โลกที่ทาสสามารถซื้อขายเป็นแรงงานได้ มีตลาดเฉพาะอยู่ตามเมืองใหญ่ ๆ ซึ่งเมืองของนางไม่มี ต้องไปยังเมืองข้าง ๆ ที่เป็นศูนย์กลางการค้าขายที่ใกล้ที่สุด ทำให้ต้องนั่งรถม้าไปไหน ๆ ก็อาจจะได้รับทาสกลับมาด้วย นางจึงยอมจ่ายเพื่อพาหนะที่สะดวกการซื้อขายทาสไม่ได้ผิดกฎหมาย เพียงแต่ต้องทำกันอย่างเป็นระเบียบภายใต้กฎที่ผู้ครองแผ่นดินเป็นผู้กำหนดฉินหลิวซีเดินดูทาสเหล่านั้นตั้งแต่หัวแถวไปจนถึงท้ายแถว พวกเขายืนอยู่สองฝั่งทางเดินโดยมีตัวแทนเป็นผู้โฆษณาคุณสมบัติของทาสคนนั้นคอยชักชวนให้คนซื้อ กฎของที่นี่คือห้ามระรานและบังคับผู้เป็นลูกค้าให้ซื้อตามคำชักชวน พวกเขาจะไม่พุ่งเข้ามาเพื่ออวดอ้างคุณสมบัติหากผู้ซื้อไม่ได้เป็นฝ่ายเข้าไปถามหลังจากเดินดูอยู่รอบหนึ่งนางก็เลือกคนที่ต้องการได้ฉินหลิวซีได้ชายฉกรรจ์ที่เคยเป็นองครักษ์ และเป็นแฝดกันมาสองคน อดีตเถ้าแก่ร้านยาที่ล้มละลายก่อนขายตัวเป็นทาสหนึ่งคน บ่าวกับสาวใช้อีกสี่คนที่ถูกเลือก และบ่าวแม่ลูกคู่หนึ่งที่บุตรสาวของนางอายุเท่ากันกับฉินหลิวซีนางมองดูด้วยตาเปล่าก็เห็นว่าพวกเขาไม่ได้เจ็บป่วยร้ายแรงหรือเป็นโรคเรื้อรัง มีเพียงแค่ความซูบผอมที่เห็นภายนอกเพราะสภาพแวดล้
“ซื้อคฤหาสน์หลังใหญ่ขนาดนั้น เหมือนฝันอยู่เลย” ชิวย่าหนานยกมือกุมใบหน้าตัวเอง ดวงตาของนางเบิกกว้างหันไปมองสามีก็ทำตัวไม่ถูกเช่นเดียวกัน“ข้าคิดว่าจะให้พวกเราย้ายไปอยู่ที่นั่น แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้เจ้าค่ะ ระหว่างนี้ให้ไปสร้างข่าวลือว่า คฤหาสน์หลังนั้นเป็นของคหบดีที่จะย้ายมาใหม่ จนกว่าทุกคนจะแข็งแกร่งกว่านี้เราจะยังไม่ย้ายไปที่นั่น” “ทำไมต้องสร้างชื่อว่าเป็นคหบดีด้วยเล่า” “เพื่อความน่าเชื่อถือเจ้าค่ะ อย่างไรเรื่องที่มีเงินทองมากมายก็เป็นความจริง การทำการค้าก็กำลังดำเนินอยู่ ไม่ใช่เรื่องหลอกลวงเลย”นางอธิบายให้ฟังอย่างง่าย ๆ ทุกคนก็เข้าใจได้หลังจากวันนั้น ตอนเช้านางจะเข้าไปดูร้านที่ตกแต่งใหม่ ส่วนทางบ้านของนาง หลังจากที่ได้รู้แล้วว่าหลานสาวตั้งใจจะทำอะไรพวกเขาก็ฝึกซ้อมอย่างหนัก โดยเฉพาะลุงใหญ่ ลุงรอง น้าใหญ่ น้ารองเวลาผ่านมาหนึ่งเดือนแล้วนับตั้งแต่วันที่โอสถทะลวงลมปราณสัมฤทธิ์ผล พวกเขากลายเป็นผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดลมปราณขั้นที่ห้า ขณะที่ท่านตาท่านยายของฉินหลิวซีอยู่ในระดับก่อเกิดลมปราณขั้นที่หนึ่ง และน้าเล็กก่อเกิดลมปราณขั้นที่สองเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าพวกเขามีความเหนือกว่าด้านพละกำล
