“เช่นนั้นข้าก็ควรจะยืนอยู่ในที่โล่งเพื่อให้สายลมปะทะร่างให้ชุ่มฉ่ำใจ” เจียวซือคิดในแบบของนาง อย่างที่เคยกระทำมาตลอด จิ่นเกอส่ายหน้าหลายวันมานี้เขาต้องคอยพาเจียวซือท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆ แม้จะฝืนใจบ้างหากแต่ความร่าเริงมีชีวิตชีวาของเจียวซือ กลับทำเขาอดเผยรอยยิ้มบ้างตามประสาด้วยลู่ชิงนางไม่เคยมีความร่าเริงตามวัยหากแต่อ่อนหวานแช่มช้อยตามแบบหญิงงามในวังหลวงทั่วไปอาจเป็นเพราะลู่ชิงเติบโตมาอย่างนางในทั้งหลายแต่เจียวซือ นางมีความดื้อรั้นและร่าเริงเพราะเป็นองค์หญิงที่ถูกเลี้ยงดูมาการเอาอกเอาใจมาตลอด ไม่เคยสัมผัสกับความกลัดกลุ้มใดใดในโลกผิดกับลู่ชิงที่แววตาหม่นโศกอยู่ตลอดเวลา“ตามใจองค์หญิงข้าไม่อาจชี้แนะสิ่งใดได้มากกว่านี้” เจียวซือเบะปากด้วยท่าทีไม่แยแสคำพูดของจิ่นเกอ“ท่านติดค้างหนี้สุราข้าบุญคุณต้องทดแทนความแค้นต้องชำระวันนี้ต้องอยู่เป็นสหายร่วมดื่ม จนกว่าข้าจะพอใจ” จิ่นเกอเผลอยิ้มกับคำพูดของเจียวซือ“แล้วคู่หมั้นขององค์องค์ชายใหญ่จิ่นเกอคนนั้นเล่าไม่มีติดค้างสิ่งใดบ้างหรือ” ถามเพราะอยากรู้ความเป็นไปของจิวซินที่เข้าไปอยู่ในวังหลวง แต่เจียวซือกลับคิดเป็นอื่น“คุณชายถามเพราะว่าห่วงว่าข้าจะส
“ลูกถวายพระพรเสด็จพ่ออายุยืนหมื่นปี” ขันทีเฒ่าประสานมือคารวะก่อนจะเดินออกไปยืนฟังข้างๆ อย่างสงบเสงี่ยม“ลุกขึ้นเถิด” ต่อหน้าพระพักตร์ที่เรียบเฉยหากสายตายังคงอ่อนโยนเสมอ“กงกง บอกลูกเกี่ยวกับพระประสงค์ของเสด็จพ่อลูกจึงมาทูลขอเสด็จพ่อทบทวน”“เจ้าคิดว่าควรเป็นเช่นไร ในเมื่อตำแหน่งรัชทายาทรั้งอยู่ที่เจ้า เจ้าสิบสองแล้วเหตุใดถึงต้องปฏิเสธสิ่งที่พ่อจงใจให้เจ้าทำ”“ลูกเพียงแต่คิดว่าหน้าที่ราชทูตสมควรเป็นของพี่ห้ามนเมื่อเสด็จพ่อให้พี่ห้าจัดการเกี่ยวกับเรื่องสานสัมพันธ์กับแคว้นอื่นมาตลอดเสด็จพ่อเคยบอกลูกว่าสักวัน หน้าที่ที่พี่ห้าทำจะช่วยส่งเสริมลูกและไห่ตงหยวนให้แข็งแกร่งแล้วทำไมต้องผลักไสให้ลุกไปยังแคว้นห่างไกลเช่นนั้นหรือว่าเสด็จพ่อทรงเห็นว่าการที่เสด็จพ่อประชวรครั้งนั้นมีพี่ห้าอยู่ดูแลไม่ห่างทำให้องค์รัชทายาทอย่างลูกไร้ความหมาย” ไห่หยวนฮ่องเต้รู้สึกตกใจกับคำพูดของชงไฉ่หากแต่กงกงก้มหน้ายิ้มด้วยความสมใจในความคิดของขันทีเฒ่าพิษลืมตัวคงจะออกฤทธิ์แล้วคอยดูผลที่จะตามในไม่ช้า“ไห่ชงไฉ่ เช่นไรเจ้าลืมตัวไปหรือไรว่าพ่อเป็นฮ่องเต้ในเวลานี้มิใช่เจ้าที่รั้งเพียงตำแหน่งองค์รัชทายาท“ฝ่าบาทองค์รัชทายาทพูด
