“พี่สิบสองสบายดี และยังมีองค์ชายใหญ่อยู่ เป็นเพื่อน เช่นนั้นข้าฮุยเจินไม่รบกวนแล้ว ข้าขอลาไว้โอกาสหน้าข้าคงจะมาเยี่ยมท่านในคราวหลังจะดีกว่า” ฮุยเจินตัดบทก่อนจะยกมือคารวะจิวซินมองสบตากับชงไฉ่แบบลืมตัวเดินเลี่ยงออกมา แต่ชงไฉ่หาปล่อยให้โอกาสหลุดมือไม่“จะไปไหน ยังมิทันที่ข้าจะได้ดื่มชาจากเหอตงหยวน”“ท่านได้รับยาถอนพิษแล้วข้าไม่จำเป็นต้องอยู่อีกต่อไป”“ท่านห่วงใยข้าเช่นนี้บัดนี้ไยยอมถอยง่ายดาย” ชงไฉ่มองสบตาหวานซึ้ง จิวซินหลบตาเขินอายแต่เมื่อนึกขึ้นได้ก็เชิดลำคอตั้งตรง“ยาถอนพิษเป็นข้าที่ให้จิ่นฉินนำมาให้ท่านเมื่อหมอธุระแล้วก็ไม่จำเป็นต้องรั้งอยู่ที่ตำหนักชงหยวน” ชงยิ้มยียวน“เช่นนั้นข้าขอถามท่านองค์ชายใหญ่ เหตุใดท่านถึงรู้ว่าข้าถูกพิษ หรือว่าพิษนั้นเป็นสิ่งที่ชาวเหอตงหยวนรู้จักดี” ชงไฉ่เปิดเกมรุกในสิ่งที่อยากรู้จิวซินนึกหาคำแก้ตัว“คือข้าพอจะมีความรู้ด้านพิษบ้างเล็กน้อย” ชงไฉ่เลิกคิ้วสูง“เช่นนั้นเจ้าก็คงไม่ต่างจากหมอหลวงแล้วเหตุใดถึงรู้ว่าเป็นพิษชนิดใด”“ไม่ ไม่ไม่ เพียงแค่พอจะมีความรู้บ้างเท่านั้นข้าเพียงแต่คาดเดาตามความนึกคิดของตัวเอง” จิวซินก้มหน้าหลบสายตาคม ตอนนี้เองที่ชงไฉ่เริ่มรู
“เช่นนั้นข้าก็ควรจะยืนอยู่ในที่โล่งเพื่อให้สายลมปะทะร่างให้ชุ่มฉ่ำใจ” เจียวซือคิดในแบบของนาง อย่างที่เคยกระทำมาตลอด จิ่นเกอส่ายหน้าหลายวันมานี้เขาต้องคอยพาเจียวซือท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆ แม้จะฝืนใจบ้างหากแต่ความร่าเริงมีชีวิตชีวาของเจียวซือ กลับทำเขาอดเผยรอยยิ้มบ้างตามประสาด้วยลู่ชิงนางไม่เคยมีความร่าเริงตามวัยหากแต่อ่อนหวานแช่มช้อยตามแบบหญิงงามในวังหลวงทั่วไปอาจเป็นเพราะลู่ชิงเติบโตมาอย่างนางในทั้งหลายแต่เจียวซือ นางมีความดื้อรั้นและร่าเริงเพราะเป็นองค์หญิงที่ถูกเลี้ยงดูมาการเอาอกเอาใจมาตลอด ไม่เคยสัมผัสกับความกลัดกลุ้มใดใดในโลกผิดกับลู่ชิงที่แววตาหม่นโศกอยู่ตลอดเวลา“ตามใจองค์หญิงข้าไม่อาจชี้แนะสิ่งใดได้มากกว่านี้” เจียวซือเบะปากด้วยท่าทีไม่แยแสคำพูดของจิ่นเกอ“ท่านติดค้างหนี้สุราข้าบุญคุณต้องทดแทนความแค้นต้องชำระวันนี้ต้องอยู่เป็นสหายร่วมดื่ม จนกว่าข้าจะพอใจ” จิ่นเกอเผลอยิ้มกับคำพูดของเจียวซือ“แล้วคู่หมั้นขององค์องค์ชายใหญ่จิ่นเกอคนนั้นเล่าไม่มีติดค้างสิ่งใดบ้างหรือ” ถามเพราะอยากรู้ความเป็นไปของจิวซินที่เข้าไปอยู่ในวังหลวง แต่เจียวซือกลับคิดเป็นอื่น“คุณชายถามเพราะว่าห่วงว่าข้าจะส
