แววตาเหลียงปินดุร้ายดั่งสัตว์ร้าย ราวกับจะกลืนกินนางเข้าไปถูหมิงซวนกระชับเสื้อแน่น ไม่กล้าปริปากสักคำทว่าเหลียงปินกลับสูดหายใจเข้าแล้วถุยน้ำลายและพูดว่า "เกิดอะไรขึ้นกันแน่ พวกท่านก็ลองถามนังแพศยาดูเอาเองก็แล้วกัน"สิ่งที่เกิดขึ้นตรงคันนาเมื่อสักครู่ เหลียงปินพูดไม่ออกจริงๆ ลำพังแค่นึกถึงถูหมิงซวนเสื้อผ้าหลุดรุ่ย หัวไหล่กลมกลึงเบียดเสียดบนร่างกายของซูจื่อหัง เขาก็รู้สึกว่าเลือดในร่างกายเดือดพล่าน เขาอันเบอเริ่มสวมทับอยู่บนศรีษะจนเขาแทบหายใจไม่ออกที่ผ่านมาเหลียงปินอาศัยว่าตนเองมีเงิน แม้ว่าจะมีการวางตัวแบบคนรวย มักดูถูกคนอื่น และการพูดการจาหยิ่งยโส แต่ก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่โกรธมากขนาดนี้มาก่อนเมื่อเห็นท่าทางของเหลียงปิน ถูชิวหลานก็กระพริบตา และเกิดคำถามขึ้นในใจนางก้มมองถูหมิงซวน ถามด้วยความเป็นห่วงว่า "หมิงซวนลูก เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ตอนเช้าเจ้าบอกจะไปเดินย่อยมิใช่หรือ? แล้วทำไมถึงถูกสามีเจ้าลากกลับมาแบบนี้?"ในความคิดของนางเข้าใจว่าทั้งคู่อาจจะทะเลาะกันสามีภรรยาทะเลาะกันเป็นเรื่องปกติ ขนาดฟันกับลิ้นก็ยังกระทบกระทั่งกันบ่อยๆ แต่ไม่นานก็คืนดีกัน ถูชิวหลานจึงไม่ได้คิดมากกับเรื
แม่เฒ่าตระกูลถูพูดง่าย ทว่าเหลียงปินกลับมองหญิงสาวที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสายตาเย็นชาตอนนี้แตกต่างไปจากในตอนพบกันแรกๆ เพราะถูหมิงซวนได้กลายเป็นคนของเขาแล้ว ทั้งคู่แต่งงานกันมากว่าครึ่งปีแล้วดังนั้นถูหมิงซวนจึงไม่ได้เป็นหญิงสาวอันเป็นที่รักก่อนแต่งงานของเขาอีกแล้วแล้วตอนนี้อีกฝ่ายยังทำเรื่องไร้ยางอายแบบนี้อีก นั่นทำให้เหลียงปินรู้สึกว่าเลือดยุงบนกำแพงสีขาวยังน่าดูกว่าถูหมิงซวนเสียอีก"วันนี้ที่ข้ามา เดิมทีก็ตั้งใจจะมารับนางกลับไป แต่ตอนนี้คงไม่ต้องแล้ว ที่ข้าลากนางมาที่นี่ ก็เพื่อที่จะบอกพวกท่านให้ชัดเจนแจ่มแจ้งว่า ตระกูลเหลียงไม่ต้องการภรรยาสำส่อนใจง่ายเช่นนี้! เรื่องอื่นไม่มีอะไรให้ต้องคุย"น้ำเสียงของเหลียงปินแน่วแน่แม่เฒ่าตระกูลถูถูกฉีกหน้า สีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นทมึงทึง และไม่น่ามองนักความโกรธหลอมรวมอยู่ในดวงตาของอีกฝ่าย นางขมวดคิ้วและพูดว่า "เหลียงปิน ตอนที่เจ้าขอหมิงซวนแต่งงาน เจ้าไม่ได้บอกกับพวกเราเช่นนี้นะ"ไอเดียแลกตัวถูซินเยว่กับถูหมิงซวน เหลียงปินเป็นคนเสนอ โดยตระกูลเหลียงยอมจ่ายเงินสินสอดเป็นสองเท่า จึงทำให้คนในบ้านตระกูลถูหวั่นไหวเรื่องนี้จึงเป็นอันตกลงตามนั้
