หลังจากได้ปรึกษาซุนเป่ยฉี อาจารย์ของนางจะอยู่ที่นี่อีกหนึ่งเดือน และเดินทางไปยังเมืองอื่นถึงห้าเดือน รวมเวลาเกือบครึ่งปีจึงจะวนกลับมารับฉินหลิวซีเพื่อไปศึกษาในฐานะลูกศิษย์เต็มตัว ระหว่างนั้นนางต้องเป็นผู้ฝึกสอนการใช้ปราณให้คนในบ้าน ทว่าเรื่องนี้นางยังไม่แน่ใจนักว่า พวกเขาจะเห็นด้วยหรือไม่ หากปฏิเสธนางคงต้องเกลี้ยกล่อมหนักหน่อย เพราะไม่อยากให้ครอบครัวถูกผู้อื่นรังแกตอนที่นางไม่อยู่วันนั้นหลังจากกลับมาบ้าน ฉินหลิวซีก็ขอคุยกับพ่อแม่อย่างจริงจังหลังอาหารมื้อเย็น เห็นบุตรสาวทำหน้าจริงจังพวกเขาก็รู้สึกหวั่นใจ จะถามก่อนก็ไม่กล้าจึงได้แต่รอให้ฉินหลิวซีเป็นผู้เอ่ยขึ้นก่อน“ข้ารู้สึกเป็นห่วงคนข้างหลัง การติดตามอาจารย์นั้นไม่มีทางจบในวันสองวัน นอกจากนี้อาจารย์เป็นหมอเทวดา ต้องออกเดินทางรักษาผู้คนไปตามเมืองต่าง ๆ ลูกผู้เป็นศิษย์ย่อมต้องติดตามไปดูแลปรนนิบัติท่านด้วย การไปศึกษาสถานการณ์จริงย่อมต้องเพิ่มประสบการณ์ให้ข้า ทว่าการจะให้ทิ้งพวกท่านไปก็รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง” การเดินทางแต่ละครั้งอย่างเร็วสุดก็คงครึ่งปีถึงจะกลับมาเยี่ยมบ้านได้ อย่างที่อาจารย์ของนางเล่าว่าที่เดินทางออกไปนั้นกินเวล
“วันนี้ขอรบกวนด้วยนะเจ้าคะ” ชิวย่าหนานกับสามีโค้งลงให้อาจารย์ของบุตรสาว นางมีของฝากเล็ก ๆ น้อย ๆ ติดมือมาเป็นมารยาทซุนเป่ยฉีหันไปถามเรื่องราว จนได้ความว่าทั้งสองรู้เรื่องเพียงคร่าว ๆ หมอเทวดาพาทั้งคู่มานั่งด้านในเรือน นำน้ำชามารับรอง ทั้งสองมองดูบุตรสาวปรนนิบัติผู้เป็นอาจารย์อย่างคล่องมือ“พวกท่านตัดสินใจอย่างใดหลังจากได้ฟังเรื่องที่นางพูด”“ข้ายังลังเล เพราะเงินที่เสียไปนั้นเหมือนว่าชาตินี้ข้าก็ไม่มีทางหาได้ การต้องแลกเปลี่ยนดูเป็นน้ำหนักที่มากมาย” ชิวย่าหนานเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าลำบากใจ“การแลกเปลี่ยนย่อมต้องเท่าเทียม ผู้ใหญ่อย่างพวกท่านนั้นมีอยู่มากมายที่รู้สึกเสียดายกับการฝึกตน แต่ในเมื่อพวกท่านไม่ได้เป็นผู้รู้สึกเสียดาย ก็ต้องถามความสมัครใจ สำหรับผู้อยากย้อนเวลาแต่ทำไม่ได้ เพราะเวลาไม่เคยเป็นมิตรกับใคร จึงได้คิดค้นยาเม็ดนี้ขึ้นมา ซึ่งวัตถุดิบของมันก็ไม่ใช่ว่าหาง่าย”“นั่นละขอรับ มันต้องมากมายถึงขนาดนั้นเชียวหรือ” ฉินก่วงก็รู้สึกลำบากใจไม่แพ้ภรรยา หากพวกเขาหาเงินจำนวนนั้นไม่ได้จะเป็นอย่างไร ไม่ต้องรอไปจนสิ้นอายุขัยหรือ“นางจะเป็นห่วงพวกท่านนั้นก็ไม่แปลก เพราะนางรู้ดีว่าคนที่มีวิชากั
