“ในเมื่อเจ้าพูดลำบากนัก ข้าจะบอกแล้วกัน เมื่อวานนี้เจ้าสามคนนั้นบุกรุกเข้าไปในห้องนอนของลูกศิษย์ข้า ตั้งใจจะสังหารนาง แต่ก็โดนเล่นงานกลับ เราพบกันครั้งแรกคือเมื่อวาน และข้ามั่นใจว่านางไม่ไปหาเรื่องใครก่อนแน่”
“เรื่องนี้ข้าต้องขออภัยแทนบุตรสาวด้วย” เขาจับศีรษะลูกของตนให้ก้มลงมาพร้อมกันเป็นการขออภัยอย่างสุดซึ้ง“ข้ายังไม่พอใจ” ซุนเป่ยฉีบอกออกมาทันที“เช่นนั้นข้าจะทำให้สมเกียรติของลูกศิษย์หมอเทวดา ท่านขัดข้องหรือไม่”“ไม่ขัดข้องอยู่แล้ว” ไม่ต้องสาวความให้มากมายทั้งสามคนก็หลบออกไปจากห้องตามด้วยเจ้าสำนักและบุตรสาวคนในสำนักคุ้มภัยหันมองพวกเขาเป็นตาเดียว“ทำสิ่งที่เจ้าควรทำ ไม่อย่างนั้นเจ้าโดนดีแน่” ท่านเจ้าสำนักยื่นคำขาด บุตรสาวจากที่มีท่าทางอวดดีก่อนหน้านี้เริ่มหน้าซีดตัวสั่นนางคุกเข่าลงไปกับพื้น หมอบจนหน้าผากแนบชิดลงไป“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ เรื่องนี้เป็นความผิดของข้าเอง ข้าริษยาความงามของท่านจึงเผลอล่วงเกินไป ข้าต้องขออภัยด้วยจริง ๆ” นางคุกเข่าลงต่อหน้“เช่นนั้นข้าเก็บของเลยนะเจ้าคะ” นักเดินทางเดิมทีก็ไม่ได้พกของมากมายอะไรในกรณีของฉินหลิวซีก็มีมิติที่ใช้อยู่เป็นประจำอยู่แล้ว ของใช้น้อยกว่านักเดินทางคนอื่นเข้าไปอีก ใช้เวลาไม่นานพวกเขาก็เดินทางต่อได้ทันทีสามศิษย์อาจารย์มุ่งหน้ากลับไปยังหมู่บ้าน คล้อยหลังทั้งสามคนมีคนกลุ่มหนึ่งเฝ้าคอยติดตาม หมอเทวดารู้ว่ามีคนแอบลอบสังเกตการณ์พวกตนอยู่ แต่คนเหล่านั้นไม่ได้แสดงเจตนาร้ายเขาจึงปล่อยไป ตราบใดที่ไม่สร้างความเดือดร้อนให้เขากับลูกศิษย์ ก็ไม่มีอะไรให้ต้องออกหน้าความเคลื่อนไหวของฉินหลิวซีและฉินซือหยวน ถูกรายงานไปยังสถานที่หนึ่งโดยที่เจ้าตัวก็ไม่รู้เรื่องซุนเป่ยฉีพิจารณาดูแล้วพวกเขาไม่ได้ต้องการจะทำอันตราย จึงไม่ได้บอกเรื่องนี้แก่ลูกศิษย์ของตน หรือหากภายหลังพวกเขาเปลี่ยนใจอยากจะลงมือขึ้นมา ลำพังแค่ตัวฉินหลิวซีก็น่าจะรับมือได้สบาย หมอเทวดาชั้นเซียนฝึกฝนลูกศิษย์ของเขามาอย่างดี จึงไม่ได้ห่วงอะไรกับสองพี่น้องอีกหอกระจายข่าวประจำเมืองหลวงสถานที่แห่งนี้บริหารงานได้อย่างสงบเรียบร้อยดีนับตั้งแต่วันที่ก่อตั้งมา ไม่เคยมีศัตรูหน้าไหนทำให้สั่น
ครอบครัวสกุลฉินมายืนส่งหมอเทวดาที่ทางออกหมู่บ้าน ใครผ่านไปผ่านมาก็เห็นแล้วว่าสองพี่น้องสกุลฉินที่เกิดจากลูกคนรองกลับมาแล้วบนบ่าของฉินหลิวซีมีย่ามอยู่หนึ่งใบ เป็นของที่หมอเทวดาทิ้งไว้ให้ก่อนออกจากหมู่บ้านไป ในนั้นมีโอสถทะลวงลมปราณและโอสถอื่น ๆ อีกมากมายที่ตั้งใจมอบให้แก่ลูกศิษย์เอาไว้ใช้งานอาจารย์บอกระหว่างทางมาที่นี่แล้วว่า การดูแลคนไข้ช่วงนี้ไม่จำเป็นต้องให้นางหรือน้องชายติดตามไปเป็นผู้ช่วยอีกแล้ว