“ลูกถวายพระพรเสด็จพ่ออายุยืนหมื่นปี” ขันทีเฒ่าประสานมือคารวะก่อนจะเดินออกไปยืนฟังข้างๆ อย่างสงบเสงี่ยม“ลุกขึ้นเถิด” ต่อหน้าพระพักตร์ที่เรียบเฉยหากสายตายังคงอ่อนโยนเสมอ“กงกง บอกลูกเกี่ยวกับพระประสงค์ของเสด็จพ่อลูกจึงมาทูลขอเสด็จพ่อทบทวน”“เจ้าคิดว่าควรเป็นเช่นไร ในเมื่อตำแหน่งรัชทายาทรั้งอยู่ที่เจ้า เจ้าสิบสองแล้วเหตุใดถึงต้องปฏิเสธสิ่งที่พ่อจงใจให้เจ้าทำ”“ลูกเพียงแต่คิดว่าหน้าที่ราชทูตสมควรเป็นของพี่ห้ามนเมื่อเสด็จพ่อให้พี่ห้าจัดการเกี่ยวกับเรื่องสานสัมพันธ์กับแคว้นอื่นมาตลอดเสด็จพ่อเคยบอกลูกว่าสักวัน หน้าที่ที่พี่ห้าทำจะช่วยส่งเสริมลูกและไห่ตงหยวนให้แข็งแกร่งแล้วทำไมต้องผลักไสให้ลุกไปยังแคว้นห่างไกลเช่นนั้นหรือว่าเสด็จพ่อทรงเห็นว่าการที่เสด็จพ่อประชวรครั้งนั้นมีพี่ห้าอยู่ดูแลไม่ห่างทำให้องค์รัชทายาทอย่างลูกไร้ความหมาย” ไห่หยวนฮ่องเต้รู้สึกตกใจกับคำพูดของชงไฉ่หากแต่กงกงก้มหน้ายิ้มด้วยความสมใจในความคิดของขันทีเฒ่าพิษลืมตัวคงจะออกฤทธิ์แล้วคอยดูผลที่จะตามในไม่ช้า“ไห่ชงไฉ่ เช่นไรเจ้าลืมตัวไปหรือไรว่าพ่อเป็นฮ่องเต้ในเวลานี้มิใช่เจ้าที่รั้งเพียงตำแหน่งองค์รัชทายาท“ฝ่าบาทองค์รัชทายาทพูด
“555เจ้าสิบสองเจ้านี่ช่างเหมือนแม่ไม่มีผิด เจ้าสามารถพูดให้คนทำในสิ่งที่เจ้าต้องการได้เช่นนี้แล้วข้าคงไม่ต้องฝึกปรือเจ้าเรื่องการทูตแล้วละมั้งในเมื่อเจ้าทำการทูตแบบเจรจาได้ดีเช่นนี้”“เสด็จพ่อทรงกล่าวชมลูกเกินไปแล้วทุกอย่างเป็นเพราะเสด็จพ่อสั่งสอนลูกมา อาศัยการฝึกปรืออีกนิดหน่อยแต่ก็ยังด้อยกว่าเสด็จพ่อที่ทรงพระปรีชาที่สุดในแผ่นดิน”“555วันนี้นับว่าข้าสมใจในสิ่งที่ตัดสินใจ มาวันนี้ตำแหน่งรัชทายาทของเจ้าไห่ชงไฉ่นับว่าคู่ควรที่สุดตั้งแต่ข้าตัดสินใจมอบมันแก่เจ้าหากแม่เจ้ายังอยู่ข้าคงต้องตกรางวัลแก่นางที่สามารถมอบลูกชายที่องอาจฉลาดหลักแหลมให้แก่ข้า555” ชงไฉ่เองรู้สึกว่าครั้งนี้เขาเป็นต่ออย่างเห็นได้ชัดศัตรูในที่ลับเผยตัวออกมา และยังสามารถเรียกความมั่นใจจากไห่หยวนทำให้ตำแหน่งรัชทายาทไม่มีสั่นคลอนต่อนี้ไปคงถึงแผนการสำคัญ ที่เขาต้องเดินหมากอย่างรัดกุมไม่มีช่องโหว่ให้เห็นเหลือบตามองขันทีเฒ่าที่ก้มหน้าก้มตาไม่เอ่ยคำใดตามวิสัยที่สมควรจะเป็นเมื่ออยู่ต่อหน้าฮ่องเต้องค์ชายห้าฮุยโม๋เดินลัดเลาะยังตำหนักบูรพาใจจดจ่ออยู่ที่จิวซินในฐานะองค์ชายใหญ่ก็ในเมื่อคนของเขาส่งรูปวาดขององค์หญิงรองจิวซินและองค์ชาย
