เพราะการกำเนิดใหม่ทำให้หงส์เพลิงไม่มีความทรงจำเก่า และเป็นเหมือนสัตว์อสูรแรกเกิดเท่านั้น ทำให้ต้องมาฝึกฝนใหม่ตั้งแต่เริ่มต้น
เมื่อว่างจากการฝึกด้วยกำลัง นางก็ต้องฝึกจิตใจด้วยเช่นกัน แม้จะแข็งแรงอยู่แล้วก็ต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้เพื่อที่จะสามารถปกป้องตัวเองจากภาพมายาได้ แม้ว่านางจะเป็นนายของหงส์แดงเพลิง แต่ก็ไม่มีอะไรรับรองว่าหากมันคลุ้มคลั่งหรือมีเหตุสุดวิสัยอะไรเกิดขึ้น พลังนั้นจะไม่ย้อนกลับมาทำร้ายเจ้านาย ดังนั้นหากป้องกันตัวเองไว้ได้ก็จะเป็นการดี“ข้ากลับมาแล้ว” เสียงบุรุษผู้หนึ่งเอ่ยมาแต่ไกล หันไปจึงเห็นว่าเป็นอาจารย์กับน้องชายของนางที่เดินทางกลับมาในรอบหลายวันระยะนี้พวกเขาต้องแยกกันบ่อย ๆ โดยหมอเทวดาจะพาน้องชายของนางติดตามไปด้วยทุกครั้ง สามสี่วันจึงจะกลับมาที ซุนเป่ยฉีไม่ได้บอกลูกศิษย์ว่า ตนกำลังตามหาอะไรอยู่ ใช้เวลาหลายวันในที่สุดก็เจอเสียที“ท่านอาจารย์ไปไหนมาหรือเจ้าคะ หายไปเสียหลายวันแล้วก็ไม่ได้บอกข้าเอาไว้ด้วย”“สมุนไพรเก้าสิบเก้าชนิดที่เราเคยคุยกันอย่างไรล่ะ”“ท่านอาจารย์หาได้ครบแล้วหรสมุนไพรที่หามามีทั้งหายากและง่าย เก็บมาได้มากน้อยต่างกัน ตัวยาใดที่หายากแต่ต้องใช้ในปริมาณมาก ทั้งที่เจอก็จะเก็บตุนเอาไว้เท่าที่หาได้ แต่ความผิดพลาดไม่ใช่สิ่งที่ใครจะอยากพบเจอฉินซือหยวนนั่งนอนมองแผ่นหลังของคนทั้งคู่ตั้งแต่ตื่นยันหลับ เวลาล่วงเลยผ่านไปถึงเจ็ดทิวาเจ็ดราตรี กว่าจะได้โอสถทะลวงลมปราณมาสิบเม็ด เม็ดยาสีเหลืองทองเปล่งประกายอยู่ตรงหน้า ต่อให้ไม่ใช่นักปรุงยาหรือหมอประจำโรงแพทย์ที่ไหนก็คงจะดูออกได้ว่ามันมีราคาสูงมากยิ่งความบริสุทธิ์ของยาสูงประสิทธิภาพก็ยิ่งดี ดูความบริสุทธิ์ได้จากสีของเม็ดยาหลังจากที่หลอมออกมาแล้วนางเข้าใจแล้วว่า ทำไมมันถึงได้มีราคาสูงนัก ในตระกูลที่มีเงินอยู่บ้าง ส่วนมากจะใช้โอสถสร้างแก่นปราณที่ราคาไม่กี่ตำลึงและหาได้ทั่วไปในตอนที่ตามหามันก็รู้สึกว่ายากลำบากแล้ว ใช้เวลาหลายปีกว่าจะได้ขนาดนี้ ไหนจะขั้นตอนการปรุงที่ผิดพลาดไม่ได้อีก หากมันไม่สำเร็จช่วงเวลาหลายปีที่ตามหาวัตถุดิบเท่ากับความสูญเปล่า ส่วนที่ผิดพลาดมีค่าไม่ได้ถึงครึ่งหนึ่งของตัวมันเองหากสำเร็จด้วยซ้ำหลังจากที่ชั่งน้ำหนักความยากลำบากของตนเอง นางเห็นด้วยมาก ๆ ที่จะตั้งราคา
