เมื่อคล้อยหลังไห่หยวน“ชิงซา องค์ชายใหญ่จิ่นเกอแวะเวียนมาบ้างหรือเปล่า” ชงไฉ่เอ่ยปากถาม“องค์ชายชิงซาไม่เห็นองค์ชายใหญ่เลยนับจากที่ส่งพระองค์เข้าตำหนักชงหยวนแต่....” เยว่ฉีรอฟังคำสนทนาอยู่ตรงนั้นชงไฉ่โบกมือไล่เยว่ฉี นางขยับกายออกไปช้าๆ“ว่ามาชิงซา”“องค์ชาย องค์ชายใหญ่จิ่นเกอรู้ได้อย่างไรว่าองค์ชายถูกมือสังหารลอบทำร้าย” ชงไฉ่ขมวดคิ้ว“หรือว่ามีตนส่งข่าวบอกเขาว่าข้าเดินทางกลับมาไห่ตงหยวน”“เช่นนั้นอาจเป็นไปได้ว่าเป็นองค์หญิงรองจิวซิน” ชิงซาตั้งข้อสังเกต“แล้วรู้ได้อย่างไรว่าถูกลอบทำร้าย” ชงไฉ่เองก็สงสัยไม่น้อยไปกว่าชิงซา“หากไม่คิดติดใจสงสัยสิ่งใดก็อาจเป็นไปได้ว่าองค์ชายใหญ่ตั้งใจออกมารับท่านหรือบังเอิญออกมาและพบเข้ากับองค์ชายและข้าที่ถูกลอบทำร้ายแต่มีประโยคหนึ่งขององครักษ์และองค์ชายใหญ่เหมือนกับการช่วยเหลือองค์ชายเป็นการเตรียมพร้อมและรู้ล่วงหน้า”“หรือว่า เจ้าคิดเหมือนที่ข้าคิดไหมชิงซา”“คิดสิ องค์ชายข้าคิดว่า มือสังหารเหล่านั้นเป็นคนขององค์ชายใหญ่” ชงไฉ่ส่ายหน้าไปมา“ไม่สิชิงซา องค์ชายใหญ่ก็คือองค์หญิงรองจิวซินที่ปลอมตัวมาและออกเดินทางจากเหอตงหยวนมาพร้อมกับเรา” ชิงซาทำท่าครุ่นคิด“เ
“ไม่มีอะไรน่าห่วงข้าชงไฉ่สบายดี”“ข้าจิ่นเกอเป็นกังวลกับอาการบาดเจ็บยิ่งนัก”“องค์ชายใหญ่จิ่นเกอเป็นห่วงข้าด้วยช่างมีน้ำใจเสียจริง” ชงไฉ่พูดไปยิ้มไปนึกช่างน้ำหนักกับคำพูดของจิวซินจิวซินมองเยว่ฉีที่กำลังชงชาด้วยความอึดอัดอยากจะบอกแต่กลัวคำถามมากมาย ว่ารู้ได้อย่างไรว่ากระบี่อาบพิษและการดื่มชาเหตุใดทำให้พิษกำเริบหากจะบอกว่าเป็นเพราะบังเอิญก็ไม่สามารถโกหกเพราะรู้ดีแก่ใจว่าพิษชนิดนี้มีเพียงที่เหอตงหยวนเท่านั้นได้เยว่ฉียกชา มาวางตรงหน้าจิวซินและส่งให้กับชงไฉ่ จะทำอย่างไรไม่ให้ชงไฉ่ดื่มชา ชงไฉ่ยกชาขึ้นดอมดมกลิ่นหอม“องค์รัชทายาทข้าจิ่นเกอมีเรื่องสำคัญจะบอกท่านเหลือบมองเยว่ฉีชงไฉ่โบกมือให้เยว่ฉีออกไปก่อนวางแก้วชาลงบนโต๊ะ“ข้ามีบางอย่างคุยกับองค์ชายใหญ่เช่นกันเยว่ฉีเจ้าออกไปก่อน” เยว่ฉีเดินนวยนาดออกไปชงไฉ่หันกลับมาเลิกคิ้วแทนคำถาม จิวซินก้มมองมือตัวเองหาทางเอ่ยปากเพื่อให้ชงไฉ่ไม่ดื่มชาจนกว่าจิวซินจะสามารถหายาถอนพิษมาได้ซึ่งบัดนี้จิ่นฉินกำลังหายาถอนพิษอยู่ชงไฉ่ยกถ้วยชาขึ้นจรดริมฝีปากอีกครั้ง จิวซินถลาถึงตัวคว้าถ้วยชาไว้ชงไฉ่ใช้เพียงมือข้างเดียวยื้อแย่งพัลวันจิวซินต้องตามน้ำยื้อแย่งไม่หยุดชงไ