การเดินทางระหว่างพวกเขาสิ้นสุดลงตามที่ซุนเป่ยฉีเคยได้บอกไว้หลังจากนี้จะพบกันหรือไม่ ก็แล้วแต่วาสนาจะนำพา หลังจากส่งอาจารย์เรียบร้อยแล้วบิดามารดาก็พาสองพี่น้องเข้าไปพักในบ้าน เดินทางยาวนานครั้งนี้คงเหนื่อยไม่ใช่น้อย ชิวย่าหนานเข้าครัวทำอาหารฉลองแต่หัววัน ผู้เป็นพ่อก็ออกไปหาวัตถุดิบมาเพิ่ม เพราะแน่ใจว่าวันนี้คงเป็นอาหารมื้อใหญ่ในรอบหลายปี“เดินทางครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง เล่าให้แม่ฟังหน่อยสิ” ชิวย่าหนานยิ้มบานถามสองพี่น้องฉินก่วงได้ยินสิ่งที่ภรรยาพูดก็หูกระดิกอยากรู้ด้วย จากครั้งแรกที่ตั้งใจว่าจะไปหาวัตถุดิบมาเพิ่มจากป่าหรือไม่ก็เข้าไปซื้อของในตัวหมู่บ้านก็เป็นอันต้องเลื่อนออกไป เรื่องของบ
“แม่เตรียมเอาไว้ให้ เผื่อวันใดเจ้ากลับมาจะได้ไม่ยุ่งยากซื้อใหม่ นับวันราคาข้าวของมีแต่จะสูงขึ้น บางอย่างที่ซื้อก่อนได้ อย่างพวกของใช้ทั่วไปก็จะซื้อไว้ให้เจ้าก่อน หากเจ้าไม่ชอบก็ค่อยนำไปขายแล้วซื้อใหม่”“ข้าไม่จุกจิกกับเรื่องพวกนั้นเท่าไรหรอกเจ้าค่ะ ท่านแม่เสียอีกคงลำบากมากที่ต้องเตรียมของให้ข้ามากมายขนาดนี้ การเงินบ้านเราก็ไม่ค่อยดีและมีปัญหามาตลอด”“เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องห่วงไปหรอกนะ เงินที่นำมาซื้อหาของใช้เข้าบ้านก็เอาจากการที่พ่อเจ้าไปล่าสัตว์มาได้ บางวันก็ออกไปรับงานช่วยคนอื่นอีกที บ้างก็เป็นบ้านเศรษฐีที่ไม่ได้สนใจว่าเราเป็นใคร หรือทำอะไรได้มากกว่านี้หรือเปล่า”ต้องบอกว่ามารดาของนางมองออก หรืออาจเป็นที่ทั้งสองปรึกษากัน แต่การทำแบบนั้นดีแล้ว เรื่องพลังที่นางสอนให้ไว้ป้องกันตัวก็ควรรู้แค่คนที่จะได้ลองมัน บางอย่างคนรู้น้อยยิ่งดี เพราะขึ้นกับนิสัยคนพูดด้วยว่าจะบอกอย่างไรท่านแม่ของนางหัวอ่อนมาแต่ไหนแต่ไร เรื่องนี้แก้ไม่ได้ ดังนั้นต้องหาวิธีสื่อสารที่จะให้แน่ใจว่า นางจะมองมันเป็นความลับแสนสำคัญ“ล่าสัตว์คงไม่พอประทังมากขนาดนี้ คงเน้นไปที่การทำงานให้ท่านเศรษฐีสินะเจ้าคะ”“ก็อย่างที่เจ้
ชิวหลานนั่งนิ่งอึ้ง สีหน้าทุกคนประหลาดใจพอ ๆ กันตั้งแต่ที่เด็ก ๆ ออกจากเมืองไป พวกเขาก็แปลกใจอยู่ว่าทำไมฉินก่วงถึงล่าสัตว์ได้มากกว่าแต่ก่อน เดิมทีก็ล่าสัตว์เก่งอยู่แล้ว แต่พักหลังมานั้นดูเหมือนว่าจะใช้เวลาน้อยลงไปมากจนน่าแปลกใจพอเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหวจึงได้ลองถามดู ถึงได้รู้ว่าทั้งสองคนกลายเป็นผู้ฝึกตนแล้ว พอรู้อย่างนี้ก็ไม่กล้าถามรายละเอียดอื่น ๆ อีก ในตอนนั้นรู้สึกเหมือนไม่ควรจะถาม หากทั้งสองคนต้องการบอกก็คงบอกออกมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แต่ก็ยังเก็บเงียบมาจนถึงเดี๋ยวนี้พอฉินหลิวซีพูดเรื่องนี้ขึ้นมาพวกเขาคิดว่าคงจะเกี่ยวข้องกัน“ดูจากสีหน้าพวกท่านยายไม่ได้ประหลาดใจเท่าไร ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะไม่อธิบายเกินความจำเป็น พวกท่านยายท่านลุงท่านน้า ช่วยกลับไปคิดสิ่งที่ข้าจะพูดสักหน่อยเถอะนะ...”