“ไม่มีอะไรหรอก อาจจะเป็นแค่คนขี้อิจฉาก็ได้”“ขอรับ?”“นางแอบตามพวกเรามาตั้งนานแล้ว”คำตอบของพี่สาวยิ่งทำให้เขางุนงงมากกว่าเดิมเป็นคนของสำนักคุ้มภัยทั้งที ก็น่าจะลบกลิ่นอายสักหน่อยสิ ไม่ไหวเลยดูจากป้ายแล้ว คุณหนูคนนั้นเป็นคนของสำนักคุ้มภัยขึ้นชื่อของเมือง หลังจากที่อยู่ที่นี่มาระยะหนึ่ง นางฟังคำที่ชาวบ้านคุยกันก็พอรู้เรื่องบ้าง สำนักคุ้มภัยของที่นี่เป็นสำนักที่มีอำนาจขนาดที่เจ้าเมืองยังเกรงใจ เพราะเป็นแบบนั้นชาวบ้านธรรมดาก็ไม่มีใครกล้าต่อต้านส่วนจุดประสงค์ที่เข้ามาแย่งซื้อเครื่องประดับกับนาง ไม่แน่ใจว่าเป็นความริษยาแบบไหน ฝีมือหรือรูปโฉมหากเป็นอย่างหลังนางก็ไม่แปลกใจ เพราะได้ฝึกหลอมโอสถกับอาจารย์ แน่นอนว่านางต้องเป็นหนูลองยาให้เขาไม่น้อย ยาที่กินเข้าไปก็ล้วนเป็นสมุนไพรบำรุงเสียมากกว่าเป็นพิษ ผลของการกินยาเหล่านั้นอาจารย์ของนางก็แสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์อยู่บนใบหน้าของเขาแล้ว ต่อให้ไว้หนวดเคราก็ไม่ช่วยอะไรเมื่อไม่มีใครคอยจับตาดูอีก ฉินหลิวซีถึงได้เลือกหยิบเครื่องประดับทำจากหยกที่ตนต้องการจร
เช้าวันรุ่งขึ้นทั้งสามคนลงมากินอาหารที่โรงเตี๊ยมอย่างสบายอารมณ์ ทำเหมือนว่าเมื่อคืนไม่มีเหตุการณ์อะไร ฉินซือหยวนไม่พูดถึงด้วยซ้ำ เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตากินไก่ต้มและกอบโกยข้าวลงท้อง“อร่อยขนาดนั้นเชียวเหรอ”“นาน ๆ ครั้งจะได้กินอาหารรสมือคนอื่นบ้างนี่นา”“เจ้าเด็กคนนี้ จะบอกว่าเบื่อรสมือพี่อย่างนั้นหรือ”“ท่านพี่กินรสมือตัวเองทุกวันยังบ่นว่าเบื่อเลย”ฉินหลิวซีกะพริบตาปริบ ๆ อ้าปากค้างด้วยความอึ้ง นี่น้องชายของนางซึมซับอะไรไม่ดีจากนางไปเยอะเลยใช่ไหมนี่ กระทั่งวาจาก็ยังทำให้คนฟังรู้สึกโมโหได้ถึงขนาดนี้ หากโตไปกว่านี้เขาคงได้ต่อว่าใครต่อใครที่ทำให้ตนไม่พอใจจนกระอักเลือดแน่แบบนี้จะเรียกว่าดีหรือแย่กันล่ะเนี่ยมื้ออาหารผ่านไปโดยมีเสียงพี่น้องจิกกัดกันตลอดเวลา ซุนเป่ยฉีทำหูทวนลม เพราะเริ่มชินชาเสียแล้ว หลังจากกินข้าวจนหมดและจ่ายค่าห้องส่วนที่เหลือ พวกเขาก็ออกเดินทางหมอเทวดานำทางไปยังสถานที่หนึ่งที่เคยได้บอกไว้ว่าจะพาร่างของคนพวกนั้นไปส่งคืน ฉินหลิวซีก็นึกอยู่ว่าเป็นที่ไหน ชวนแปลกใจยิ่งนักที่
“ในเมื่อเจ้าพูดลำบากนัก ข้าจะบอกแล้วกัน เมื่อวานนี้เจ้าสามคนนั้นบุกรุกเข้าไปในห้องนอนของลูกศิษย์ข้า ตั้งใจจะสังหารนาง แต่ก็โดนเล่นงานกลับ เราพบกันครั้งแรกคือเมื่อวาน และข้ามั่นใจว่านางไม่ไปหาเรื่องใครก่อนแน่”“เรื่องนี้ข้าต้องขออภัยแทนบุตรสาวด้วย” เขาจับศีรษะลูกของตนให้ก้มลงมาพร้อมกันเป็นการขออภัยอย่างสุดซึ้ง“ข้ายังไม่พอใจ” ซุนเป่ยฉีบอกออกมาทันที“เช่นนั้นข้าจะทำให้สมเกียรติของลูกศิษย์หมอเทวดา ท่านขัดข้องหรือไม่”“ไม่ขัดข้องอยู่แล้ว” ไม่ต้องสาวความให้มากมายทั้งสามคนก็หลบออกไปจากห้องตามด้วยเจ้าสำนักและบุตรสาวคนในสำนักคุ้มภัยหันมองพวกเขาเป็นตาเดียว“ทำสิ่งที่เจ้าควรทำ ไม่อย่างนั้นเจ้าโดนดีแน่” ท่านเจ้าสำนักยื่นคำขาด บุตรสาวจากที่มีท่าทางอวดดีก่อนหน้านี้เริ่มหน้าซีดตัวสั่นนางคุกเข่าลงไปกับพื้น หมอบจนหน้าผากแนบชิดลงไป“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ เรื่องนี้เป็นความผิดของข้าเอง ข้าริษยาความงามของท่านจึงเผลอล่วงเกินไป ข้าต้องขออภัยด้วยจริง ๆ” นางคุกเข่าลงต่อหน้
“เช่นนั้นข้าเก็บของเลยนะเจ้าคะ” นักเดินทางเดิมทีก็ไม่ได้พกของมากมายอะไรในกรณีของฉินหลิวซีก็มีมิติที่ใช้อยู่เป็นประจำอยู่แล้ว ของใช้น้อยกว่านักเดินทางคนอื่นเข้าไปอีก ใช้เวลาไม่นานพวกเขาก็เดินทางต่อได้ทันทีสามศิษย์อาจารย์มุ่งหน้ากลับไปยังหมู่บ้าน คล้อยหลังทั้งสามคนมีคนกลุ่มหนึ่งเฝ้าคอยติดตาม หมอเทวดารู้ว่ามีคนแอบลอบสังเกตการณ์พวกตนอยู่ แต่คนเหล่านั้นไม่ได้แสดงเจตนาร้ายเขาจึงปล่อยไป ตราบใดที่ไม่สร้างความเดือดร้อนให้เขากับลูกศิษย์ ก็ไม่มีอะไรให้ต้องออกหน้าความเคลื่อนไหวของฉินหลิวซีและฉินซือหยวน ถูกรายงานไปยังสถานที่หนึ่งโดยที่เจ้าตัวก็ไม่รู้เรื่องซุนเป่ยฉีพิจารณาดูแล้วพวกเขาไม่ได้ต้องการจะทำอันตราย จึงไม่ได้บอกเรื่องนี้แก่ลูกศิษย์ของตน หรือหากภายหลังพวกเขาเปลี่ยนใจอยากจะลงมือขึ้นมา ลำพังแค่ตัวฉินหลิวซีก็น่าจะรับมือได้สบาย หมอเทวดาชั้นเซียนฝึกฝนลูกศิษย์ของเขามาอย่างดี จึงไม่ได้ห่วงอะไรกับสองพี่น้องอีกหอกระจายข่าวประจำเมืองหลวงสถานที่แห่งนี้บริหารงานได้อย่างสงบเรียบร้อยดีนับตั้งแต่วันที่ก่อตั้งมา ไม่เคยมีศัตรูหน้าไหนทำให้สั่น
วันโลกาวินาศในนิยามของใครหลายคน อาจไม่เหมือนกัน แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือความหายนะที่มาเยือน ความเท่าเทียมที่ไม่ว่าสถานะของเจ้าตัวจะเป็นราชาหรือสามัญชนก็หนีไม่พ้น จะช้าหรือเร็วก็เท่านั้นแต่ตรรกะของความเท่าเทียมที่เธอคิดนั้นก็พังทลายเพราะสิ่งที่ตัวเองมีฉินหลิวซีในวัยสามสิบปียังคงต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดในโลกที่ไวรัสปริศนากำลังระบาด และเป็นเช่นนี้มากว่าสิบปีแล้ว ไวรัสไม่ทราบที่มานี้คร่าชีวิตคนไปหลายพันล้าน และเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นซอมบี้ที่ฉินหลิวซีสามารถอยู่รอดมาได้เป็นสิบปี เพราะพลังพิเศษที่ตื่น เธอมีมิติที่สามารถเก็บของได้ แม้มีพื้นที่จำกัดขนาดประมาณหนึ่งห้อง และเธอไม่สามารถเข้าไปอยู่ได้เอง แต่แค่นั้นก็ทำให้เธอได้เปรียบคนอื่นมากแล้วเมื่อมนุษย์โลกมีจำนวนน้อยลง คนในศูนย์อพยพก็มีอัตราการแย่งชิงที่น้อย เพราะอาหารไม่ขาดแคลนเท่าแต่ก่อน ทว่าตัวเจ้าหน้าที่ที่ประจำแต่ละศูนย์ก็ลดลงไปด้วยเช่นกัน กลับกันฝูงซอมบี้ที่ด้านนอกนั้นเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ“ฉินหลิวซีเธอไปเอาอาหารหรือยัง” เพื่อนในค่ายอพยพคนหนึ่งถามเธอที่กำลังใจลอย“อ่า อื้ม ไปเอามาแล้วละ” หญิงสาวตอบกลับไปยิ้ม ๆ“ได้ยินมาว่ามีผู้อพ