“องค์ชายจิ่นฉินมีเรื่องรบกวนคุณชาย” จิ่นฉินประสานมือตรงหน้าเมื่อเขามาพบจิ่นเกอในที่พัก“มีเรื่องใดจิ่นฉิน”“องค์ชายยาถอนพิษหนึ่งในพิษทั้งสี่ของเหอตงหยวนหรือไม่” จิ่นเกอขมวดคิ้ว“ผู้ใดต้องพิษหนึ่งในสี่ของเหอตงหยวน” ลู่ชิงเหลือบตามองจิ่นฉิน“องค์ชายเรื่องนี้ข้าน้อยเกรงว่าไม่อาจเปิดเผยแต่ต้องการยาถอนพิษโดยเร็ว”“เช่นนั้นข้าไม่คาดคั้นเจ้าแล้วจิ่นฉินข้าเชื่อว่าทุกการกระทำของเจ้ามีเหตุผลเสมอ แต่ยาถอนพิษมีเพียงเม็ดเดียวเท่านั้นเจ้าจงรักษามันให้ดีว่าแต่พิษหนึ่งในสี่คือพิษอะไร”“พิษชนิดนี้ถูกเคลือบอยู่ที่คมกระบี่องค์ชายรู้จักดี”“พิษจากดอกยี่โถและหญ้าพิษ พิษชนิดนี้มีผลต่อหัวใจหากใช้เพียงเล็กน้อยจะทำให้ชีพพรจรเต้นช้าลงและมีเสียงดังในหูเกิดกระสับกระส่ายไม่สามารถควบคุมตัวเองได้การผสมกันของพิษจากดอกยี่โถและหญ้าพิษในตำรับของเหอตงหยวนทำให้พิษนี้มีชื้อว่า พิษลืมตัว ไม่ทำให้ตายได้ในทีเดียวแต่หากพิษกำเริบถึงสามครั้งผู้ถูกพิษก็หามีชีวิตต่อไปได้ไม่ เพราะพิษชนิดนี้เมื่อกำเริบมักจะทำให้สุญเสียพลังลมปราณอย่างมหาศาลเลยทีเดียวตอนที่กำเริบไม่สามารถหักห้ามความผิดชอบชั่วดีได้โดยชอบธรรมจึงนับว่าเป็นพิษที่น่ากลัวห
“องค์ชายสงบสติอารมณ์ไว้ ปล่อยข้าก่อน” ชงไฉ่กลับทำเป็นคลุ้มคลั่งหายใจหอยเหนื่อย“ไม่.ไม่.ไม่.ข้าไม่ไหวแล้ว ทรมานเหลือเกิน” ชงไฉ่กระชากอาภรณ์ของจิวซินออกอย่างแรงจิวซินยกมือขึ้นกางกั้นไว้ชงไฉ่กลับถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกบ้างจิวซินมองตาค้างนึกตกใจกับอาการของชงไฉ่ คาดไม่ถึงว่าพิษจะรุนแรงถึงขนาดนี้แม้จะเคยได้ยินมาบ้างแต่ไม่ค่อยรับรู้รายละเอียดเท่าที่ควรเพราะคนที่มีสิทธิ์จะใช้พิษชนิดนี้มีเพียงไม่กี่คนในเหอตงหยวนซึ่งนั่นก็ไม่ใช่จิวซินอย่างแน่นอน“คือ...คือองค์ชายใจเย็นๆ ตั้งสติให้ดีองค์ชายต้องต่อสู้กับมันให้ได้” จิวซินล้วงหยิบเอายาถอนพิษออกมาแต่ว่ายากเย็นเหลือเกินเพราะชงไฉ่รวบแขนไว้ไม่ให้ล้วงหยิบเอายาถอนพิษ“ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลอะไร...หากเจ้าจะมีเมตตาให้ข้าได้ปลดปล่อยความทรมานนี้ เพียงแค่อย่าให้ข้าต้องทรมานอีกเลย ตอนนี้ข้าทรมานนัก” ชงไฉ่ตวัดร่างบางของจิวซินเข้าสู่อ้อมกอดอีกครั้งกอดรัดพัวพันทั้งจูบทั้งกอดพัลวันจิวซินแทบจะสำลักรสจูบดุเดือดนั้นเสื้อผ้าหลุดหลุยทั้งคู่ร่างใหญ่ทาบทับอยู่กับพื้นกดให้จิวซินอยู่ภายใต้อกกว้างขยับเขยื้อนไม่ได้ชงไฉ่นึกกระหยิ่มในใจอย่างน้อยตอนนี้เองรู้สึกว่าทุกอย่างช่างเป
“พี่สิบสองสบายดี และยังมีองค์ชายใหญ่อยู่ เป็นเพื่อน เช่นนั้นข้าฮุยเจินไม่รบกวนแล้ว ข้าขอลาไว้โอกาสหน้าข้าคงจะมาเยี่ยมท่านในคราวหลังจะดีกว่า” ฮุยเจินตัดบทก่อนจะยกมือคารวะจิวซินมองสบตากับชงไฉ่แบบลืมตัวเดินเลี่ยงออกมา แต่ชงไฉ่หาปล่อยให้โอกาสหลุดมือไม่“จะไปไหน ยังมิทันที่ข้าจะได้ดื่มชาจากเหอตงหยวน”“ท่านได้รับยาถอนพิษแล้วข้าไม่จำเป็นต้องอยู่อีกต่อไป”“ท่านห่วงใยข้าเช่นนี้บัดนี้ไยยอมถอยง่ายดาย” ชงไฉ่มองสบตาหวานซึ้ง จิวซินหลบตาเขินอายแต่เมื่อนึกขึ้นได้ก็เชิดลำคอตั้งตรง“ยาถอนพิษเป็นข้าที่ให้จิ่นฉินนำมาให้ท่านเมื่อหมอธุระแล้วก็ไม่จำเป็นต้องรั้งอยู่ที่ตำหนักชงหยวน” ชงยิ้มยียวน“เช่นนั้นข้าขอถามท่านองค์ชายใหญ่ เหตุใดท่านถึงรู้ว่าข้าถูกพิษ หรือว่าพิษนั้นเป็นสิ่งที่ชาวเหอตงหยวนรู้จักดี” ชงไฉ่เปิดเกมรุกในสิ่งที่อยากรู้จิวซินนึกหาคำแก้ตัว“คือข้าพอจะมีความรู้ด้านพิษบ้างเล็กน้อย” ชงไฉ่เลิกคิ้วสูง“เช่นนั้นเจ้าก็คงไม่ต่างจากหมอหลวงแล้วเหตุใดถึงรู้ว่าเป็นพิษชนิดใด”“ไม่ ไม่ไม่ เพียงแค่พอจะมีความรู้บ้างเท่านั้นข้าเพียงแต่คาดเดาตามความนึกคิดของตัวเอง” จิวซินก้มหน้าหลบสายตาคม ตอนนี้เองที่ชงไฉ่เริ่มรู
“เช่นนั้นข้าก็ควรจะยืนอยู่ในที่โล่งเพื่อให้สายลมปะทะร่างให้ชุ่มฉ่ำใจ” เจียวซือคิดในแบบของนาง อย่างที่เคยกระทำมาตลอด จิ่นเกอส่ายหน้าหลายวันมานี้เขาต้องคอยพาเจียวซือท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆ แม้จะฝืนใจบ้างหากแต่ความร่าเริงมีชีวิตชีวาของเจียวซือ กลับทำเขาอดเผยรอยยิ้มบ้างตามประสาด้วยลู่ชิงนางไม่เคยมีความร่าเริงตามวัยหากแต่อ่อนหวานแช่มช้อยตามแบบหญิงงามในวังหลวงทั่วไปอาจเป็นเพราะลู่ชิงเติบโตมาอย่างนางในทั้งหลายแต่เจียวซือ นางมีความดื้อรั้นและร่าเริงเพราะเป็นองค์หญิงที่ถูกเลี้ยงดูมาการเอาอกเอาใจมาตลอด ไม่เคยสัมผัสกับความกลัดกลุ้มใดใดในโลกผิดกับลู่ชิงที่แววตาหม่นโศกอยู่ตลอดเวลา“ตามใจองค์หญิงข้าไม่อาจชี้แนะสิ่งใดได้มากกว่านี้” เจียวซือเบะปากด้วยท่าทีไม่แยแสคำพูดของจิ่นเกอ“ท่านติดค้างหนี้สุราข้าบุญคุณต้องทดแทนความแค้นต้องชำระวันนี้ต้องอยู่เป็นสหายร่วมดื่ม จนกว่าข้าจะพอใจ” จิ่นเกอเผลอยิ้มกับคำพูดของเจียวซือ“แล้วคู่หมั้นขององค์องค์ชายใหญ่จิ่นเกอคนนั้นเล่าไม่มีติดค้างสิ่งใดบ้างหรือ” ถามเพราะอยากรู้ความเป็นไปของจิวซินที่เข้าไปอยู่ในวังหลวง แต่เจียวซือกลับคิดเป็นอื่น“คุณชายถามเพราะว่าห่วงว่าข้าจะส
“ลูกถวายพระพรเสด็จพ่ออายุยืนหมื่นปี” ขันทีเฒ่าประสานมือคารวะก่อนจะเดินออกไปยืนฟังข้างๆ อย่างสงบเสงี่ยม“ลุกขึ้นเถิด” ต่อหน้าพระพักตร์ที่เรียบเฉยหากสายตายังคงอ่อนโยนเสมอ“กงกง บอกลูกเกี่ยวกับพระประสงค์ของเสด็จพ่อลูกจึงมาทูลขอเสด็จพ่อทบทวน”“เจ้าคิดว่าควรเป็นเช่นไร ในเมื่อตำแหน่งรัชทายาทรั้งอยู่ที่เจ้า