วันปฐมนิเทศคณะศิลปศาสตร์
ในสวนหย่อมมหาวิทยาลัยเวลานี้มีรุ่นพี่หลายคณะมาคอยรับน้องกันอย่างเนืองแน่น เสียงเด็กวิศวะกลุ่มหนึ่งดังขึ้นให้โต๊ะข้าง ๆ ได้ยิน “เฮ้ย มาเล่นเกมทายกัน” “เหมือนเดิมใช่ไหม” หนุ่มหล่อสูงขาวท่าทางไฮโซคนหนึ่งถามขึ้นพลางมองไปที่เส้นแดงบนทางเข้ามหาลัย เกมที่พวกเขากำลังพูดถึงเป็นเกมที่เด็กวิศวะนิยมเล่นกันเป็นประจำ คือการทายว่าน้องที่เดินผ่านเส้นแดงเข้ามาเรียนคณะอะไรบ้าง กฏิกาคือถ้าใครทายผิด ต้องไปจีบน้องคนนั้นให้ติด เด็กวิศวะกลุ่มนี้ เรียกได้ว่าเป็นตัวท็อปของมหาลัย เพราะนอกจากแต่ละคนจะมีรูปร่างหน้าตาดีแล้ว ยังมีฐานะร่ำรวย เวลาที่พวกเขามารวมตัวกันจึงมักตกเป็นเป้าสายตาของนักศึกษาสาวจากทุกคณะ ถ้าจะพูดกันตามจริง พวกเขาไม่จำเป็นต้องไปตามจีบใคร เพราะทุกวันนี้มีผู้หญิงที่มาต่อคิวรอให้เด็กหนุ่มกลุ่มนี้สนใจมีจนนับไม่ถ้วน “ตามึงแล้วไอ้ยุ พวกกูเล่นกันไปหมดแล้ว” คนที่ถูกเรียกชื่อเงยหน้าจากมือถือในมือมามองเพื่อน ก่อนจะมองไปที่นักศึกษาสาวที่กำลังทยอยเดินเข้ามา เท่าที่มองผ่านตา เขายังไม่เห็นว่าจะมีน้องคนไหนถูกสเปกเลยสักคน “ไม่เล่นได้ไหมวะ หน้าตาไม่เข้าเบ้าเลยสักคน” วายุส่ายหน้าบอกเพื่อนด้วยท่าทางเซ็ง ๆ ทว่าเพื่อน ๆ ไม่คิดจะปล่อยผ่านเขาไป “สัส มึงอย่ามาหาข้ออ้าง เมื่อกี้กูโดนน้องตุ้ยนุ้ยไปแล้ว” สานัสพูดแล้วทำท่าขนลุก ก่อนหน้านี้สานัสเล่นคนแรก แล้วทายผิด ต้องไปตามจีบน้องคณะบัญชีน้ำหนักกว่าร้อยกิโล เรื่องอะไรเขาจะยอมเป็นผู้ประสบภัยคนเดียว คิดได้ดังนั้นแล้ว สานัสที่กำลังมองไปที่เด็กผู้หญิงท่าทางเฉิ่มเชยก็ชี้ไปที่เด็กคนนั้น “เอาคนนนี้ มึงทายมาเดี๋ยวนี้ ไอ้ยุ” เพื่อนอีกสองคนหันไปมอง พอเห็นรุ่นน้องที่ว่าก็พากันหัวเราะ อย่างที่บอกเด็กหนุ่มกลุ่มนี้ตกอยู่ในสายตาผู้คน ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่การกระทำของพวกเขาจะไม่มีใครสนใจ เวลานี้ โต๊ะข้าง ๆ ที่คอยมองพวกเขาอยู่ต่างพากันหันไปมองรุ่นน้องคนนั้นเป็นตาเดียว วายุมองไปที่เด็กคนนั้นด้วยสายตาดูแคลน พลางเบ้ปากตอบ “กูทายว่าคณะแพทย์” “เปลี่ยนใจไม่ได้แล้วนะมึง