“อาหารของพวกเราไม่เพียงพออีกแล้ว! ต่อไปนี้ใครที่ต้องการอาหารต้องมาช่วยกำจัดซอมบี้ข้างนอกนั่น! เราจะให้อาหารแก่ผู้ที่ลงมือ!” เสียงเจ้าหน้าที่คนหนึ่งตะเบ็งบอกให้ได้ยินกันทั่วโถง สิ้นเสียงของเขาก็ตามมาด้วยเสียงฮือฮาของพลเมืองที่ไม่พอใจการตัดสินนั้น“ถ้าไม่ทำก็ออกไปเป็นอาหารซอมบี้เองเถอะ!” เจ้าหน้าที่รายนี้ไม่สนว่าจะมีคนไม่พอใจหรือไม่ เพราะสถานการณ์ไม่เอื้อให้เหลือการประนีประนอมอีก“กลุ่มแรก ใครอาสาให้มาที่นี่” เจ้าหน้าที่นายหนึ่งยกธงขึ้นเป็นสัญลักษณ์ พวกเขาใช้เสียงสดในการประกาศจึงต้องใช้งานลำคอมาก บางครั้งก็เหมือนตะคอกทั้งที่ไม่ตั้งใจฉินหลิวซีเห็นใจเจ้าหน้าที่บางคนที่ต้องรับมือกับสถานการณ์อันยากลำบากนี้ ส่วนคนที่ทำงานนี้แบบส่ง ๆ เธอไม่มีใจจะสงสารแม้แต่เสี้ยวเดียว จริงอยู่ว่าเจ้าหน้าที่มีจำนวนไม่พอมานานแล้วจึงต้องรับอาสาสมัครอยู่เรื่อย ๆ แต่คนที่รับงานนี้แค่เพราะอยากกร่างและใช้อำนาจข่มเหงคนอื่นก็มีไม่น้อยฉินหลิวซีเข้าไปเป็นอาสาสมัครในกลุ่มแรก หญิงสาวแซ่ฉินเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาดีของเจ้าหน้าที่เวลาร้องขออาสาสมัคร แม้เธอจะไม่ได้ร่วมทุกครั้ง แต่ก็เป็นส่วนใหญ่ที่จะมีชื่อเธอปรากฏอยู่ฉินหลิ
ความรู้สึกแรกหลังจากรู้สึกตัวคืออุณหภูมิร่างกายที่สูงมากคล้ายคนจับไข้ ร่างกายหนักอึ้งไปจนถึงศีรษะ อาการปวดหัวจี๊ดแล่นริ้วขึ้นมาตามขมับจนต้องเผลอย่นคิ้วเมื่อคืนนี้เธอฝันประหลาด การต้องรับบทบาทในฝันเป็นเด็กผู้หญิงอายุห้าขวบที่ทางบ้านมีฐานะยากจนไม่ค่อยสนุกเท่าไรนัก ฝันนั้นเด็กผู้หญิงตัวเล็กนั่นมีน้องชาย อาหารการกินก็ไม่เพียงพอแม้แต่ปากท้องเดียว มีแค่น้ำข้าวต้มใส ๆ ไม่มีเนื้อ บ้านที่นางอยู่มีไข่ไก่ แต่ไม่เคยตกถึงท้องเทียบกับการต้องออกไปเผชิญหน้าฝูงซอมบี้เป็นสิบเป็นร้อย ฉินหลิวซีไม่แน่ใจเลยว่า อันไหนคือฝันร้ายกว่ากันกันแน่วันวันหนึ่งเด็กผู้หญิงคนนั้นต้องใช้แรงงานในบ้านร่วมกับมารดาที่ร่างกายอ่อนแอ ซักผ้าให้คนทั้งบ้าน ยามป่วยไข้กลับไม่มีใครออกเงินรักษา คิดแต่นอนพักแล้วก็หายสุดท้ายก็ตายจากไปเงียบ ๆ แค่เรื่องราวของฝันตื่นหนึ่ง ไม่นึกเลยว่ามันคือความจริงฉินหลิวซีนอนเหม่อหลังจากได้สติรับรู้คืนมา ที่เรียกว่าฝันนั้นแท้จริงคือความทรงจำ ตัวนางคือองค์ประกอบหนึ่งของครอบครัวเล็ก ๆ ในครอบครัวใหญ่แห่งนี้เรื่องบ้า ๆ แบบนี้เกิดขึ้นครั้งเดียวพอฉินหลิวซีไม่แน่ใจว่า การต้องฝ่าฟันโลกที่มีแต่ผีดิบเดินไ