“555เจ้าสิบสองเจ้านี่ช่างเหมือนแม่ไม่มีผิด เจ้าสามารถพูดให้คนทำในสิ่งที่เจ้าต้องการได้เช่นนี้แล้วข้าคงไม่ต้องฝึกปรือเจ้าเรื่องการทูตแล้วละมั้งในเมื่อเจ้าทำการทูตแบบเจรจาได้ดีเช่นนี้”“เสด็จพ่อทรงกล่าวชมลูกเกินไปแล้วทุกอย่างเป็นเพราะเสด็จพ่อสั่งสอนลูกมา อาศัยการฝึกปรืออีกนิดหน่อยแต่ก็ยังด้อยกว่าเสด็จพ่อที่ทรงพระปรีชาที่สุดในแผ่นดิน”“555วันนี้นับว่าข้าสมใจในสิ่งที่ตัดสินใจ มาวันนี้ตำแหน่งรัชทายาทของเจ้าไห่ชงไฉ่นับว่าคู่ควรที่สุดตั้งแต่ข้าตัดสินใจมอบมันแก่เจ้าหากแม่เจ้ายังอยู่ข้าคงต้องตกรางวัลแก่นางที่สามารถมอบลูกชายที่องอาจฉลาดหลักแหลมให้แก่ข้า555” ชงไฉ่เองรู้สึกว่าครั้งนี้เขาเป็นต่ออย่างเห็นได้ชัดศัตรูในที่ลับเผยตัวออกมา และยังสามารถเรียกความมั่นใจจากไห่หยวนทำให้ตำแหน่งรัชทายาทไม่มีสั่นคลอนต่อนี้ไปคงถึงแผนการสำคัญ ที่เขาต้องเดินหมากอย่างรัดกุมไม่มีช่องโหว่ให้เห็นเหลือบตามองขันทีเฒ่าที่ก้มหน้าก้มตาไม่เอ่ยคำใดตามวิสัยที่สมควรจะเป็นเมื่ออยู่ต่อหน้าฮ่องเต้องค์ชายห้าฮุยโม๋เดินลัดเลาะยังตำหนักบูรพาใจจดจ่ออยู่ที่จิวซินในฐานะองค์ชายใหญ่ก็ในเมื่อคนของเขาส่งรูปวาดขององค์หญิงรองจิวซินและองค์ชาย
“มีบางอย่างที่พี่ห้าต้องการคำตอบจากท่านเช่นเดียวกับข้า” สายตาพราวที่จ้องมองทำเอาจิวซินหนาวยะเยือกชงไฉ่ย่างสามขุมเข้าหาจิวซิน“วันนี้หากไม่รู้ความจริงข้าจะไม่ไปไหน” จิวซินตาโตชงไฉ่เดินเข้าประชิดตัวของจิวซินที่เงอะงะทำอะไรไม่ถูก จ้องมองชงไฉ่นิ่งไม่อาจคาดเดาการกระทำ ชั่วพริบตากระบี่ในมือของชงไฉ่ถูกชักออกจากฝักจิวซินตั้งท่ารับเพลงกระบี่เต็มตัว ทว่าชงไฉ่กลับตวัดปลายกระบี่รวดเร็วปานสายฟ้าผมยาวที่ถูกมัดเกล้าหลุดหลุยยาวเต็มแผ่นหลังกระบี่ยังตัดเฉือนอาภรณ์ที่จิวซินสวมใส่ขาดวิ่นร่วงหลุดไปกองกับพื้น จิวซินใช้มือบางปกปิดร่างกายที่เกือบจะล่อนจ้อนมีเพียงชั้นในสีขาวบางเบาปิดบังร่างสวยสะคราญเนินอกอวบอิ่มตั้งชัน ภายใต้สายตาตกตะลึงของชงไฉ่ เข้าประชิดกายหมายกอดรัดไม่ให้หลบหนีทว่าจิวซินกลับดิ้นรนสุดฤทธิ์บัดนี้รู้แล้วว่าความลับไม่อาจเป็นความลับอีกต่อไปเมื่ออาภรณ์บุรุษมิได้ปกปิดร่างกายอรชร ความอับอายก่อให้เกิดอารมณ์ขุ่นมัวตามมา“ปล่อยข้าท่านทำกับข้าเช่นนี้ไม่ได้” น้ำตาไหลริน ชงไฉ่ตกใจเล็กน้อยปล่อยอ้อมแขนที่กอดรัดแน่นแต่ยังคงประคองกอดไว้ จิตใจโอนอ่อนจูบซับน้ำตา ที่ไหลรินเป็นทาง“ข้าไม่มีทางเลือกเพียงแต่อยาก