“มีบางอย่างที่พี่ห้าต้องการคำตอบจากท่านเช่นเดียวกับข้า” สายตาพราวที่จ้องมองทำเอาจิวซินหนาวยะเยือกชงไฉ่ย่างสามขุมเข้าหาจิวซิน“วันนี้หากไม่รู้ความจริงข้าจะไม่ไปไหน” จิวซินตาโตชงไฉ่เดินเข้าประชิดตัวของจิวซินที่เงอะงะทำอะไรไม่ถูก จ้องมองชงไฉ่นิ่งไม่อาจคาดเดาการกระทำ ชั่วพริบตากระบี่ในมือของชงไฉ่ถูกชักออกจากฝักจิวซินตั้งท่ารับเพลงกระบี่เต็มตัว ทว่าชงไฉ่กลับตวัดปลายกระบี่รวดเร็วปานสายฟ้าผมยาวที่ถูกมัดเกล้าหลุดหลุยยาวเต็มแผ่นหลังกระบี่ยังตัดเฉือนอาภรณ์ที่จิวซินสวมใส่ขาดวิ่นร่วงหลุดไปกองกับพื้น จิวซินใช้มือบางปกปิดร่างกายที่เกือบจะล่อนจ้อนมีเพียงชั้นในสีขาวบางเบาปิดบังร่างสวยสะคราญเนินอกอวบอิ่มตั้งชัน ภายใต้สายตาตกตะลึงของชงไฉ่ เข้าประชิดกายหมายกอดรัดไม่ให้หลบหนีทว่าจิวซินกลับดิ้นรนสุดฤทธิ์บัดนี้รู้แล้วว่าความลับไม่อาจเป็นความลับอีกต่อไปเมื่ออาภรณ์บุรุษมิได้ปกปิดร่างกายอรชร ความอับอายก่อให้เกิดอารมณ์ขุ่นมัวตามมา“ปล่อยข้าท่านทำกับข้าเช่นนี้ไม่ได้” น้ำตาไหลริน ชงไฉ่ตกใจเล็กน้อยปล่อยอ้อมแขนที่กอดรัดแน่นแต่ยังคงประคองกอดไว้ จิตใจโอนอ่อนจูบซับน้ำตา ที่ไหลรินเป็นทาง“ข้าไม่มีทางเลือกเพียงแต่อยาก
“ข้าไม่สนใจว่าเจ้าปลอมตัวเข้ามาด้วยเหตุผลใดไม่สนใจว่าองค์ชายใหญ่จิ่นเกอตัวจริงอยู่ที่ไหนตอนนี้ข้าสนใจเพียง...” ดวงตาวาวระยับ จิวซินขยับตัวหนีแต่ก็ไม่พ้น“ไหนว่าจะปล่อยข้าหากข้าพูดความจริง” ชงไฉ่ยิ้มหวาน“ใครบอกเจ้าเหอจิวซิน” จิวซินใช้มือบางดันอกกว้างความรู้สึกว่าตัวเองตามไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมขององค์รัชทายาทผู้นี้ได้ทันไหนจะร่างบางที่ถูกทาบทับอยู่อีกเล่าบัดนี้ร่างกายเจ้ากรรมกับอ่อนแรงเหมือนจะยอมจำนนโดยง่ายชงไฉ่ ลุกขึ้นตวัดเสื้อคลุมกันหนาวออกจากตัวห่มคลุมร่างเกือบเปลือยของจิวซิน ซ้อนร่างบางเข้าสู่อ้อมแขนแนบชิด“หากทุกอย่างที่ข้าชงไฉ่สัมผัสได้ในวันนี้ยังคงยืนยันจะอยู่เคียงข้างข้าตราบนิรันดรข้าพร้อมเสมอที่จะปลดเปลื้องความกลัดกลุ้มในใจของเจ้าเหอจิวซิน” ช่างเป็นองค์รัชทายาทที่ฉลาดล้ำลึกมีการต่อรองเดิมพันไม่ยอมให้จิวซินบิดพลิ้วหักเหไปในทางอื่นข้างนอกยังคงไม่รับรู้ว่าจิวซินบัดนี้พ่ายแพ้อย่างหมดรูปอาภรณ์บุรุษและผมที่ถูกเกล้าเก็บกับถูกคมกระบี่ทำลายจนเหลือเพียงใบหน้าผุดผาดแก้มสีชมพูอมแดงด้วยอากาศและความเขินอายปะปนกันไป ร่างกายที่ถึกฝึกฝนวิทยายุทธ์มาบัดนี้กลับไร้เรี่ยวแรงต่อต้านกับใบหน้าคมคายปานว่
“ในตอนนี้การแก้ปัญหาคือสิ่งที่จิวซินต้องไตร่ตรองไม่มีเวลาที่จะคิดถึงตัวเองมากนัก” ชงไฉ่รับรู้ถึงความเศร้าสลดในน้ำเสียง“ข้าไม่ปล่อยเจ้าเดี่ยวเมื่อถึงเวลานั้นข้าชงไฉ่ยินดีรับโทษแทนเจ้าจิวซินหากทุกอย่างไม่มีทางแก้ไข” น้ำเสียงมุ่งมั่นจริงจังจิวซินยิ้มหวานชงไฉ่สางผมของจิวซินรวบผมยาวสลวยใช้ปิ่นปักผมปักในตำแหน่งที่พอดีก้มลงกระซิบที่ข้างหู“.....................”