“เช่นนั้นข้าเก็บของเลยนะเจ้าคะ” นักเดินทางเดิมทีก็ไม่ได้พกของมากมายอะไรในกรณีของฉินหลิวซีก็มีมิติที่ใช้อยู่เป็นประจำอยู่แล้ว ของใช้น้อยกว่านักเดินทางคนอื่นเข้าไปอีก ใช้เวลาไม่นานพวกเขาก็เดินทางต่อได้ทันทีสามศิษย์อาจารย์มุ่งหน้ากลับไปยังหมู่บ้าน คล้อยหลังทั้งสามคนมีคนกลุ่มหนึ่งเฝ้าคอยติดตาม หมอเทวดารู้ว่ามีคนแอบลอบสังเกตการณ์พวกตนอยู่ แต่คนเหล่านั้นไม่ได้แสดงเจตนาร้ายเขาจึงปล่อยไป ตราบใดที่ไม่สร้างความเดือดร้อนให้เขากับลูกศิษย์ ก็ไม่มีอะไรให้ต้องออกหน้าความเคลื่อนไหวของฉินหลิวซีและฉินซือหยวน ถูกรายงานไปยังสถานที่หนึ่งโดยที่เจ้าตัวก็ไม่รู้เรื่องซุนเป่ยฉีพิจารณาดูแล้วพวกเขาไม่ได้ต้องการจะทำอันตราย จึงไม่ได้บอกเรื่องนี้แก่ลูกศิษย์ของตน หรือหากภายหลังพวกเขาเปลี่ยนใจอยากจะลงมือขึ้นมา ลำพังแค่ตัวฉินหลิวซีก็น่าจะรับมือได้สบาย หมอเทวดาชั้นเซียนฝึกฝนลูกศิษย์ของเขามาอย่างดี จึงไม่ได้ห่วงอะไรกับสองพี่น้องอีกหอกระจายข่าวประจำเมืองหลวงสถานที่แห่งนี้บริหารงานได้อย่างสงบเรียบร้อยดีนับตั้งแต่วันที่ก่อตั้งมา ไม่เคยมีศัตรูหน้าไหนทำให้สั่น
“ในเมื่อเจ้าพูดลำบากนัก ข้าจะบอกแล้วกัน เมื่อวานนี้เจ้าสามคนนั้นบุกรุกเข้าไปในห้องนอนของลูกศิษย์ข้า ตั้งใจจะสังหารนาง แต่ก็โดนเล่นงานกลับ เราพบกันครั้งแรกคือเมื่อวาน และข้ามั่นใจว่านางไม่ไปหาเรื่องใครก่อนแน่”“เรื่องนี้ข้าต้องขออภัยแทนบุตรสาวด้วย” เขาจับศีรษะลูกของตนให้ก้มลงมาพร้อมกันเป็นการขออภัยอย่างสุดซึ้ง“ข้ายังไม่พอใจ” ซุนเป่ยฉีบอกออกมาทันที“เช่นนั้นข้าจะทำให้สมเกียรติของลูกศิษย์หมอเทวดา ท่านขัดข้องหรือไม่”“ไม่ขัดข้องอยู่แล้ว” ไม่ต้องสาวความให้มากมายทั้งสามคนก็หลบออกไปจากห้องตามด้วยเจ้าสำนักและบุตรสาวคนในสำนักคุ้มภัยหันมองพวกเขาเป็นตาเดียว“ทำสิ่งที่เจ้าควรทำ ไม่อย่างนั้นเจ้าโดนดีแน่” ท่านเจ้าสำนักยื่นคำขาด บุตรสาวจากที่มีท่าทางอวดดีก่อนหน้านี้เริ่มหน้าซีดตัวสั่นนางคุกเข่าลงไปกับพื้น หมอบจนหน้าผากแนบชิดลงไป“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ เรื่องนี้เป็นความผิดของข้าเอง ข้าริษยาความงามของท่านจึงเผลอล่วงเกินไป ข้าต้องขออภัยด้วยจริง ๆ” นางคุกเข่าลงต่อหน้