หมอเทวดาให้ยืมห้องพักด้านใน เด็กหญิงเตรียมการทุกอย่างพร้อมแล้ว บิดามารดานอนลงบนฟูกที่เตรียมไว้ด้วยหัวใจเต้นระรัว ทั้งกลัว ทั้งกังวล และคาดหวังในเวลาเดียวกัน“ไม่ว่าจะเจ็บปวดอย่างไร ก็ขออย่ายอมแพ้และถอดใจจนกว่าจะถึงที่สุดนะเจ้าคะ” นางเอ่ยย้ำอีกครั้งแล้วยื่นถ้วยยาให้ทั้งสองคนชิวย่าหนานกับฉินก่วงมองยาในถ้วยก่อนจะหันมองหน้ากัน ตัดสินใจแน่วแน่แล้วก็กลืนยาลงไปในอึกเดียวเสียงกรีดร้องอย่างทรมานดังออกมาจากห้องด้านในสุด ฉินหลิวซีถือกระบวยใบหนึ่งคอยตักน้ำพุวิญญาณกรอกปากทั้งสองคนที่กำลังทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด การเปลี่ยนแปลงของร่างกายส่งผลอย่างเห็นได้ชัด ปราณในกายที่ถูกบีบและรีดเค้นให้ออกมากำลังเดือดพล่านอย่างมากซุนเป่ยฉีกางเขตแดนเอาไว้ระหว่างตัวบ้านกับภายนอก ทำให้ไม่มีใครได้ยินเสียงที่ดังลั่นออกมา พร้อมช่วยส่งปราณเข้าไปในร่างของทั้งคู่เพื่อนำทางให้ปราณกรุยเส้นลมปราณได้ง่ายขึ้น และสอนวิธีให้ขับเคลื่อนลมปราณไปพร้อมกันเวลาผ่านไปยาวนานร่วมห้าชั่วยาม ดวงอาทิตย์ของเช้าวันใหม่โผล่พ้นจากขอบฟ้าขึ้นมาจนล่วงเข้ายามสายเสียงกรีดร้องนั้นจึงค่อยสงบลงสามีภรรยาตระกูลรองนอนหลับสนิททั้งที่เหงื่อโซมกาย ฉินหลิ
หลังจากหมอเทวดาจากไปได้สองเดือน นางเหลือเวลาอีกไม่นานในการเตรียมบิดามารดาให้พร้อม ฉินหลิวซีพาบิดาเข้าป่าล่าสัตว์และฝึกฝีมือไปด้วย ฝีมือการล่าสัตว์ของบิดาดีกว่าฉินหลิวซีมาก เขาล่าได้มากกว่าสามเท่าที่ฉินหลิวซีเคยล่าสัตว์ได้เด็กหญิงยิ้มกว้างจนเห็นฟันด้วยความพอใจ คิดไม่ผิดเลยจริง ๆ ที่ให้พวกเขาเลือกปลุกพลัง คนเรามีความสามารถ แค่อยู่ที่จะถูกค้นพบและจุดประกายเมื่อไหร่“ท่านพ่อ ถึงแม้ว่าฝีมือของท่านจะหาตัวจับได้ยาก แต่ก็อย่าเพลินเกินไปจนล่าสัตว์หมดป่านะเจ้าคะ” นางเอ่ยเตือนทั้งรอยยิ้ม หัวเราะเสียงใสด้วยความชอบใจ“พ่อจะระวังก็แล้วกัน” ผู้เป็นบิดายิ้มตอบ ดูเหมือนว่าการที่เขาเลือกทางนี้จะถูกต้องแล้ว เพราะบุตรทั้งสองมีสีหน้าแจ่มใสขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัดหลังจากเห็นในฝีมือการล่าสัตว์อันล้ำเลิศของบิดาน้องชายก็ตื่นเต้นมากจนขอร่วมฝึกด้วย ฉินหลิวซีให้น้องชายไปฝึกเรื่องการแกะรอยและล่าสัตว์กับผู้เป็นพ่อ ส่วนนางก็มาฝึกเพลงหมัดและการเดินปราณให้แม่หลังจากกลายเป็นผู้ฝึกตนทั้งครอบครัว พวกเขาก็ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในป่า“ท่านพ่อ