หลังจากเปิดร้านได้ไม่กี่วัน ก็พบว่าลูกค้ามาที่ร้านของนางอยู่เรื่อย ๆ บางส่วนมาเพราะสนใจว่ามีร้านโอสถเปิดใหม่ บางส่วนก็มาดูคู่แข่งทางการตลาด บ้างก็มาหาซื้อยาจริง ๆ ช่วงแรกของธุรกิจก็แบบนี้ คนกำลังสนใจสิ่งที่ไม่เคยมีจะตัดสินว่าร้านของนางอยู่รอดไปได้ยาวนานหรือไม่ก็ต้องผ่านพ้นช่วงสามเดือนแรกไปก่อน หลังจากนั้นจึงจะบอกได้ว่า ใครที่เป็นกลุ่มลูกค้าจริง ๆเรื่องหน้าร้านนางให้ทาสที่ซื้อมาจัดการไป ส่วนการปรุงยาต่าง ๆ ที่วางขายเป็นหน้าที่ของนาง รวมถึงจนกว่าจะหาคนครัวได้ นางจะเป็นคนทำอาหารให้พวกเขาด้วยตัวเองแท้จริงนั่นก็เป็นเพียงข้ออ้าง ฉินหลิวซีเวลานี้มีอาชีพเป็นผู้ปรุงโอสถ นางผสมยาพิษชนิดอ่อนลงไปในชามอาหารของพวกเขาทุกมื้อติดต่อกันวันละครั้ง สัดส่วนและปริมาณที่ใช้ไม่ทำให้ถึงตายในทันที ถ้าหากไม่ได้รับยารักษาภายในหนึ่งเดือนอาการจะแย่ลงจนกว่าพวกเขาจะพิสูจน์ตัวเอง และทำให้นางเชื่อใจได้ การวางอุบายเช่นนี้ก็จะยังดำเนินต่อไป หากไม่แล้วก็อย่าได้คิดฝันถึงการใช้ยาถอนพิษอย่างถาวรเลยฉินหลิวซีย้อนกลับมาในภายหลัง และเข้าทางด้านหลังของร้าน นางขึ้นไปยังชั้นสองเพื่อฟัง
“วันนี้ท่านพี่ไม่ต้องไปทำงาน อยู่บ้านแล้วพักผ่อนเสีย ห้ามปรุงยาหลอมโอสถด้วยล่ะ” ฉินซือหยวนยืนขวางหน้านางไว้ ไม่ยอมให้ก้าวออกไปพ้นจากระเบียงบ้าน“จะทำอะไรของเจ้ากันล่ะเนี่ย”สิ่งที่นางได้รับกลับมาคือรอยยิ้มและแขนที่อ้าออกจนสุด“วันนี้ท่านต้องพักผ่อน ท่านพี่ทำงานทุกวัน วันหยุดของคนงานมี แต่ท่านกลับทำงานไม่หยุดหย่อนเลย”“โถ น้องชายสุดที่รักเป็นห่วงข้าอย่างนั้นหรือ” นางยกแขนกอดอก เชิดหน้ามองเขาด้วยท่าทางอวดดี สองพี่น้องเล่นกันเช่นนี้ประจำ“เอาละ ถ้าเจ้าอยากให้ข้าหยุดงานขนาดนั้น ข้าจะใจดีอยู่บ้านเฉย ๆ ให้ก็ได้ แต่งานที่ร้านต้องดูแลให้ดีล่ะ”“เห็นแก่ที่ท่านยอมหยุดพัก ข้าจะสนองความต้องการให้” ฉินซือหยวนพยักหน้าให้กับความถือดีของตัวเองที่เขาแอบไปดูหุ่นละครข้างถนนมาไม่เสียเปล่าเลยจริง ๆ ฉินซือหยวนต่อปากต่อคำกับพี่สาวของตนสนุกขึ้นเยอะในเมื่อทุกคนอยากให้นางหยุด นางก็จะหยุด หลังจากทุกคนออกไปทำงานฉินหลิวซีก็กลับไปที่ห้องนอนของตัวเองนึกแล้วนางก็แทบไม่ค่อยได้ใช้เวลา
“คำนวณเวลาผิดไปเสียได้ ดีนะที่เอาจดหมายมาด้วย”จะตั้งชื่อเมืองก็อย่าให้คล้ายกันนักสิ เข้าใจผิดได้เลยนะนั่นเพราะตั้งใจจะไปตามหาอาจารย์ และสืบข่าวในคราวเดียว นางจึงออกจากเมืองบ้านเกิดมา แต่ไม่นึกเลยว่าการเดินทางครั้งแรกที่ออกมาเพียงลำพังโดยไม่มีคนในครอบครัวอยู่ด้วย จะทำให้นางเสียเวลาเพราะหลงทางไปเมืองที่ชื่อคล้ายคลึงกันเมืองที่นางไปและเข้าใจผิดอยู่ใกล้กับเมืองบ้านเกิดของตัวเอง คิดว่าอย่างไรใช้เวลาเต็มที่ก็ไม่น่าจะเกินสองสัปดาห์ในการไปและกลับ ไม่นึกเลยว่าพอไปถึงกลับไม่มีข้อมูลของหมอเทวดา เขาไม่ได้ผ่านไปที่เมืองนั้นในรอบครึ่งปีนี้มาก่อนเมืองที่เขียนมาในจดหมายซึ่งแท้จริงเป็นชื่ออำเภอหนึ่งในเมืองหลวง จากบ้านเกิดของนางจะไปที่นั่นปกติใช้เวลาร่วมเดือน แต่เพราะร้อนใจนางจึงเร่งเดินทางให้ถึงภายในสองสัปดาห์ องครักษ์ส่วนตัวพวกนี้ฝีมือไม่เบาสามารถตามความเร็วของนางได้ทันหลังจากผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง พวกเขาก็ต้องหาที่พักกันก่อน“ไปตามหาข่าวของอาจารย์มา” นางออกคำสั่งก่อนแยกย้าย ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยลองทำมาแล้วที่เมืองก่อนหน้า เรื่องการรวบรวมข่าวสารของสองคนนี้นั้นทำได้ดีเลยข้าเองก็ต้องออกไปบ้างเหมื
ช่วงเวลานี้เหล่าผู้ช่วยมักจะพูดคุยกัน บริเวณใกล้ ๆ นั้นก็มีนางกำนัลและขันทีแวะเวียนกันเข้าออกอยู่เรื่อย ๆมาถึงตรงนี้แล้วนางจึงเริ่มทำการสอบถามผ่านท่าทางอยากรู้ของเด็กหนุ่มใสซื่อ “นี่พวกเจ้า ก่อนหน้านี้ได้ยินข่าวว่ามีหมอเทวดาเข้ามาในวัง”เพราะพวกเขาก็จับกลุ่มพูดเรื่องในวังกันมาตั้งแต่ต้น การที่นางแอบถามเช่นนี้จึงไม่ได้ผิดสังเกตอะไร“เรื่องนั้นข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน เห็นว่าการรักษาผิดพลาดหรืออะไรสักอย่าง”“เห นั้นก็ต้องถูกลงโทษน่ะสิ ใช่หรือเปล่า”“จะเป็นแบบนั้นแน่หรือ ช่วยนกปีกหักคืนรังยังไม่ใช่จะรอดทุกตัวเลย”พอเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของคนอื่น เสียงซุบซิบก็เบาลงเรื่อย ๆ ราวกับกลัวใครจะได้ยิน พอมีเรื่องน่าสนใจกระตุ้นเข้า นางกำนัลและขันทีที่พอรู้เรื่องมาบ้างก็เริ่มจับกลุ่มคุยกันจากประสาทสัมผัสของผู้ฝึกตนทำให้นางได้ยินเสียงที่พวกเขาเอ่ยทั้งหมด“นี่เจ้าผู้ช่วยใหม่ ได้เวลากลับแล้วนะ”ฉินหลิวซีลุกจากศาลาแล้วเดินตามเกวียนอาหารเล่มนั้นไป หลังจากสบโอกาสนางก็ลอกคราบออกแล้วโยนชุดที่ยืมมาทิ้งไว้ใกล้กับเจ้าคนที่ถูกฟาดสลบจากที่นางรู้มา ทุกคนรู้ว่าผู้ใช้โอสถคนนั้นถูกลงโทษ แต่ไม่รู้ว
หลังจากที่ได้เจอกับหลี่เจิ้นหัว ยังไม่ทันข้ามวันดีฉินหลิวซีก็ได้รับจดหมายส่งข่าวจากอีกฝ่าย กระดาษที่มีพลังปราณห่อหุ้ม ห่อตัวเองจนดูคล้ายนก และโผบินมาจากผู้เป็นเจ้าของจนถึงมือผู้รับได้อย่างปลอดภัยความสามารถใหม่อันน่าทึ่งนี้ซึ่งฉินหลิวซียังไม่รู้จักทำให้นางรู้สึกสนใจมันเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังไม่สู้เนื้อความในจดหมายข้างในนางไล่สายตาอ่านดูจึงได้ยิ้มออกที่แท้ก็ไม่เป็นไร ดีจริง ๆซุนเป่ยฉีไม่ได้ถูกลงโทษหรือถูกจับขังอย่างที่นางได้ข่าวมา เขาออกจากวังไปตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องแล้ว ส่วนเรื่องที่มาของข่าวลือนั้น เหมือนว่าจะถูกใส่สีตีไข่เพิ่มไปไม่น้อยจริง ๆ คือพระสนมคนหนึ่งซึ่งเป็นที่โปรดปรานป่วยด้วยโรคประหลาด รักษามากี่หมอก็ไม่ดีขึ้น เวลานั้นอาจารย์ของนางมาถึงเมืองหลวงแล้ว เรื่องของเขารู้ไปถึงหูฮ่องเต้ โอรสสวรรค์จึงได้ส่งคนมาตาม แต่ยังไม่ทันที่หมอเทวดาจะไปถึง พระสนมผู้นั้นก็ล่วงลับไปก่อนแล้วพอเป็นเช่นนั้นโอรสสวรรค์ก็กล่าวโทษหมอเทวดา ออกคำสั่งลงโทษเขาซุนเป่ยฉีไม่ใช่คนที่ใครจะจัดการได้ง่าย ๆ ด้วยฝีมือของเขาสุดท้ายก็หนีไปได้ ทำให้ฮ่องเต้ยิ่งโกรธจัด เหล่าขุนนางห้ามปรามก็ไม่ฟัง หมอเทวดายังไม่ได้ท
“ข้าดูแลตัวเองได้ พวกเราไม่ได้มีโอกาสแบบนี้บ่อย ๆ พวกเจ้าก็ควรไปหาความสำราญใส่ตัวบ้าง”“ก็ได้ขอรับ หากนายหญิงว่าอย่างนั้น ถ้าต้องการเรียกใช้เร่งด่วน ส่งสัญญาณมานะขอรับ”“เข้าใจแล้ว พวกเจ้าไปเถอะ”หลังจากสั่งงานเสร็จแล้วนางก็เดินออกมาจากโรงเตี๊ยม ตั้งแต่มาถึงนางเอาแต่หาข่าวของอาจารย์ ต่อให้ไปมาทั่วเมืองก็ไม่รู้สึกว่าได้พักผ่อนเลย บางสถานที่นางจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามันหน้าตาเป็นอย่างไร“เอาละ เริ่มจากที่ไหนดีนะ” นอกจากความเจริญแล้วก็ไม่มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ แต่นางก็อยากเดินดูให้ทั่ว เผื่อว่าจะมีอะไรไปปรับใช้ที่ร้านของนางได้ อย่างพวกของตกแต่งจากต่างแดน หรือสินค้าที่มีขายที่นี่เท่านั้นฉินหลิวซีเดินเอื่อยเฉื่อยอยู่ในเมือง นางพึ่งตื่นยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง จึงเดินเข้าไปในเหลาอาหารฉินหลิวซีนั่งมองผู้คนสัญจรผ่านไปมาจากระเบียงของร้าน ผู้คนพลุกพล่านกว่าเมืองบ้านเกิดของนาง สมแล้วที่เป็นเมืองหลวง ความเจริญก้าวหน้ามากระจุกอยู่ที่นี่หมดแคว้นที่อยู่ไม่ใช่แคว้นที่มั่งคั่งอะไรมากมาย ก็เข้าใจได้จากสิ่งแวดล้อมรอบตัวนาง ดูเหมือนว่าจะมีแคว้นที่ร่ำรวยกว่านี้อยู่ใกล้กันฉินหลิวซีรู้มาจากคำบอกเล่าของอาจารย์ที
ตะวันเคลื่อน บ่ายคล้อยลงมา นางก็ต้องเตรียมตัวสำหรับออกไปข้างนอก พอดีกับที่คู่หูองครักษ์เที่ยวเล่นกันเสร็จแล้ว“นายหญิงจะออกไปข้างนอกหรือขอรับ”“ใช่ ข้านัดคนเอาไว้”“ต้องการให้พวกข้าไปด้วยหรือไม่”“ได้ แต่เป็นเวลาส่วนตัวอย่ารบกวน”“เข้าใจแล้วขอรับ จะอารักขาอย่างดี”นางพยักหน้าและเดินนำพวกเขาลงไปชั้นล่าง ไม่รู้ว่าหลี่เจิ้นหัวมาถึงหรือยัง แต่นางก็เลือกที่จะลงมารอ ไม่ต้องการให้เขาขึ้นไปตามถึงชั้นบน แต่พอลงมาแล้วก็ต้องประหลาดใจที่เด็กหนุ่มคนนั้นมาถึงพร้อมกันพอดี“อะไรกัน ข้านึกว่าจะเลิกงานช้ากว่านี้เสียอีก”ใบหน้าของสหายวัยเด็กยังเปื้อนเหงื่อให้เห็น