“กงกงข้าได้ข่าวว่าเสด็จพ่อมีบัญชาให้ข้าเดินทางโดยด่วนเช่นนั้นหรือ” อ๋องห้าเอ่ยคำถามทันทีเมื่อพบหน้าขันทีเฒ่าหากแต่คำถามนั้นเป็นเพียงจุดมุ่งหมายรองลงมาเท่านั้นบัดนี้เรื่องอื่นหามีความสำคัญเท่าเรื่องที่ชงไฉ่จะเสกสมรส“เช่นนั้นท่านอ๋องข้าน้อยพยายามแล้วหากแต่ไม่เป็นผล”“หากพยายามมักจะเห็นความสำเร็จไม่มาก็น้อย”“องค์ชายกล่าวเช่นนี้เหมือนทรงตำหนิข้าน้อย”“ข้าหรือจะกล้าตำหนิท่านหากแต่เรื่องบางเรื่องรบกวนจิตใจทำให้ข้าฮุยโม๋ไม่อาจหักห้ามอารมณ์โกรธได้”“สิ่งใดที่รบกวนจิตใจองค์ชายให้ข้าน้อยกงกงช่วยแบ่งเบา” ฮุยโม๋ยังคงไม่กล้าปริปาก“องค์ชายไม่ชอบการเดินทางข้าน้อยรู้ดีทรงประชวรบ่อยๆ หากต้องเดินทางรอนแรม” ขันทีเฒ่าเจ้าเล่ห์พยายามหาวิธีให้อ๋องห้าเ
"จิ่นฉิน ข้าจะทำเช่นไรกับการเสกสมรสที่ใกล้เข้ามา"จิวซินนั่งชันเข่ากอดอกด้วยความวิตกกังวล"องค์หญิง เรื่องทั้งหมดแม้ไม่ใช่ความผิดขององค์หญิงหากแต่องค์หญิงเองต้องมีส่วนรับผิดชอบแม้องค์ชายใหญ่จะไม่อยู่ที่นี่แต่จิ่นฉินเชื่อว่าต้องมีทางออกอย่างแน่นอนเพียงแต่สิ่งที่องค์หญิงต้องการให้มันเป็นไปอาจขัดใจฝ่าบาทอย่างที่สุด""เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าต้องการสิ่งใด""องค์หญิงก็เป็นเพียงหญิงบอบบางหาใช่บุรุษองอาจ ความอ่อนแอนั้นแม้จะถูกบดบังมากแค่ไหนก็ยังคงเผยออกมายามที่องค์หญิงเผลอไผล แม้เปลือกนอกจะเป็นเสือร้ายแต่ภายในกลับไม่ต่างจากลูกแมวไร้เดียงสา"จิ่นฉินมองดูจิวซินด้วยแววตาเอ็นดู หากมิใช่ฐานันดรที่ต่างกันเหลือเกินเขาคงไม่พลาดโอกาสที่จะปลอบประโลมด้วยอ้อมกอดกับนางสักครั้ง"จิ่นฉินจะพยายามหาทางช่วยองค์หญิงอีกแรง องค์หญิงจะไม่โดดเดี่ยวในยามที่ทุกข์ตรมเพียงแค่อดทนรอเรื่องบางเรื่องอาจเกินความคาดหมายแต่เราก็สามารถแก้ไขมันได้""เสด็จพ่อจะไม่อภัยให้ข้าอย่างแน่นอน แต่หากข้าปล่อยให้มันเป็นไปตามที่เสด็จพ่อต้องการ....คนบางคนของไห่ตงหยวนมีหรือจะให้อภัยเช่นกัน""เพียงแค่ใจขององค์หญิงต้องการสิ่งใดผู้บงการทั้งหมดมีเพ
“หม่อมฉันไม่รู้สึกคุ้นเคยใดใด” เลี่ยงเฟิ่งตอบทั้งที่ใจคอก็รู้สึกหวั่นไหวเช่นกัน“ช่างเถอะปล่อยให้ข้าเป็นไปแค่ฝ่ายเดียวอย่างนี้ก็ดีแล้วเจ้าจะได้ไม่ต้องกังวล อย่างไรเสียข้าก็ไม่อาจฝืนใจเจ้าอยู่ดี” บ้างอย่างเหมือนเคยรู้สึกมาก่อนแล้ว หยู่เยียนยืนแอบฟังอยู่ด้านหลังประตูเงียบๆ จดจำทุกคำพูด“เราจะเคยคุ้นเคยกันได้อย่างไรเล่าฝ่าบาทในเมื่อเลี่ยงเฟิ่ง....เพิ่งจะเคยมาที่นี่”“ไม่สิเลี่ยงเฟิ่ง บางครั้งการได้พบก็เหมือนกับการไม่ได้พบ”“เลี่ยงเฟิ่งไม่เข้าใจ” เลี่ยงเฟิ่งแสร้งทำเป็นไม่สนใจสิ่งที่ชงไฉ่พูด“จิตใจ ของข้าตอนนี้...ไม่บอกเจ้าคงทำให้ร้อนรุ่มเลี่ยงเฟิ่งข้า...