“ข้าไม่สนใจว่าเจ้าปลอมตัวเข้ามาด้วยเหตุผลใดไม่สนใจว่าองค์ชายใหญ่จิ่นเกอตัวจริงอยู่ที่ไหนตอนนี้ข้าสนใจเพียง...” ดวงตาวาวระยับ จิวซินขยับตัวหนีแต่ก็ไม่พ้น“ไหนว่าจะปล่อยข้าหากข้าพูดความจริง” ชงไฉ่ยิ้มหวาน“ใครบอกเจ้าเหอจิวซิน” จิวซินใช้มือบางดันอกกว้างความรู้สึกว่าตัวเองตามไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมขององค์รัชทายาทผู้นี้ได้ทันไหนจะร่างบางที่ถูกทาบทับอยู่อีกเล่าบัดนี้ร่างกายเจ้ากรรมกับอ่อนแรงเหมือนจะยอมจำนนโดยง่ายชงไฉ่ ลุกขึ้นตวัดเสื้อคลุมกันหนาวออกจากตัวห่มคลุมร่างเกือบเปลือยของจิวซิน ซ้อนร่างบางเข้าสู่อ้อมแขนแนบชิด“หากทุกอย่างที่ข้าชงไฉ่สัมผัสได้ในวันนี้ยังคงยืนยันจะอยู่เคียงข้างข้าตราบนิรันดรข้าพร้อมเสมอที่จะปลดเปลื้องความกลัดกลุ้มในใจของเจ้าเหอจิวซิน” ช่างเป็นองค์รัชทายาทที่ฉลาดล้ำลึกมีการต่อรองเดิมพันไม่ยอมให้จิวซินบิดพลิ้วหักเหไปในทางอื่นข้างนอกยังคงไม่รับรู้ว่าจิวซินบัดนี้พ่ายแพ้อย่างหมดรูปอาภรณ์บุรุษและผมที่ถูกเกล้าเก็บกับถูกคมกระบี่ทำลายจนเหลือเพียงใบหน้าผุดผาดแก้มสีชมพูอมแดงด้วยอากาศและความเขินอายปะปนกันไป ร่างกายที่ถึกฝึกฝนวิทยายุทธ์มาบัดนี้กลับไร้เรี่ยวแรงต่อต้านกับใบหน้าคมคายปานว่
“ในตอนนี้การแก้ปัญหาคือสิ่งที่จิวซินต้องไตร่ตรองไม่มีเวลาที่จะคิดถึงตัวเองมากนัก” ชงไฉ่รับรู้ถึงความเศร้าสลดในน้ำเสียง“ข้าไม่ปล่อยเจ้าเดี่ยวเมื่อถึงเวลานั้นข้าชงไฉ่ยินดีรับโทษแทนเจ้าจิวซินหากทุกอย่างไม่มีทางแก้ไข” น้ำเสียงมุ่งมั่นจริงจังจิวซินยิ้มหวานชงไฉ่สางผมของจิวซินรวบผมยาวสลวยใช้ปิ่นปักผมปักในตำแหน่งที่พอดีก้มลงกระซิบที่ข้างหู“.....................”“กงกงข้าได้ข่าวว่าเสด็จพ่อมีบัญชาให้ข้าเดินทางโดยด่วนเช่นนั้นหรือ” อ๋องห้าเอ่ยคำถามทันทีเมื่อพบหน้าขันทีเฒ่าหากแต่คำถามนั้นเป็นเพียงจุดมุ่งหมายรองลงมาเท่านั้นบัดนี้เรื่องอื่นหามีความสำคัญเท่าเรื่องที่ชงไฉ่จะเสกสมรส“เช่นนั้นท่านอ๋องข้าน้อยพยายามแล้วหากแต่ไม่เป็นผล”“หากพยายามมักจะเห็นความสำเร็จไม่มาก็น้อย”“องค์ชายกล่าวเช่นนี้เหมือนทรงตำหนิข้าน้อย”“ข้าหรือจะกล้าตำหนิท่านหากแต่เรื่องบางเรื่องรบกวนจิตใจทำให้ข้าฮุยโม๋ไม่อาจหักห้ามอารมณ์โกรธได้”“สิ่งใดที่รบกวนจิตใจองค์ชายให้ข้าน้อยกงกงช่วยแบ่งเบา” ฮุยโม๋ยังคงไม่กล้าปริปาก“องค์ชายไม่ชอบการเดินทางข้าน้อยรู้ดีทรงประชวรบ่อยๆ หากต้องเดินทางรอนแรม” ขันทีเฒ่าเจ้าเล่ห์พยายามหาวิธีให้อ๋องห้าเ
"จิ่นฉิน ข้าจะทำเช่นไรกับการเสกสมรสที่ใกล้เข้ามา"จิวซินนั่งชันเข่ากอดอกด้วยความวิตกกังวล"องค์หญิง เรื่องทั้งหมดแม้ไม่ใช่ความผิดขององค์หญิงหากแต่องค์หญิงเองต้องมีส่วนรับผิดชอบแม้องค์ชายใหญ่จะไม่อยู่ที่นี่แต่จิ่นฉินเชื่อว่าต้องมีทางออกอย่างแน่นอนเพียงแต่สิ่งที่องค์หญิงต้องการให้มันเป็นไปอาจขัดใจฝ่าบาทอย่างที่สุด""เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าต้องการสิ่งใด""องค์หญิงก็เป็นเพียงหญิงบอบบางหาใช่บุรุษองอาจ ความอ่อนแอนั้นแม้จะถูกบดบังมากแค่ไหนก็ยังคงเผยออกมายามที่องค์หญิงเผลอไผล แม้เปลือกนอกจะเป็นเสือร้ายแต่ภายในกลับไม่ต่างจากลูกแมวไร้เดียงสา"จิ่นฉินมองดูจิวซินด้วยแววตาเอ็นดู หากมิใช่ฐานันดรที่ต่างกันเหลือเกินเขาคงไม่พลาดโอกาสที่จะปลอบประโลมด้วยอ้อมกอดกับนางสักครั้ง"จิ่นฉินจะพยายามหาทางช่วยองค์หญิงอีกแรง องค์หญิงจะไม่โดดเดี่ยวในยามที่ทุกข์ตรมเพียงแค่อดทนรอเรื่องบางเรื่องอาจเกินความคาดหมายแต่เราก็สามารถแก้ไขมันได้""เสด็จพ่อจะไม่อภัยให้ข้าอย่างแน่นอน แต่หากข้าปล่อยให้มันเป็นไปตามที่เสด็จพ่อต้องการ....คนบางคนของไห่ตงหยวนมีหรือจะให้อภัยเช่นกัน""เพียงแค่ใจขององค์หญิงต้องการสิ่งใดผู้บงการทั้งหมดมีเพ
“ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะจัดการกับองค์ชายใหญ่จิ่นเกออย่างไรคนของข้าเพิ่งส่งข่าวว่าองค์ชายใหญ่จิ่นเกอที่ตำหนักบูรพาไม่ใช่ตัวจริง ข้าหลงเชื่อมาตลอดว่าแผนการที่ข้าวางไว้ให้เจ้านั้นไม่มีผิดพลาดหากแต่เจ้ากับทำมันพัง บอกข้ามาองค์ชายใหญ่ตอนนี้อยู่ที่ไหน” เสียงคำรามก้องลู่ชิงก้มหน้าปล่อยหยาดน้ำตาร่วงรินทั้งเกรงกลัวและตกใจ“องค์ชายใหญ่จิ่นเกอตอนนี้อยู่ในโรงเตี๊ยมใหญ่นอกวังพรุ่งนี้จะเข้าเฝ้าไห่หยวนฮ่องเต้กราบทูลเรื่องราวทั้งหมด” กงกงตบโต๊ะเสียงดังสนั่น“เจ้าไม่สามารถกุมหัวใจองค์ชายใหญ่ได้หรือไรลู่ชิง”“องค์ชายใหญ่ดีต่อข้าไม่น้อยแม้ข้าปิดบังพ่อบุญธรรมหากแต่ก็คิดว่าทุกอย่างแม่ไม่เป็นไปตามแผนแต่องค์ชายใหญ่กับข้าหนีออกมาจากเหอตงหยวนเพื่อใช้ชีวิตอิสระองค์ชายใหญ่ไม่คิดมาเป็นราชบุตรเขยแต่แรกก็เพราะข้า เช่นนั้นแผนการของพ่อบุญธรรมแม้ไม่เป็นไปตามแผนแต่ก็ถือว่าสุดท้ายแล้วองค์ชายใหญ่ก็จะไม่เป็นราชบุตรเขยอยู่ดีข้าจึงไม่ได้บอกกล่าวเรื่องทั้งหมดกับพ่อบุญธรรม”“ลู่ชิงเจ้านี่ช่างเดียงสานัก อย่าบอกข้านะว่าเจ้าเองก็มีใจกับองค์ชายใหญ่ไม่น้อยองค์ชายใหญ่ผู้องอาจผึ่งผายหน้าตาคมคายอีกทั้งยังอ่อนโยนทำเจ้าหวั่นไหวไม่เป็นไปตา
หันมองชิงซาที่พยักหน้าสนับสนุนคำพูดของฮุยโม๋“ข้ากลัวเหลือเกิน ว่าจะลืมเลือนใครบางคน” ชิงซายิ้มอ่อนโยน“ฝ่าบาทเชื่อใจพี่ห้าของพระองค์เถิด ครั้งนี้ทุกอย่างจะต้องจบลงโดยดี”“ทุกอย่างที่ทำเพราะพี่ห้าหวังดีฝ่าบาทโปรดวางพระทัยและเชื่อใจในพี่ห้าคนเดิมของฝ่าบาทด้วย”ชงไฉ่กรอกยาลงไปในลำคออย่างรวดเร็วเหมือนกลัวตัวเองจะเปลี่ยนใจ ต่อจากนั้นบังเกิดความปั่นป่วนจนแทบทนไม่ไหว สมองเหมือนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ใช้มือกุมศีรษะจนล้มลงทั้งยืนความทรงจำเก่าใหม่วิ่งแล่นอยู่ในหัว ฮุยโม๋สกัดจุดให้ชงไฉ่คลายความเจ็บปวดทรมาน