ขณะที่กำลังคุยกัน ถูซานก็พาหมอหลี่เดินออกมาอย่างเร่งรีบ ตอนที่เดินผ่านถูซินเยว่ ถูซานหันไปถามว่า "ซินเยว่ เจ้าจะไปดูอาการพี่สาวไหม?"ถูซินเยว่ส่ายหัวเดิมทีเธอกับถูหมิงซวนก็ไม่กินเส้นกันอยู่แล้ว การไปในเวลาแบบนี้มีแต่จะยิ่งสร้างความวุ่นวาย อีกอย่างที่ถูหมิงซวนกลายเป็นแบบนี้ คาดว่าคงจะเกี่ยวข้องกับเรื่องในตอนเช้าด้วย ถ้าเธอไป ถูชิวหลานคงได้หาเรื่องจนบ้านแตกแน่ๆเมื่อคิดถึงตรงนี้ถูซินเยว่ก็ส่ายหน้าและพูดว่า "ไม่ไปดีกว่า ตอนนี้กำลังวิกฤต ท่านพ่อรีบพาหมอหลี่กลับไปก่อนเถอะ""อืม" ถูซานก็ไม่บังคับเธอ เขามองซูจื่อหังที่อยู่ข้างๆ ทีหนึ่ง เหมือนมีบางอย่างอยากจะถามแต่หมอหลี่เร่งเร้าแล้ว "อย่ามัวรีรออยู่เลย รีบพาข้าไปเถอะ!""เข้าใจแล้ว" เมื่อถูกหมอหลี่พูดตัดขึ้นมา ถูซานก็ไม่พูดอะไรต่อ รีบพาหมอหลี่เดินจากไปอย่างเร่งรีบขณะมองดูแผ่นหลังของถูซาน ซูจื่อหังก็ส่ายหน้าอย่างจนใจ ถูซินเยว่ที่อยู่ข้างๆ จึงพูดหยอกล้อว่า "ท่าทางเรื่องเมื่อเช้านี้ ทำให้ท่านพ่อท่านแม่ไม่พอใจเจ้าแล้วนะ"เรื่องที่คันนาเมื่อเช้าเป็นความผิดของตนเองจริงๆ หากตนเองไม่มัวแต่พะวงกลัวว่าจะทำให้ถูหมิงซวนเจ็บ ไม่ได้ออกแรงผลักอีกฝ
ไม่เพียงเท่านี้ บนร่างกายของอีกฝ่ายยังมีแผลที่อื่นด้วย บริเวณขาหลังกับตัวทีรอยแผลจากการถูกกรงเล็บข่วน แผลบางจุดลึกจนมองเห็นกระดูก"เสี่ยวหวง เจ้าไปทำอะไรมา?" ใบหน้าของถูซินเยว่เต็มไปด้วยความตกใจ ซูจื่อหังเองก็ก้มตัวลง ตรวจดูแผลบนตัวของเสี่ยวหวงด้วยเช่นกัน จากนั้นก็ขมวดคิ้วและพูดว่า "รอยแผลพวกนี้เป็นรอยแผลของกรงเล็บเสือ""เล็บเสือ?"ถูซินเยว่ชะงักไปครู่หนึ่งเสียงร้องอ่อนแรงดังขึ้นจากปากของเสี่ยวหวง มันใช้หัวถูไปมาที่ฝ่ามือของถูซินเยว่ทีหนึ่ง จากนั้นก็เข้าใกล้หญิงสาว ดูแล้วน่าเห็นใจและน่าสงสารเป็นอย่างมากภาพของเสือในป่าที่แย่งชิงตำแหน่งเจ้าป่ากันแล่นผ่านในสมองของถูซินเยว่ทันที ดูท่าเสี่ยวหวงถูกเสือตัวอื่นรังแกเข้าให้เสียแล้ว โบราณก็ว่าไว้ว่าเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ เมื่อก่อนยอดภูเขาลูกนี้น่าจะเป็นอาณาเขตของเสี่ยวหวง หรือว่ามีเสือที่มาจากที่อื่น?เสี่ยวหวงพูดไม่เป็น ถูซินเยว่ก็ไม่สามารถสื่อสารกับอีกฝ่ายได้ จึงได้แต่รีบหยิบเอาน่องแพะจากตะกร้าออกมายื่นให้เสี่ยวหวงกินน้ำพุศักดิ์สิทธิ์สามารถฟื้นฟูชีวิต และมีผลดีต่อการรักษาบาดแผลหลายอย่าง เสี่ยวหวงมีแผลมากมายขนาดนี้ ถ้าได้กินน
ถูหมิงซวนทำผิดไว้มากมาย แต่เด็กในท้องของอีกฝ่ายไม่ได้รับรู้อะไรด้วย และถูซินเยว่ก็ไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นกับเด็กในท้องของนาง“ไม่เป็นไร” นางหลินส่ายหัวพูดขึ้นว่า “โชคดีที่หมอหลี่มาได้ทันเวลา เด็กในท้องปลอดภัยแล้ว”พูดจบ นางหลินก็เหลือบมองถูซินเยว่ และเล่าเรื่องเมื่อวานนี้ที่เหลียงปินมาอาละวาดที่บ้านตระกูลถูให้ฟัง ในตอนท้ายนางก็ถอนหายใจพูดขึ้นว่า "เหลียงปินตั้งใจแน่วแน่ว่าไม่อยากจะอยู่กับหมิงซวนต่อไปแล้ว แต่ทว่าตอนนี้หมิงซวนกำลังตั้งครรภ์อยู่ ตระกูลเหลียงไม่อยากเสียเด็กในท้องไป เรื่องนี้ก็เลยเป็นอันต้องจบไป"ถูซินเยว่พยักหน้า รู้สึกโล่งใจที่ได้ยินว่าเด็กปลอดภัยดี แต่สำหรับถูหมิงซวนนั้น เธอไม่ได้สนใจอะไรท้ายที่สุดแล้ว อีกฝ่ายจะเป็นเช่นไรก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตนเลยแม้เเต่น้อยถูซินเยว่ไม่เหมือนถูหมิงซวนที่มักจะคาดหวังให้สิ่งเลวร้ายเกิดกับผู้อื่นเพียงเพราะความแค้น!