เจ้าสิบสองแล้วเหตุใดถึงต้องปฏิเสธสิ่งที่พ่อจงใจให้เจ้าทำ”“ลูกเพียงแต่คิดว่าหน้าที่ราชทูตสมควรเป็นของพี่ห้ามนเมื่อเสด็จพ่อให้พี่ห้าจัดการเกี่ยวกับเรื่องสานสัมพันธ์กับแคว้นอื่นมาตลอดเสด็จพ่อเคยบอกลูกว่าสักวัน หน้าที่ที่พี่ห้าทำจะช่วยส่งเสริมลูกและไห่ตงหยวนให้แข็งแกร่งแล้วทำไมต้องผลักไสให้ลุกไปยังแคว้นห่างไกลเช่นนั้นหรือว่าเสด็จพ่อทรงเห็นว่าการที่เสด็จพ่อประชวรครั้งนั้นมีพี่ห้าอยู่ดูแลไม่ห่างทำให้องค์รัชทายาทอย่างลูกไร้ความหมาย” ไห่หยวนฮ่องเต้รู้สึกตกใจกับคำพูดของชงไฉ่หากแต่กงกงก้มหน้ายิ้มด้วยความสมใจในความคิดของขันทีเฒ่าพิษลืมตัวคงจะออกฤทธิ์แล้วคอยดูผลที่จะตามในไม่ช้า“ไห่ชงไฉ่ เช่นไรเจ้าลืมตัวไปหรือไรว่าพ่อเป็นฮ่องเต้ในเวลานี้มิใช่เจ้าที่รั้งเพียงตำแหน่งองค์รัชทายาท“ฝ่าบาทองค์รัชทายาทพูด
“555เจ้าสิบสองเจ้านี่ช่างเหมือนแม่ไม่มีผิด เจ้าสามารถพูดให้คนทำในสิ่งที่เจ้าต้องการได้เช่นนี้แล้วข้าคงไม่ต้องฝึกปรือเจ้าเรื่องการทูตแล้วละมั้งในเมื่อเจ้าทำการทูตแบบเจรจาได้ดีเช่นนี้”“เสด็จพ่อทรงกล่าวชมลูกเกินไปแล้วทุกอย่างเป็นเพราะเสด็จพ่อสั่งสอนลูกมา อาศัยการฝึกปรืออีกนิดหน่อยแต่ก็ยังด้อยกว่าเสด็จพ่อที่ทรงพระปรีชาที่สุดในแผ่นดิน”“555วันนี้นับว่าข้าสมใจในสิ่งที่ตัดสินใจ มาวันนี้ตำแหน่งรัชทายาทของเจ้าไห่ชงไฉ่นับว่าคู่ควรที่สุดตั้งแต่ข้าตัดสินใจมอบมันแก่เจ้าหากแม่เจ้ายังอยู่ข้าคงต้องตกรางวัลแก่นางที่สามารถมอบลูกชายที่องอาจฉลาดหลักแหลมให้แก่ข้า555” ชงไฉ่เองรู้สึกว่าครั้งนี้เขาเป็นต่ออย่างเห็นได้ชัดศัตรูในที่ลับเผยตัวออกมา และยังสามารถเรียกความมั่นใจจากไห่หยวนทำให้ตำแหน่งรัชทายาทไม่มีสั่นคลอนต่อนี้ไปคงถึงแผนการสำคัญ ที่เขาต้องเดินหมากอย่างรัดกุมไม่มีช่องโหว่ให้เห็นเหลือบตามองขันทีเฒ่าที่ก้มหน้าก้มตาไม่เอ่ยคำใดตามวิสัยที่สมควรจะเป็นเมื่ออยู่ต่อหน้าฮ่องเต้องค์ชายห้าฮุยโม๋เดินลัดเลาะยังตำหนักบูรพาใจจดจ่ออยู่ที่จิวซินในฐานะองค์ชายใหญ่ก็ในเมื่อคนของเขาส่งรูปวาดขององค์หญิงรองจิวซินและองค์ชาย
หันมองชิงซาที่พยักหน้าสนับสนุนคำพูดของฮุยโม๋“ข้ากลัวเหลือเกิน ว่าจะลืมเลือนใครบางคน” ชิงซายิ้มอ่อนโยน“ฝ่าบาทเชื่อใจพี่ห้าของพระองค์เถิด ครั้งนี้ทุกอย่างจะต้องจบลงโดยดี”“ทุกอย่างที่ทำเพราะพี่ห้าหวังดีฝ่าบาทโปรดวางพระทัยและเชื่อใจในพี่ห้าคนเดิมของฝ่าบาทด้วย”ชงไฉ่กรอกยาลงไปในลำคออย่างรวดเร็วเหมือนกลัวตัวเองจะเปลี่ยนใจ ต่อจากนั้นบังเกิดความปั่นป่วนจนแทบทนไม่ไหว สมองเหมือนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ใช้มือกุมศีรษะจนล้มลงทั้งยืนความทรงจำเก่าใหม่วิ่งแล่นอยู่ในหัว ฮุยโม๋สกัดจุดให้ชงไฉ่คลายความเจ็บปวดทรมาน