ฉินซือหยวนล้างชามเสร็จออกมาจากหลังบ้านพอดีจึงนั่งฟังกับพี่สาวด้วย เด็กหญิงแย้มยิ้มพลางบอกเล่าความคิดของตนไป รอยยิ้มของนางสะกดคนให้มองค้างก่อนจะถ่ายทอดความรู้สึกผ่านดวงตาความปรารถนานี้อาจยากที่จะเข้าใจ สำหรับคนที่เคยมองโลกในแง่ร้ายและไม่ปรารถนาจะเห็นใจผู้อื่น ความรู้สึกชิงชังความเป็นจริงที่ตนได้เผชิญ และ
“ถ้าเรื่องนั้นละก็ พวกน้าตัดสินใจแล้ว แต่ว่าท่านตาท่านยายยังมีเรื่องที่ห่วงอยู่”“อะไรหรือเจ้าคะ”“อย่างที่เห็นว่าพวกท่านอายุมากแล้ว ต่อให้ใช้ยาวิเศษของเจ้าก็รู้สึกว่ามีความเสี่ยงอยู่ดี แม้ว่าน้าจะรบเร้าไปหลายครั้งแล้ว แต่พวกท่านก็ไม่ยอม”ฉินหลิวซีพยักหน้าอย่างเข้าใจ เรื่องนี้ก็สมเหตุสมผลที่พวกท่านจะกังวล เป็นนางเองอยู่ในจุดนั้นก็คงมองเรื่องนี้ว่ามีความเสี่ยงเลวร้ายมากกว่าดี“ท่านแม่ ข้าเองก็เคยกลัวเหมือนท่าน” ชิวย่าหนาน เป็นคนเดินเข้าไปหามารดาของนางก่อนใครหลังจากได้ฟัง นางเข้าใจความรู้สึกนั้นดี เพราะในตอนที่ตนเองต้องตัดสินใจ ก็ห่วงเรื่องเดียวกันนี้ว่าอายุมากแล้ว“ข้าเข้าใจว่าท่านกังวล แต่หากมองย้อนกลับไป ข้าก็หวังว่าท่านจะตอบรับคำขอของหลาน”“ทำไมถึงพูดอย่างนั้นล่ะ” สตรีอาวุโสกุมมือบุตรสาวตอบ ถามด้วยเสียงอ่อนโยน“เพราะสถานะทางการเงินของบ้านเราไม่เคยดี สิ่งที่ควรจะได้มีจะได้ใช้ร่วมกันอย่างเช่นเวลาครอบครัวไม่เคยมาถึง และเพราะร่างกายอ่อนแอ ความเป็นอยู่ส่งผลเช่นนั้น พวกเขาจึงรังแกเราได้ง่าย หากกลายเป็นคนที่สมเป็นมนุษย์ยิ่งกว่านั้น ทั้งความแข็งแกร่งของร่างกายและจิตใจที่ได้มา ข้าเชื่อว่าเรา
“เอาโอสถไปให้พวกเขา” ฉินหลิวซีฝากน้องชายนำยาไปแจกจ่าย ส่วนตัวเองไปต้มยาสมุนไพรเพิ่ม “หลังจากนี้ฝากท่านพ่อท่านแม่ช่วยข้าเป็นหูเป็นตาด้วยนะเจ้าคะ หากพวกเขาเริ่มมีความรู้สึกทรมานหรือเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว ก็นำยาในหม้อนี้ไปให้พวกเขาดื่มหนึ่งถ้วย เว้นช่วงสองชั่วยาม” ฉินหลิวซีเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง ครั้งนี้ไม่มีอาจารย์คอยช่วย แต่สมุนไพรที่นางเตรียมไว้และโอสถล้ำค่าก็สามารถทดแทนได้“เข้าใจแล้ว” บิดามารดาเอ่ยรับพร้อมกันนางเตรียมทุกอย่างเอาไว้หมดแล้วรวมถึงผ้าที่ซับเหงื่อจากความร้อนที่จะแผ่ออกมาด้วย หลังจากแต่ละคนกินโอสถเข้าไปก็เริ่มแสดงสีหน้าไม่สู้ดีออกมา เพียงแต่ว่ายังอยู่ในระดับที่ทนได้คนอายุน้อยทนความเจ็บปวดได้ ที่นางห่วงจริง ๆ จึงเป็นท่านตาท่านยาย