เช้าวันรุ่งขึ้นทั้งสามคนลงมากินอาหารที่โรงเตี๊ยมอย่างสบายอารมณ์ ทำเหมือนว่าเมื่อคืนไม่มีเหตุการณ์อะไร ฉินซือหยวนไม่พูดถึงด้วยซ้ำ เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตากินไก่ต้มและกอบโกยข้าวลงท้อง“อร่อยขนาดนั้นเชียวเหรอ”“นาน ๆ ครั้งจะได้กินอาหารรสมือคนอื่นบ้างนี่นา”“เจ้าเด็กคนนี้ จะบอกว่าเบื่อรสมือพี่อย่างนั้นหรือ”“ท่านพี่กินรสมือตัวเองทุกวันยังบ่นว่าเบื่อเลย”ฉินหลิวซีกะพริบตาปริบ ๆ อ้าปากค้างด้วยความอึ้ง นี่น้องชายของนางซึมซับอะไรไม่ดีจากนางไปเยอะเลยใช่ไหมนี่ กระทั่งวาจาก็ยังทำให้คนฟังรู้สึกโมโหได้ถึงขนาดนี้ หากโตไปกว่านี้เขาคงได้ต่อว่าใครต่อใครที่ทำให้ตนไม่พอใจจนกระอักเลือดแน่แบบนี้จะเรียกว่าดีหรือแย่กันล่ะเนี่ยมื้ออาหารผ่านไปโดยมีเสียงพี่น้องจิกกัดกันตลอดเวลา ซุนเป่ยฉีทำหูทวนลม เพราะเริ่มชินชาเสียแล้ว หลังจากกินข้าวจนหมดและจ่ายค่าห้องส่วนที่เหลือ พวกเขาก็ออกเดินทางหมอเทวดานำทางไปยังสถานที่หนึ่งที่เคยได้บอกไว้ว่าจะพาร่างของคนพวกนั้นไปส่งคืน ฉินหลิวซีก็นึกอยู่ว่าเป็นที่ไหน ชวนแปลกใจยิ่งนักที่
“ไม่มีอะไรหรอก อาจจะเป็นแค่คนขี้อิจฉาก็ได้”“ขอรับ?”“นางแอบตามพวกเรามาตั้งนานแล้ว”คำตอบของพี่สาวยิ่งทำให้เขางุนงงมากกว่าเดิมเป็นคนของสำนักคุ้มภัยทั้งที ก็น่าจะลบกลิ่นอายสักหน่อยสิ ไม่ไหวเลยดูจากป้ายแล้ว คุณหนูคนนั้นเป็นคนของสำนักคุ้มภัยขึ้นชื่อของเมือง หลังจากที่อยู่ที่นี่มาระยะหนึ่ง นางฟังคำที่ชาวบ้านคุยกันก็พอรู้เรื่องบ้าง สำนักคุ้มภัยของที่นี่เป็นสำนักที่มีอำนาจขนาดที่เจ้าเมืองยังเกรงใจ เพราะเป็นแบบนั้นชาวบ้านธรรมดาก็ไม่มีใครกล้าต่อต้านส่วนจุดประสงค์ที่เข้ามาแย่งซื้อเครื่องประดับกับนาง ไม่แน่ใจว่าเป็นความริษยาแบบไหน ฝีมือหรือรูปโฉมหากเป็นอย่างหลังนางก็ไม่แปลกใจ เพราะได้ฝึกหลอมโอสถกับอาจารย์ แน่นอนว่านางต้องเป็นหนูลองยาให้เขาไม่น้อย ยาที่กินเข้าไปก็ล้วนเป็นสมุนไพรบำรุงเสียมากกว่าเป็นพิษ ผลของการกินยาเหล่านั้นอาจารย์ของนางก็แสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์อยู่บนใบหน้าของเขาแล้ว ต่อให้ไว้หนวดเคราก็ไม่ช่วยอะไรเมื่อไม่มีใครคอยจับตาดูอีก ฉินหลิวซีถึงได้เลือกหยิบเครื่องประดับทำจากหยกที่ตนต้องการจร
สมุนไพรที่หามามีทั้งหายากและง่าย เก็บมาได้มากน้อยต่างกัน ตัวยาใดที่หายากแต่ต้องใช้ในปริมาณมาก ทั้งที่เจอก็จะเก็บตุนเอาไว้เท่าที่หาได้ แต่ความผิดพลาดไม่ใช่สิ่งที่ใครจะอยากพบเจอฉินซือหยวนนั่งนอนมองแผ่นหลังของคนทั้งคู่ตั้งแต่ตื่นยันหลับ เวลาล่วงเลยผ่านไปถึงเจ็ดทิวาเจ็ดราตรี กว่าจะได้โอสถทะลวงลมปราณมาสิบเม็ด เม็ดยาสีเหลืองทองเปล่งประกายอยู่ตรงหน้า ต่อให้ไม่ใช่นักปรุงยาหรือหมอประจำโรงแพทย์ที่ไหนก็คงจะดูออกได้ว่ามันมีราคาสูงมากยิ่งความบริสุทธิ์ของยาสูงประสิทธิภาพก็ยิ่งดี