น้องเขาเดินข้ามเส้นมาแล้ว” “เออ” “ปันมึงตามไปถ่ายรูปมา” จุดปฐมนิเทศของแต่ละคณะไม่ได้จัดที่เดียวกันย่อมไม่ใช่เรื่องยากที่จะพิสูจน์ว่าน้องใหม่เรียนคณะอะไร เพราะแต่ละคนจะแยกไปปฐมนิเทศยังจุดของตนเอง เด็กหนุ่มที่ชื่อปันรีบตามรุ่นน้องคนที่ว่าไป คนที่รอลุ้นไม่ได้มีแค่โต๊ะของวายุ แม้แต่สาว ๆ โต๊ะข้าง ๆ ยังพลอยรอลุ้นไปด้วย เพราะวายุคือหนุ่มฮ็อตที่สุดในมหาลัย พวกเธอต้องให้ความสนใจเป็นธรรมดา ร่างเล็กของลิตาหญิงสาวที่มีอายุเพิ่งเข้าสิบแปดปีมาหมาด ๆ กำลังสาวเท้าเดินอยู่บริเวณขอบริมฟุตบาทมหาลัยเอกชนชื่อดัง ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่เธอเลือกเข้าเรียนต่อในระดับปริญญาตรี หญิงสาวเดินไปหยุดที่หน้าตึกคณะศิลปศาตร์สายตาเบิกกว้างไปรอบ ๆ บริเวณชั้นล่างใต้ตึกคณะ โต๊ะไม้ที่ถูกจัดวางเรียงตรงมุมเสาเพื่อให้น้องนักศึกษาใหม่มาลงชื่อเข้ารับรายงานตัว “เชี่ยยย!!” วายุอุทานออกมาเสียงดังพลางถลึงตาโต “คณะศิลปศาสตร์!!” “ฮ่ะๆ” เสียงหัวเราะสนุกสนานดังครืนขึ้นมาทันทีเขาพูดจบ หนุ่ม ๆ ในโต๊ะ บางคนผิวปาก บางคนตบมือชอบใจ “ไอ้วายุ คราวนี้ล่ะมึง ฮะๆ ไปจีบน้องเขาเลยมึง” เวลานี้ปากของวายุยังหุบไม่ลง เสียงหยอกล้อของพวกเพื่อน ๆ ฟังแล้วบาดหู สายตาที่กำลังจับจ้องไปยังผู้หญิงแต่งตัวเฉิ่มเชยเริ่มจะดูเซ็ง ๆ รุ่นน้องคนที่ว่าสะพายกระเป๋าผ้าใบใหญ่ใส่แว่นตาหนาเตอะ มิหนำซ้ำมือข้างหนึ่งถืออมยิ้ม ท่าทางเหมือนเด็กปัญญาอ่อน ซึ่งแน่นอนว่าผู้หญิงแบบนี้ไม่เพียงจะไม่ใช่สเปก แต่วายุค่อนข้างไม่ชอบเลยก็ว่าได้ เจอแบบนี้เข้าไปไม่ให้เซ็งยังไงไหว ซวยฉิบหาย ขณะที่ลิตากำลังเดินอยู่บริเวณริมฟุตบาทหลังจากจบกิจกรรมปฐมนิเทศของคณะ ลิตาหยิบหูฟังไร้สายออกมาสวมใส่พร้อมกับกดเปิดเพลงที่คุ้นหู แต่แล้วจังหวะที่ลิตากำลังเดินข้ามถนนเพื่อไปฝั่งตรงข้ามจู่ ๆ ก็มีบิ๊กไบค์คันหนึ่งขับมาด้วยความเร็ว ก่อนจะหักหลบไปเบียดฟุตบาท โครม!!! “ว้าย!” ลิตาตกใจสุดขีด หัวใจร่วงไปที่ตาตุ่ม พอตั้งสติได้ เธอรีบเดินเข้าไปหา ตั้งใจจะเข้าไปช่วยประคอง ทว่าร่างสูงกลับไม่รอให้เธอช่วยเหลือ ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว สองมือที่มีรอยถลอกถอดหมวกกันน๊อคเต็มใบสีดำบนศีรษะออกแล้วตวัดตามองตัวต้นเหตุ “ข้ามถนนประสาอะไรของเธอ!” ตั้งแต่ขี่รถมา ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่วายุประสบอุบัติเหตุ มิหนำซ้ำ อุบัติเหตุที่ว่า ยังเกิดจากความเซ่อซ่าของใครบางคน ถ้าไม่หัวเสียคงแปลกเต็มที “ถ้ารถฉันเป็นอะไร ฉันเอาเธอตายแน่!” น้ำเสียงดุดันของเขาทำให้ร่างบอบบางที่กำลังจะเข้าไปช่วยหยุดชะงัก ลิตาเป็นคนพูดไม่เก่ง อีกทั้งยังเป็นคนขี้กลัว พอโดนดุ เธอจึงเริ่มลนลานทำอะไรไม่ถูก สุดท้ายก็ตัดสินใจวิ่งหนี “เฮ้ย!” วายุอุทานออกมาได้คำเดียว ร่างเล็กก็วิ่งหายเข้าไปในตึกแล้ว “แม่งวิ่งเร็วฉิบ! ขอโทษสักคำก็ไม่มี อย่าให้เจอนะมึง!” ลิตาเป็นเด็กต่างจังหวัด มีพี่น้องสามคนลิตาเป็นลูกคนโต ฐานะทางบ้านไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากนัก แต่ด้วยที่ว่าลิตาเป็นคนหัวดีเรียนเก่งจึงสอบติดเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังในกรุงเทพฯได้ ลิตาเช่าคอนโดที่ราคาถูกไม่แพงมากนัก ถึงอยู่ไกลจากมหาลัยหน่อยแต่ก็มีรถเมล์วิ่งผ่านไปถึงหน้ามหาลัยตลอดเธอจึงเลือกพักที่นี่ หลังจากปฐมนิเทศ มหาวิทยาลัยยังปิดต่อไปอีกสองวัน เช้าวันจันทร์ ลิตาแต่งตัวมามหาลัยแต่เช้า เพราะเธอมีเรียนตอนเก้าโมงเช้าวันจันทร์ อากาศตอนเช้าค่อนข้างมืดครึ้ม ลมพัดโชยเอากลิ่นอายฝนมาจากที่ห่างไกล คล้ายว่าที่อื่นฝนกำลังตก บรรยากาศเรียกได้ว่าค่อนข้างโรแมนติก ทางเข้ามหาลัยเริ่มมีนักศึกษาทยอยกันเดินเข้ามา ถ้าเป็นพวกปีสองขึ้นไป ส่วนใหญ่จะมาด้วยรถส่วนตัว ลิตาคือหนึ่งในนั้น เด็กสาวที่ไม่มีจุดเด่น เธอเดินเข้ามาพร้อมคนอื่น ๆ และกลมกลืนไปกับฝูงชนโดยไม่มีใครสังเกตเห็น ขณะที่เธอกำลังจะเดินไปที่ตึกของคณะ บังเอิญได้ยินนักศึกษาสาวหลายคนส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดราวกับว่าได้เจอดารา “พี่วายุโคตรเท่เลยว่ะแก นาน ๆ จะเห็นพี่เขาขับ BMWเปิดประทุนมาเรียน” “ทำไงเราจะได้มีวาสนาเป็นตุ๊กตาหน้ารถของพี่เขาบ้าง” “ฝันไปก่อนเถอะ” เสียงหัวเราะคิกคักของนักศึกษาหญิงกลุ่มใหญ่ ทำให้ลิตาต้องมองไปที่รถยนต์สีดำคันหรูที่เพิ่งจะเลี้ยวเข้าไปจอดหน้าตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์ แต่ก่อนที่เจ้าของรถจะก้าวลงมา เธอก็ดึงสายตากลับ บ้านของลิตาไม่ใช่คนมีฐานะ เธอจึงมักหลีกเลี่ยงพวกลูกคนรวย เมื่อเห็นรถหรูราคาหลายล้าน เธอเลยไม่ให้ความสนใจ สองเท้าหนักของวายุสาวเท้าเดินเข้ามาในกลุ่มของตัวเองที่นั่งอยู่โต๊ะหินอ่อนบริเวณข้างตึกวิศวะพร้อมกับสายตาของนักศึกษาหลายคนที่ค
“เชี่ยยย นั่นมันพี่เขานี่ เอาไงดีวะ” เสียงคนตัวเล็กพูดบ่นเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ย่องหมุนตัวหนีออกมาจากตรงนั้นให้ไวที่สุด แต่ทว่าเธอไม่อาจรอดพ้นสายตาอันแหลมคมของเขาได้ “ไง” เสียงทุ้มเอ่ยทักคนตัวเล็กที่อยู่ตรงหน้า “เชี่ยยแล้ว เห็นจนได้” คำอุทานหลุดออกมาจากปากของลิตาก่อนที่เธอจะหมุนตัวไปหาเขา “เจอกันอีกแล้ว” เรียวปากสวยเอ่ยพูดพร้อมกับฉีกยิ้มหวาน พยายามใจดีสู้เสือ “ทำให้ฉันรถล้มแล้วก็วิ่งหนีไปหน้าตาเฉย” วายุเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะจับข้อมือของลิตาแน่น “ปล่อยสิ จับทำไมมันเจ็บ” ลิตาสะบัดแขนที่ถูกมือแกร่งของวายุจับไว้แน่น แต่ทว่ายิ่งเธอสะบัดเขาก็ยิ่งจับแน่นขึ้นอีก “ถ้าพี่ไม่ปล่อยเจอดีแน่” “ตัวเท่าลูกหมาจะทำอะไรฉันได้” “ก็ซัดพี่ร่วงลงได้เหมือนกันนั่นแหละ” “ประสาท! แค่ฉันจับเธอยังดิ้นไม่หลุดเลย” “แล้วพี่จะมาจับเราไว้ทำไม” “เธอไม่คิดจะรับผิดชอบอะไรเลยเหรอ” วายุเลิกคิ้วถามคนตัวเล็กด้วยสีหน้าเอาเรื่อง “รับผิดชอบเรื่องอะไร” ลิตาทำหน้านิ่งใส่คนตรงหน้า “ที่เธอทำรถสุดหวงของฉันล้มเมื่อวาน” “แล้วพี่จะให้เรารับผิดชอบยังไง ถ้าเงินเราไม่มีหรอกนะ” “ทำได้ทุกอย่างเลยใช่ไหมรับปากมาสิ” เสียงทุ้มหนักเอ่ยถามก