ชิงซาช่วยพยุงตัวชงไฉ่ยังแท่นบรรทม“ตามหมอหลวงชิงซา ปกปิดการกลับมาของข้าเสียด้วย ต่อแต่นี้ให้เจ้าเรียกข้าว่าฟู่โม๋จนกว่าทุกอย่างจะคลี่คลาย บอกกล่าวแก่ทุกคนแค่เพียงฝ่าบาทร่างกายอ่อนเพลียต้องการพักผ่อนและยาบำรุง” ชิงซารับคำโดยดี รีบรุดออกไปตามหมอหลวง“พระชายาฝ่าบาททรงพระประชวร”“ดีอย่างน้อยตอนนี้เราก็ยังมีเวลาจัดการกับนางงูพิษ หยู่เยียน ก่อนที่ฝ่าบาทจะแต่งตั้งให้นางเป็นสนม”“พระชายา ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องทรงไป ดูแลฝ่าบาท” หยู่เยียน เดินนวยนาดใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตาเข้ามาคุกเข่าเบื้องหน้า
“แต่เราสองคนก็สมควรจะกลับได้แล้ว” ชงไฉ่ทำหน้าเสียดาย“เวลาความสุขมักผ่านไปเร็วเหลือเกิน” เขานึกถึงเยว่ฉีและกงกงหากรู้ว่าเขาปรารถนาเลี่ยงเฟิ่งมาเคียงข้างคนทั้งสองจะจัดการเลี่ยงเฟิ่ง อย่างที่เขาต้องไม่ให้อภัยแน่นอน ตอนนี้ทำอย่างไรถึงจะปกป้องเลี่ยงเฟิ่งรอให้เขาจัดการทุกอย่างตามที่เขาสงสัยเกี่ยวกับอำนาจในมือของกงกงเฒ่า ให้ผ่านไปเสียก่อนเมื่อนั้นจะต้องชดเชยให้เลี่ยงเฟิ่งตอนนี้เขาไปอาจให้นาง เป็นเนื้อหน้าเขียงรอให้ทุกอย่างจบลง เมื่อนั้นเขาจะทำได้อย่างที่ใจต้องการผุดลุกขึ้นอุ้มร่างบางส่งขึ้นบนหลังม้า กระโดดขึ้นไปนั่งคร่อมด้านหลังใช้คางเกยไหล่สวยควบม้าทะยานกลับไปทางเดิมที่ผ่านมา สองข้างทางช่างน่ารื่นรมย์เมื่อคนที่เคียงข้างเป็นคนที่รักหมดหัวใจชิงซา วิ่งถลาเข้ามาทันทีเมื่อเห็นม้าที่ทั้งสองเยาะย่างมาที่คอกม้า“ฝ่าบาท พระองค์ต้องไม่เชื่อ แน่ๆ” ชงไฉ่ยิ้มไม่ได้ตื่นเต้นกับเรื่องที่ชิงซาพูดเนื่องจากเขากำลังอารมณ์ดี ส่งมือให้เลี่ยงเฟิ่งก่อนจะดึงตัวนางลงจากหลังม้าสู่อ้อมกอด“มีอะไรว่ามาชิงซา”“องค์ชายห้า ฮุยโม๋กลับมาแล้ว” ชงไฉ่ชะงัก“พี่ห้า เขายไปแล้ว”“ฝ่าบาทองค์ชายห้ารอฝ่าบาทที่ ตำหนักของพระองค์”
ชงไฉ่เผลอไผลเรียกชื่อที่เขาลืมไปแสนนาน ความทรงจำบางอย่างหวนคืนมาร่างบางในอ้อมแขนใบหน้าสวยหวานในอาภรณ์บุรุษ เลี่ยงเฟิ่งไม่มีอาการว่าจะสะดุ้งตกใจอาการบอกว่ารักและใคร่ล้วนมาจากใจของบุรุษที่ใช้ร่างกายของเขาส่งผ่านความรู้สึกหลากหลายไม่ว่าจะเป็นรักหรือปรารถนาร่างแข็งแรงยังกอดประคองอยู่อย่างนั้นไม่ปล่อยร่างบางให้เป็นอิสระง่ายๆ เลี่ยงเฟิ่งซุกใบหน้านวลลงบนแผ่นอกเปล่าเปลือยทว่าเต็มไปด้วยมัดกล้าม“น้ำตามากมายไหลเรื่อย เป็นความตื้นตันใจหรือความรู้สึกเป็นสุข ชงไฉ่ยกมือเรียวเช็ดน้ำตาที่แก้มของเลี่ยงเฟิ่ง“เจ้า ถึงกับมีน้ำตาเสียใจหรืออย่างไร ที่ร่างกายของเจ้าเป็นของข้า” เลี่ยงเฟิ่งยังคงนิ่ง ชงไฉ่บรรจงจุมพิตที่หน้าผากเนียน“เลี่ยงเฟิ่ง ข้า...