“เจ้าตัวดี เดี๋ยวนี้ร้ายกาจขึ้นทุกวันนะ” นางบีบแก้มหลานสาวเบา ๆ ด้วยความมันเขี้ยว ฉินซือหยวนเห็นพี่สาวทำแล้วท่านน้าชอบใจก็เลียนแบบ กลายเป็นหลานทั้งสองติดน้าหญิงเล็กแจเสียงหัวเราะสดใสดังไปทั่วบริเวณบ้าน ทำให้พวกที่ได้ยินรู้สึกพองฟูในหัวใจตามไปด้วยชีวิตประจำวันดำเนินไปเช่นนี้ไม่แตกต่าง เวลาผันผ่านจากวันที่อาจารย์จากไป รวมแล้วห้าเดือนอย่างที่เคยบอก ในที่สุดหมอเทวดาก็หวนกลับมาที่เมืองนี้อีกครั้ง“คารวะท่านอาจารย์ เดินทางครั้งนี้คงเหนื่อยแย่สินะเจ้าคะ”บ้านหลังเดิมที่เขาเคยเช่าอยู่ ตอนนี้ปัดฝุ่นไว้จนสะอาดด้วยฝีมือของลูกศิษย์ตัวน้อยก่อนเขาจะมาถึงด้วยซ้ำ ซุนเป่ยฉีเห็นดังนั้นก็รู้สึกชอบใจมาก หัวเราะและเอ่ยชมนางออกมาเสียงดัง“ข้าไม่อยู่เพียงไม่นานก็เลื่อนขั้นได้ด้วยตัวเองแล้วหรือ ช่างเป็นเด็กที่น่ากลัวอะไรอย่างนี้” เขาหรี่ตามอง ใช้ปราณเพ่งสำรวจ ระยะเวลาไม่กี่เดือนลูกศิษย์ของเขาก็เลื่อนขั้นไปอีกสองขั้นแล้ว ก้าวหน้าเร็วเช่นนี้เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะหรือผู้มีพรสวรรค์ก็ได้ทั้งนั้น“พ่อแม่กับน้องชายเจ้าล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ เรื่องไร้สาระ ท่านอาจารย์อย่าได้ใส่ใจ”“เตรียมของพร้อมหรือยัง”นางพยักหน้าและกลับไปเอาของที่วางไว้ทั้งหมดใส่ย่าม เดินกลับออกมาพร้อมจูงมือน้องชายมาด้วย ฉินก่วงกับชิวย่าหนานเดินออกมาส่งบุตรทั้งด้วยความอาลัยอาวรณ์ กล่าวกำชับนางหลายเรื่อง ทั้งเป็นห่วงทั้งอยากจะรั้งไว้ แต่ก็หักห้ามตนเอง“เดี๋ยวข้ากับน้องจะกลับมาเยี่ยมนะเจ้าคะ”“ลาก่อนขอรับ” ฉินซือหยวนกอดท่านพ่อท่านแม่เพราะรู้ว่าเดี๋ยวจะไม่ได้เจอทั้งสองคนอีกนาน“เดินทางปลอดภัยนะ”พวกเขามาส่งลูก ๆ ถึงหน้าประตูเมือง ยืนมองจนกระทั่งแผ่นหลังของทั้งสามคนหายลับไปจากสายตาสองสามีภรรยากลับมาบ้านด้วยใจห่อเหี่ยว คิดว่าพวกตนต้องเหงาแน่ ฉินก่วงโอบไหล่ภรรยาด้วยต้องการจะปลอบประโลมนาง เขายังอยู่ตรงนี้ จะไม่ทำให้นางต้องเหงาจนเกินไปแน่ เมื่อกลับมาถึงบ้าน ความสงบที่ตั้งใจไว้ว่าจะได้พบเจอกลับมลายหายไป“กลับมาแล้วหรือเจ้าพวกตัวดี! ข้าหรืออุตส่าห์กำชับไว้แล้ว ทำไมเด็กพวกนั้นไม่พาอาสี่ของตนไปด้วยฉินซือหยวนก็ไม่อย
ฉินซือหยวนนั่งสานไม้ไผ่รอพี่สาว เขายังออกแรงนาน ๆ และหนัก ๆ อย่างนางไม่ได้ หมอเทวดาจึงให้ศิษย์อย่างไม่เป็นทางการฝึกการใช้สมาธิไปพลาง ๆ ก่อน ระหว่างที่ปล่อยให้ตัวเองวิ่งเล่นจนปราณโคจรทั่วร่างอยู่ตลอดเวลา ซึ่งแรก ๆ นั้นฉินซือหยวนก็ทำได้ไม่นาน ปราณโคจรขาด ๆ หาย ๆ ไม่ต่อเนื่อง แต่หลังจากฝึกมาได้หลายวันเข้าก็ทำได้นานขึ้นแล้ว