นางหลินมาที่นี่เพียงเพื่อดูว่าถูซินเยว่และจื่อหังใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเป็นอย่างไรบ้าง และถือโอกาสถามอีกฝ่ายเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อวาน เมื่อเห็นว่าทั้งสองเข้ากันได้ดี และซูจื่อหังไม่ได้ทำอะไรนอกลู่นอกทาง ตนก็วางใจทันที“อ้อ ต
"พี่ซินเยว่ พี่ดูปลาตัวนี้ว่ายอยู่ในกะละมังนี่สิ!" เสี่ยวเป้ยพูดพลางตบมือ เมื่อเจอของเล่นสนุก ๆ เขาก็ลืมมันเผาที่อยู่บนเตาไปเสียสนิทถูซินเยว่หัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า "งั้นเจ้าก็ตั้งใจเลี้ยงมันให้ดี เลี้ยงให้กลายเป็นปลาตัวใหญ่ ๆ เลย""อื้ม!" เสี่ยวเป้ยรีบพยักหน้าอย่างแข็งขัน กอดชามในมือตัวเองอย่างทะนุถนอมซูจื่อหังจับปลากลับมาก็ไปทำกับข้าว ส่วนถูซินเยว่ก็ทำปลาอยู่ข้างนอกนางหยูก็พาภรรยาของหยวนเป่ามาพอดีเมื่อภรรยาของหยวนเป่าได้ยินว่าทำปลาแค่หนึ่งชั่วยามก็ได้เงินตั้งยี่สิบอีแปะ ก็พยักหน้าตกลงปกตินางอยู่ที่บ้านก็ไม่ค่อยมีอะไรทำ ได้แต่ซักเสื้อผ้า หุงข้าวไปวัน ๆ ตอนนี้มีโอกาสหาเงินได้ ก็ดีใจจนบรรยายไม่ถูกเมื่อเดินตามนางหยูเข้ามา พอเห็นปลาตัวน้อย ๆ มากมายอยู่ในถัง ภรรยาของหยวนเป่าก็ตกตะลึงขึ้นมาทันที"โอ้โห ซินเยว่ ไปจับปลาตั้งเยอะตั้งแยะขนาดนี้มาจากไหนกัน!"ปลาเต็มถังขนาดนี้ ดู ๆ ไปก็น่ากลัวเอาเรื่องอยู่ถูซินเยว่ยิ้มอย่างมีเลศนัย พูดขึ้นว่า "ก็ไปจับมาจากอ่างเก็บน้ำน่ะสิ ไม่งั้นข้าจะไปเอามาจากไหนได้?"จับมาจากอ่างเก็บน้ำ.....ซินเยว่นี่มันช่างเก่งกาจเกินมนุษย์ไปแล้ว!ภรรยาข
ถูซินเยว่นั่งอยู่บนหินก้อนใหญ่ ซูจื่อหังที่นั่งอยู่ข้างพูดปลอยใจเธอว่าอย่าเพิ่งวิตกกังวลไปหลังจากที่ทั้งสองรอไปได้สักพักหนึ่ง เสี่ยวหวงก็วิ่งออกจากพุ่มไม้ สิ่งที่ทำให้ถูซินเยว่ประหลาดใจคือวันนี้อาการบาดเจ็บของอีกฝ่ายรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมแผลเก่าเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมายังไม่หายดี ตอนนี้ก็มีแผลใหม่เข้ามา“เสี่ยวหวง” ถูซินเยว่ลูบหัวเสี่ยวหวงด้วยความสงสารจับใจมีบาดแผลที่ขาหลังทั้งสองข้างของเสี่ยวหวง และมีรูกัดที่ด้านข้างคอของมันซึ่งลึกจนเห็นกระดูก ส่วนขนบนตัวนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ขนแหว่งเป็นหย่อมตรงนั้นตรงนี้ ดูน่าสงสารอย่างยิ่ง“โฮก....” เสี่ยวหวงนั่งลงบนขาของถูซินเยว่ ท่าทางเหมือนเด็กที่กำลังเสียใจเมื่อเห็นท่าทางของเสี่ยวหวง ถูซินเยว่ก็รีบเอาน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ออกมาจากกระบอกน้ำให้เสี่ยวหวงดื่ม“ท่านพี่ ข้าว่าเราพาเสี่ยวหวงกลับไปที่บ้านเถอะ" หลังจากลังเลอยู่นาน จู่ ๆ ถูซินเยว่ก็หันไปเอ่ยความในใจที่อยากพูดมานานเดิมทีเธอคิดว่าซูจื่อหังจะปฏิเสธทันที แต่ที่ไหนได้ เธอไม่คาดคิดว่าเขากลับพยักหน้าและพูดขึ้นว่า "ได้"เสี่ยวหวงบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ หากยังอยู่บนเขาต่อไป มีหวังคราวหน้ามาคงไม
ถูซินเยว่จับนางหยูให้นั่งลงบนม้านั่ง จากนั้นก็พยายามอธิบายอยู่นาน ผ่านไปครู่ใหญ่ นางหยูจึงได้สติกลับมา เบิกตาโพลง นิ้วมือสั่นระริก ถามขึ้นว่า "สรุปก็คือซินเยว่เจ้าเป็นเพื่อนกับเสือตัวนี้งั้นหรอ แถมมันยังเคยช่วยชีวิตเจ้าไว้ด้วย?""ใช่" ถูซินเยว่พยักหน้าอย่างขมีขมันนางหยูตกตะลึงจนพูดไม่ออกแม้ว่านางจะเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว แต่จะให้ยอมรับความจริงให้ได้ เกรงว่าคงต้องใช้เวลาอีกสักพักซูจื่อหังตบหลังนางหยูเบา ๆ พูดขึ้นว่า "ท่านแม่วางใจเถอะ เสือตัวนี้ไม่ทำร้ายคน หากไม่ใช่เพราะมันครั้งที่แล้วซินเยว่ก็คงไม่ได้มีโอกาสกลับมาบ้านอีก ลูกเองก็คุ้นเคยกับเสือตัวนี้เป็นอย่างดี ท่านวางใจเถอะนะ"ขณะที่พูดอยู่นั้น เสี่ยวหวงก็เลียน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ในถ้วยจนหมด มันเดินชูคอออกมาจากในบ้าน เมื่อเดินมาถึงนางหยู มันก็ส่งเสียงโฮกขึ้นมาหนึ่งที จากนั้นก็ถอยไปถูขากางเกงของถูซินเยว่ สองตาจ้องมองไปยังนางหยูที่อยู่ฝั่งตรงข้ามนางหยูตกใจจนวิญญาณเกือบจะหลุดออกจากร่าง ร่างกายสั่นเทา ต้องใช้เวลานานกว่าจะได้สติกลับคืนมาถูซินเยว่เห็นท่าทางที่หวาดกลัวของนางหยู ก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแต่นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
ทั้งคู่เดินถึงหน้าประตู ปะเหมาะเวลานี้ จวนแม่ทัพหลิ่วก็มีคนเดินออกมาเช่นกัน"คนนี้ก็คือใต้เท้าซูที่เจ้าชอบอย่างงั้นหรือ" ฮูหยินหลิ่วเหลียวมองบุตรีซึ่งอยู่ข้างกาย สื่อเป็นนัยให้อีกฝ่ายอย่าได้วู่วามทุกวันนี้คราใดที่หลิ่วโหรวโหรวเห็นถูซินเยว่กับซูจื่อหังเดินมาด้วยกัน ด้วยท่าทีรักใคร่ปรองดอง นางจะรู้สึกเดือดดาลในใจ ราวกับภูเขาไฟที่ใกล้ระเบิดกระนั้นนางทำเสียงฮึดฮัด "ถูซินเยว่มีวันนี้ได้ ก็เพราะอาศัยบารมีซูจื่อหัง แต่คอยดูไปเถิด หญิงบ้านนอกเช่นนาง ใหม่ ๆ ยังพอทำให้ซูจื่อหังพอใจได้บ้าง แต่พอนานวันเข้า ได้เห็นสาวงามในเมืองหลวงมากมาย ความรักของพวกเขายังมั่นคงเหมือนแต่ก่อนได้อีก ก็แสดงว่าผิดมนุษย์แล้ว"ฮูหยินหลิ่วแสดงท่าทีนิ่งเฉยแต่บุตรีพูดก็มีเหตุผล ผู้ชายในโลกนี้น้อยนักที่จะไม่คิดได้ใหม่ลืมเก่า ยกตัวอย่างเช่นสามีของนาง ในอดีตก็เคยให้คำมั่นสัญญา ว่าแม้เป็นหรือตายก็จะขอรักอดีตคนรักเพียงผู้เดียว แต่พอบ้านเขาประสบภาวะเดือดร้อน สุดท้ายก็มาเลือกแต่งงานกับตน จนบัดนี้ลืมหน้านังคนแพศยานั่นไปถึงไหนต่อไหนแล้วแสดงว่าความจริงใจของผู้ชายคือสิ่งที่ไร้ประโยชน์ปกติเสแสร้งทำเป็นรักมั่นจริงใจ แต่พอเอ