ความเจ็บปวดทำให้พวกเขาเผลอหลุดเสียงร้องด้วยความทรมานออกมาฉินหลิวซีมองพวกเขาแล้วก็รู้สึกลังเลอยู่หลายครั้งเกิดคำถามในใจไม่หยุดหย่อนว่า ควรยกเลิกตั้งแต่ตอนนี้ดีหรือไม่ เสียงภายในใจและเสียงในหัวทะเลาะกันไปมาว่าควรหยุดหรือไปต่อ เสียงหนึ่งห้ามเสียงหนึ่งเห็นด้วย จนกระทั่งเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ที่นางต้องหักห้ามตัวเองอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าสามวันถัดมาก็สัม
“พ่อเห็นด้วย แต่ที่หมู่บ้านเรามีคนน้อย คงมีลูกค้าเวียนมาไม่มาก”“เรื่องนั้นข้าคิดไว้แล้วเจ้าค่ะ พวกเราเริ่มเช่าร้านเล็ก ๆ ในเมืองได้ พอมีกำไรมากและมีลูกค้าประจำจึงค่อยขยับขยายออกมาก็ได้”การรักษาครั้งหนึ่งเสียเงินไม่ใช่น้อยจึงไม่มีใครอยากป่วยไข้กัน บางครั้งก็ไม่สะดวกที่จะรอผู้มีวิชาความรู้เฉพาะทางมาตรวจทุกครั้งไป หากเป็นหวัดเล็กน้อยและซื้อยากินเองได้ก็ประหยัดเวลาทั้งหมอและคนไข้ไปได้มากฟังความคิดของบุตรสาวแล้วทั้งสองคนก็รู้สึกเห็นด้วย ร้านโอสถเล็ก ๆ ที่มียาหลากหลาย ดูแล้วความต้องการค่อนข้างสูง และในเมืองนี้ก็ยังไม่มีร้านโอสถเป็นหลักแหล่ง“พ่อเห็นด้วยที่เจ้าจะทำแบบนั้น ท่านลุงรู้จักหลายคนในเมือง อาจจะพอแนะนำที่ทางให้ได้”“ไว้นำเรื่องนี้ไปปรึกษากันอีกที แต่แม่เห็นด้วยนะที่เจ้าจะทำ”“แค่ท่านพ่อท่านแม่เห็นด้วยก็รู้สึกเหมือนว่าสำเร็จไปแล้วละเจ้าค่ะ” นางจูงมือท่านพ่อท่านแม่คนละข้าง แย้มยิ้มไปตลอดทางมาถึงตัวเมืองที่มีความเจริญแล้ว พวกเขาจึงพานางไปดูร้านที่กำลังปล่อยให้เช่าหลังจากซื้อของที่ต้องการเสร็จแล้วด้วย ได้ดูทำเลที่ตั้งเสียทีเดียว ดูไว้หลาย ๆ ที่จะได้นำไปเปรียบเทียบก่อนตัดสินใจที่ทาง
โลกที่ทาสสามารถซื้อขายเป็นแรงงานได้ มีตลาดเฉพาะอยู่ตามเมืองใหญ่ ๆ ซึ่งเมืองของนางไม่มี ต้องไปยังเมืองข้าง ๆ ที่เป็นศูนย์กลางการค้าขายที่ใกล้ที่สุด ทำให้ต้องนั่งรถม้าไปไหน ๆ ก็อาจจะได้รับทาสกลับมาด้วย นางจึงยอมจ่ายเพื่อพาหนะที่สะดวกการซื้อขายทาสไม่ได้ผิดกฎหมาย เพียงแต่ต้องทำกันอย่างเป็นระเบียบภายใต้กฎที่ผู้ครองแผ่นดินเป็นผู้กำหนดฉินหลิวซีเดินดูทาสเหล่านั้นตั้งแต่หัวแถวไปจนถึงท้ายแถว พวกเขายืนอยู่สองฝั่งทางเดินโดยมีตัวแทนเป็นผู้โฆษณาคุณสมบัติของทาสคนนั้นคอยชักชวนให้คนซื้อ กฎของที่นี่คือห้ามระรานและบังคับผู้เป็นลูกค้าให้ซื้อตามคำชักชวน พวกเขาจะไม่พุ่งเข้ามาเพื่ออวดอ้างคุณสมบัติหากผู้ซื้อไม่ได้เป็นฝ่ายเข้าไปถามหลังจากเดินดูอยู่รอบหนึ่งนางก็เลือกคนที่ต้องการได้ฉินหลิวซีได้ชายฉกรรจ์ที่เคยเป็นองครักษ์ และเป็นแฝดกันมาสองคน อดีตเถ้าแก่ร้านยาที่ล้มละลายก่อนขายตัวเป็นทาสหนึ่งคน บ่าวกับสาวใช้อีกสี่คนที่ถูกเลือก และบ่าวแม่ลูกคู่หนึ่งที่บุตรสาวของนางอายุเท่ากันกับฉินหลิวซีนางมองดูด้วยตาเปล่าก็เห็นว่าพวกเขาไม่ได้เจ็บป่วยร้ายแรงหรือเป็นโรคเรื้อรัง มีเพียงแค่ความซูบผอมที่เห็นภายนอกเพราะสภาพแวดล้
