บทที่ 2.2
ค้าขายย่อมมีกำไร
“พี่ใหญ่ท่านเร่งมาดูเร็วเข้า”
เสียงของซ่งหานลู่ดังก้อง เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วพบว่าบนโต๊ะเล็กมีอาหารสามจาน และข้าวพูนจานอีกสามถ้วย
“พี่ใหญ่ท่านตีข้าที นี่ข้าไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่ นะ... นี่ เนื้อหรือขอรับ”
ซ่งหานลู่ใช้ตะเกียบคีบเนื้อมาจากจานผัด ดวงตากลมเปล่งประกายฉ่ำวาวไปด้วยน้ำตาแห่งความยินดี ไม่เพียงมีข้าวพูนจาน วันนี้เขายังมีเนื้อกินด้วย หรือว่านี่จะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายในชีวิตที่สวรรค์ประทานมาให้
“น้องเล็ก เจ้าอย่ามัวแต่ตื่นเต้นรีบไปล้างเนื้อล้างตัวแล้วมากินข้าวตอนที่ยังร้อนๆ จะได้ไม่เสียรส”
เมื่อได้ยินพี่สาวเอ่ยบอก คนที่ตื่นเต้นกับอาหารตรงหน้าก็รีบไปล้างเนื้อล้างตัวก่อนจะกลับมานั่งที่เก้าอี้ตัวเก่าจวนพัง ใช้ตะเกียบคีบเนื้อและข้าวในชามใส่ปาก ดวงตากลมเบิกกว้างเอ่ยเสียงอู้อี้
“พี่รองนี่เป็นอาหารฝีมือของท่านจริงๆ หรือ”
เพราะที่ผ่านมาซ่งไป๋ลู่ไม่เคยจับงานทั้งหนักทั้งเบา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนอกบ้านในบ้านล้วนมีซ่งต้าลู่จัดการ ดังนั้นอาหารมื้อแรกที่นางทำและยังทำได้ดีถึงเพียงนี้จึงทำให้น้องชายตัวน้อยตื่นเต้นยินดียิ่ง
“แน่นอนว่าเป็นฝีมือพี่รองของเจ้า”
“เช่นนั้นท่านทำอาหารทุกวันได้หรือไม่ ข้าชอบฝีมือท่าน”
แน่นอนว่าประโยคนี้ซ่งหานลู่เอ่ยมาจากความจริงแปดส่วน อีกสองส่วนล้วนเอ่ยขึ้นเพราะต้องการให้พี่รองของตนช่วยงานพี่ใหญ่ที่แสนดีของเขา
“พี่รองของเจ้าอายุยังน้อย เรื่องเข้าครัวข้าจะจัดการเอง”
ซ่งไป๋ลู่ไม่ทันตอบรับคำขอของน้องชาย ซ่งต้าลู่ก็ขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะยื่นตะเกียบคีบผักในจานใส่ถ้วยข้าวของตนเอง ตลอดมื้ออาหารไม่แตะต้องเนื้อหมูเลยสักชิ้น ของดีๆ ควรมีไว้ให้น้องทั้งสองของเขา
“พี่ใหญ่ท่านทำงานเหนื่อยมากแล้ว เรื่องในครัวต่อไปให้ข้าดูแลเถอะนะเจ้าคะ”
ซ่งไป๋ลู่เอ่ยบอกพลางคีบเนื้อหมูให้คนเป็นพี่ชาย ซ่งต้าลู่มองความใส่ใจของน้องสาวตรงหน้าด้วยความเต็มตื้นในอก ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย
“เช่นนั้นก็ได้”
“พี่ใหญ่ท่านลำเอียง! ยามเป็นข้าบอกท่านไม่เคยรับฟัง ทว่าพอเป็นพี่รองบอกไม่ว่าคำใดก็ล้วนตามใจนาง”
ซ่งหานลู่เอ่ยเสียงน้อยใจ หากแต่ตะเกียบยังคงคีบข้าวในถ้วยลงท้อง ซ่งไป๋ลู่ยกยิ้มกว้างแสร้งหยิบจานเนื้อหนีตะเกียบเล็ก
“อ่ะ! พี่รองท่านจะเอาผัดเนื้อของข้าไปไหน”
“เจ้าไม่เชื่อฟังพี่รอง...”