ดูความบริสุทธิ์ได้จากสีของเม็ดยาหลังจากที่หลอมออกมาแล้วนางเข้าใจแล้วว่า ทำไมมันถึงได้มีราคาสูงนัก ในตระกูลที่มีเงินอยู่บ้าง ส่วนมากจะใช้โอสถสร้างแก่นปราณที่ราคาไม่กี่ตำลึงและหาได้ทั่วไปในตอนที่ตามหามันก็รู้สึกว่ายากลำบากแล้ว ใช้เวลาหลายปีกว่าจะได้ขนาดนี้ ไหนจะขั้นตอนการปรุงที่ผิดพลาดไม่ได้อีก หากมันไม่สำเร็จช่วงเวลาหลายปีที่ตามหาวัตถุดิบเท่ากับความสูญเปล่า ส่วนที่ผิดพลาดมีค่าไม่ได้ถึงครึ่งหนึ่งของตัวมันเองหากสำเร็จด้วยซ้ำหลังจากที่ชั่งน้ำหนักความยากลำบากของตนเอง นางเห็นด้วยมาก ๆ ที่จะตั้งราคา
เพราะการกำเนิดใหม่ทำให้หงส์เพลิงไม่มีความทรงจำเก่า และเป็นเหมือนสัตว์อสูรแรกเกิดเท่านั้น ทำให้ต้องมาฝึกฝนใหม่ตั้งแต่เริ่มต้นเมื่อว่างจากการฝึกด้วยกำลัง นางก็ต้องฝึกจิตใจด้วยเช่นกัน แม้จะแข็งแรงอยู่แล้วก็ต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้เพื่อที่จะสามารถปกป้องตัวเองจากภาพมายาได้ แม้ว่านางจะเป็นนายของหงส์แดงเพลิง แต่ก็ไม่มีอะไรรับรองว่าหากมันคลุ้มคลั่งหรือมีเหตุสุดวิสัยอะไรเกิดขึ้น พลังนั้นจะไม่ย้อนกลับมาทำร้ายเจ้านาย ดังนั้นหากป้องกันตัวเองไว้ได้ก็จะเป็นการดี“ข้ากลับมาแล้ว” เสียงบุรุษผู้หนึ่งเอ่ยมาแต่ไกล หันไปจึงเห็นว่าเป็นอาจารย์กับน้องชายของนางที่เดินทางกลับมาในรอบหลายวันระยะนี้พวกเขาต้องแยกกันบ่อย ๆ โดยหมอเทวดาจะพาน้องชายของนางติดตามไปด้วยทุกครั้ง สามสี่วันจึงจะกลับมาที ซุนเป่ยฉีไม่ได้บอกลูกศิษย์ว่า ตนกำลังตามหาอะไรอยู่ ใช้เวลาหลายวันในที่สุดก็เจอเสียที“ท่านอาจารย์ไปไหนมาหรือเจ้าคะ หายไปเสียหลายวันแล้วก็ไม่ได้บอกข้าเอาไว้ด้วย”“สมุนไพรเก้าสิบเก้าชนิดที่เราเคยคุยกันอย่างไรล่ะ”“ท่านอาจารย์หาได้ครบแล้วหร
ฉินหลิวซีหันหน้าไปมองผู้เป็นอาจารย์ก่อนจะหมุนไปหาทั้งตัวทั้งอย่างนั้น พยักหน้าตอบรับคำของเขา ตอนนี้นางเป็นเจ้านายของสัตว์ในตำนานตนนี้แล้วเมื่อรับรู้ได้ถึงบุคคลอื่นที่เข้ามาใกล้ หงส์แดงเพลิงในคราบของลูกหงส์ขาวก็ถอยไปหลบหลังเจ้านาย ฉินหลิวซีนึกว่ามันเป็นหงส์ขาวขี้อายที่ขัดกับภาพลักษณ์จึงไม่ได้นึกติดใจอะไรแต่แท้จริงแล้วหงส์แดงเพลิงตอนนี้รับรู้ได้ถึงตัวตนของบุคคลตรงหน้าที่ทรงพลังเกินกว่ามันจะรักษาความสงบเอาไว้ได้เซียนผู้ไม่ใช่เซียนสร้างแรงกดดันให้มันไม่ใช่น้อย แม้ซุนเป่ยฉีจะตั้งใจปกปิดพลังของตนเอง และไม่ได้เจตนาจะข่มขวัญมันก็ตาม แต่สัญชาตญาณของสัตว์ก็ยังแม่นยำ อีกไม่นานก็ไม่อาจใช้คำว่าเซียนกับคนผู้นี้ได้แล้ว เขากำลังจะก้าวขึ้นไปอย่างระดับขั้นสูงกว่า“ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว คราวนี้เราจะไปไหนดีเจ้าคะ”“จะไม่อยู่ให้นานกว่านี้หน่อยหรือ”“คำว่าจะปักหลักที่ใดนาน ๆ ของท่านอาจารย์เชื่อถือไม่ได้เจ้าค่ะ”ซุนเป่ยฉีเถียงไม่ออก เพราะมันก็ดันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เสียด้วย เขาถอนหายใจเบา ๆ แล้วเดินสะบัดหน้าราวกับคนแก่ช่างแง่งอนออ