ข้าจะบอกเจ้าอย่างไรดี” ผุดลุกขึ้นเดินเข้าไปหาเลี่ยงเฟิ่งด้วยใจปรารถนา“ฝ่าบาท พระชายา หมดสติ” เสียงของนางกำนัลข้างกายของเยว่ฉี ชงไฉ่ชะงัก“เลี่ยงเฟิ่ง ข้าไว้คราวหน้าหวังว่าเจ้าจะฟังข้า” ออกจากห้องไปทันทีเลี่ยงเฟิ่งทรุดกายลงบนเก้าอี้เขี่ย เห็ดหอมไปมายิ้มหยันให้กับตัวเอง ทันใดนั้นเองน้ำตาที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนกับไหลโดยไม่รู้ตัว เลี่ยงเฟิ่งรับรู้ถึงความรู้สึกนั้นว่าเหมือนกับถูกแย่งชิงสิ่งของที่รักไป และไม่อาจทวงคืนกลับมาได้ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมร
“หากเจ้าอยากจะเป็นใหญ่จิตใจต้องเด็ดเดี่ยวกล้าตัดสินใจในเรื่องที่เป็นเสี้ยนหนาม ตัดรากถอนโคนให้สิ้นไปในคราวเดียว” คำพูดที่เหมือนจะตรอกย้ำความคิดภายในใจของเยว่ฉี“เยว่ฉีลาพ่อบุญธรรมไว้คราวหน้าเยว่ฉี จะมาคารวะพ่อบุญธรรมอีกที” กงกงยิ้มหันหลังให้เยว่ฉีเพราะรู้ดีว่าอย่างไรเสียนางก็ไม่ต่างจากเขานักเรื่องจิตใจที่เด็ดเดี่ยว“พระชายา” สาวใช้ที่รออยู่ข้างหน้ารีบมาขว้างไว้เพราะรู้อารมณ์ของเยว่ฉีดีว่าจะทำให้เสียเรื่อง“นำข้าไปห้องเครื่องเดี๋ยวนี้”“พระชายาหากทำเช่นนั้น ฝ่าบาทอาจไม่พอใจพระชายา เชื่อหม่อมฉันเรามีอีกหลายวิธีที่กำจัดนางให้พ้นทาง” เยว่ฉีชะงักใคร่ครวญก่อนจะหันหน้าเดินไปยังตำหนักใหญ่รอชงไฉ่อยู่ที่นั่นด้วยความอดทนและคิดแผนการที่จะกำจัดห้องเครื่องนาม เลี่ยงเฟิ่ง“เจ้าลองไปสืบดูว่านางน่าตานิสัยใจคอเป็นเช่นไร”“น้อมรับคำสั่งพระชายาแต่ ข้าน้อยกลัวว่า จะมีคนรู้สู้เราส่งคนของเรา คอยส่งข่าว”“นางอยู่เพียงลำพังไม่มีสาวใช้”“อย่างนั้นถือว่าเป็นโอกาสทองของเรา” เยว่ฉียิ้มเสียงโวยวายด่าทอพร้อมกับเสียงสะอื้นของสาวน้อยหน้าตาหมดจดที่ดังเล็ดลอดเข้าไปภายในห้องที่เลี่ยงเฟิ่งกำลังเตรียมวัตถุดิบสำหรับเช้าอี
เมื่ออยู่สองต่อสองเลี่ยงเฟิ่งแกล้งเฉไฉมองไปทางอื่นขณะที่ฝ่าบาทจ้องคนสวยตาไม่กระพริบมือกุมถ้วยชาแต่ใจอยู่กับคนชงชา“ฮุยเจินบอกข้าเรื่องจุดประสงค์” เลี่ยงเฟิ่งเบิกตากลมโตหันมาสนใจคนพูด“เรื่องไหนเพคะฝ่าบาท”“เรื่องที่เจ้าควบคุมดูแลเกี่ยวกับการค้าขายและการส่งสินค้าไปยังต่างแคว้น เพื่อแบ่งเบาฮุยเจิน เหอตงหยวนนับว่ามีทรัพยากรมากมาย ทั้งของกินของใช้ใน ฮุยเจินบอกข้าว่าเมื่อเจ้าดูแลด้านการจัดส่งสินค้าจึงอยากที่จะส่งสินค้าเกี่ยวกับอาหารของเหอตงหยวนมายังไห่ตงหยวน”“เลี่ยงเฟิ่งเพียงแค่อยากให้ผู้คนรู้จักอาหารเลิศรสของเหอตงหยวนที่มีมากมายเหลือเกิน ของบางอย่างมีเพียงแค่เดินทางไปยังเหอตงหยวนเท่านั้นที่จะสามารถลิ้มรส มันได้”“หากเจ้าตั้งใจจริง