ป้ายรถเมล์คนตัวเล็กเดินสาวเท้ามาหยุดอยู่ที่ป้ายรถเมล์พร้อมกับเอามือขึ้นมายีที่หัวของตัวเองด้วยความโมโหให้กับคนตัวสูงร่างใหญ่ที่พึ่งจะแยกกันที่ลานจอดรถของมหาลัยเมื่อสักครู่“ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด หลอกให้เราพาวิ่งเหนื่อยหอบจนแทบจะหยุดหายใจ” หลังจากพูดจบคนตัวเล็กก็ยกเท้าขึ้นมาเตะไปที่กระป๋องเปล่าน้ำอัดลมที่ถูกวางทิ้งไว้กับพื้นที่อยู่ตรงหน้าอย่างเต็มแรง“อ๊ากกก นิ้วฉันหักแล้วมั้งโคตรเจ็บเลย มีน้ำในกระป๋องนี่หว่าใครมาโยนทิ้งไว้เนี่ย”คนตัวเล็กทรุดตัวนั่งลงไปนั่งที่เก้าอี้นั่งรอรถโดยสารด้วยความเจ็บปวด จากนั้นก็เอื้อมมือไปถอดรองเท้าคัชชูสีดำออก ลิตาถึงกับร้องตกใจเมื่อเห็นมีเลือดไหลซึมออกมาที่บริเวณนิ้วโป้งข้างขวา“โอ๊ยยย เจ็บสุด ๆ เอาไงดีวะเนี่ยจะเดินไปขึ้นรถยังไงเนี่ย ส้มโอก็ยังไม่เลิกเรียนด้วย” ลิตาบ่นให้กับความเซ่อซ่าของตัวเองก่อนจะเงยหน้ามองรถBMเปิดประทุนคันหรูที่มีชายร่างสูงที่พึ่งจะแยกกันเมื่อสักครู่กำลังขับผ่านตรงหน้าไปแต่ทว่าขณะที่ร่างเล็กกำลังนั่งก้มหน้าด้วยความเจ็บปวดอยู่นั้นก็มีชายร่างสูงใหญ่ที่ดูคุ้นตากำลังยืนตรงหน้าเธอ“ไง!ไปฟัดกับหมาที่ไหนมาอีกถึงได้มานั่งเจ็บอยู่ตรงนี้” พูดจ
ห้องปฐมพยาบาลเสียงเคาะประตูดังขึ้นเพื่อให้คนด้านในได้ยิน“เข้ามาได้ค่ะ” เสียงหวานของหมอเจนส่งเสียงบอกให้คนที่อยู่ด้านนอกได้ยิน“สวัสดีค่ะหมอเจน” มุมปากสวยของส้มโอยกยิ้มให้กับคุณหมอ“มาค่ะ คนเจ็บมานั่งตรงนี้ ขอหมอเจนดูแผลหน่อยค่ะ” คุณหมอเอ่ยพูดพร้อมกับส่งยิ้มหวานก่อนจะเลื่อนเก้าอี้มาให้คนเจ็บ“ไปโดนอะไรมาคะ”“เดินไปเตะกระป๋องน้ำอัดลมค่ะ”“น่าจะอักเสบนะ เดี๋ยวหมอทำแผลให้แล้วสั่งยาแก้อักเสบไปไว้ให้กิน” คุณหมอเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มก่อนจะสาวเท้าไปหยิบอุปกรณ์ทำแผล“เสร็จแล้วค่ะ” คุณหมอเอ่ยบอกกับหญิงสาวทั้งสองคนก่อนจะเดินไปหยิบซองยาแก้อักเสบและยาแก้ปวดที่จัดเตรียมไว้ในกล่องเพื่อความสะดวกรวดเร็วกับการจ่ายยา“นี่ยาแก้อักเสบกับยาแก้ปวดค่ะ” ถ้าปวดแผลก็ให้กินยาได้เลยค่ะ“ขอบคุณค่ะ” ลิตายื่นมือเรียวยาวของเธอไปรับยามาก่อนจะส่งยิ้มหวานให้กับคุณหมอคนสวยนานเกือบชั่วโมงหญิงสาวทั้งสองคนก็สาวเท้าเดินออกมาจากห้องปฐมพยาบาล ส้มโอหลุบมองนาฬิกาที่ข้อมือเล็กของตัวเอง ก่อนจะเอ่ยบอกกับเพื่อนสนิท“ลิตาแยกกันตรงนี้นะ จะได้เวลาเข้าเรียนแล้ว”“โอเค ๆ แล้วค่อยคุยกัน”คนตัวเล็กสาวเท้าเดินไปตามริมฟุตบาทที่เป็นระหว่างทาง