"ท่านแม่ทำยา""อุ๊บ! ฮ่า ๆ ๆ ขอโทษด้วยนะ แต่แม่ไม่ได้เป็นกระต่ายหรอก" ฉินหลิวซีขำพรืดก่อนเอี้ยวตัวมาลูบศีรษะบุตรชายด้วยความเอ็นดู"ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่เสี่ยวไป๋สามารถเป็นได้ทุกอย่างที่ลูกอยากเป็นเลย จะเป็นกระต่ายหรือดวงดาวก็ได้ แม้จะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ก็อย่าได้ทิ้งสิ่งนี้ที่อยู่ในใจของลูกไปเลยนะ"เมื่อการเติบโตทำให้ความรับผิดชอบมากขึ้น ความสุขที่ไขว่คว้าได้ก็น้อยลง ต้องยอมปล่อยมือจากสิ่งที่รักและหวงแหน ต้องสละบางอย่างเพื่อสิ่งที่อาจไม่ปรารถนาแต่จำเป็นต้องมี วัฏจักรของมนุษย์ดำเนินไปเช่นนั้นฉินหลิวซีปรารถนาให้ลูกของตนไม่ถูกกลืนกินจากมัน แต่สุดท้ายก็คงไม่มีใครรอดพ้นอยู่ดี ดังนั้นก็จงทนุถนอมเอาไว้ให้ยาวนานเท่าที่ได้เถิดหลังจากบินเล่นจนพอใจแล้วหงส์แดงเพลิงก็ร่อนลงตรงที่กว้างสักแห่ง เจ้านายเปิดมิติให้ทุกคนก็เข้าไปพักผ่อน แต่เจ้าตัวสีทองนั่นยังบินเพลินไม่ยอมกลับเข้ามา เดือดร้อนคนรักของเจ้านายต้องออกไปตามอีกรอบมันเดินเตาะแตะมานอนซุกตัวข้างตัวบ้าน มิตินี้ไม่เคยถูกคนนอกรุกล้ำเข้ามาได้ แต่หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน ผู้บุกรุกเหล่านั้นก็จะต้องรับมือมันก่อน
ทันทีที่มันลืมตาตื่นขึ้นมาบนโลกใบนี้ มันก็รู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่าการต่อสู้คือความสามารถและวิถีของมันทุกครั้งที่ฟักออกจากไข่ ความทรงจำเกี่ยวกับเจ้านายคนก่อนจะหายไป ไม่ว่าความผูกพันธ์นั้นจะมีหรือไม่มี ก็จะถูกลบหายไปอย่างเท่าเทียมตั้งแต่ครั้งที่สามหรือสี่ที่รู้ตัวว่าเป็นแบบนั้น มันจึงใช้เวลากับเจ้านายใหม่เป็นตัวเองอย่างเต็มที่ เมื่อถูกปลุกขึ้นมา หลังถวายความภักดีให้ก็จะถูกใช้ไปสู้กับตัวอื่น ๆ บ้างก็แพ้บ้างก็ชนะ เคยถูกล่าม ถูกขัง และถูกเลี้ยงปล่อยเป็นอิสระด้วยเช่นกันการต้องจดจำเรื่องเหล่านั้นทุกครั้งที่ตื่นก็ดูเหนื่อยเกินไปจริง ๆ มันเริ่มรู้สึกเห็นด้วยที่ความทรงจำเกี่ยวกับเจ้านายถูกลบหาย เห็นเป็นเพียงเงาร่างเลือนที่นึกไม่ออกทั้งชื่อและหน้าเจ้านายแต่ละคนปฏิบัติกับมันและมอบบทบาทให้มันไม่เหมือนกันคิดว่าครั้งต่อไปจะให้มันทำอะไรก็ไม่เกินความสามารถ แต่ก็ไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าสัตว์อสูรในตำนานอย่างมันต้องมาทำหน้าที่พี่เลี้ยงเด็กแกว้ก!"เสี่ยวฮั่วเล่นกับ ๆ อยู่ตรงนี้นะ ข้าจะไปรดน้ำแปลงสมุนไพร" วางทารกกับเด็กเล็กหนึ่งคนพิงตัวมันเสร็จก็เดินหนีไปยุคสมัยท