เช่นนั้นข้าส่งเสริมเจ้า”“เลี่ยงเฟิ่งต้องการ เปิดร้านค้าส่งวัตถุดิบหายากของเหอตงหยวนที่นี่ เพราะเหอตงหยวนและไห่ตงหยวนไปมาหาสู่ราษฎรของเหอตงหยวนย้ายถิ่นฐานมาที่นี่ก็เยอะ บางครั้งคิดถึงบ้านเพียงแค่ได้ลิ้มรสอาหารที่หากินได้ต่ในเหอตงหยวน ย่อมทำให้คลายความคิดถึงลงได้”“เจ้าช่าง นึกถึงผู้อื่นได้ถึงเพียงนี้ เจ้ามีสิ่งใดให้ช่วยวานบอกมา” ความรู้สึกดีๆ ได้ก่อตัวขึ้นในหัว
“นาง มาจากตระกูลใด หรือเป็นลูกของขุนนางของเหอตงหยวนคนใด” เยว่ฉีอดใจไว้ไม่ได้ฮุยเจินนิ่วหน้าคิดไม่ถึงว่าเยว่ฉีจะกล้าสอบหาที่มาที่ไป“เลี่ยงเฟิ่งนาง ที่มาที่ไปไม่ชัดเจนข้าพบนางนอนสลบไสลอยู่ตอนออกไปล่าสัตว์ เมื่อคราวฤดูกาลล่าสัตว์ของเหอตงหยวน” ชงไฉ่ทำท่าทางครุ่นคิด“ข้าอยากพบนางสักครั้ง”“อย่าเลยพระชายา นางไม่ค่อยสมประกอบอีกทั้งวาจาป่าเถื่อนหยาบกระด้าง ตามประสาคนนอกด่านอบรมสั่งสอนก็เคยจะเชื่อฟัง ไม่เชื่อท่านลองถาม เสด็จพี่ฮ่องเต้ดูก็ได้ เมื่อวานเขาเพิ่งถูกนางใช้วาจาเชือดเฉือน หากพบนาง เกรงว่าจะทำให้พระชายาขุ่นเคืองใจกับกิริยาของนางเสียเปล่า” ชงไฉ่สะดุ้งที่โดนโยนเผือกร้อนเข้าใส่“เอาไว้คราวหน้าหากเจ้าอยากพบนาง ข้าจะอนุญาต แต่หากพบนางแล้วเจ้าคงไม่อาจถือสานาง เจ้าอยู่สูงกว่าหญิงทั้งปวงอย่าได้ลดตัวเข้าไปเสวนากับคนป่าเถื่อนเช่นห้องเครื่องธรรมดาคนหนึ่งเลย” คำพูดโอ้โลมของชงไฉ่ได้ผลทำเอาเยว่ฉียิ้มจนแก้มแทบฉีก ฮุยเจินยิ้มมีชัยคิดไม่ผิดว่าชงไฉ่ต้องรู้สึกอยากปกป้องเลี่ยงเฟิ่ง“หากฝ่าบาทเห็นสมควรว่าเยว่ฉีไม่พบนางเยว่ฉีก็ไม่ฝืนบัญชาฝ่าบาทเพค่ะ” ชงไฉ่เอื้อมมือตบมือเยว่ฉีเบาๆ“เยว่ฉีเจ้าช่างวางตัวได้เ
“คืนนี้ อากาศค่อนข้างหนาวเลี่ยงเฟิ่งจะจัดถวายเป็นเครื่องเสวยยาม เฉิน (07.00-08.59) หรือยามซวี (19.00-20.59) เพื่อให้ได้ผลดี” ชงไฉ่พยักหน้าทำท่าทางเชื่อถือ“ดี เช่นนั้นข้าจะรอ ..เจ้าไปนอนเถิด” เหลือบตามองนกยวนยาง บนพื้นน้ำเดียวดายเลี่ยงเฟิ่งย่อตัว“สิ่งนี้ นำพาข้ามาที่นี่” ยกผอบที่มีกลิ่นหอมรัญจวนใจจากไปทันที เลี่ยงเฟิ่งยกชามใส่ไก่และเป็ดหมักไปเก็บ เดินมาทิ้งตัวลงนอน บนแท่นนอน ภาพชวนระทึกใจเมื่ออกนุ่มเบียดอยู่กับอกกว้างกลิ่นเครื่องหอมรัญจวนใจ กับบรรยากาศแบบนั้นเลี่ยงเฟิ่งข่มตานอน ชงไฉ่เองทิ้งตัวลงนอนหลังจากที่วางผอบไว้บนแท่นกำยานบนหัวเตียงหลับตาเป็นสุขใจความรู้สึกเหมือนมีอะไรสว่างสดใสรออยู่เบื้องหน้าในฝันนั้นลูกดอกจากคันธนูของใครบางคน พุ่งเข้าสู่จุดหมายเล็กๆ บนเป้าที่อยู่ไกลออกไปอย่างแม่นยำทว่ากลับมองไม่เห็นใบหน้า คนเบื้องหลังคันธนูคนนั้นภาพเดียวกันนี้ถูกซ้อนทับด้วยเลี่ยงเฟิ่งในอาภรณ์บุรุษงดงามกับคันธนูที่โค้งงอ ชงไฉ่มองอยู่ตรงนั้นภาพนี้เขาเคยเห็นมันมาแล้วอย่างแน่นอน สะดุ้งสุดตัวตื่นขึ้นเมื่อแขนข้างที่กอดอยู่กับเป็นแขนบอบบางของเยว่ฉี ชงไฉ่เผลอยกแขนของเยว่ฉีออกจากอกของตัวเอง“ฝ่าบาท”