“ฟังๆ ข้าล้วนฟังท่าน พี่รองข้าขอกินเนื้ออีกสักชิ้นนะ ชิ้นเดียวเท่านั้น”
ซ่งหานลู่เอ่ยเสียงอ่อนพร้อมส่งสายตาอ้อนวอน ซ่งไป๋ลู่ที่ไม่ได้คิดรังแกอีกฝ่ายจริงจังเห็นเช่นนี้ก็ยื่นจานเนื้อส่งให้คนเป็นน้อง แล้วคีบหมูใส่ชามให้คนเป็นพี่อีกสองชิ้น
“พี่ใหญ่ท่านเองก็ควรกินเนื้อให้มากหน่อย เป็นบุรุษต้องมีร่างกายกำยำจึงจะปกป้องข้ากับน้องเล็กได้”
ซ่งต้าลู่มองเด็กหญิงที่คล้ายจะเติบโตขึ้นในช่วงข้ามคืนแล้วพลันเกิดแววตาสงสัยหวาดระแวง นางใช่ซ่งไป๋ลู่น้องสาวคนเดิมของเขาอยู่หรือไม่
“ผ่านความตายมาครั้งหนึ่งให้ข้าก่อนหน้าโง่งมแค่ไหนก็ต้องมีความคิดขึ้นมาบ้าง”
ซ่งไป๋ลู่อ่านสายตาของเด็กชายตรงหน้าออกก็รีบเอ่ยบอกเขา โชคดีที่นางเตรียมคำตอบเอาไว้แล้วจึงสามารถหลบเลี่ยงข้อสงสัยของซ่งต้าลู่ไปได้อย่างแนบเนียน
“น้องเล็ก พรุ่งนี้ไปช่วยข้าเก็บลูกท้อบนเขาดีหรือไม่”
“ข้าเชื่อฟังพี่รอง”
ซ่งหานลู่ตอบทั้งที่ยังมีข้าวอยู่เต็มกระพุ้งแก้มทั้งสอง มือเล็กจับจานเนื้อเอาไว้ เกรงว่าถ้าคำตอบของตนไม่ถูกใจพี่สาวอีกฝ่ายจะยึดจานเนื้อตรงหน้าไปอีกรอบ
ซ่งไป๋ลู่เห็นท่าทางเช่นนี้ก็อดที่จะขบขันไม่ได้ บ้านหลังเล็กจึงก้องไปด้วยเสียงหัวเราะเป็นครั้งแรก
......................................................
วันต่อมาซ่งไป๋ลู่พาน้องชายตัวน้อยขึ้นเขามาเก็บผลท้อ หลังจากสอนอีกฝ่ายแยกแยะผลสุกผลดิบตัวนางก็เดินไปสำรวจรอบๆ แม้ผลท้อจะขายได้ดี ทว่าคงไม่สามารถใช้เลี้ยงชีวิตไปได้ตลอด อีกอย่างต้นท้อบนเขามีไม่มากไม่นานก็คงถูกนางเก็บจนหมด ดังนั้นซ่งไป๋ลู่จึงต้องหาผลผลิตอย่างอื่นเพิ่มเติม
เดินมาได้ไม่ไกลนักนางก็พบผักป่า มือเล็กเดินเก็บมาหนึ่งหอบก็พบต้นบ๊วยใหญ่ ริมฝีปากเล็กยิ้มอย่างพึงพอใจ วางผักป่าในมือปีนป่ายขึ้นต้นบ้วยเก็บผลของมันใส่จนเต็มตะกร้า
สองพี่น้องคนหนึ่งเก็บผลท้อ อีกคนเก็บผลบ๊วยยามที่ตะวันคล้อยต่ำ ซ่งต้าลู่ก็เอาล้อลากมาขนตะกร้าสานแปดใบที่ตีนเขาไปส่งยังบ้านตระกูลกู้
“อาไป๋เจ้ามาแล้ว”
กู้เหยียนร้องอย่างดีใจก่อนจะวิ่งออกจากบ้านมารับตะกร้าท้อจากไหล่เล็ก โดยไม่สนใจสหายที่กำลังเข็นผลท้อแปดตะกร้า
“ข้ากำลังเป็นห่วงกลัวว่าอาต้าจะไปรับเจ้าที่ตีนเขาไม่ทันฟ้ามืด”