"เจ้าค่ะ!""เรื่องนั้นไม่ต้องพูดก็ได้" ซือหยวนจะตะครุบปากภรรยาเอาไว้ตอนนี้ก็ไม่ทันฉินหลิวซีประติดประต่อเรื่องราว ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปในใจตัวเอง เอ่ยออกมาทั้งรอยยิ้มพลางปรายตามองน้องชายร่วมสายเลือด"อย่างนี้เอง ข้าเข้าใจแล้ว"อยากให้ยุคนี้มีกล้องจริง ๆ เลยเชียวเพราะเหยื่อล้วนไปที่หอนางโลมนั้น สาเหตุการตายมาจากพิษ คนร้ายต้องเป็นคนใน หากจะหาเบาะแสก็ต้องแฝงตัวเข้าไปไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่หอนางโลมนั้นผู้ชายจะเข้าไปได้ก็ในฐานะลูกค้า ไม่สามารถเป็นคนที่ทำงานในหอนั้นได้ ขอบเขตของเบาะที่หามาย่อมเจอทางตัน สุดท้ายก็ต้องปลอมตัวไปเป็นคนในเสียเองในฐานะสตรีผู้หนึ่ง ฉินหลิวซีทั้งรู้สึกแย่และรู้สึกดีกับเรื่องนี้ในคนละมุมมอง แต่มันเป็นที่ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว จะไปคิดมากก็ดูใช้พลังชีวิตเกินความจำเป็นดูจากตอนนี้ทั้งคู่ก็มีความสุขดี นางคงไม่ยื่นมือไปทำอะไรทั้งนั้น ตั้งใจว่าจะกลับมาเยี่ยมแต่โดนทำให้ตกใจเสียได้"พี่หญิงจะค้างที่นี่กี่วันหรือคะ ข้าจะให้คนจัดห้องให้""ไม่ต้องค้าง กลับไปเลย""พี่สาวเจ้ามาหาทำไมทำตัวแบบนี้ นางอุตส่าห์มาเยี่ยมเจ้า
เมื่อหลายปีก่อนมีสำนักคุ้มภัยเกิดขึ้นในเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เมืองที่อยู่ห่างไกลเมืองหลวงเช่นนี้มักไม่ค่อยมีขุนนางน้ำดีแวะเวียนมาเพราะหาประโยชน์กอบโกยไม่ได้แต่แล้วก็มีเซียนโอสถน้อยผู้หนึ่งกำเนิดขึ้นที่นี่ นางกับน้องชายจากบ้านเกิดไปหลายปีเพื่อร่ำเรียนกับหมอเทวดา ครานั้นผู้คนในเมืองยังคิดกันอยู่เลยว่ามันไม่จริง เหมือนฝันอันห่างไกลที่เมืองแห่งนี้จะเจริญขึ้นได้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทีละน้อย เริ่มมีสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ในที่ดินใกล้ที่ว่าการซึ่งปล่อยทิ้งร้าง มีร้านโอสถที่ขายยาหายาก เครื่องประทินโฉมอันเลื่องชื่อที่โด่งดังไปถึงต่างแดน"และคนที่เป็นเจ้าของสามในสี่อย่างที่ว่ามานี้ก็คือ ข้าเอง!"เสียงวางไหเหล้ากระแทกโต๊ะดังโครม ทุกคนเงียบกริบ เบนสายตาจากคนที่กำลังอวดอ้างตนเองมายังคนพเนจรร่างผอมบาง ผู้ที่มองไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชายเพราะสวมผ้าคลุมและหมวกสานปิดหน้าอาไว้"อะไร จะหาเรื่องกันรึ?" ผู้เป็นจุดศูนย์กลางของเรื่องเล่ามองเขม็งไม่สบอารมณ์"ได้ข่าวว่าสามสถานที่นั้นเป็นของเจ้าเพียงหนึ่งมิใช่รึ จะอ้างของใครก็ให้มันน้อย ๆ หน่อยคุณชายฉิน" เสียง