หากซูจื่อหังไม่รังเกียจถูซินเยว่แล้วล่ะก็ งั้นต่อให้หลิ่วโหรวโหรววทุ่มเทแรงกายแรงใจมากแค่ไหนก็ตาม เกรงว่าก็คงไม่สามารถเข้าไปในจวนสกุลซูได้ดั่งใจปรารถนาหรอกแต่น่าขําที่ลูกสาวคนนี้ของนางกลับไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้เลย รู้แต่ไปเหยียดหยามถูซินเยว่อย่างโง่เขลาเท่านั้นนี่ถ้าทําให้ถูซินเยว่อับอายต่อหน้าทุกคนก็ว่าไปอย่าง แต่นี่กลับยังโดนถูซินเย่วตอบโต้กลับมาจนขายหน้า นี่ไม่ใช่เป็นการตบหน้าตัวเองหรือไง?เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฮูหยินหลิ่วก็ไม่อยากเห็นหน้าลูกสาวคนนี้แม้แต่นิดนางขมวดคิ้ว จู่ ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้และอดไม่ได้ที่จะพูดว่า "ใช่แล้ว เรื่องนี้ข้ายังไม่ได้บอกพ่อเจ้า ถ้าพ่อเจ้ารู้ ดูสิว่าเขาจะสั่งสอนเจ้ายังไง เจ้าระวังตัวหน่อย"ภายใต้การเกลี้ยกล่อมและคําเตือนของฮูหยินหลิ่ว ในที่สุดหลิ่วโหรวโหรวก็หลับตาลง นางนั่งอยู่บนที่นั่งของตัวเองอย่างเซ็ง ๆ ทั้งหน้ามีแค่อารมณ์เดียวนั่นก็คือ นางไม่มีความสุขฮูหยินหลิ่วถอนหายใจอย่างจนใจ แล้วเงยหน้ามองฝั่งตรงข้าม ตําแหน่งของนาง มีเพิงดอกไม้อยู่ตรงกลางบดบังร่างของถูซินเยว่พอดี ดังนั้นนางจึงเห็นเพียงโครงร่างผ่านเถาวัลย์อย่างคลุมเครือเท่
วันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงเชิญตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ก่อนมาซูจื่อหังเคยพูดกับนางว่า เขากับตระกูลจางเข้ากันได้ดีในราชสํานัก ดังนั้นวันนี้ ถูซินเยว่ก็ไม่อยากสร้างปัญหาอะไรให้กับตระกูลจาง เพื่อไม่ให้คนอื่นรู้สึกว่าพวกเขาไม่มีมารยาทเห็นเหล่าฮูหยินกับหลิ่วโหรวโหรวเพิ่งเยาะเย้ยเธอเมื่อครู่ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ถูซินเยว่ก็สบายใจไม่น้อย ก้มหน้าก้มตากินอาหารด้วยตัวเองไม่สนใจใครทั้งนั้นในขณะที่เธอกําลังกินอย่างมีความสุข จู่ ๆ ก็มีคนผลักแขนของเธอเบา ๆถูซินเยว่นิ่งงันไปพักหนึ่ง หันหน้ากลับไปอย่างสงสัยใคร่รู้ เห็นหญิงสาวในชุดสีเหลืองคนหนึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ กําลังใช้ดวงตากลมโตจ้องมองเธออย่างอยากรู้อยากเห็นดวงตาของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและไร้เดียงสา แต่กลับไม่มีเจตนาร้ายเลยแม้แต่น้อยถูซินเยว่เคยเห็นคนมามากมาย เรื่องเหล่านี้เธอยังพอสามารถมองออกได้ตั้งแต่แรกเห็นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีเจตนาร้าย ท่าทีของเธอก็อ่อนโยนลงมาก"ไม่ทราบว่าแม่นางมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?"ถ้าเธอจําไม่ผิด คนที่นั่งข้างเธอเมื่อกี้น่าจะเป็นผู้หญิงที่เยาะเย้ยเธ
