถูกนางหยูล้างสมองอยู่บ่อยๆ จนถูซินเยว่เองก็คิดว่าท้องนี้อาจจะเป็นลูกผู้ชายก็ได้เป็นผู้ชายก็ดี เพราะความคิดปิดกั้นในยุคโบราณนั้นสร้างความลำบากให้กับหญิงสาวอย่างมาก หากเป็นเด็กผู้ชาย ก็สามารถลดความลำบากหลายๆ อย่างให้เธอได้ไม่น้อยเดิมทีถูซินเยว่อยากจะถามฉงเป่าว่าในท้องตนเองนั้นเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิงกันแน่ ซึ่งตามปกติแล้วขอเพียงเอาของกินมาล่อนิดล่อหน่อย ฉงเป่าก็ยอมพูดทุกอย่าง มีเพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวที่ไม้ว่าถูซินเยว่ถามอย่างไร อีกฝ่ายก็ไม่ยอมบอก"อย่างไรเสียลูกก็อยู่ในท้องของข้า เจ้าจะบอกหน่อยมิได้หรือว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง? ถึงเจ้าพูดมา ด้วยเงื่อนไขการรักษาแบบนี้ข้าก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้มิใช่หรือไง?"อีกอย่าง ถูซินเยว่เองก็ไม่มีความคิดการให้ความสำคัญชายมากกว่าหญิงด