ห้องปฐมพยาบาลเสียงเคาะประตูดังขึ้นเพื่อให้คนด้านในได้ยิน“เข้ามาได้ค่ะ” เสียงหวานของหมอเจนส่งเสียงบอกให้คนที่อยู่ด้านนอกได้ยิน“สวัสดีค่ะหมอเจน” มุมปากสวยของส้มโอยกยิ้มให้กับคุณหมอ“มาค่ะ คนเจ็บมานั่งตรงนี้ ขอหมอเจนดูแผลหน่อยค่ะ” คุณหมอเอ่ยพูดพร้อมกับส่งยิ้มหวานก่อนจะเลื่อนเก้าอี้มาให้คนเจ็บ“ไปโดนอะไรมาคะ”“เดินไปเตะกระป๋องน้ำอัดลมค่ะ”“น่าจะอักเสบนะ เดี๋ยวหมอทำแผลให้แล้วสั่งยาแก้อักเสบไปไว้ให้กิน” คุณหมอเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มก่อนจะสาวเท้าไปหยิบอุปกรณ์ทำแผล“เสร็จแล้วค่ะ” คุณหมอเอ่ยบอกกับหญิงสาวทั้งสองคนก่อนจะเดินไปหยิบซองยาแก้อักเสบและยาแก้ปวดที่จัดเตรียมไว้ในกล่องเพื่อความสะดวกรวดเร็วกับการจ่ายยา“นี่ยาแก้อักเสบกับยาแก้ปวดค่ะ” ถ้าปวดแผลก็ให้กินยาได้เลยค่ะ“ขอบคุณค่ะ” ลิตายื่นมือเรียวยาวของเธอไปรับยามาก่อนจะส่งยิ้มหวานให้กับคุณหมอคนสวยนานเกือบชั่วโมงหญิงสาวทั้งสองคนก็สาวเท้าเดินออกมาจากห้องปฐมพยาบาล ส้มโอหลุบมองนาฬิกาที่ข้อมือเล็กของตัวเอง ก่อนจะเอ่ยบอกกับเพื่อนสนิท“ลิตาแยกกันตรงนี้นะ จะได้เวลาเข้าเรียนแล้ว”“โอเค ๆ แล้วค่อยคุยกัน”คนตัวเล็กสาวเท้าเดินไปตามริมฟุตบาทที่เป็นระหว่างทาง
ป้ายรถเมล์คนตัวเล็กเดินสาวเท้ามาหยุดอยู่ที่ป้ายรถเมล์พร้อมกับเอามือขึ้นมายีที่หัวของตัวเองด้วยความโมโหให้กับคนตัวสูงร่างใหญ่ที่พึ่งจะแยกกันที่ลานจอดรถของมหาลัยเมื่อสักครู่“ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด หลอกให้เราพาวิ่งเหนื่อยหอบจนแทบจะหยุดหายใจ” หลังจากพูดจบคนตัวเล็กก็ยกเท้าขึ้นมาเตะไปที่กระป๋องเปล่าน้ำอัดลมที่ถูกวางทิ้งไว้กับพื้นที่อยู่ตรงหน้าอย่างเต็มแรง“อ๊ากกก นิ้วฉันหักแล้วมั้งโคตรเจ็บเลย มีน้ำในกระป๋องนี่หว่าใครมาโยนทิ้งไว้เนี่ย”คนตัวเล็กทรุดตัวนั่งลงไปนั่งที่เก้าอี้นั่งรอรถโดยสารด้วยความเจ็บปวด จากนั้นก็เอื้อมมือไปถอดรองเท้าคัชชูสีดำออก ลิตาถึงกับร้องตกใจเมื่อเห็นมีเลือดไหลซึมออกมาที่บริเวณนิ้วโป้งข้างขวา“โอ๊ยยย เจ็บสุด