“วางใจเถิดสหาย ข้าเลี่ยงเฟิ่งไม่ทำให้ฝ่าบาทพี่ชายสุดที่รักของเจ้าต้อง ป่วยไข้เพราะอากหารที่ข้าทำแน่นอนแม้จะไม่ค่อยชอบขี้หน้าฮ่องเต้ผู้หน้าตาดีแต่ท่าทางโอหังก็ตาม” ฮุยเจินยกมือเรียวปิดปากเลี่ยงเฟิ่งก่อนจะพูดจบด้วยซ้ำกลัวใครมาได้ยิน“ฮะแฮ่ม..” เสียงกระแอมดังๆ จากด้านหลังชงไฉ่กับชิงซาที่ยืนทำหน้าตากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ตรงนั้น ฮุยเจินเอามือออกจากปากบางของเลี่ยงเฟิ่งแต่กับลืมวงแขนที่กอดรัดเอวบางอยู่“ห้องเครื่องของเจ้าคนนี้ท่าทางจะพิเศษไม่น้อย ฮุยเจินถึงกับให้ความสนิทสนมขนาดนี้”“ฮุยเจินกับเลี่ยงเฟิ่งผ่านทุกข์ยาก ลำเข็ญ สนิทสนมกันเพราะความเคยชินหาใช่อย่างอื่นความรู้สึกไม่ต่างจากพี่น้องร่วมอุทร” ฮุยเจินรีบแก้ตัวชงไฉ่ยิ้ม“เจ้าเองก็ยัง ไม่มีชายาข้าไม่น่าละเลยเจ้าเลยฮุยเจินอายุเจ้าก็สมควรจะมีคู่ครองได้แล้ว” ฮุยเจินคุกเข่าทันที“ฝ่าบาททรงไตร่ตรอง” ฮุยเจินละล่ำละลักบอกชงไฉ่เลิกคิ้วสูง“ข้าเลี่ยงเฟิ่งมิใช่คนของไห่ตงหยวน ฉะนั้นไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์มาบงการชีวิต” เลี่ยงเฟิ่งชิงพูดขึ้นก่อน และนี้เองคือสิ่งที่ฮุยเจินกลัวที่สุดชงไฉ่เดินเข้าไปหาเลี่ยงเฟิ่งช้าๆ มองอย่างสำรวจมือบางขาวจับคางสวย บิดไ
เยว่ฉีส่งตะเกียบสีเงินให้กับชงไฉ่ หมูสามชั้นที่แดง ขาวชิ้นพอดีคำ ราดด้วยน้ำจิ้มเผ็ดเปรี้ยวถูกส่งเข้าปาก ความเผ็ดจากพริกหอมภูเขา รสชาติเปรี้ยวอมหวานที่ปลายลิ้นจากผลส้ม และกลิ่นหอมจากสุรา ที่ฉุนขึ้นจมูก ที่ผสมกันอย่างลงตัวทำเอาชงไฉ่ถึงกับเผลอคีบหมูสามชั้นชิ้นต่อไปส่งเข้าปากอย่างลืมตัว ฮุยเจินหันไปอมยิ้มสบตากับชิงซาที่ยืนคอยสังเกตท่าทีของชงไฉ่ข้างๆ“รสชาติจัดจ้านไม่เหมือนอาหารของวังหลวงของไห่ตงหยวน กลิ่นสุราที่หอมหวนซึมซับเข้าไปข้างในชวนให้อยากลิ้มลอง นับว่าแปลกประหลาดไม่น้อย ““ฝ่าบาทลองชิมพร้อมกับเครื่องเคียงทั้งสามอย่างดูเถิด” ฮุยเจินออกปากเชิญชวน กลายเป็นเยว่ฉีที่คีบเอากวางตุ้ง สาหร่าย หัวไซเท้าหั่นวางบนจานคีบเอาเนื้อเป็ดส่งเข้าปากบ้าง รสชาติอาหารทำเอาเยว่ฉีถึงกับอึ้งชงไฉ่ คีบเครื่องเคียงมาวางที่จานบ้าง“สาหร่ายทะเลใช่ไหม เจ้านำมันมาจากเหอตงหยวนด้วยใช่ไหม” ส่งเข้าปากเคี้ยวด้วยความเอร็ดอร่อย“ต้องยกความดีให้นางวัตถุดิบทุกอย่างเลี่ยงเฟิ่ง นางคัดสรรด้วยความพิถีพิถัน” ชงไฉ่พยักหน้าตั้งหน้าตั้งตาคีบนู่นนี่มาลองลิ้มรสดู“ปูชนิดนี้รสชาติดีเหลือเกิน เพคะฝ่าบาท” เยว่ฉีออกปากชม“พระชายาคงยังไ