รักเจ้าอย่างที่ไม่อาจรักใครได้ไม่รู้ด้วยเหตุใด หากเจ้ามีคำตอบช่วยบอกข้าที” ดึงผ้าบางเบาที่ถูกดึงทึ้งยามที่อารมณ์ปรารถนา ครุกรุ่นให้เข้าที่เข้าทางปกปิดร่างอรชรที่ยังอยู่ในอ้อมแขน“ฝ่าบาท ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหตุใด ฝ่าบาทถึงรักเลี่ยงเฟิ่งหรืออาจเป็นเพียงคำพูดเมื่อเลี่ยงเฟิ่งอยู่ในอ้อมแขนเหมือนที่พระชายาเคยได้ยินคำกล่าวนี้มาแล้ว”“เจ้าไม่เชื่อข้า ทำเช่นไรเลี่ยงเฟิ่ง
เลี่ยงเฟิ่ง ไปยังคอกม้า กระโดดขึ้นหลังม้ากระตุกบังเหียนให้ทะยานออกสู่ประตูเมืองป้ายหยกถูกยื่นส่งให้ทหารยามดู ก่อนจะมุ่งไปยังทุ่งกว้างเมื่อมาถึงจุดหมาย เลี่ยงเฟิ่งปล่อยม้าเยาะย่างเลาะเล็มหญ้าส่วนตัวนางใช้ความคิดกับบางเรื่องภาพความทรงจำเก่าๆ ไหลเรื่อยออกมาจากหัวเมื่อม้าหนุ่มตัวหนึ่งพุ่งตรงเข้าใส่จิวซินชงไฉ่คว้าร่างบางมากอดไว้ริมฝีปากอุ่นประทับลงบนริมฝีปากของจิวซินเลี่ยงเฟิ่งยกมือขึ้นลูบไล้ริมฝีปากตัวเอง ด้านหลังเสียงมาวิ่งเข้ามาใกล้เลี่ยงเฟิ่งหันกลับไปมอง ชงไฉ่ทวงทีสง่างามบนหลังม้าจ้องมองมายังเลี่ยงเฟิ่ง“ไหนเจ้าบอกว่าเจ้าแต่เดิมไม่นิยมขี่ม้า” เป็นคำพูดของชงไฉ่ที่เคยพูดไว้กับจิวซิน (ตอนสติสัมปชัญญะถูกความรักบดบัง) ชงไฉ่นึกประหลาดใจว่าเขาเคยพูดคุยเรื่องม้ากับเลี่ยงเฟิ่งหรือไม่“ฟู่โม๋เป็นคนสอน” ชงไฉ่ขมวดคิ้วใบหน้าหล่อเหลา งุนงง“ใครกัน”“ฟู่โม๋ เขาเป็นเพียงบุรุษพเนจรไร้ที่พักพิง อาศัยความเป็นสหายกับฮุยเจินจึงสามารถอาศัยอยู่ที่เหอตงหยวนได้นานหน่อยจึงตอบแทนฮุยเจินหลายเรื่องรวมทั้งสอนข้าขี่ม้า”“เจ้าชื่นชมเขาเหลือเกิน” รู้สึกอิจฉาฟู่โม๋คนนั้น“ฟู่โม๋ไม่เคยขัดใจไม่เคยทำให้ต้องเสียใจ” ชงไฉ่ห
“หม่อมฉันไม่รู้สึกคุ้นเคยใดใด” เลี่ยงเฟิ่งตอบทั้งที่ใจคอก็รู้สึกหวั่นไหวเช่นกัน“ช่างเถอะปล่อยให้ข้าเป็นไปแค่ฝ่ายเดียวอย่างนี้ก็ดีแล้วเจ้าจะได้ไม่ต้องกังวล อย่างไรเสียข้าก็ไม่อาจฝืนใจเจ้าอยู่ดี” บ้างอย่างเหมือนเคยรู้สึกมาก่อนแล้ว หยู่เยียนยืนแอบฟังอยู่ด้านหลังประตูเงียบๆ จดจำทุกคำพูด“เราจะเคยคุ้นเคยกันได้อย่างไรเล่าฝ่าบาทในเมื่อเลี่ยงเฟิ่ง....เพิ่งจะเคยมาที่นี่”“ไม่สิเลี่ยงเฟิ่ง บางครั้งการได้พบก็เหมือนกับการไม่ได้พบ”“เลี่ยงเฟิ่งไม่เข้าใจ” เลี่ยงเฟิ่งแสร้งทำเป็นไม่สนใจสิ่งที่ชงไฉ่พูด“จิตใจ ของข้าตอนนี้...ไม่บอกเจ้าคงทำให้ร้อนรุ่มเลี่ยงเฟิ่งข้า...