หลี่ไป๋ได้ยินก็หูผึ่ง ต้องเป็นคนของบิดาเขาแน่ เวลาขนาดนี้ท่านแม่ก็น่าจะกลับมาจากออกล่าแล้วเช่นกัน แถมยังกำลังตามหาพวกเขาอยู่ หลี่ไป๋เริ่มมีความหวัง"ย้ายที่กันก่อน รีบพาสินค้าไปจุดรับของ" แม้จะร้อนใจจากเรื่องที่พึ่งได้ยินแต่หัวหน้าคนชั่วก็สั่งด้วยความใจเย็นหลี่ไป๋ขมวดคิ้ว พวกนั้นรีบร้อนแบบนี้ที่นี่คงอยู่ใกล้ ๆ เมือง เขาต้องหาทางถ่วงเวลา"เสี่ยวหนิง" เขากระซิบเรียกน้องสาวที่ยังนอนกลิ้งหนีความจริงไม่เลิก"หือ?" เชือกมัดปากก็ไม่ยอมแกะทำเป็นเล่นจริง ๆ ให้ตายสิแต่ก็ดีกว่านางร้องไห้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาได้หูแตกแน่ แถมเหมืองยังจะถล่มแน่นอนอีกด้วย"ช่วยพี่ชายหน่อยสิ เดี๋ยวซื้อเปาจื่อให้สามลูก"พอเอาของกินมาล่อนางก็พยักหน้าทันทีพวกมันขนสัมภาระขึ้นเกวียนอย่างรวดเร็วแล้วออกเดินทางจากเมือง ผ่านอุโมงค์ทอดยาวจนมาถึงด้านนอกในที่สุด ตอนนี้เป็นเวลาเย็นแล้วท้องฟ้าจึงเริ่มเปลี่ยนเวลาที่ใช้ไปกว่าจะออกมาข้างนอกไม่นาน หมายความว่าเมืองแห่งนี้ไม่ได้ลึกอย่างที่คิดหลี่หวานหนิงมองหน้าพี่ชาย พออีกฝ่ายพยักหน้านางก็กรีดร้องเสียงดัง"กร
"สามีที่รัก…การกลับมาอย่างรีบร้อนของข้าเหมือนจะไม่ได้รับผลลัพธ์ที่ดีเท่าไรเลยนะ"เหนืออาคารของหอกระจายข่าวคล้ายมีเมฆครึ้มทั้งที่ท้องฟ้าส่วนอื่นยังแจ่มใสถ้าไม่นับนายท่านที่พึ่งกลับมาได้จังหวะพอดิบพอดีคนอื่น ๆ ล้วนกำลังตามหาร่องรอยคนร้าย หัวหน้าหอแห่งอวิ๋นซีจึงเป็นผู้ร่วมชะตากรรมหนึ่งเดียวที่ต้องมานั่งคุกเข่าสำนึกผิดต่อหน้าฮูหยินอยู่ตอนนี้แต่เป็นใครมาอยู่ตรงนี้เฟยหลางก็คิดว่ายอมศิโรราบกันหมดตั้งแต่นางเดินเข้ามาประตูมาอยู่ดี ลองเห็นภาพนางลากคอไก่ฟ้าตัวขนาดพอ ๆ หงส์แดงเพลิงเข้ามาใครจะไม่ผวาบ้างหลี่เจิ้นหัวหน้าซีดตัวหดเหลือสองชุ่น"ยะ ยอดรักจ๋า""ไม่เคยเห็นในเมืองวุ่นวายขนาดนี้ แถมยังเป็นคนของหอกระจายข่าวอีก คิดว่าจะปิดบังได้หรือไง""ก็…ไม่หรอก แต่ข้าอยากรีบหาตัวให้เจอก่อนเจ้ามา"ก่อนมาถึงอาคารนี้นางก็จับคนมาถามความแล้วจึงรู้เรื่อง ไม่ได้แปลกใจอะไร ปญหามันอยู่ต่อจากนี้ต่างหากฉินหลิวซีเอาอาวุธคู่กายทั้งสองออกมา โยนงานจิปาถะให้คนอื่นทำ"ไก่ฟ้านี่ฝากชำแหละหน่อย เดี๋ยวข้ากลับมา"ว่าแล้วก็โดดออกทางหน้าต่างข
"โฮ่ คุณหนูน้อยสองคนคุยเรื่องรูปสลักในร้านยายกันใหญ่เชียว ทำไมไม่เลือกมันเล่า""น้องข้ามีเยอะแล้ว ให้นางเท่านี้ก็พอขอรับ" หลี่ไป๋ตอบกลับอย่างสุภาพ หญิงชราเจ้าของร้านงึมงำอะไรบางอย่างที่เขาฟังไม่เข้าใจหลี่ไป๋เอาถุงเงินออกมาเตรียม แต่ลืมไปว่าฝากไว้ที่เฟยหลาง"พี่เฟย - ""ขอรับคุณชาย…คุณชาย?"