ถูซินเยว่ชะงัก และรู้สึกตลก เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายก็รู้สึกประหลาดใจ ตอนที่ออกจากมาตอนเช้า เธอได้สวมใส่เครื่องประดับมาหลายชิ้นจริงๆแต่ระหว่างทาง ถูซินเยว่รู้สึกว่าต่างหูระเกะระกะเกินไป จึงแอบถอดมันออกและวางไว้บนรถม้าคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าในงานเลี้ยงจะมีคนไม่กินไม่ดื่ม แต่หันมาจับจ้องที่เครื่องหัวของตนเองแทนถูซินเยว่ยื่นมือไปจับที่ผมของตนเองอัตโนมัติ จากนั้นก็พูดเสียงราบเรียบว่า "ในเมื่อวันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพ แขกสำคัญจึงเป็นตระกูลจาง แล้วเหตุใดข้าจักต้องแต่งตัวให้ดูดีขนาดนั้น""จนก็ยอมรับว่าจนเถอะ จะหาเหตุผลอะไรมาอ้างมากมายไปทำไม ในที่นี้ใครไม่รู้บ้างว่าพวกเจ้ามาจากบ้านนอก ข้าเองก็แค่รู้สึกเสียดายแทนใตเท้าซูเท่านั้น ทั้งที่มีมีอนาคตอันดี หากแต่งงานกับบุตรสาวขุนนางสักคน ก็คงยิ่งช่วยส่งเสริมให้เจริญก้าวหน้า แต่กลับเลือกจะเฝ้าอยู่แค่หญิงชาวบ้านเฉกเช่นเจ้า..."ประโยคหลังแม้ว่าจะไม่ได้พูดต่อจนจบ แต่ก็สามารถเข้าใจได้ถึงแม้บนใบหน้าของถูซินเยว่จะแสดงสีหน้าใดๆ แต่สาวรับใช้ที่อยู่ข้างๆ สีหน้าย่ำแย่มากแล้วนางอาศัยอยู่ที่ตระกูลซูมานาน ก็พอจะรู้ว่าถูซินเยว่ไม่ได้ไม่มีเงิน และเงินส่วนใ
ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในหมู่บ้านต้าเย่ เพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือเพราะผลประโยชน์อันน้อยนิด แม้เป็นครอบครัวเดียวกัน ก็ยังสามารถโกรธแค้นกันจนตัดญาติขาดมิตรไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นใด แค่ในตระกูลถู เพียงเพื่อสินสอดของตระกูลเหลียง ถูชิวหลานก็ดันทุรังจะสับเปลี่ยนตัวเธอกับลูกสาว ภายหลังยังไม่ยอมรับด้วย แถมยังผลักไสความผิดทุกอย่างไปที่เจ้าของร่างหากเธอไม่ได้ข้ามิติมาอยู่ในร่างของเจ้าของร่างซื่อบื้อคนนั้น นางจะใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลซูอย่างไร เกรงว่าคงเหลือแต่เสี้ยววิญญาณแล้วอย่างด้านซูเฟิ่งอี๋ในตระกูลซู ตอนนั้นพวกเขาเองก็หวงแหนเงินเล็กๆ น้อยๆ เห็นชีวิตนางหยูกำลังตกอยู่ในอันตรายก็ยังไม่ยอมรักษาให้นางเรื่องราวของญาติสนิทมิตรสหายที่ทำร้ายคนใกล้ตัวเพียงเพื่อผลประโยชน์และเงินทองมีมากมายเกินกว่าจะพูด ขนาดบ้านเธอยังเป็นเช่นนี้ แล้วต้าฉีที่มีบ้านสกุลมากมายขนาดนี้ล่ะชาวบ้านธรรมดาทั่วไป อาจทำไปเพื่อเงินทอง แต่องค์ชายสามกับองค์ชายใหญ่ กลับทำเพื่อแก่งแย่งแผ่นดิน ขนาดที่เป็นการต่อสู้เพื่อความเป็นความตาย และไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้ใคร ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้"ชีวิตคนเรามีหลายเรื่องที่มักไม่เป็นดังที่หวัง ข