“พี่ใหญ่เป็นคนตรงเวลามาก พี่กู้เหยียนไม่ต้องกังวลแทนพี่รองไปหรอกขอรับ”
ซ่งหานลู่เอ่ยแทนพี่ชาย พร้อมทั้งขยับตัวไปแทรกตรงกลางระหว่างพี่สาวและพี่ชายต่างแซ่
“พี่สาวข้าอายุสิบปีแล้ว พี่กู้เหยียนท่านต้องระวังสักหน่อยอย่าอยู่ใกล้นางมากเกินไป คนจะนินทาพี่สาวข้าได้”
คิ้วเล็กของซ่งไป๋ลู่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะขบขันกับท่าทางหวงพี่สาวของซ่งหานลู่
“พี่กู้เหยียนอย่าถือสาน้องเล็กของข้าเลยนะเจ้าคะ”
“อาหาน ห่วงใยเจ้าข้าจะถือสาเขาได้อย่างไร เป็นพี่กู้เหยียนของเจ้าที่คิดไม่รอบคอบอาหานอย่าได้ตำหนิเลย”
กู้เหยียนเอ่ยเสียงอ่อนอย่างเอาใจ ซ่งไป๋ลู่ให้ความสำคัญกับพี่น้อง ดังนั้นเขาย่อมต้องใส่ใจพี่น้องของนางเช่นกัน
“อ่อ... นี่เมล็ดพืชที่เจ้าฝากข้าซื้อมา”
กู้เหยียนบอกพร้อมกับส่งถุงผ้าหลายใบให้ซ่งไป๋ลู่
“ขอบคุณพี่กู้หยียน”
“เรื่องเล็กน้อยจะขอบคุณทำไมกัน ว่าแต่เจ้าซื้อเมล็ดพันธุ์มามากมายจะปลูกผักหรือ”
“เจ้าค่ะ ที่ดินหลังบ้านว่างอยู่ข้าเลยคิดว่าจะปลูกผักไว้กินสักหน่อย”
“เช่นนั้นหากอยากให้ข้าไปช่วยขึ้นแปลงก็บอก ข้าจะไปทำให้”
เมื่อกู้เหยียนอาสาเสียงหนักแน่น ซ่งไป๋ลู่จึงทำได้เพียงเอ่ยขอบคุณในน้ำใจของอีกฝ่าย
“ส่งของเสร็จแล้วพวกเราไม่รบกวนท่าน ขอตัวก่อน”
เมื่อเห็นว่าซ่งต้าลู่ขนของลงจากรถลากหมดแล้ว ซ่งไป๋ลู่ก็เอ่ยขอตัวกลับบ้านในทันที
“เย็นมากแล้วข้าจะไปตักน้ำมาให้พวกเจ้าใช้ล้างเนื้อล้างตัว”
เมื่อกลับถึงบ้านซ่งต้าลู่เอ่ยบอกพร้อมกับหยิบถังไม้เดินจากไป ซ่งไป๋ลู่หยิบผักป่าที่เก็บมาวันนี้ออกมาล้าง จัดการทำมือเย็นง่ายๆ
“พี่รองวันนี้มีเนื้อกินหรือไม่”
ซ่งหานลู่ขยับตัวเล็กๆ ของตนเองมาประชิดพี่สาวแล้วเอ่ยถามเสียงคาดหวัง ซ่งไป๋ลู่ใช้ปลายนิ้วหงิกแก้มตอบของน้องชายที่สูงแค่เอวของนางเบาๆ แล้วเอ่ยเสียงดุไม่จริงจังนัก
“ก่อนหน้าพี่ใหญ่ลงครัวเจ้าก็ก่อกวนเขาเช่นนี้ใช่หรือไม่”
“พี่ใหญ่ทั้งเข้มงวด ทั้งดุขนาดนั้น ข้าจะกล้าได้อย่างไร มีเพียงพี่รองที่ใจดีข้าจึงกล้ามาออดอ้อนเช่นนี้”
“น้องเล็ก อย่ากวนพี่รองของเจ้า เร่งไปอาบน้ำล้างตัว”
น้ำเสียงราบเรียบของซ่งต้าลู่ที่ดังขึ้นกะทันหันจากด้านหลัง ทำเอาซ่งหานลู่ตกใจจนไหล่เล็กยกขึ้น หมุนตัวช้าๆ หันไปยิ้มให้พี่ชายคนโต ไม่ใช่ว่าเมื่อครู่พี่ใหญ่ออกไปตักน้ำที่ลำธารหรือเหตุใดกลับมาเร็วนัก เช่นนี้ประโยคเมื่อครู่ของเขาอีกฝ่ายก็ย่อมได้ยินใช่หรือไม่
“พี่ใหญ่เมื่อครู่ท่านไม่ได้ยินสิ่งใดใช่หรือไม่”
“ย่อมไม่ได้ยิน”
ซ่งหานลู่ถอนหายใจยาว ยิ้มกว้าง หากแต่เมื่อได้ยินประโยคต่อมาของพี่ชายใบหน้าก็พลันซีดลงในทันที
“เพียงแต่ข้าเป็นคนที่ค่อนข้างเข้มงวดและดุมาก หากเจ้ายังไม่เชื่อฟังข้าวเย็นมื้อนี้ก็คงต้องงด”
“เชื่อฟัง เชื่อฟัง ข้าเชื่อฟังพี่ใหญ่จะเร่งไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้”
ซ่งไป๋ลู่มองน้องชายคนเล็กที่กลายร่างเป็นม้าเร็ววิ่งออกจากห้องครัวออกไปแล้วหัวเราะขบขัน ขณะที่ซ่งต้าลู่เดินเข้ามารับตะหลิวจากมือเล็ก
“เจ้าเองก็ไปล้างตัวเถิดงานในครัวเดี๋ยวข้าทำต่อเอง”
“แล้วท่านเล่าไม่ไปล้างตัวหรือเจ้าคะ”
“ข้าจัดการตัวเองเรียบร้อย”
เมื่อได้ยินพี่ชายเอ่ยเช่นนี้ซ่งไป๋ลู่ก็ยอมปล่อยมือจากตะหลิว แล้วไปจัดการตนเอง ราวครึ่งชั่วยามต่อมาบนโต๊ะเล็กเก่าๆ กลางบ้านก็มีอาหารสองจาน และข้าวสวยพูนชามอีกสามชาม คนที่ยินดีจนยิ้มกว้างย่อมเป็นซ่งหานลู่ ดวงตากลมมองผักป่าผัดหมูสามชั้นด้วยสายตาเป็นประกาย สองแก้มเคี้ยวข้าวจนใบหน้าตอบกลมขึ้นมา
ซ่งไป๋ลู่มองน้องชายของตนแล้วจินตนาการถึงยามที่ซ่งหานลู่มีเนื้อมีหนังขึ้นมา ย่อมต้องเป็นเด็กชายที่น่ารักมากผู้หนึ่ง ดังนั้นหลังจากที่ข้าวของอีกฝ่ายพร่องไปครึ่งถ้วยนางก็แบ่งข้าวในชามของตนเองให้เขาอีกครึ่งชาม
“ขอบคุณพี่รอง ท่านใจดีที่สุด”
ซ่งหานลู่เอ่ยเสียงยินดี ใช้ตะเกียบพุ้ยข้าวใส่ปากอย่างรวดเร็ว ขณะที่ซ่งต้าลู่ขมวดคิ้วแน่น มองการกระทำของน้องสาวอย่างไม่ยินดีนัก
“น้องรอง เจ้าทำเช่นนี้ตนเองจะอิ่มได้อย่างไร”
เมื่อได้ยินคำของพี่ชาย ตะเกียบของซ่งหานลู่ก็ชะงัก กลืนข้าวในปากลงท้องแล้วส่งชามข้าวของตนให้พี่สาว
“ใช่แล้วๆ พี่รองท่านต้องกินให้มากๆ ท้องอิ่มจะได้มีแรงทำงานหาเงินมาซื้อเนื้อให้พวกเรากินอีก”
ซ่งไป๋ลู่ที่เดิมทีกำลังจะซาบซึ้งกับคำพูดของเจ้าก้อนแป้งตัวกลมพลันชะงักค้าง ก่อนจะขบขันดันชามข้าวคืนคนช่างพูด
“วันนี้เจ้ากินมากหน่อย แล้วพรุ่งนี้ค่อยเก็บผลท้อเพิ่มอีกสักสองตะกร้าชดเชยดีหรือไม่”