เฟยหลางหันซ้ายหันขวา รอบตัวเขาไม่มีใครอยู่เลย แต่เมื่อครู่มั่นใจว่าคุณชายน้อยเรียกเขาแน่ ๆ ร้านแผงลอยก็ปราศจากเจ้าของ เฟยหลางหน้าซีด"ซวยแล้ว…"หลี่หวานหนิงร้องอู้อี้เพราะถูกมัดมือมัดเท้าเอาไว้ ที่ปากก็มีเชือกผูกไม่ให้ส่งเสียง เพียงพริบตาเดียวที่สายตาหลุดจากหญิงชราตรงหน้าไป พวกเขาก็ถูกพามาที่ไหนสักแห่งด้วยยันต์เคลื่อนย้าย ทันทีที่ร่วงกระแทกพื้นพวกมันก็กรูกันเข้ามาจับมัดทันที แต่เพราะเห็นเป็นเด็กจึงไม่ได้มัดแน่นหนาอะไรหลี่หวานหนิงกระดึ๊บซ้ายทีขวาทีราวกับหนอนยักษ์ นางค่อนจะ…ไม่รู้ร้อนรู้หนาวเกินไปสำหรับเด็กที่ถูกขโมยตัวมา แต่จะว่านางก็เหมือนถ่มน้ำลายใส่หน้าตัวเอง เพราะคนที่สงบนิ่งยิ่งกว่าใครก็คือหลี่ไป๋เองนอกจากพวกเ
"หมายความว่าอย่างไรโดนลักพาตัว!""ขออภัยขอรับนายท่าน ข้าคลาดสายตาไปเพียงนิดเดียวพวกเขาก็ไม่อยู่แล้ว"หลี่เจิ้นหัวตะโกนเสียงดัง "คิดว่าข้ออ้างแบบนั้นจะแก้ตัวขึ้นหรือไง รีบไปตามหาเดี๋ยวนี้เลย!"คนของหอกระจายข่าวสาขาประจำเมืองกระจายกำลังกันไปอย่างรวดเร็ว จะมีอะไรเป็นเรื่องเร่งด่วนไปกว่าเรื่องที่บุตรทั้งสองของนายท่านหายตัวไป แถมยังเป็นความสะเพร่าซึ่งเกิดขึ้นตอนฮูหยินไม่อยู่ หากจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยไม่ได้ ไม่แน่ว่าสิ่งที่อยู่ในหม้อต้มยาจะไม่ใช่วัตถุดิบสมุนไพรแต่เป็นกระดูกพวกเขาต่างหากเด็กเก้าขวบกับห้าขวบตัวไม่ใช่เล็ก ๆ จะหายไปทันทีได้อย่างไร อีกทั้งดูเหมือนจะไม่ใช่แค่เพียงการเล่นสนุกของเด็ก ๆ คนที่ทำเรื่องอย่างนี้ต้องมีมากกว่าสอง หรืออาจจะทำกันเป็นกลุ่มใหญ่เลยก็ได้ ต้องรีบหาให้เจอภายใต้เงาของเมืองอันเงียบสงบคนของหอกระจายข่าวกำลังเคลื่อนไหว เกิดเรื่องที่ไหนไม่เกิดมาเกิดที่เมืองพวกเขาเสียได้ สาขาของหอกระจายข่าวมีตั้งมากดันเลือกมาเกิดที่เมืองที่สงบสุขที่สุดในแคว้นช่างน่าเวทนาผู้ไม่ประสงค์ดีกลุ่มนั้นเหลือเกิน…หลี่เจิ้นหั
นายท่านหอชิงขุยจัดการแยกงานที่ต้องทำด่วนจะทำทีหลังได้ออกจากกันเป็นสองกอง พอไม่ได้เข้ามาที่หอนานแบบนี้งานก็กองสุมการจนล้นมือไปหมด พอมีลูกสองคนแล้วเขาก็ยิ่งขยันทำงานมากขึ้นคงต้องเข้ามาที่หอชิงขุยบ่อยกว่านี้แล้วล่ะ"ฉินหลิวซีไม่อยู่แบบนี้คือช่วงเวลาพิสูจน์ฝีมือสินะ"เมื่อนางกลับมาจะต้องภูมิใจในตัวสามีร่วมงานคนนี้ ที่เขาเลี้ยงลูกได้ไม่มีขาดตกบกพร่อง คิดแล้วก็เผลอยิ้มออกมา"ท่านพ่อ ทำหน้าตาพิลึกจัง""พิลึก!" พอโดนเด็กทักแบบนี้ทำเอาใจแป้วเลยทีเดียว นี่เขายิ้มแล้วหน้าตาพิลึกหรอกหรือ"หรือจริง ๆ แล้วข้าไม่ได้รูปงาม แต่หน้าตาแปลกพิสดาร?"ท่านแม่ รีบกลับมาทีขอรับ"เสี่ยวไป๋…ทำไมมองพ่อด้วยสายตาเย็นชาแบบนั้นล่ะลูก"คำถามของเขาไม่ได้รับคำตอบ บุตรชายเอียงคอมองหน้างง ๆ คล้ายไม่เข้าใจ ทำให้ยิ่งเกิดคำถามขึ้นมาในหัวว่าหรือจริง ๆ แล้วเขาเอง เป็นเขาเองที่แปลก"อ้ะ แต่ถ้านางชอบ แปลกก็ดีแล้วนี่นา"ท่านแม่…ไม่รู้ด้วยเหตุใดแต่บุตรคนแรกของเขาดูจะมีความคิดที่โตเกินวัยไปสักหน่อย รวมถึงคำพูดคำจาที่เด็กวัยเดียวกันไม่น่าคิด