ชิงซาช่วยพยุงตัวชงไฉ่ยังแท่นบรรทม“ตามหมอหลวงชิงซา ปกปิดการกลับมาของข้าเสียด้วย ต่อแต่นี้ให้เจ้าเรียกข้าว่าฟู่โม๋จนกว่าทุกอย่างจะคลี่คลาย บอกกล่าวแก่ทุกคนแค่เพียงฝ่าบาทร่างกายอ่อนเพลียต้องการพักผ่อนและยาบำรุง” ชิงซารับคำโดยดี รีบรุดออกไปตามหมอหลวง“พระชายาฝ่าบาททรงพระประชวร”“ดีอย่างน้อยตอนนี้เราก็ยังมีเวลาจัดการกับนางงูพิษ หยู่เยียน ก่อนที่ฝ่าบาทจะแต่งตั้งให้นางเป็นสนม”“พระชายา ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องทรงไป ดูแลฝ่าบาท” หยู่เยียน เดินนวยนาดใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตาเข้ามาคุกเข่าเบื้องหน้า
“แต่เราสองคนก็สมควรจะกลับได้แล้ว” ชงไฉ่ทำหน้าเสียดาย“เวลาความสุขมักผ่านไปเร็วเหลือเกิน” เขานึกถึงเยว่ฉีและกงกงหากรู้ว่าเขาปรารถนาเลี่ยงเฟิ่งมาเคียงข้างคนทั้งสองจะจัดการเลี่ยงเฟิ่ง อย่างที่เขาต้องไม่ให้อภัยแน่นอน ตอนนี้ทำอย่างไรถึงจะปกป้องเลี่ยงเฟิ่งรอให้เขาจัดการทุกอย่างตามที่เขาสงสัยเกี่ยวกับอำนาจในมือของกงกงเฒ่า ให้ผ่านไปเสียก่อนเมื่อนั้นจะต้องชดเชยให้เลี่ยงเฟิ่งตอนนี้เขาไปอาจให้นาง เป็นเนื้อหน้าเขียงรอให้ทุกอย่างจบลง เมื่อนั้นเขาจะทำได้อย่างที่ใจต้องการผุดลุกขึ้นอุ้มร่างบางส่งขึ้นบนหลังม้า กระโดดขึ้นไปนั่งคร่อมด้านหลังใช้คางเกยไหล่สวยควบม้าทะยานกลับไปทางเดิมที่ผ่านมา สองข้างทางช่างน่ารื่นรมย์เมื่อคนที่เคียงข้างเป็นคนที่รักหมดหัวใจชิงซา วิ่งถลาเข้ามาทันทีเมื่อเห็นม้าที่ทั้งสองเยาะย่างมาที่คอกม้า“ฝ่าบาท พระองค์ต้องไม่เชื่อ แน่ๆ” ชงไฉ่ยิ้มไม่ได้ตื่นเต้นกับเรื่องที่ชิงซาพูดเนื่องจากเขากำลังอารมณ์ดี ส่งมือให้เลี่ยงเฟิ่งก่อนจะดึงตัวนางลงจากหลังม้าสู่อ้อมกอด“มีอะไรว่ามาชิงซา”“องค์ชายห้า ฮุยโม๋กลับมาแล้ว” ชงไฉ่ชะงัก“พี่ห้า เขายไปแล้ว”“ฝ่าบาทองค์ชายห้ารอฝ่าบาทที่ ตำหนักของพระองค์”
ชงไฉ่เผลอไผลเรียกชื่อที่เขาลืมไปแสนนาน ความทรงจำบางอย่างหวนคืนมาร่างบางในอ้อมแขนใบหน้าสวยหวานในอาภรณ์บุรุษ เลี่ยงเฟิ่งไม่มีอาการว่าจะสะดุ้งตกใจอาการบอกว่ารักและใคร่ล้วนมาจากใจของบุรุษที่ใช้ร่างกายของเขาส่งผ่านความรู้สึกหลากหลายไม่ว่าจะเป็นรักหรือปรารถนาร่างแข็งแรงยังกอดประคองอยู่อย่างนั้นไม่ปล่อยร่างบางให้เป็นอิสระง่ายๆ เลี่ยงเฟิ่งซุกใบหน้านวลลงบนแผ่นอกเปล่าเปลือยทว่าเต็มไปด้วยมัดกล้าม“น้ำตามากมายไหลเรื่อย เป็นความตื้นตันใจหรือความรู้สึกเป็นสุข ชงไฉ่ยกมือเรียวเช็ดน้ำตาที่แก้มของเลี่ยงเฟิ่ง“เจ้า ถึงกับมีน้ำตาเสียใจหรืออย่างไร ที่ร่างกายของเจ้าเป็นของข้า” เลี่ยงเฟิ่งยังคงนิ่ง ชงไฉ่บรรจงจุมพิตที่หน้าผากเนียน“เลี่ยงเฟิ่ง ข้า...