ๆ เอาไงดีวะเนี่ยจะเดินไปขึ้นรถยังไงเนี่ย ส้มโอก็ยังไม่เลิกเรียนด้วย” ลิตาบ่นให้กับความเซ่อซ่าของตัวเองก่อนจะเงยหน้ามองรถBMเปิดประทุนคันหรูที่มีชายร่างสูงที่พึ่งจะแยกกันเมื่อสักครู่กำลังขับผ่านตรงหน้าไปแต่ทว่าขณะที่ร่างเล็กกำลังนั่งก้มหน้าด้วยความเจ็บปวดอยู่นั้นก็มีชายร่างสูงใหญ่ที่ดูคุ้นตากำลังยืนตรงหน้าเธอ“ไง!ไปฟัดกับหมาที่ไหนมาอีกถึงได้มานั่งเจ็บอยู่ตรงนี้” พูดจ
“เชี่ยยย นั่นมันพี่เขานี่ เอาไงดีวะ” เสียงคนตัวเล็กพูดบ่นเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ย่องหมุนตัวหนีออกมาจากตรงนั้นให้ไวที่สุด แต่ทว่าเธอไม่อาจรอดพ้นสายตาอันแหลมคมของเขาได้ “ไง” เสียงทุ้มเอ่ยทักคนตัวเล็กที่อยู่ตรงหน้า “เชี่ยยแล้ว เห็นจนได้” คำอุทานหลุดออกมาจากปากของลิตาก่อนที่เธอจะหมุนตัวไปหาเขา “เจอกันอีกแล้ว” เรียวปากสวยเอ่ยพูดพร้อมกับฉีกยิ้มหวาน พยายามใจดีสู้เสือ “ทำให้ฉันรถล้มแล้วก็วิ่งหนีไปหน้าตาเฉย” วายุเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะจับข้อมือของลิตาแน่น “ปล่อยสิ จับทำไมมันเจ็บ” ลิตาสะบัดแขนที่ถูกมือแกร่งของวายุจับไว้แน่น แต่ทว่ายิ่งเธอสะบัดเขาก็ยิ่งจับแน่นขึ้นอีก “ถ้าพี่ไม่ปล่อยเจอดีแน่” “ตัวเท่าลูกหมาจะทำอะไรฉันได้” “ก็ซัดพี่ร่วงลงได้เหมือนกันนั่นแหละ” “ประสาท! แค่ฉันจับเธอยังดิ้นไม่หลุดเลย” “แล้วพี่จะมาจับเราไว้ทำไม” “เธอไม่คิดจะรับผิดชอบอะไรเลยเหรอ” วายุเลิกคิ้วถามคนตัวเล็กด้วยสีหน้าเอาเรื่อง “รับผิดชอบเรื่องอะไร” ลิตาทำหน้านิ่งใส่คนตรงหน้า “ที่เธอทำรถสุดหวงของฉันล้มเมื่อวาน” “แล้วพี่จะให้เรารับผิดชอบยังไง ถ้าเงินเราไม่มีหรอกนะ” “ทำได้ทุกอย่างเลยใช่ไหมรับปากมาสิ” เสียงทุ้มหนักเอ่ยถามก
เช้าวันจันทร์ อากาศตอนเช้าค่อนข้างมืดครึ้ม ลมพัดโชยเอากลิ่นอายฝนมาจากที่ห่างไกล คล้ายว่าที่อื่นฝนกำลังตก บรรยากาศเรียกได้ว่าค่อนข้างโรแมนติก ทางเข้ามหาลัยเริ่มมีนักศึกษาทยอยกันเดินเข้ามา ถ้าเป็นพวกปีสองขึ้นไป ส่วนใหญ่จะมาด้วยรถส่วนตัว ลิตาคือหนึ่งในนั้น เด็กสาวที่ไม่มีจุดเด่น เธอเดินเข้ามาพร้อมคนอื่น ๆ และกลมกลืนไปกับฝูงชนโดยไม่มีใครสังเกตเห็น ขณะที่เธอกำลังจะเดินไปที่ตึกของคณะ บังเอิญได้ยินนักศึกษาสาวหลายคนส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดราวกับว่าได้เจอดารา “พี่วายุโคตรเท่เลยว่ะแก นาน ๆ จะเห็นพี่เขาขับ BMWเปิดประทุนมาเรียน” “ทำไงเราจะได้มีวาสนาเป็นตุ๊กตาหน้ารถของพี่เขาบ้าง” “ฝันไปก่อนเถอะ” เสียงหัวเราะคิกคักของนักศึกษาหญิงกลุ่มใหญ่ ทำให้ลิตาต้องมองไปที่รถยนต์สีดำคันหรูที่เพิ่งจะเลี้ยวเข้าไปจอดหน้าตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์ แต่ก่อนที่เจ้าของรถจะก้าวลงมา เธอก็ดึงสายตากลับ บ้านของลิตาไม่ใช่คนมีฐานะ เธอจึงมักหลีกเลี่ยงพวกลูกคนรวย เมื่อเห็นรถหรูราคาหลายล้าน เธอเลยไม่ให้ความสนใจ สองเท้าหนักของวายุสาวเท้าเดินเข้ามาในกลุ่มของตัวเองที่นั่งอยู่โต๊ะหินอ่อนบริเวณข้างตึกวิศวะพร้อมกับสายตาของนักศึกษาหลายคนที่ค
วันปฐมนิเทศคณะศิลปศาสตร์ในสวนหย่อมมหาวิทยาลัยเวลานี้มีรุ่นพี่หลายคณะมาคอยรับน้องกันอย่างเนืองแน่น เสียงเด็กวิศวะกลุ่มหนึ่งดังขึ้นให้โต๊ะข้าง ๆ ได้ยิน“เฮ้ย มาเล่นเกมทายกัน”“เหมือนเดิมใช่ไหม” หนุ่มหล่อสูงขาวท่าทางไฮโซคนหนึ่งถามขึ้นพลางมองไปที่เส้นแดงบนทางเข้ามหาลัยเกมที่พวกเขากำลังพูดถึงเป็นเกมที่เด็กวิศวะนิยมเล่นกันเป็นประจำ คือการทายว่าน้องที่เดินผ่านเส้นแดงเข้ามาเรียนคณะอะไรบ้าง กฏิกาคือถ้าใครทายผิด ต้องไปจีบน้องคนนั้นให้ติดเด็กวิศวะกลุ่มนี้ เรียกได้ว่าเป็นตัวท็อปของมหาลัย เพราะนอกจากแต่ละคนจะมีรูปร่างหน้าตาดีแล้ว ยังมีฐานะร่ำรวย เวลาที่พวกเขามารวมตัวกันจึงมักตกเป็นเป้าสายตาของนักศึกษาสาวจากทุกคณะ ถ้าจะพูดกันตามจริง พวกเขาไม่จำเป็นต้องไปตามจีบใคร เพราะทุกวันนี้มีผู้หญิงที่มาต่อคิวรอให้เด็กหนุ่มกลุ่มนี้สนใจมีจนนับไม่ถ้วน“ตามึงแล้วไอ้ยุ พวกกูเล่นกันไปหมดแล้ว”คนที่ถูกเรียกชื่อเงยหน้าจากมือถือในมือมามองเพื่อน ก่อนจะมองไปที่นักศึกษาสาวที่กำลังทยอยเดินเข้ามา เท่าที่มองผ่านตา เขายังไม่เห็นว่าจะมีน้องคนไหนถูกสเปกเลยสักคน“ไม่เล่นได้ไหมวะ หน้าตาไม่เข้าเบ้าเลยสักคน” วายุส่ายหน้าบอกเพื่อ