"วันนี้เป็นงานเลี้ยงของตระกูลจาง ข้าก็นึกว่าเจ้าจะพูดคุยเรื่องอะไรกับข้า คาดไม่ถึงว่าจะใช้เรื่องนี้มาข่มขู่ข้าในที่ๆ ไม่มีคนเช่นนี้?"ชายผู้นั้นหัวคิ้วกระตุก รีบก้มศรีษะลงแล้วพูดว่า "กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่กระหม่อมทราบว่าองค์ชายสามเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่ไหนแต่ไรมา การที่บุตรสายตรงรับสืบราชบัลลลังก์ต่อก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แล้วไฉนองค์ชายสามจึงมิตั้งใจเป็นข้าราชบริพานบริสุทธิ์ คอยค้ำจุนเสด็จพี่ของพระองค์เล่าพ่ะย่ะค่ะ?"ฉีหวานหัวดราะเสียงดัง น้ำเสียงเย็นเยือกลงฉับพลัน เขาสะบัดแขนเสื้อ พร้อมสีหน้าเย็นชา "แม่ทัพหลิ่วพูดเช่นนี้ ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ตอนที่ข้าพบกับมือสังหารไล่เอาชีวิตตอนที่รีบเดินทางกลับมาจากเป่ยเจียงอันไกล แม้วันนี้ข้าไม่พูด เชื่อว่าท่านแม่ทัพเองก็คงทราบดีว่าเป็นฝีมือของใคร?"ถูซินเยว่ที่นั่งอยู่ในศาลาชะงักงัน ที่แท้คนที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับฉีหวานก็คือแม่ทัพหลิ่วนี่เอง หากนางจำไม่ผิดละก็ ก่อนหน้านี้ที่หน้าประตูตระกูลจาง ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ หลิ่วโหรวโหรวก็คือแม่ทัพหลิ่วผู้นี้สินะ?เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ถูซินเยว่ก็รู้สึกเซ็งขึ้นมา ถ้ารู้แต่แรกว่าพวกเขาจะคุยกันเรื่
หลิ่วโหรวโหรวก็มองเห็นพวกเขาเช่นกัน และเมื่อนึกถึงความสนิทสนมของถูซินเยว่และซููจื่อหังวันนั้นในจวนซู นางก็กำหมัดแน่นแม่ทัพหลิ่ว หลิ่วถิง เมื่อเห็นว่าบุตรสาวของตนเองอยู่ๆ ก็หน้าตาไม่สดใส ทั้งที่เมื่อสักครู่ยังดีอกดีใจ ก็ขมวดคิ้วถามว่า "เป็นอะไรไป? มีคนรู้จักรึ?""เจ้าค่ะ..." หลิ่วโหรวโหรวกำลังจะอ้าปากพูด ฮูหยินหลิ่วที่อยู่ข้างๆ ก็ผลักนาง และส่งสายตาให้กับอีกฝ่ายหลิ่วโหรวโหรวจึงได้แต่หุบปากเงียบอย่างไม่พอใจนักฮูหยินหลิ่วเดินไปข้างๆ หลิ่วโหรวโหรวอย่างเงียบๆ กระตุกแขนเสื้อของบุตรสาวและพูดเตือนเสียงเบาว่า "เจ้าอย่าได้พูดถึงเรื่องของตระกูลซูอีก หากเจ้าพูดถึงอีกข้าจะไม่ยกโทษให้เจ้า! เมื่อกี้เจ้าไม่เห็นฮูหยินตระกูลซูหรือย่างไร? นางท้องโตขนาดนั้นแล้ว! เจ้าคิดจะไปเป็นภรรยาน้อยของคนอื่นหรือ? พูดออกไปรังแต่จะกลายเป็นเรื่องตลก!"หลิ่วโหรวโหรวสีหน้าย่ำแย่ทันทีแม้ว่าซูจื่อหังมีภรรยาหลวงอยู่แล้ว แต่ในใจนางนั่นก็เป็นเพียงหญิงบ้านนอกที่เทียบกับตนเองไม่ได้เลยด้วยซ้ำ นางซึ่งเป็นบุตรีสายตรงของจวนแม่ทัพ จะตกเป็นรองอยู่เป็นภรรยาน้อยของซูจื่อหังหรืออย่างไร?ลำพังแค่คิด นางก็ไม่ต้องการหลิ่วโหรวโหร