ไม่รู้รีบร้อนอะไรก่อนมาหรือเปล่า พอเห็นหน้านางเขาก็ยิ้มแป้น“ข้าทำงานเสร็จหมดแล้ว เราไปกันเลยเถอะ”หลี่เจิ้นหัวยิ้มจนดวงตาหยีโค้ง ทำเอานางหลุดยิ้มตามไปด้วย สุดท้ายก็หลุดเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ และก้าวเดินไปพร้อมกันสถานที่แรกที่หลี่เจิ้นหัวพานางมาคือตลาดกลางคืน เด็กหญิงเห็นร้านอาหารแผงลอยสองข้างทางเนืองแน่นไปหมด คิดว่าหากตนออกมาดึกกว่าปกติก็ยังคงมีอะไรให้กิน ฉินหลิวซีมองสองข้างทางด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่นี่มีของกินละลานตา นางยังไม่ได้กินอะไรร
“ข้าดูแลตัวเองได้ พวกเราไม่ได้มีโอกาสแบบนี้บ่อย ๆ พวกเจ้าก็ควรไปหาความสำราญใส่ตัวบ้าง”“ก็ได้ขอรับ หากนายหญิงว่าอย่างนั้น ถ้าต้องการเรียกใช้เร่งด่วน ส่งสัญญาณมานะขอรับ”“เข้าใจแล้ว พวกเจ้าไปเถอะ”หลังจากสั่งงานเสร็จแล้วนางก็เดินออกมาจากโรงเตี๊ยม ตั้งแต่มาถึงนางเอาแต่หาข่าวของอาจารย์ ต่อให้ไปมาทั่วเมืองก็ไม่รู้สึกว่าได้พักผ่อนเลย บางสถานที่นางจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามันหน้าตาเป็นอย่างไร“เอาละ เริ่มจากที่ไหนดีนะ” นอกจากความเจริญแล้วก็ไม่มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ แต่นางก็อยากเดินดูให้ทั่ว เผื่อว่าจะมีอะไรไปปรับใช้ที่ร้านของนางได้ อย่างพวกของตกแต่งจากต่างแดน หรือสินค้าที่มีขายที่นี่เท่านั้นฉินหลิวซีเดินเอื่อยเฉื่อยอยู่ในเมือง นางพึ่งตื่นยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง จึงเดินเข้าไปในเหลาอาหารฉินหลิวซีนั่งมองผู้คนสัญจรผ่านไปมาจากระเบียงของร้าน ผู้คนพลุกพล่านกว่าเมืองบ้านเกิดของนาง สมแล้วที่เป็นเมืองหลวง ความเจริญก้าวหน้ามากระจุกอยู่ที่นี่หมดแคว้นที่อยู่ไม่ใช่แคว้นที่มั่งคั่งอะไรมากมาย ก็เข้าใจได้จากสิ่งแวดล้อมรอบตัวนาง ดูเหมือนว่าจะมีแคว้นที่ร่ำรวยกว่านี้อยู่ใกล้กันฉินหลิวซีรู้มาจากคำบอกเล่าของอาจารย์ที
หลังจากที่ได้เจอกับหลี่เจิ้นหัว ยังไม่ทันข้ามวันดีฉินหลิวซีก็ได้รับจดหมายส่งข่าวจากอีกฝ่าย กระดาษที่มีพลังปราณห่อหุ้ม ห่อตัวเองจนดูคล้ายนก และโผบินมาจากผู้เป็นเจ้าของจนถึงมือผู้รับได้อย่างปลอดภัยความสามารถใหม่อันน่าทึ่งนี้ซึ่งฉินหลิวซียังไม่รู้จักทำให้นางรู้สึกสนใจมันเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังไม่สู้เนื้อความในจดหมายข้างในนางไล่สายตาอ่านดูจึงได้ยิ้มออกที่แท้ก็ไม่เป็นไร ดีจริง ๆซุนเป่ยฉีไม่ได้ถูกลงโทษหรือถูกจับขังอย่างที่นางได้ข่าวมา เขาออกจากวังไปตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องแล้ว