ข้าจะบอกเจ้าอย่างไรดี” ผุดลุกขึ้นเดินเข้าไปหาเลี่ยงเฟิ่งด้วยใจปรารถนา“ฝ่าบาท พระชายา หมดสติ” เสียงของนางกำนัลข้างกายของเยว่ฉี ชงไฉ่ชะงัก“เลี่ยงเฟิ่ง ข้าไว้คราวหน้าหวังว่าเจ้าจะฟังข้า” ออกจากห้องไปทันทีเลี่ยงเฟิ่งทรุดกายลงบนเก้าอี้เขี่ย เห็ดหอมไปมายิ้มหยันให้กับตัวเอง ทันใดนั้นเองน้ำตาที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนกับไหลโดยไม่รู้ตัว เลี่ยงเฟิ่งรับรู้ถึงความรู้สึกนั้นว่าเหมือนกับถูกแย่งชิงสิ่งของที่รักไป และไม่อาจทวงคืนกลับมาได้ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมร
“หากเจ้าอยากจะเป็นใหญ่จิตใจต้องเด็ดเดี่ยวกล้าตัดสินใจในเรื่องที่เป็นเสี้ยนหนาม ตัดรากถอนโคนให้สิ้นไปในคราวเดียว” คำพูดที่เหมือนจะตรอกย้ำความคิดภายในใจของเยว่ฉี“เยว่ฉีลาพ่อบุญธรรมไว้คราวหน้าเยว่ฉี จะมาคารวะพ่อบุญธรรมอีกที” กงกงยิ้มหันหลังให้เยว่ฉีเพราะรู้ดีว่าอย่างไรเสียนางก็ไม่ต่างจากเขานักเรื่องจิตใจที่เด็ดเดี่ยว“พระชายา” สาวใช้ที่รออยู่ข้างหน้ารีบมาขว้างไว้เพราะรู้อารมณ์ของเยว่ฉีดีว่าจะทำให้เสียเรื่อง“นำข้าไปห้องเครื่องเดี๋ยวนี้”“พระชายาหากทำเช่นนั้น ฝ่าบาทอาจไม่พอใจพระชายา เชื่อหม่อมฉันเรามีอีกหลายวิธีที่กำจัดนางให้พ้นทาง” เยว่ฉีชะงักใคร่ครวญก่อนจะหันหน้าเดินไปยังตำหนักใหญ่รอชงไฉ่อยู่ที่นั่นด้วยความอดทนและคิดแผนการที่จะกำจัดห้องเครื่องนาม เลี่ยงเฟิ่ง“เจ้าลองไปสืบดูว่านางน่าตานิสัยใจคอเป็นเช่นไร”“น้อมรับคำสั่งพระชายาแต่ ข้าน้อยกลัวว่า จะมีคนรู้สู้เราส่งคนของเรา คอยส่งข่าว”“นางอยู่เพียงลำพังไม่มีสาวใช้”“อย่างนั้นถือว่าเป็นโอกาสทองของเรา” เยว่ฉียิ้มเสียงโวยวายด่าทอพร้อมกับเสียงสะอื้นของสาวน้อยหน้าตาหมดจดที่ดังเล็ดลอดเข้าไปภายในห้องที่เลี่ยงเฟิ่งกำลังเตรียมวัตถุดิบสำหรับเช้าอี
เมื่ออยู่สองต่อสองเลี่ยงเฟิ่งแกล้งเฉไฉมองไปทางอื่นขณะที่ฝ่าบาทจ้องคนสวยตาไม่กระพริบมือกุมถ้วยชาแต่ใจอยู่กับคนชงชา“ฮุยเจินบอกข้าเรื่องจุดประสงค์” เลี่ยงเฟิ่งเบิกตากลมโตหันมาสนใจคนพูด“เรื่องไหนเพคะฝ่าบาท”“เรื่องที่เจ้าควบคุมดูแลเกี่ยวกับการค้าขายและการส่งสินค้าไปยังต่างแคว้น เพื่อแบ่งเบาฮุยเจิน เหอตงหยวนนับว่ามีทรัพยากรมากมาย ทั้งของกินของใช้ใน ฮุยเจินบอกข้าว่าเมื่อเจ้าดูแลด้านการจัดส่งสินค้าจึงอยากที่จะส่งสินค้าเกี่ยวกับอาหารของเหอตงหยวนมายังไห่ตงหยวน”“เลี่ยงเฟิ่งเพียงแค่อยากให้ผู้คนรู้จักอาหารเลิศรสของเหอตงหยวนที่มีมากมายเหลือเกิน ของบางอย่างมีเพียงแค่เดินทางไปยังเหอตงหยวนเท่านั้นที่จะสามารถลิ้มรส มันได้”“หากเจ้าตั้งใจจริง เช่นนั้นข้าส่งเสริมเจ้า”“เลี่ยงเฟิ่งต้องการ เปิดร้านค้าส่งวัตถุดิบหายากของเหอตงหยวนที่นี่ เพราะเหอตงหยวนและไห่ตงหยวนไปมาหาสู่ราษฎรของเหอตงหยวนย้ายถิ่นฐานมาที่นี่ก็เยอะ บางครั้งคิดถึงบ้านเพียงแค่ได้ลิ้มรสอาหารที่หากินได้ต่ในเหอตงหยวน ย่อมทำให้คลายความคิดถึงลงได้”“เจ้าช่าง นึกถึงผู้อื่นได้ถึงเพียงนี้ เจ้ามีสิ่งใดให้ช่วยวานบอกมา” ความรู้สึกดีๆ ได้ก่อตัวขึ้นในหัว