“ย่อมได้ ข้าจะเก็บชดเชยให้ท่านสี่ตะกร้าเลย”
ซ่งไป๋ลู่ยิ้มกว้างกับท่าทีของน้องชาย แล้วคีบเนื้อหมูใส่ชามพี่ชายของตน
“ข้าเป็นสตรีกินมากไปหากอ้วนเป็นแม่หมู ภายหน้าคงไม่มีใครกล้ามาสู่ขอไปเป็นภรรยา”
“เป็นเช่นนั้นก็ดี”
ซ่งต้าลู่เอ่ยน้ำเสียงจริงจัง หากแต่ซ่งไป๋ลู่กลับคิดว่าเขาหยอกเย้า คีบหมูใส่ชามข้าวเขาเพิ่มแล้วเอ่ยอีกประโยค
“จะดีได้อย่างไร ยามที่ท่านกับน้องเล็กแต่งภรรยาเข้ามา ข้าจะไปอยู่ที่ใดเล่า”
“ชีวิตนี้ข้าไม่แต่งภรรยา เช่นนี้เจ้าก็ไม่ต้องกังวล”
ซ่งไป๋ลู่ได้ยินคำของเด็กหนุ่มก็ยิ้มกว้างส่ายหน้าไปมา ยามนี้อีกฝ่ายยังไม่รู้จักเรื่องราวความรักระหว่างชายหญิงจะยึดติดกับพี่น้องเช่นนางและซ่งหานลู่ก็ไม่แปลกนัก เพียงแต่เมื่อนึกเรื่องราวในนิยาย ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนไม่กล่าวถึงภรรยาของซ่งต้าลู่ หรือว่าทั้งชีวิตเขาจะไม่แต่งภรรยาจริงๆ
หลังมื้อเย็นซ่งไป๋ลู่ก็เข้าครัวอีกครั้งไม่นานนักก็ยกกระบอกไม้ไผ่ที่ถูกขัดจนเกลี้ยงเกลาเข้ามาสามใบ
“พี่รองนั่นอะไรหรือขอรับ”
“นมแพะอุ่นอย่างไรเล่า”
“สิ่งนี้เป็นของมีราคามากไม่ใช่หรือขอรับพี่รอง พวกเรากินบ่อยๆ จะดีหรือ”
นับจากที่พี่สาวเขาเริ่มขายผลท้อ นอกจากอาหารจานเนื้อและข้าวสวยพูนจานแล้ว สิ่งที่นางมักนำมาให้เขากับพี่ใหญ่กินเป็นประจำก็คือนมแพะ ทว่าของเหล่านี้ล้วนมีราคา หากกินบ่อยๆ ย่อมไม่สมควร
“ของดีย่อมต้องมีราคา”
ซ่งไป๋ลู่เอ่ยตอบพร้อมกับหยิบนมแพะส่งให้เจ้าก้อนแป้งตัวน้อย ซ่งต้าลู่ขมวดคิ้วหนาเมื่อเขาก็ได้รับนมแพะจากน้องสาวด้วยเช่นกัน
“น้องรอง ข้าไม่จำเป็นต้องดื่มนมแล้ว”
ตอนนี้เขาอายุสิบสี่ ชุนเกาอี้ลูกชายของนายช่างชุนอายุสิบห้าก็แต่งภรรยาแล้ว ยังจะให้ดื่มนมราวเด็กน้อยเช่นน้องเล็กของเขาได้อย่างไร
“ข้าอยากได้พี่ชายที่แข็งแรง พี่ใหญ่ท่านดื่มเถิดสิ่งนี้ข้าใช้ความยากลำบากไม่น้อยจึงแลกมาได้ หากทิ้งไปย่อมน่าเสียดายนะเจ้าคะ”
ซ่งต้าลู่เดิมทีไม่คิดจะรับนมแพะมาดื่ม ทว่าเมื่อได้ฟังคำของน้องสาวก็ไม่อาจต่อต้าน ยื่นมือไปรับมาดื่มอย่างว่าง่าย
ความหวังดีของน้องรองเขาจะปฏิเสธได้อย่างไร
......................................................