ส่วนเรื่องที่มาของข่าวลือนั้น เหมือนว่าจะถูกใส่สีตีไข่เพิ่มไปไม่น้อยจริง ๆ คือพระสนมคนหนึ่งซึ่งเป็นที่โปรดปรานป่วยด้วยโรคประหลาด รักษามากี่หมอก็ไม่ดีขึ้น เวลานั้นอาจารย์ของนางมาถึงเมืองหลวงแล้ว เรื่องของเขารู้ไปถึงหูฮ่องเต้ โอรสสวรรค์จึงได้ส่งคนมาตาม แต่ยังไม่ทันที่หมอเทวดาจะไปถึง พระสนมผู้นั้นก็ล่วงลับไปก่อนแล้วพอเป็นเช่นนั้นโอรสสวรรค์ก็กล่าวโทษหมอเทวดา ออกคำสั่งลงโทษเขาซุนเป่ยฉีไม่ใช่คนที่ใครจะจัดการได้ง่าย ๆ ด้วยฝีมือของเขาสุดท้ายก็หนีไปได้ ทำให้ฮ่องเต้ยิ่งโกรธจัด เหล่าขุนนางห้ามปรามก็ไม่ฟัง หมอเทวดายังไม่ได้ท
ช่วงเวลานี้เหล่าผู้ช่วยมักจะพูดคุยกัน บริเวณใกล้ ๆ นั้นก็มีนางกำนัลและขันทีแวะเวียนกันเข้าออกอยู่เรื่อย ๆมาถึงตรงนี้แล้วนางจึงเริ่มทำการสอบถามผ่านท่าทางอยากรู้ของเด็กหนุ่มใสซื่อ “นี่พวกเจ้า ก่อนหน้านี้ได้ยินข่าวว่ามีหมอเทวดาเข้ามาในวัง”เพราะพวกเขาก็จับกลุ่มพูดเรื่องในวังกันมาตั้งแต่ต้น การที่นางแอบถามเช่นนี้จึงไม่ได้ผิดสังเกตอะไร“เรื่องนั้นข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน เห็นว่าการรักษาผิดพลาดหรืออะไรสักอย่าง”“เห นั้นก็ต้องถูกลงโทษน่ะสิ ใช่หรือเปล่า”“จะเป็นแบบนั้นแน่หรือ ช่วยนกปีกหักคืนรังยังไม่ใช่จะรอดทุกตัวเลย”พอเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของคนอื่น เสียงซุบซิบก็เบาลงเรื่อย ๆ ราวกับกลัวใครจะได้ยิน พอมีเรื่องน่าสนใจกระตุ้นเข้า นางกำนัลและขันทีที่พอรู้เรื่องมาบ้างก็เริ่มจับกลุ่มคุยกันจากประสาทสัมผัสของผู้ฝึกตนทำให้นางได้ยินเสียงที่พวกเขาเอ่ยทั้งหมด“นี่เจ้าผู้ช่วยใหม่ ได้เวลากลับแล้วนะ”ฉินหลิวซีลุกจากศาลาแล้วเดินตามเกวียนอาหารเล่มนั้นไป หลังจากสบโอกาสนางก็ลอกคราบออกแล้วโยนชุดที่ยืมมาทิ้งไว้ใกล้กับเจ้าคนที่ถูกฟาดสลบจากที่นางรู้มา ทุกคนรู้ว่าผู้ใช้โอสถคนนั้นถูกลงโทษ แต่ไม่รู้ว
“คำนวณเวลาผิดไปเสียได้ ดีนะที่เอาจดหมายมาด้วย”จะตั้งชื่อเมืองก็อย่าให้คล้ายกันนักสิ เข้าใจผิดได้เลยนะนั่นเพราะตั้งใจจะไปตามหาอาจารย์ และสืบข่าวในคราวเดียว นางจึงออกจากเมืองบ้านเกิดมา แต่ไม่นึกเลยว่าการเดินทางครั้งแรกที่ออกมาเพียงลำพังโดยไม่มีคนในครอบครัวอยู่ด้วย จะทำให้นางเสียเวลาเพราะหลงทางไปเมืองที่ชื่อคล้ายคลึงกันเมืองที่นางไปและเข้าใจผิดอยู่ใกล้กับเมืองบ้านเกิดของตัวเอง คิดว่าอย่างไรใช้เวลาเต็มที่ก็ไม่น่าจะเกินสองสัปดาห์ในการไปและกลับ ไม่นึกเลยว่าพอไปถึงกลับไม่มีข้อมูลของหมอเทวดา เขาไม่ได้ผ่านไปที่เมืองนั้นในรอบครึ่งปีนี้มาก่อนเมืองที่เขียนมาในจดหมายซึ่งแท้จริงเป็นชื่ออำเภอหนึ่งในเมืองหลวง