รักเจ้าอย่างที่ไม่อาจรักใครได้ไม่รู้ด้วยเหตุใด หากเจ้ามีคำตอบช่วยบอกข้าที” ดึงผ้าบางเบาที่ถูกดึงทึ้งยามที่อารมณ์ปรารถนา ครุกรุ่นให้เข้าที่เข้าทางปกปิดร่างอรชรที่ยังอยู่ในอ้อมแขน“ฝ่าบาท ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหตุใด ฝ่าบาทถึงรักเลี่ยงเฟิ่งหรืออาจเป็นเพียงคำพูดเมื่อเลี่ยงเฟิ่งอยู่ในอ้อมแขนเหมือนที่พระชายาเคยได้ยินคำกล่าวนี้มาแล้ว”“เจ้าไม่เชื่อข้า ทำเช่นไรเลี่ยงเฟิ่ง
เลี่ยงเฟิ่ง ไปยังคอกม้า กระโดดขึ้นหลังม้ากระตุกบังเหียนให้ทะยานออกสู่ประตูเมืองป้ายหยกถูกยื่นส่งให้ทหารยามดู ก่อนจะมุ่งไปยังทุ่งกว้างเมื่อมาถึงจุดหมาย เลี่ยงเฟิ่งปล่อยม้าเยาะย่างเลาะเล็มหญ้าส่วนตัวนางใช้ความคิดกับบางเรื่องภาพความทรงจำเก่าๆ ไหลเรื่อยออกมาจากหัวเมื่อม้าหนุ่มตัวหนึ่งพุ่งตรงเข้าใส่จิวซินชงไฉ่คว้าร่างบางมากอดไว้ริมฝีปากอุ่นประทับลงบนริมฝีปากของจิวซินเลี่ยงเฟิ่งยกมือขึ้นลูบไล้ริมฝีปากตัวเอง ด้านหลังเสียงมาวิ่งเข้ามาใกล้เลี่ยงเฟิ่งหันกลับไปมอง ชงไฉ่ทวงทีสง่างามบนหลังม้าจ้องมองมายังเลี่ยงเฟิ่ง“ไหนเจ้าบอกว่าเจ้าแต่เดิมไม่นิยมขี่ม้า” เป็นคำพูดของชงไฉ่ที่เคยพูดไว้กับจิวซิน (ตอนสติสัมปชัญญะถูกความรักบดบัง) ชงไฉ่นึกประหลาดใจว่าเขาเคยพูดคุยเรื่องม้ากับเลี่ยงเฟิ่งหรือไม่“ฟู่โม๋เป็นคนสอน” ชงไฉ่ขมวดคิ้วใบหน้าหล่อเหลา งุนงง“ใครกัน”“ฟู่โม๋ เขาเป็นเพียงบุรุษพเนจรไร้ที่พักพิง อาศัยความเป็นสหายกับฮุยเจินจึงสามารถอาศัยอยู่ที่เหอตงหยวนได้นานหน่อยจึงตอบแทนฮุยเจินหลายเรื่องรวมทั้งสอนข้าขี่ม้า”“เจ้าชื่นชมเขาเหลือเกิน” รู้สึกอิจฉาฟู่โม๋คนนั้น“ฟู่โม๋ไม่เคยขัดใจไม่เคยทำให้ต้องเสียใจ” ชงไฉ่ห
“หม่อมฉันไม่รู้สึกคุ้นเคยใดใด” เลี่ยงเฟิ่งตอบทั้งที่ใจคอก็รู้สึกหวั่นไหวเช่นกัน“ช่างเถอะปล่อยให้ข้าเป็นไปแค่ฝ่ายเดียวอย่างนี้ก็ดีแล้วเจ้าจะได้ไม่ต้องกังวล อย่างไรเสียข้าก็ไม่อาจฝืนใจเจ้าอยู่ดี” บ้างอย่างเหมือนเคยรู้สึกมาก่อนแล้ว หยู่เยียนยืนแอบฟังอยู่ด้านหลังประตูเงียบๆ จดจำทุกคำพูด“เราจะเคยคุ้นเคยกันได้อย่างไรเล่าฝ่าบาทในเมื่อเลี่ยงเฟิ่ง....เพิ่งจะเคยมาที่นี่”“ไม่สิเลี่ยงเฟิ่ง บางครั้งการได้พบก็เหมือนกับการไม่ได้พบ”“เลี่ยงเฟิ่งไม่เข้าใจ” เลี่ยงเฟิ่งแสร้งทำเป็นไม่สนใจสิ่งที่ชงไฉ่พูด“จิตใจ ของข้าตอนนี้...ไม่บอกเจ้าคงทำให้ร้อนรุ่มเลี่ยงเฟิ่งข้า...ข้าจะบอกเจ้าอย่างไรดี” ผุดลุกขึ้นเดินเข้าไปหาเลี่ยงเฟิ่งด้วยใจปรารถนา“ฝ่าบาท พระชายา หมดสติ” เสียงของนางกำนัลข้างกายของเยว่ฉี ชงไฉ่ชะงัก“เลี่ยงเฟิ่ง ข้าไว้คราวหน้าหวังว่าเจ้าจะฟังข้า” ออกจากห้องไปทันทีเลี่ยงเฟิ่งทรุดกายลงบนเก้าอี้เขี่ย เห็ดหอมไปมายิ้มหยันให้กับตัวเอง ทันใดนั้นเองน้ำตาที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนกับไหลโดยไม่รู้ตัว เลี่ยงเฟิ่งรับรู้ถึงความรู้สึกนั้นว่าเหมือนกับถูกแย่งชิงสิ่งของที่รักไป และไม่อาจทวงคืนกลับมาได้ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมร
“หากเจ้าอยากจะเป็นใหญ่จิตใจต้องเด็ดเดี่ยวกล้าตัดสินใจในเรื่องที่เป็นเสี้ยนหนาม ตัดรากถอนโคนให้สิ้นไปในคราวเดียว” คำพูดที่เหมือนจะตรอกย้ำความคิดภายในใจของเยว่ฉี“เยว่ฉีลาพ่อบุญธรรมไว้คราวหน้าเยว่ฉี จะมาคารวะพ่อบุญธรรมอีกที” กงกงยิ้มหันหลังให้เยว่ฉีเพราะรู้ดีว่าอย่างไรเสียนางก็ไม่ต่างจากเขานักเรื่องจิตใจที่เด็ดเดี่ยว“พระชายา” สาวใช้ที่รออยู่ข้างหน้ารีบมาขว้างไว้เพราะรู้อารมณ์ของเยว่ฉีดีว่าจะทำให้เสียเรื่อง“นำข้าไปห้องเครื่องเดี๋ยวนี้”“พระชายาหากทำเช่นนั้น ฝ่าบาทอาจไม่พอใจพระชายา เชื่อหม่อมฉันเรามีอีกหลายวิธีที่กำจัดนางให้พ้นทาง” เยว่ฉีชะงักใคร่ครวญก่อนจะหันหน้าเดินไปยังตำหนักใหญ่รอชงไฉ่อยู่ที่นั่นด้วยความอดทนและคิดแผนการที่จะกำจัดห้องเครื่องนาม เลี่ยงเฟิ่ง“เจ้าลองไปสืบดูว่านางน่าตานิสัยใจคอเป็นเช่นไร”“น้อมรับคำสั่งพระชายาแต่ ข้าน้อยกลัวว่า จะมีคนรู้สู้เราส่งคนของเรา คอยส่งข่าว”“นางอยู่เพียงลำพังไม่มีสาวใช้”“อย่างนั้นถือว่าเป็นโอกาสทองของเรา” เยว่ฉียิ้มเสียงโวยวายด่าทอพร้อมกับเสียงสะอื้นของสาวน้อยหน้าตาหมดจดที่ดังเล็ดลอดเข้าไปภายในห้องที่เลี่ยงเฟิ่งกำลังเตรียมวัตถุดิบสำหรับเช้าอี
เมื่ออยู่สองต่อสองเลี่ยงเฟิ่งแกล้งเฉไฉมองไปทางอื่นขณะที่ฝ่าบาทจ้องคนสวยตาไม่กระพริบมือกุมถ้วยชาแต่ใจอยู่กับคนชงชา“ฮุยเจินบอกข้าเรื่องจุดประสงค์” เลี่ยงเฟิ่งเบิกตากลมโตหันมาสนใจคนพูด“เรื่องไหนเพคะฝ่าบาท”“เรื่องที่เจ้าควบคุมดูแลเกี่ยวกับการค้าขายและการส่งสินค้าไปยังต่างแคว้น เพื่อแบ่งเบาฮุยเจิน เหอตงหยวนนับว่ามีทรัพยากรมากมาย ทั้งของกินของใช้ใน ฮุยเจินบอกข้าว่าเมื่อเจ้าดูแลด้านการจัดส่งสินค้าจึงอยากที่จะส่งสินค้าเกี่ยวกับอาหารของเหอตงหยวนมายังไห่ตงหยวน”“เลี่ยงเฟิ่งเพียงแค่อยากให้ผู้คนรู้จักอาหารเลิศรสของเหอตงหยวนที่มีมากมายเหลือเกิน ของบางอย่างมีเพียงแค่เดินทางไปยังเหอตงหยวนเท่านั้นที่จะสามารถลิ้มรส มันได้”“หากเจ้าตั้งใจจริง เช่นนั้นข้าส่งเสริมเจ้า”“เลี่ยงเฟิ่งต้องการ เปิดร้านค้าส่งวัตถุดิบหายากของเหอตงหยวนที่นี่ เพราะเหอตงหยวนและไห่ตงหยวนไปมาหาสู่ราษฎรของเหอตงหยวนย้ายถิ่นฐานมาที่นี่ก็เยอะ บางครั้งคิดถึงบ้านเพียงแค่ได้ลิ้มรสอาหารที่หากินได้ต่ในเหอตงหยวน ย่อมทำให้คลายความคิดถึงลงได้”“เจ้าช่าง นึกถึงผู้อื่นได้ถึงเพียงนี้ เจ้ามีสิ่งใดให้ช่วยวานบอกมา” ความรู้สึกดีๆ ได้ก่อตัวขึ้นในหัว