บทที่ 2.3ค้าขายย่อมมีกำไรในทุกวันซ่งหานลู่ยังคงต้องไปช่วยงานป้าใหญ่ซ่งหลี่เถียน ส่วนซ่งไป๋ลู่และซ่งหานลู่จะขึ้นเขาเพื่อไปเก็บผลท้อและบ๊วยที่เริ่มสุก เพียงหนึ่งเดือนเศษเงินที่ซ่งไป๋ลู่ซ่อนไว้ก็เต็มถุง มือเล็กนับเงินที่เก็บสะสมมาตลอดเดือนแล้วยิ้มกว้าง ดูเหมือนจำนวนเงินจะเพียงพอต่อการต่อเติมสร้างห้องครัวแล้ว“พี่ใหญ่ข้าอยากได้ห้องครัวใหม่”เสียงหวานเอ่ยบอกหลังจากส่งนมแพะให้ซ่งต้าลู่“ทำห้องครัวต้องใช้เงิน น้องรองเรื่องนี้ข้าคิดว่าพวกเราคงต้องอดทนอีกสักหน่อย รอท่านพ่อกลับมาค่อยคิดกันอีกที”รอท่านพ่อกลับมา หากคิดตามเส้นเรื่องในนิยายนับดูแล้วก็ร่วมสี่ห้าปี นางจะรอนานขนาดนั้นได้อย่างไร ซ่งไป๋ลู่ขยับตัววางมือลงบนต้นแขนของพี่ชาย ใช้ดวงตากลมใสช้อนมองเขาแล้วเอ่ยเสียงหวานออดอ้อน ในฐานะพี่ชายที่มีน้องสาวเพียงคนเดียววิธีนี้นางมั่นใจว่าสามารถทำให้ซ่งต้าลู่ใจอ่อนได้อย่างแน่นอน“พี่ใหญ่เรื่องเงินค่าจ้างท่านไม่ต้องกังวล ข้ากับน้องรองช่วยกันเก็บผลไม้ป่าไปขายตอนนี้เงินที่ได้มามีไม่น้อยแล้ว”คิ้วเข้มของซ่งต้าลู่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ทว่าเมื่อสบแววตากลมใสออดอ้อนก็เอ่ยคำดุออกมาไม่ได้แม้แต่ครึ่งคำ ทำได้เพี
บทที่ 3.1หลุดพ้นจากคนชั่ว“พี่ใหญ่วันนี้ข้าจะเข้าไปขายของกับพี่กู้เหยียนฝากท่านดูแลน้องเล็กด้วยนะเจ้าคะ”ซ่งต้าลู่ที่กำลังตักโจ๊กข้าวพลันขมวดคิ้วหนา ตั้งแต่ได้ยินว่านชุนเอ่ยว่าอยากได้ซ่งไป๋ลู่เป็นสะใภ้ ในใจเขาก็รู้สึกกังวลเรื่องความใกล้ชิดของน้องสาวกับสหายแซ่กู้ผู้นี้ขึ้นมาซ่งไป๋ลู่เห็นท่าทางนิ่งเงียบของพี่ชายก็หวาดหวั่นว่าเขาอาจจะไม่อนุญาต ดังนั้นนางจึงยื่นมือเล็กออกไปจับที่ชายเสื้อของเขา ช้อนตาขึ้นมองอย่างเว้าวอน“พี่ใหญ่ข้ามีความจำเป็นต้องไปจัดการเรื่องบางอย่างจริงๆ นะเจ้าคะ”เมื่อถูกน้องสาวใช้ท่าทางเช่นนี้ออดอ้อน คนตัวโตก็ถอนหายใจยาว แม้ไม่ยินดีก็ไม่อาจเอ่ยปากหักห้าม“พี่ใหญ่ท่านใจอ่อนกับพี่รองอีกแล้ว”ซ่งหานลู่เอ่ยเย้าพี่ชาย จนเรียกสายตาดุจากเขามาได้หนึ่งวง พร้อมกับตะเกียบในมือหนาที่คีบลงบนเนื้อหมูทอดชิ้นสุดท้ายในจาน“อะ! พี่ใหญ่เนื้อของข้า”ซ่งหานลู่ร้องลั่นเมื่อเนื้อหมูที่เขาเล็งไว้ถูกตะเกียบของพี่ใหญ่จับเอาไว้“พี่ใหญ่ น้องเล็กคนนี้ผิดไปแล้ว”ซ่งหานลู่เอ่ยเสียงอ่อนมองเนื้อหมูในตะเกียบของพี่ชายอย่างอ้อนวอนระคนสำนึกผิด แน่นอนว่าเดิมทีซ่งต้าลู่ก็ไม่ได้คิดแย่งของกินกับน้องชาย