“นาง มาจากตระกูลใด หรือเป็นลูกของขุนนางของเหอตงหยวนคนใด” เยว่ฉีอดใจไว้ไม่ได้ฮุยเจินนิ่วหน้าคิดไม่ถึงว่าเยว่ฉีจะกล้าสอบหาที่มาที่ไป“เลี่ยงเฟิ่งนาง ที่มาที่ไปไม่ชัดเจนข้าพบนางนอนสลบไสลอยู่ตอนออกไปล่าสัตว์ เมื่อคราวฤดูกาลล่าสัตว์ของเหอตงหยวน” ชงไฉ่ทำท่าทางครุ่นคิด“ข้าอยากพบนางสักครั้ง”“อย่าเลยพระชายา นางไม่ค่อยสมประกอบอีกทั้งวาจาป่าเถื่อนหยาบกระด้าง ตามประสาคนนอกด่านอบรมสั่งสอนก็เคยจะเชื่อฟัง ไม่เชื่อท่านลองถาม เสด็จพี่ฮ่องเต้ดูก็ได้ เมื่อวานเขาเพิ่งถูกนางใช้วาจาเชือดเฉือน หากพบนาง เกรงว่าจะทำให้พระชายาขุ่นเคืองใจกับกิริยาของนางเสียเปล่า” ชงไฉ่สะดุ้งที่โดนโยนเผือกร้อนเข้าใส่“เอาไว้คราวหน้าหากเจ้าอยากพบนาง ข้าจะอนุญาต แต่หากพบนางแล้วเจ้าคงไม่อาจถือสานาง เจ้าอยู่สูงกว่าหญิงทั้งปวงอย่าได้ลดตัวเข้าไปเสวนากับคนป่าเถื่อนเช่นห้องเครื่องธรรมดาคนหนึ่งเลย” คำพูดโอ้โลมของชงไฉ่ได้ผลทำเอาเยว่ฉียิ้มจนแก้มแทบฉีก ฮุยเจินยิ้มมีชัยคิดไม่ผิดว่าชงไฉ่ต้องรู้สึกอยากปกป้องเลี่ยงเฟิ่ง“หากฝ่าบาทเห็นสมควรว่าเยว่ฉีไม่พบนางเยว่ฉีก็ไม่ฝืนบัญชาฝ่าบาทเพค่ะ” ชงไฉ่เอื้อมมือตบมือเยว่ฉีเบาๆ“เยว่ฉีเจ้าช่างวางตัวได้เ
“คืนนี้ อากาศค่อนข้างหนาวเลี่ยงเฟิ่งจะจัดถวายเป็นเครื่องเสวยยาม เฉิน (07.00-08.59) หรือยามซวี (19.00-20.59) เพื่อให้ได้ผลดี” ชงไฉ่พยักหน้าทำท่าทางเชื่อถือ“ดี เช่นนั้นข้าจะรอ ..เจ้าไปนอนเถิด” เหลือบตามองนกยวนยาง บนพื้นน้ำเดียวดายเลี่ยงเฟิ่งย่อตัว“สิ่งนี้ นำพาข้ามาที่นี่” ยกผอบที่มีกลิ่นหอมรัญจวนใจจากไปทันที เลี่ยงเฟิ่งยกชามใส่ไก่และเป็ดหมักไปเก็บ เดินมาทิ้งตัวลงนอน บนแท่นนอน ภาพชวนระทึกใจเมื่ออกนุ่มเบียดอยู่กับอกกว้างกลิ่นเครื่องหอมรัญจวนใจ กับบรรยากาศแบบนั้นเลี่ยงเฟิ่งข่มตานอน ชงไฉ่เองทิ้งตัวลงนอนหลังจากที่วางผอบไว้บนแท่นกำยานบนหัวเตียงหลับตาเป็นสุขใจความรู้สึกเหมือนมีอะไรสว่างสดใสรออยู่เบื้องหน้าในฝันนั้นลูกดอกจากคันธนูของใครบางคน พุ่งเข้าสู่จุดหมายเล็กๆ บนเป้าที่อยู่ไกลออกไปอย่างแม่นยำทว่ากลับมองไม่เห็นใบหน้า คนเบื้องหลังคันธนูคนนั้นภาพเดียวกันนี้ถูกซ้อนทับด้วยเลี่ยงเฟิ่งในอาภรณ์บุรุษงดงามกับคันธนูที่โค้งงอ ชงไฉ่มองอยู่ตรงนั้นภาพนี้เขาเคยเห็นมันมาแล้วอย่างแน่นอน สะดุ้งสุดตัวตื่นขึ้นเมื่อแขนข้างที่กอดอยู่กับเป็นแขนบอบบางของเยว่ฉี ชงไฉ่เผลอยกแขนของเยว่ฉีออกจากอกของตัวเอง“ฝ่าบาท”