ไข่ที่ยังอยู่ตรงนั้นเป็นของหงส์แดงเพลิง และแล้วทิวทัศน์ที่ต่างไปก็ค่อย ๆ เลือนหาย กลายเป็นถ้ำที่นางอยู่เมื่อครู่นี้ เด็กหญิงหันซ้ายหันขวาก่อนจะหันไปดูด้านหลัง พบว่าอาจารย์กับน้องชายยืนนิ่งไม่ไหวติง แม้แต่เสียงหายใจก็ไม่ได้ยินกระทั่งสายตาเหลือบออกไปเห็นนกที่บินอยู่ด้านนอกค้างอยู่กลางอากาศนี่เป็นภาพความทรงจำเสมือนอย่างนั้นหรือ และตอนนี้ตัวข้าก็ถูกแยกออกมาจากมิติสินะฉินหลิวซีไม่แน่ใจ แต่เมื่อตัวนางถูกตัดขาดมาอยู่ในโลกแห่งนี้ รูปร่างโปร่งแสงของหงส์แดงเพลิงก็ปรากฏขึ้น มันร้องคำรามราวกับจะท้าทายและข่มขวัญคู่ต่อสู้เด็กหญิงหยิบกระบี่อ่อนออกมาตั้งท่า นางไม่มั่นใจว่าเงื่อนไขการผูกพันธสัญญาคืออะไร แต่ดูจากท่าทีของหงส์แดงเพลิงตนนี้ คงเป็นการที่ต้องทำให้อีกฝ่ายสยบเช่นนั้นใช่หรือไม่ร่างเสมือนของหงส์แดงเพลิงขยายปีกออกกว้างและเริ่มทำการจู่โจมนาง ปีกของมันแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า ม่านมายาที่กีดกันตัวตนของนางออกจากโลกข้างนอกนั่นแข็งแกร่งสมคำร่ำลือ ผู้เป็นอาจารย์ไม่อาจแทรกแซงได้เลยสักนิด ซึ่งนางก็ไม่แน่ใจว่า เขารับรู้ถึงความผิดปกตินี้หรือไม่ถ้ำที่เคยคับแคบเหมือนถูกขยาย
เด็กหญิงเติบโตขึ้นทีละนิดจนตอนนี้อายุได้สิบปี ฉินหลิวซีเลื่อนขั้นเข้าสู่ระดับก่อกำเนิดเซียนขั้นก่อเกิดฉินซือหยวนอยู่ระดับปฐพีลมปราณขั้นที่สาม เมื่อความสามารถของนางเหมาะสมแล้วที่จะฟักไข่สัตว์อสูรในตำนานได้ ก็อดทนรอที่จะให้ถึงวันนั้นเร็ว ๆ แทบไม่ไหวในที่สุดเวลานี้ก็มาถึง ตรงหน้าของเด็กทั้งสองคือไข่สัตว์อสูรในตำนาน ซุนเป่ยฉีนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม“ซือหยวนน้อย เจ้าหลบออกมาจากตรงนั้นก่อน ถอยออกไป”“ทำไมล่ะขอรับท่านอาจารย์ ข้าก็อยากเห็นมันฟักตัวใกล้ ๆ”“มันอาจจะคิดว่าเจ้าเป็นศัตรูต่อเจ้านายของมันได้ เดี๋ยวก็ได้โดนลูกหลงไม่รู้ตัวหรอก”“แม้มันพึ่งฟัก ก็ทำอันตรายได้ขนาดนั้นเชียวหรือ”เด็กชายไม่เข้าใจถึงความร้ายขาดของมัน แม้จะอ่านตำราเพิ่มเติมหรือให้พี่สาวช่วยอธิบาย เขาก็จินตนาการความแข็งแกร่งของมันไม่ออกอยู่ดี ดูห่างไกลจากความเป็นจริง จนเขานึกภาพถึงตอนที่มันแรงฤทธิ์ไม่ออกเลยเหมือนเช่นที่ว่างูคิดภาพไม่ออกว่า หากตนเองมีขาจะเป็นอย่างไร หรือไก่ก็คงคิดภาพไม่ออกว่าหากมันมีแขนมีนิ้วมีเล