ขณะที่ถูซินเยว่กำลังยุ่งอยู่กับการเปิดร้านขายเครื่องประดับ และนางหยูกำลังกังวลเรื่องลูกค้าอยู่นั้น เทียบเชิญฉบับหนึ่งก็ได้ส่งมาถึงที่บ้าน"เป็นงานฉลองวันเกิดของมารดาเฒ่าตระกูลจางจากเสนาบีดีกระทรวงการคลัง"ถูซินเยว่ถือเทียบเชิญไว้ในมือและยิ้มอย่างประหลาดใจ "ในเมืองหลวงแห่งนี้ข้านั้นไม่ได้รู้จักใครเลยสักคนหนึ่ง แต่นึกไม่ถึงว่าตระกูลจางจะส่งเทียบเชิญมาให้ข้า"สามีของตนเองก็เป็นข้าราชการขั้นเจ็ดเล็กๆ คนหนึ่ง แม้ว่าตระกูลจากจะไม่ใช่ข้าราชการชั้นสูง แต่ก็เป็นข้าราชการขั้นห้า และบรรพบุรุษก็ล้วนเป็นข้าราชการทั้งนั้น ซึ่งก็นับว่าเป็นตระกูลที่มีคุณธรรมสูงส่งการที่ส่งเทียบเชิญมาให้พวกเขาในงานเลี้ยงวันเกิดเช่นนี้ ก็เรียกได้ว่าไม่ได้ดูถูกพวกเขาเพียงแต่ คนในยุคโบราณส่วนมากจะดูแคลนคนทำธุรกิจ หากตนเองไปร่วมงานละก็ จะทำให้พวกเขารู้ว่าภรรยาของซูจื่อหังเป็นหญิงทำมาค้าขาย ก็ยากที่จะไม่ดูแคลนเดิมทีถูซินเยว่ไม่อยากไป แต่คาดไม่ถึงว่าซูจื่อหังจะหันมากุมมือเธอไว้ ยิ้มแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจนักว่า "บุตรชายของใต้เท้าจางสนิทกับข้า ภรรยาของข้าเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์มากที่สุดในใต้หล้า ไม่ว่าทำอะไรก็ดีทั้งนั้น แล
สำหรับถูซินเยว่แล้ว จะเป็นลูกผู้ชายหรือผู้หญิงก็ไม่เป็นไร สิ่งสำคัญคือ การที่ลูกน้อยสามารถคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัยเพราะในยุคโบราณการที่ผู้หญิงคลอดลูกนั้นเปรียบเสมือนการเดินไปขอบประตูนรก ดังนั้นการที่สามารถให้กำเนิดลูกได้อย่างปลอดภัยถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย เธอจึงไม่คาดหวังอย่างอื่นอีกแต่ว่าช่วงนี้เธอมักจะถูกนางหยูล้างสมองอยู่บ่อยๆ จนถูซินเยว่เองก็คิดว่าท้องนี้อาจจะเป็นลูกผู้ชายก็ได้เป็นผู้ชายก็ดี เพราะความคิดปิดกั้นในยุคโบราณนั้นสร้างความลำบากให้กับหญิงสาวอย่างมาก หากเป็นเด็กผู้ชาย ก็สามารถลดความลำบากหลายๆ อย่างให้เธอได้ไม่น้อยเดิมทีถูซินเยว่อยากจะถามฉงเป่าว่าในท้องตนเองนั้นเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิงกันแน่ ซึ่งตามปกติแล้วขอเพียงเอาของกินมาล่อนิดล่อหน่อย ฉงเป่าก็ยอมพูดทุกอย่าง มีเพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวที่ไม้ว่าถูซินเยว่ถามอย่างไร อีกฝ่ายก็ไม่ยอมบอก"อย่างไรเสียลูกก็อยู่ในท้องของข้า เจ้าจะบอกหน่อยมิได้หรือว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง? ถึงเจ้าพูดมา ด้วยเงื่อนไขการรักษาแบบนี้ข้าก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้มิใช่หรือไง?"อีกอย่าง ถูซินเยว่เองก็ไม่มีความคิดการให้ความสำคัญชายมากกว่าหญิงด