จากบ้านเกิดของนางจะไปที่นั่นปกติใช้เวลาร่วมเดือน แต่เพราะร้อนใจนางจึงเร่งเดินทางให้ถึงภายในสองสัปดาห์ องครักษ์ส่วนตัวพวกนี้ฝีมือไม่เบาสามารถตามความเร็วของนางได้ทันหลังจากผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง พวกเขาก็ต้องหาที่พักกันก่อน“ไปตามหาข่าวของอาจารย์มา” นางออกคำสั่งก่อนแยกย้าย ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยลองทำมาแล้วที่เมืองก่อนหน้า เรื่องการรวบรวมข่าวสารของสองคนนี้นั้นทำได้ดีเลยข้าเองก็ต้องออกไปบ้างเหมื
“วันนี้ท่านพี่ไม่ต้องไปทำงาน อยู่บ้านแล้วพักผ่อนเสีย ห้ามปรุงยาหลอมโอสถด้วยล่ะ” ฉินซือหยวนยืนขวางหน้านางไว้ ไม่ยอมให้ก้าวออกไปพ้นจากระเบียงบ้าน“จะทำอะไรของเจ้ากันล่ะเนี่ย”สิ่งที่นางได้รับกลับมาคือรอยยิ้มและแขนที่อ้าออกจนสุด“วันนี้ท่านต้องพักผ่อน ท่านพี่ทำงานทุกวัน วันหยุดของคนงานมี แต่ท่านกลับทำงานไม่หยุดหย่อนเลย”“โถ น้องชายสุดที่รักเป็นห่วงข้าอย่างนั้นหรือ” นางยกแขนกอดอก เชิดหน้ามองเขาด้วยท่าทางอวดดี สองพี่น้องเล่นกันเช่นนี้ประจำ“เอาละ ถ้าเจ้าอยากให้ข้าหยุดงานขนาดนั้น ข้าจะใจดีอยู่บ้านเฉย ๆ ให้ก็ได้ แต่งานที่ร้านต้องดูแลให้ดีล่ะ”“เห็นแก่ที่ท่านยอมหยุดพัก ข้าจะสนองความต้องการให้” ฉินซือหยวนพยักหน้าให้กับความถือดีของตัวเองที่เขาแอบไปดูหุ่นละครข้างถนนมาไม่เสียเปล่าเลยจริง ๆ ฉินซือหยวนต่อปากต่อคำกับพี่สาวของตนสนุกขึ้นเยอะในเมื่อทุกคนอยากให้นางหยุด นางก็จะหยุด หลังจากทุกคนออกไปทำงานฉินหลิวซีก็กลับไปที่ห้องนอนของตัวเองนึกแล้วนางก็แทบไม่ค่อยได้ใช้เวลา
หลังจากเปิดร้านได้ไม่กี่วัน ก็พบว่าลูกค้ามาที่ร้านของนางอยู่เรื่อย ๆ บางส่วนมาเพราะสนใจว่ามีร้านโอสถเปิดใหม่ บางส่วนก็มาดูคู่แข่งทางการตลาด บ้างก็มาหาซื้อยาจริง ๆ ช่วงแรกของธุรกิจก็แบบนี้ คนกำลังสนใจสิ่งที่ไม่เคยมีจะตัดสินว่าร้านของนางอยู่รอดไปได้ยาวนานหรือไม่ก็ต้องผ่านพ้นช่วงสามเดือนแรกไปก่อน หลังจากนั้นจึงจะบอกได้ว่า ใครที่เป็นกลุ่มลูกค้าจริง ๆเรื่องหน้าร้านนางให้ทาสที่ซื้อมาจัดการไป ส่วนการปรุงยาต่าง ๆ ที่วางขายเป็นหน้าที่ของนาง รวมถึงจนกว่าจะหาคนครัวได้ นางจะเป็นคนทำอาหารให้พวกเขาด้วยตัวเองแท้จริงนั่นก็เป็นเพียงข้ออ้าง ฉินหลิวซีเวลานี้มีอาชีพเป็นผู้ปรุงโอสถ นางผสมยาพิษชนิดอ่อนลงไปในชามอาหารของพวกเขาทุกมื้อติดต่อกันวันละครั้ง สัดส่วนและปริมาณที่ใช้ไม่ทำให้ถึงตายในทันที ถ้าหากไม่ได้รับยารักษาภายในหนึ่งเดือนอาการจะแย่ลงจนกว่าพวกเขาจะพิสูจน์ตัวเอง และทำให้นางเชื่อใจได้ การวางอุบายเช่นนี้ก็จะยังดำเนินต่อไป หากไม่แล้วก็อย่าได้คิดฝันถึงการใช้ยาถอนพิษอย่างถาวรเลยฉินหลิวซีย้อนกลับมาในภายหลัง และเข้าทางด้านหลังของร้าน นางขึ้นไปยังชั้นสองเพื่อฟัง