“ข้าเพียงอยากทดสอบยาลืมทุกข์ของกงกงเฒ่าว่าจะสามารถทำให้ฝ่าบาทลืมเลือน จิวซินได้จริงหรือไม่”“องค์ชายสิบสามจึงพานางมาด้วยเช่นนั้นหรือ”“ถูกต้อง ความรักความผูกพันหรือความรักจริงใจต่อกันไม่อาจมีสิ่งใดขว้างกั้นได้ ข้าเชื่อเช่นนั้น”“ข้าเอาใจช่วยให้ ความคิดของท่านถูกต้อง”“ข้าจะพานาง เข้าไปอยู่ในตำหนักของฝ่าบาทในฐานะนางในห้องเครื่อง เสวยของฝ่าบาทและต้องเป็นนางในที่ยกเครื่องเสวยด้วย”“หากให้นางไปคัดเลือกเป็นนางในเกรงว่าด้วยฐานันดรของนางสูงส่งและทุกอย่างที่เคยเป็นของเลี่ยงเฟิ่งอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องไปแข่งกับใคร เพียงแค่ให้ฝ่าบาทออกโรงปกป้องนางด้วยตัวฝ่าบาทเองเพราะตอนนี้ฝ่าบาททรงเป็นถึงฮ่องเต้สูงสุดในแผ่นดินแล้ว หากอยู่ในฐานะสนมย่อมไม่รอดพ้นสายตาของชายาอย่างเยว่ฉี”“ท่านมั่นใจเช่นนั้นหรือ”“เลี่ยงเฟิ่งคนนี้นางชื่นชอบการทำอาหารไม่ว่าจะเป็นพี่ห้าหรือข้าฮุยเจินมักจะต้องกลายเป็นผู้ที่ต้องติชมรสมือนางไปแล้วทั้งสิ้น นับว่าฝีมือการทำอาหารของเลี่ยงเฟิ่งหาผู้เปรียบเปรยได้ยากข้าจึงคิดว่า ฝ่าบาท จะต้องตรึงใจในรสมือของนางไม่น้อย”จิ่นเกอทำไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน“ปกตินางไม่เคยเข้าใกล้ห้องเครื่องมาก
“เช่นนั้นรึ อย่างนั้นไม่สู้เจ้ารีบไปเยี่ยมองค์ชายน้อยเถิด เหลือเพียงเจ้าเท่านั้นที่ยังไม่เห็นหน้าองค์ชายน้อยมาก่อน”“เช่นนั้นข้าและเลี่ยงเฟิ่งขอลา” ฮุ่ยเจินกระตุกแขนเลี่ยงเฟิ่งให้คุกเข่าก่อนจะบ่ายหน้ายังตำหนักบูรพาที่ซึ่งบัดนี้องค์ชายใหญ่จิ่นเกอและเจียวซือเป็นผู้ครอบครอง ชงไฉ่มองตามฮุ่ยเจินและเลี่ยงเฟิ่งจนลับสายตาเบื้องหน้าตำหนักบูรพา จิ่นฉินตะลึงมองเลี่ยงเฟิ่ง ด้วยแววตาปีติ เช่นนั้นคำพูดหาหลุดออกมาจากปากไม่ ฮุ่ยเจิน เพียงแต่โคลงศรีษะไปมา พร้อมกับรอยยิ้มด้วยความสุนทรีย์หากไม่ได้แสดงอาการว่าอยากพูดอะไรเช่นกัน จิ่นฉินยกมือประสานกันเบื้องหน้าคารวะ องค์ชายสิบสาม“องค์ชายใหญ่กับเจียวซืออยู่ข้างในใช่ไหม” จิ่นฉินเหลือบตามองเลี่ยงเฟิ่ง แต่เจรจากับฮุยเจิน“องค์หญิงและองค์ชายใหญ่จิ่นเกอกำลัง หยอกล้อกับองค์ชายน้อยอยู่ข้างใน เชิญท่านทั้งสองรอสักครู่ ข้าน้อยจะไปบอกให้รุ้ว่าท่านทั้งสองมา”ฮุยเจินโบกมือ ห้ามถือวิสาสะเดินนำเลี่ยงเฟิ่งเข้าไปข้างในเบื้องหน้านั้นองค์ชายน้อย กำลังแย้มพระสรวลดวงตาใสซื่อจิ่นเกอยืนหันหลังเจียวซือนั่งยองๆ ข้างองค์ชายน้อยเสียงสาวใช้สองสามคน ทำความเคารพองค์ชายสิบสาม เลี่ยงเ