แต่ยังไม่สามารถควบคุมมันให้เป็นไปอย่างนั้นทั้งวันได้ฉินหลิวซีฝากน้องชายไว้กับอาจารย์ก็วางใจและออกไปสำรวจได้ไกลขึ้นซุนเป่ยฉีไม่ได้บอกให้ฉินหลิวซีทำเหมือนน้องชาย แต่นางก็ทำและเรียนรู้เรื่องนี้ไปพร้อมกับน้อง นี่ก็เพื่อความแข็งแกร่งของตัวนางเองด้วยเหมือนกัน ระหว่างวันนางพยายามโคจรปราณให้ได้ตลอด ก่อนหน้านี้นางสามารถรีดเค้นพลังออกมาเมื่อจำเป็น และใช้มันได้นานพอสมควร พอเสร็จงานแล้วนางก็ปกปิดพลังยุทธ์พอได้มาลองทำทั้งวันอย่างนี้แล้วกลับพบว่าเหนื่อยมาก สำนึกรู้ได้ทันทีว่าตัวเองยังไม่ถึงขั้นจริง ๆเด็กหญิงเดินสำรวจไกลออกมาจนพบกอสมุนไพรกลุ่มหนึ่งตามคำบอกเล่า แม้อาจผิดพลาดได้แต่นางก็ต้องลองเก็บกลับไปก่อน หากใช่จึงจะมาเก็บพวกมันที่เหลือทว่าก่อนจะได้ลงม
“ถึงเจ้าจะเก่งและมีไหวพริบดี แต่บางเรื่องก็ต้องใช้เวลาจนกว่าจะสังเกตเห็นด้วยตัวเอง สมุนไพรชนิดที่ห้านี้เจ้ามุ่งแต่จะล่อมันออกมา แล้วค่อยเก็บโดยลืมประเมินถึงฝีมือของตน กลับมาถามข้าเสียหน่อยก็ไม่เสียรู้เจ้าหรอก สัตว์อสูรตนนั้นมีทั้งวิธีไล่และวิธีล่อ เหมือนกับที่คนเรามีของที่ชอบและไม่ชอบ ถ้าเจอของที่ชอบก็จะวิ่งเข้าใส่ ถ้าเจอของที่เกลียดก็จะวิ่งหนี พวกสัตว์ก็มีลักษณะแบบนี้เช่นกัน”นางพยักหน้าหงึกหงักคิดตาม ฟังหมอเทวดาพูดอย่างตั้งอกตั้งใจซุนเป่ยฉีสอนนางแยกชนิดสมุนไพรเพิ่มเติม บางส่วนเขามีเก็บไว้ซึ่งหาไม่ได้จากบริเวณนี้ มาจากประสบการณ์การเดินทางอันยาวนานที่ผ่านพื้นที่หลากหลายฉินหลิวซีเป็นคนฉลาดหลักแหลมนางจึงจดจำได้เมื่อมีครั้งต่อไปที่อาจารย์สั่งให้นางไปเก็บสมุนไพรชนิดที่ห้ามาอีกครั้ง นางจึงใคร่ครวญในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงวิธีการที่ดีที่สุด โดยหัดใจเย็นและประเมินสภาพโดยรอบก่อนนางสะสมประสบการณ์และการเรียนรู้เรื่องราวใหม่ ๆ อยู่ทุกวันอย่างไม่ย่อท้อเพียงพริบตาเดียวเด็กหญิงก็เติบโตขึ้นไปอีกนิดแล้วจากบ้านมาเข้าปีที่สอง ฉินหลิวซีตัวสูง
"ท่านแม่ทำยา""อุ๊บ! ฮ่า ๆ ๆ ขอโทษด้วยนะ แต่แม่ไม่ได้เป็นกระต่ายหรอก" ฉินหลิวซีขำพรืดก่อนเอี้ยวตัวมาลูบศีรษะบุตรชายด้วยความเอ็นดู"ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่เสี่ยวไป๋สามารถเป็นได้ทุกอย่างที่ลูกอยากเป็นเลย จะเป็นกระต่ายหรือดวงดาวก็ได้ แม้จะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ก็อย่าได้ทิ้งสิ่งนี้ที่อยู่ในใจของลูกไปเลยนะ"เมื่อการเติบโตทำให้ความรับผิดชอบมากขึ้น ความสุขที่ไขว่คว้าได้ก็น้อยลง ต้องยอมปล่อยมือจากสิ่งที่รักและหวงแหน