“ซื้อคฤหาสน์หลังใหญ่ขนาดนั้น เหมือนฝันอยู่เลย” ชิวย่าหนานยกมือกุมใบหน้าตัวเอง ดวงตาของนางเบิกกว้างหันไปมองสามีก็ทำตัวไม่ถูกเช่นเดียวกัน“ข้าคิดว่าจะให้พวกเราย้ายไปอยู่ที่นั่น แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้เจ้าค่ะ ระหว่างนี้ให้ไปสร้างข่าวลือว่า คฤหาสน์หลังนั้นเป็นของคหบดีที่จะย้ายมาใหม่ จนกว่าทุกคนจะแข็งแกร่งกว่านี้เราจะยังไม่ย้ายไปที่นั่น” “ทำไมต้องสร้างชื่อว่าเป็นคหบดีด้วยเล่า” “เพื่อความน่าเชื่อถือเจ้าค่ะ อย่างไรเรื่องที่มีเงินทองมากมายก็เป็นความจริง การทำการค้าก็กำลังดำเนินอยู่ ไม่ใช่เรื่องหลอกลวงเลย”นางอธิบายให้ฟังอย่างง่าย ๆ ทุกคนก็เข้าใจได้หลังจากวันนั้น ตอนเช้านางจะเข้าไปดูร้านที่ตกแต่งใหม่ ส่วนทางบ้านของนาง หลังจากที่ได้รู้แล้วว่าหลานสาวตั้งใจจะทำอะไรพวกเขาก็ฝึกซ้อมอย่างหนัก โดยเฉพาะลุงใหญ่ ลุงรอง น้าใหญ่ น้ารองเวลาผ่านมาหนึ่งเดือนแล้วนับตั้งแต่วันที่โอสถทะลวงลมปราณสัมฤทธิ์ผล พวกเขากลายเป็นผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดลมปราณขั้นที่ห้า ขณะที่ท่านตาท่านยายของฉินหลิวซีอยู่ในระดับก่อเกิดลมปราณขั้นที่หนึ่ง และน้าเล็กก่อเกิดลมปราณขั้นที่สองเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าพวกเขามีความเหนือกว่าด้านพละกำล
โลกที่ทาสสามารถซื้อขายเป็นแรงงานได้ มีตลาดเฉพาะอยู่ตามเมืองใหญ่ ๆ ซึ่งเมืองของนางไม่มี ต้องไปยังเมืองข้าง ๆ ที่เป็นศูนย์กลางการค้าขายที่ใกล้ที่สุด ทำให้ต้องนั่งรถม้าไปไหน ๆ ก็อาจจะได้รับทาสกลับมาด้วย นางจึงยอมจ่ายเพื่อพาหนะที่สะดวกการซื้อขายทาสไม่ได้ผิดกฎหมาย เพียงแต่ต้องทำกันอย่างเป็นระเบียบภายใต้กฎที่ผู้ครองแผ่นดินเป็นผู้กำหนดฉินหลิวซีเดินดูทาสเหล่านั้นตั้งแต่หัวแถวไปจนถึงท้ายแถว พวกเขายืนอยู่สองฝั่งทางเดินโดยมีตัวแทนเป็นผู้โฆษณาคุณสมบัติของทาสคนนั้นคอยชักชวนให้คนซื้อ กฎของที่นี่คือห้ามระรานและบังคับผู้เป็นลูกค้าให้ซื้อตามคำชักชวน พวกเขาจะไม่พุ่งเข้ามาเพื่ออวดอ้างคุณสมบัติหากผู้ซื้อไม่ได้เป็นฝ่ายเข้าไปถามหลังจากเดินดูอยู่รอบหนึ่งนางก็เลือกคนที่ต้องการได้ฉินหลิวซีได้ชายฉกรรจ์ที่เคยเป็นองครักษ์ และเป็นแฝดกันมาสองคน อดีตเถ้าแก่ร้านยาที่ล้มละลายก่อนขายตัวเป็นทาสหนึ่งคน บ่าวกับสาวใช้อีกสี่คนที่ถูกเลือก และบ่าวแม่ลูกคู่หนึ่งที่บุตรสาวของนางอายุเท่ากันกับฉินหลิวซีนางมองดูด้วยตาเปล่าก็เห็นว่าพวกเขาไม่ได้เจ็บป่วยร้ายแรงหรือเป็นโรคเรื้อรัง มีเพียงแค่ความซูบผอมที่เห็นภายนอกเพราะสภาพแวดล้