“นาง มาจากตระกูลใด หรือเป็นลูกของขุนนางของเหอตงหยวนคนใด” เยว่ฉีอดใจไว้ไม่ได้ฮุยเจินนิ่วหน้าคิดไม่ถึงว่าเยว่ฉีจะกล้าสอบหาที่มาที่ไป“เลี่ยงเฟิ่งนาง ที่มาที่ไปไม่ชัดเจนข้าพบนางนอนสลบไสลอยู่ตอนออกไปล่าสัตว์ เมื่อคราวฤดูกาลล่าสัตว์ของเหอตงหยวน” ชงไฉ่ทำท่าทางครุ่นคิด“ข้าอยากพบนางสักครั้ง”“อย่าเลยพระชายา นางไม่ค่อยสมประกอบอีกทั้งวาจาป่าเถื่อนหยาบกระด้าง ตามประสาคนนอกด่านอบรมสั่งสอนก็เคยจะเชื่อฟัง ไม่เชื่อท่านลองถาม เสด็จพี่ฮ่องเต้ดูก็ได้ เมื่อวานเขาเพิ่งถูกนางใช้วาจาเชือดเฉือน หากพบนาง เกรงว่าจะทำให้พระชายาขุ่นเคืองใจกับกิริยาของนางเสียเปล่า” ชงไฉ่สะดุ้งที่โดนโยนเผือกร้อนเข้าใส่“เอาไว้คราวหน้าหากเจ้าอยากพบนาง ข้าจะอนุญาต แต่หากพบนางแล้วเจ้าคงไม่อาจถือสานาง เจ้าอยู่สูงกว่าหญิงทั้งปวงอย่าได้ลดตัวเข้าไปเสวนากับคนป่าเถื่อนเช่นห้องเครื่องธรรมดาคนหนึ่งเลย” คำพูดโอ้โลมของชงไฉ่ได้ผลทำเอาเยว่ฉียิ้มจนแก้มแทบฉีก ฮุยเจินยิ้มมีชัยคิดไม่ผิดว่าชงไฉ่ต้องรู้สึกอยากปกป้องเลี่ยงเฟิ่ง“หากฝ่าบาทเห็นสมควรว่าเยว่ฉีไม่พบนางเยว่ฉีก็ไม่ฝืนบัญชาฝ่าบาทเพค่ะ” ชงไฉ่เอื้อมมือตบมือเยว่ฉีเบาๆ“เยว่ฉีเจ้าช่างวางตัวได้เ
“คืนนี้ อากาศค่อนข้างหนาวเลี่ยงเฟิ่งจะจัดถวายเป็นเครื่องเสวยยาม เฉิน (07.00-08.59) หรือยามซวี (19.00-20.59) เพื่อให้ได้ผลดี” ชงไฉ่พยักหน้าทำท่าทางเชื่อถือ“ดี เช่นนั้นข้าจะรอ ..เจ้าไปนอนเถิด” เหลือบตามองนกยวนยาง บนพื้นน้ำเดียวดายเลี่ยงเฟิ่งย่อตัว“สิ่งนี้ นำพาข้ามาที่นี่” ยกผอบที่มีกลิ่นหอมรัญจวนใจจากไปทันที เลี่ยงเฟิ่งยกชามใส่ไก่และเป็ดหมักไปเก็บ เดินมาทิ้งตัวลงนอน บนแท่นนอน ภาพชวนระทึกใจเมื่ออกนุ่มเบียดอยู่กับอกกว้างกลิ่นเครื่องหอมรัญจวนใจ กับบรรยากาศแบบนั้นเลี่ยงเฟิ่งข่มตานอน ชงไฉ่เองทิ้งตัวลงนอนหลังจากที่วางผอบไว้บนแท่นกำยานบนหัวเตียงหลับตาเป็นสุขใจความรู้สึกเหมือนมีอะไรสว่างสดใสรออยู่เบื้องหน้าในฝันนั้นลูกดอกจากคันธนูของใครบางคน พุ่งเข้าสู่จุดหมายเล็กๆ บนเป้าที่อยู่ไกลออกไปอย่างแม่นยำทว่ากลับมองไม่เห็นใบหน้า คนเบื้องหลังคันธนูคนนั้นภาพเดียวกันนี้ถูกซ้อนทับด้วยเลี่ยงเฟิ่งในอาภรณ์บุรุษงดงามกับคันธนูที่โค้งงอ ชงไฉ่มองอยู่ตรงนั้นภาพนี้เขาเคยเห็นมันมาแล้วอย่างแน่นอน สะดุ้งสุดตัวตื่นขึ้นเมื่อแขนข้างที่กอดอยู่กับเป็นแขนบอบบางของเยว่ฉี ชงไฉ่เผลอยกแขนของเยว่ฉีออกจากอกของตัวเอง“ฝ่าบาท”