ต้องสละบางอย่างเพื่อสิ่งที่อาจไม่ปรารถนาแต่จำเป็นต้องมี วัฏจักรของมนุษย์ดำเนินไปเช่นนั้นฉินหลิวซีปรารถนาให้ลูกของตนไม่ถูกกลืนกินจากมัน แต่สุดท้ายก็คงไม่มีใครรอดพ้นอยู่ดี ดังนั้นก็จงทนุถนอมเอาไว้ให้ยาวนานเท่าที่ได้เถิดหลังจากบินเล่นจนพอใจแล้วหงส์แดงเพลิงก็ร่อนลงตรงที่กว้างสักแห่ง เจ้านายเปิดมิติให้ทุกคนก็เข้าไปพักผ่อน แต่เจ้าตัวสีทองนั่นยังบินเพลินไม่ยอมกลับเข้ามา เดือดร้อนคนรักของเจ้านายต้องออกไปตามอีกรอบมันเดินเตาะแตะมานอนซุกตัวข้างตัวบ้าน มิตินี้ไม่เคยถูกคนนอกรุกล้ำเข้ามาได้ แต่หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน ผู้บุกรุกเหล่านั้นก็จะต้องรับมือมันก่อน
ทันทีที่มันลืมตาตื่นขึ้นมาบนโลกใบนี้ มันก็รู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่าการต่อสู้คือความสามารถและวิถีของมันทุกครั้งที่ฟักออกจากไข่ ความทรงจำเกี่ยวกับเจ้านายคนก่อนจะหายไป ไม่ว่าความผูกพันธ์นั้นจะมีหรือไม่มี ก็จะถูกลบหายไปอย่างเท่าเทียมตั้งแต่ครั้งที่สามหรือสี่ที่รู้ตัวว่าเป็นแบบนั้น มันจึงใช้เวลากับเจ้านายใหม่เป็นตัวเองอย่างเต็มที่ เมื่อถูกปลุกขึ้นมา หลังถวายความภักดีให้ก็จะถูกใช้ไปสู้กับตัวอื่น ๆ บ้างก็แพ้บ้างก็ชนะ เคยถูกล่าม ถูกขัง และถูกเลี้ยงปล่อยเป็นอิสระด้วยเช่นกันการต้องจดจำเรื่องเหล่านั้นทุกครั้งที่ตื่นก็ดูเหนื่อยเกินไปจริง ๆ มันเริ่มรู้สึกเห็นด้วยที่ความทรงจำเกี่ยวกับเจ้านายถูกลบหาย เห็นเป็นเพียงเงาร่างเลือนที่นึกไม่ออกทั้งชื่อและหน้าเจ้านายแต่ละคนปฏิบัติกับมันและมอบบทบาทให้มันไม่เหมือนกันคิดว่าครั้งต่อไปจะให้มันทำอะไรก็ไม่เกินความสามารถ แต่ก็ไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าสัตว์อสูรในตำนานอย่างมันต้องมาทำหน้าที่พี่เลี้ยงเด็กแกว้ก!"เสี่ยวฮั่วเล่นกับ ๆ อยู่ตรงนี้นะ ข้าจะไปรดน้ำแปลงสมุนไพร" วางทารกกับเด็กเล็กหนึ่งคนพิงตัวมันเสร็จก็เดินหนีไปยุคสมัยท
"เจ้าค่ะ!""เรื่องนั้นไม่ต้องพูดก็ได้" ซือหยวนจะตะครุบปากภรรยาเอาไว้ตอนนี้ก็ไม่ทันฉินหลิวซีประติดประต่อเรื่องราว ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปในใจตัวเอง เอ่ยออกมาทั้งรอยยิ้มพลางปรายตามองน้องชายร่วมสายเลือด"อย่างนี้เอง ข้าเข้าใจแล้ว"อยากให้ยุคนี้มีกล้องจริง ๆ เลยเชียวเพราะเหยื่อล้วนไปที่หอนางโลมนั้น สาเหตุการตายมาจากพิษ คนร้ายต้องเป็นคนใน หากจะหาเบาะแสก็ต้องแฝงตัวเข้าไปไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่หอนางโลมนั้นผู้ชายจะเข้าไปได้ก็ในฐานะลูกค้า ไม่สามารถเป็นคนที่ทำงานในหอนั้นได้ ขอบเขตของเบาะที่หามาย่อมเจอทางตัน สุดท้ายก็ต้องปลอมตัวไปเป็นคนในเสียเองในฐานะสตรีผู้หนึ่ง ฉินหลิวซีทั้งรู้สึกแย่และรู้สึกดีกับเรื่องนี้ในคนละมุมมอง แต่มันเป็นที่ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว จะไปคิดมากก็ดูใช้พลังชีวิตเกินความจำเป็นดูจากตอนนี้ทั้งคู่ก็มีความสุขดี นางคงไม่ยื่นมือไปทำอะไรทั้งนั้น ตั้งใจว่าจะกลับมาเยี่ยมแต่โดนทำให้ตกใจเสียได้"พี่หญิงจะค้างที่นี่กี่วันหรือคะ ข้าจะให้คนจัดห้องให้""ไม่ต้องค้าง กลับไปเลย""พี่สาวเจ้ามาหาทำไมทำตัวแบบนี้ นางอุตส่าห์มาเยี่ยมเจ้า
เมื่อหลายปีก่อนมีสำนักคุ้มภัยเกิดขึ้นในเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เมืองที่อยู่ห่างไกลเมืองหลวงเช่นนี้มักไม่ค่อยมีขุนนางน้ำดีแวะเวียนมาเพราะหาประโยชน์กอบโกยไม่ได้แต่แล้วก็มีเซียนโอสถน้อยผู้หนึ่งกำเนิดขึ้นที่นี่ นางกับน้องชายจากบ้านเกิดไปหลายปีเพื่อร่ำเรียนกับหมอเทวดา ครานั้นผู้คนในเมืองยังคิดกันอยู่เลยว่ามันไม่จริง เหมือนฝันอันห่างไกลที่เมืองแห่งนี้จะเจริญขึ้นได้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทีละน้อย เริ่มมีสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ในที่ดินใกล้ที่ว่าการซึ่งปล่อยทิ้งร้าง มีร้านโอสถที่ขายยาหายาก เครื่องประทินโฉมอันเลื่องชื่อที่โด่งดังไปถึงต่างแดน"และคนที่เป็นเจ้าของสามในสี่อย่างที่ว่ามานี้ก็คือ ข้าเอง!"เสียงวางไหเหล้ากระแทกโต๊ะดังโครม ทุกคนเงียบกริบ เบนสายตาจากคนที่กำลังอวดอ้างตนเองมายังคนพเนจรร่างผอมบาง ผู้ที่มองไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชายเพราะสวมผ้าคลุมและหมวกสานปิดหน้าอาไว้"อะไร จะหาเรื่องกันรึ?" ผู้เป็นจุดศูนย์กลางของเรื่องเล่ามองเขม็งไม่สบอารมณ์"ได้ข่าวว่าสามสถานที่นั้นเป็นของเจ้าเพียงหนึ่งมิใช่รึ จะอ้างของใครก็ให้มันน้อย ๆ หน่อยคุณชายฉิน" เสียง
หลี่ไป๋ได้ยินก็หูผึ่ง ต้องเป็นคนของบิดาเขาแน่ เวลาขนาดนี้ท่านแม่ก็น่าจะกลับมาจากออกล่าแล้วเช่นกัน แถมยังกำลังตามหาพวกเขาอยู่ หลี่ไป๋เริ่มมีความหวัง"ย้ายที่กันก่อน รีบพาสินค้าไปจุดรับของ" แม้จะร้อนใจจากเรื่องที่พึ่งได้ยินแต่หัวหน้าคนชั่วก็สั่งด้วยความใจเย็นหลี่ไป๋ขมวดคิ้ว พวกนั้นรีบร้อนแบบนี้ที่นี่คงอยู่ใกล้ ๆ เมือง เขาต้องหาทางถ่วงเวลา"เสี่ยวหนิง" เขากระซิบเรียกน้องสาวที่ยังนอนกลิ้งหนีความจริงไม่เลิก"หือ?" เชือกมัดปากก็ไม่ยอมแกะทำเป็นเล่นจริง ๆ ให้ตายสิแต่ก็ดีกว่านางร้องไห้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาได้หูแตกแน่ แถมเหมืองยังจะถล่มแน่นอนอีกด้วย"ช่วยพี่ชายหน่อยสิ เดี๋ยวซื้อเปาจื่อให้สามลูก"พอเอาของกินมาล่อนางก็พยักหน้าทันทีพวกมันขนสัมภาระขึ้นเกวียนอย่างรวดเร็วแล้วออกเดินทางจากเมือง ผ่านอุโมงค์ทอดยาวจนมาถึงด้านนอกในที่สุด ตอนนี้เป็นเวลาเย็นแล้วท้องฟ้าจึงเริ่มเปลี่ยนเวลาที่ใช้ไปกว่าจะออกมาข้างนอกไม่นาน หมายความว่าเมืองแห่งนี้ไม่ได้ลึกอย่างที่คิดหลี่หวานหนิงมองหน้าพี่ชาย พออีกฝ่ายพยักหน้านางก็กรีดร้องเสียงดัง"กร
"สามีที่รัก…การกลับมาอย่างรีบร้อนของข้าเหมือนจะไม่ได้รับผลลัพธ์ที่ดีเท่าไรเลยนะ"เหนืออาคารของหอกระจายข่าวคล้ายมีเมฆครึ้มทั้งที่ท้องฟ้าส่วนอื่นยังแจ่มใสถ้าไม่นับนายท่านที่พึ่งกลับมาได้จังหวะพอดิบพอดีคนอื่น ๆ ล้วนกำลังตามหาร่องรอยคนร้าย หัวหน้าหอแห่งอวิ๋นซีจึงเป็นผู้ร่วมชะตากรรมหนึ่งเดียวที่ต้องมานั่งคุกเข่าสำนึกผิดต่อหน้าฮูหยินอยู่ตอนนี้แต่เป็นใครมาอยู่ตรงนี้เฟยหลางก็คิดว่ายอมศิโรราบกันหมดตั้งแต่นางเดินเข้ามาประตูมาอยู่ดี ลองเห็นภาพนางลากคอไก่ฟ้าตัวขนาดพอ ๆ หงส์แดงเพลิงเข้ามาใครจะไม่ผวาบ้างหลี่เจิ้นหัวหน้าซีดตัวหดเหลือสองชุ่น"ยะ ยอดรักจ๋า""ไม่เคยเห็นในเมืองวุ่นวายขนาดนี้ แถมยังเป็นคนของหอกระจายข่าวอีก คิดว่าจะปิดบังได้หรือไง""ก็…ไม่หรอก แต่ข้าอยากรีบหาตัวให้เจอก่อนเจ้ามา"ก่อนมาถึงอาคารนี้นางก็จับคนมาถามความแล้วจึงรู้เรื่อง ไม่ได้แปลกใจอะไร ปญหามันอยู่ต่อจากนี้ต่างหากฉินหลิวซีเอาอาวุธคู่กายทั้งสองออกมา โยนงานจิปาถะให้คนอื่นทำ"ไก่ฟ้านี่ฝากชำแหละหน่อย เดี๋ยวข้ากลับมา"ว่าแล้วก็โดดออกทางหน้าต่างข
"โฮ่ คุณหนูน้อยสองคนคุยเรื่องรูปสลักในร้านยายกันใหญ่เชียว ทำไมไม่เลือกมันเล่า""น้องข้ามีเยอะแล้ว ให้นางเท่านี้ก็พอขอรับ" หลี่ไป๋ตอบกลับอย่างสุภาพ หญิงชราเจ้าของร้านงึมงำอะไรบางอย่างที่เขาฟังไม่เข้าใจหลี่ไป๋เอาถุงเงินออกมาเตรียม แต่ลืมไปว่าฝากไว้ที่เฟยหลาง"พี่เฟย - ""ขอรับคุณชาย…คุณชาย?"เฟยหลางหันซ้ายหันขวา รอบตัวเขาไม่มีใครอยู่เลย แต่เมื่อครู่มั่นใจว่าคุณชายน้อยเรียกเขาแน่ ๆ ร้านแผงลอยก็ปราศจากเจ้าของ เฟยหลางหน้าซีด"ซวยแล้ว…"หลี่หวานหนิงร้องอู้อี้เพราะถูกมัดมือมัดเท้าเอาไว้ ที่ปากก็มีเชือกผูกไม่ให้ส่งเสียง เพียงพริบตาเดียวที่สายตาหลุดจากหญิงชราตรงหน้าไป พวกเขาก็ถูกพามาที่ไหนสักแห่งด้วยยันต์เคลื่อนย้าย ทันทีที่ร่วงกระแทกพื้นพวกมันก็กรูกันเข้ามาจับมัดทันที แต่เพราะเห็นเป็นเด็กจึงไม่ได้มัดแน่นหนาอะไรหลี่หวานหนิงกระดึ๊บซ้ายทีขวาทีราวกับหนอนยักษ์ นางค่อนจะ…ไม่รู้ร้อนรู้หนาวเกินไปสำหรับเด็กที่ถูกขโมยตัวมา แต่จะว่านางก็เหมือนถ่มน้ำลายใส่หน้าตัวเอง เพราะคนที่สงบนิ่งยิ่งกว่าใครก็คือหลี่ไป๋เองนอกจากพวกเ
"หมายความว่าอย่างไรโดนลักพาตัว!""ขออภัยขอรับนายท่าน ข้าคลาดสายตาไปเพียงนิดเดียวพวกเขาก็ไม่อยู่แล้ว"หลี่เจิ้นหัวตะโกนเสียงดัง "คิดว่าข้ออ้างแบบนั้นจะแก้ตัวขึ้นหรือไง รีบไปตามหาเดี๋ยวนี้เลย!"คนของหอกระจายข่าวสาขาประจำเมืองกระจายกำลังกันไปอย่างรวดเร็ว จะมีอะไรเป็นเรื่องเร่งด่วนไปกว่าเรื่องที่บุตรทั้งสองของนายท่านหายตัวไป แถมยังเป็นความสะเพร่าซึ่งเกิดขึ้นตอนฮูหยินไม่อยู่ หากจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยไม่ได้ ไม่แน่ว่าสิ่งที่อยู่ในหม้อต้มยาจะไม่ใช่วัตถุดิบสมุนไพรแต่เป็นกระดูกพวกเขาต่างหากเด็กเก้าขวบกับห้าขวบตัวไม่ใช่เล็ก ๆ จะหายไปทันทีได้อย่างไร อีกทั้งดูเหมือนจะไม่ใช่แค่เพียงการเล่นสนุกของเด็ก ๆ คนที่ทำเรื่องอย่างนี้ต้องมีมากกว่าสอง หรืออาจจะทำกันเป็นกลุ่มใหญ่เลยก็ได้ ต้องรีบหาให้เจอภายใต้เงาของเมืองอันเงียบสงบคนของหอกระจายข่าวกำลังเคลื่อนไหว เกิดเรื่องที่ไหนไม่เกิดมาเกิดที่เมืองพวกเขาเสียได้ สาขาของหอกระจายข่าวมีตั้งมากดันเลือกมาเกิดที่เมืองที่สงบสุขที่สุดในแคว้นช่างน่าเวทนาผู้ไม่ประสงค์ดีกลุ่มนั้นเหลือเกิน…หลี่เจิ้นหั
นายท่านหอชิงขุยจัดการแยกงานที่ต้องทำด่วนจะทำทีหลังได้ออกจากกันเป็นสองกอง พอไม่ได้เข้ามาที่หอนานแบบนี้งานก็กองสุมการจนล้นมือไปหมด พอมีลูกสองคนแล้วเขาก็ยิ่งขยันทำงานมากขึ้นคงต้องเข้ามาที่หอชิงขุยบ่อยกว่านี้แล้วล่ะ"ฉินหลิวซีไม่อยู่แบบนี้คือช่วงเวลาพิสูจน์ฝีมือสินะ"เมื่อนางกลับมาจะต้องภูมิใจในตัวสามีร่วมงานคนนี้ ที่เขาเลี้ยงลูกได้ไม่มีขาดตกบกพร่อง คิดแล้วก็เผลอยิ้มออกมา"ท่านพ่อ ทำหน้าตาพิลึกจัง""พิลึก!" พอโดนเด็กทักแบบนี้ทำเอาใจแป้วเลยทีเดียว นี่เขายิ้มแล้วหน้าตาพิลึกหรอกหรือ"หรือจริง ๆ แล้วข้าไม่ได้รูปงาม แต่หน้าตาแปลกพิสดาร?"ท่านแม่ รีบกลับมาทีขอรับ"เสี่ยวไป๋…ทำไมมองพ่อด้วยสายตาเย็นชาแบบนั้นล่ะลูก"คำถามของเขาไม่ได้รับคำตอบ บุตรชายเอียงคอมองหน้างง ๆ คล้ายไม่เข้าใจ ทำให้ยิ่งเกิดคำถามขึ้นมาในหัวว่าหรือจริง ๆ แล้วเขาเอง เป็นเขาเองที่แปลก"อ้ะ แต่ถ้านางชอบ แปลกก็ดีแล้วนี่นา"ท่านแม่…ไม่รู้ด้วยเหตุใดแต่บุตรคนแรกของเขาดูจะมีความคิดที่โตเกินวัยไปสักหน่อย รวมถึงคำพูดคำจาที่เด็กวัยเดียวกันไม่น่าคิด