บทที่ 3.2 หลุดพ้นจากคนชั่ววันต่อมาซ่งไป๋ลู่ยังคงพาซ่งหานลู่ขึ้นเขาไปเก็บผลไม้ป่าตามปกติ รอจนตะวันใกล้ตกดินซ่งต้าลู่จึงมารับของไปส่งที่บ้านตระกูลกู้เช่นเดิม“อาไป๋เจ้ามาพอดี ข้ากำลังจะเอาของพวกนี้ไปส่งที่บ้านเจ้า”ซ่งไป๋ลู่มองเครื่องครัวที่แสนธรรมดา ทว่ายังคงใช้งานได้ดีแล้วยิ้มกว้างเอ่ยขอบคุณอีกฝ่าย“เรื่องเล็กน้อยเหตุใดต้องขอบคุณด้วยเล่า”ซ่งต้าลู่ขนผลไม้ลงจากรถลาก โดยที่สายตายังคงจดจ้องไปยังสหายที่ยืนสนทนากับน้องสาวของเขาอย่างสนิทสนม“อ้อ... ส่วนนี่เป็นของที่เจ้าฝากให้ข้าไปซื้อมา”กู้เหยียนส่งถุงหนังสัตว์ให้ซ่งไป๋ลู่ ริมฝีปากเล็กยิ้มกว้างรับของมาด้วยความยินดี ท่าทางสนิทสนมของคนทั้งสองทำให้คนเป็นพี่ใหญ่หงุดหงิดใจเป็นทบทวี จนอดเอ่ยถามไม่ได้“น้องรอง เจ้าฝากอาเหยียนซื้ออะไรมาหรือ”“นมแพะและเนื้อหมูเจ้าค่ะ”ซ่งไป๋ลู่เอ่ยตอบพี่ชายของตน หากแต่ความสนใจกลับยังคงอยู่ที่พี่ชายต่างแซ่ ซ่งต้าลู่เม้มริมฝีปาก ตวัดหางตามองสหายด้วยความขุ่นเคือง โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว“ลำบากพี่กู้เหยียนแล้ว พรุ่งนี้ยังต้องรบกวนท่านอีก”“ลำบากอะไรกัน เรื่องของเจ้าก็เหมือนเรื่องของข้า”เพราะยุคนี้ไม่มีตู้เย็นซ่งไป๋ลู
บทที่ 3.3 หลุดพ้นจากคนชั่วซ่งหลี่เถียนวันนี้ข้าจะทวงคืนความยากลำบากทั้งหมด“ท่านป้าใหญ่ ของพวกนั้นพวกข้าล้วนใช้เงินของตัวเองซื้อมาทั้งสิ้น จะเป็นของท่านได้อย่างไร”“นางตัวดี เจ้ากล้าซุกซ่อนเงินหรือเอามาให้ข้าเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่ให้ เงินที่ท่านพ่อส่งมาท่านก็ยึดไปจนหมดตอนนี้ยังจะมาเอาเงินของพวกเราอีก ท่านไม่ละอายใจบ้างหรือ”“เงินของพ่อเจ้าอะไรกัน พ่อเจ้าไม่เคยส่งเงินมาให้สักหน่อย”“เช่นนั้นพี่ใหญ่ทำงานทุกวันเงินค่าแรงก็สมควรได้รับ เหตุใดจึงเป็นท่านที่ยึดไปหมด”“สารเลว ล้วนสารเลวกันทั้งสิ้น สมแล้วที่เป็นเด็กเหลือขอไร้บิดามารดาอบรม ซ่งไป๋ลู่! นางตัวดีเจ้ากล้าถามเอาเงินจากข้าหรือ พี่เจ้าทำงานทดแทนบุญคุณให้ข้าจะมาถามเอาเงินอะไรกัน”ซ่งไป๋ลู่ได้ยินคำพูดของสตรีตรงหน้าในใจก็นึกเย้ยหยัน หากแต่บนใบหน้ากลับอาบไปด้วยน้ำตาโผเข้าไปโอบกอดพี่ชายเอาไว้“ท่านป้าพวกเราเป็นหลานของท่าน ไม่ใช่ทาสนะเจ้าคะจะได้ทำงานให้ท่านโดยไม่ได้แม้แต่ข้าวเป็นการตอบแทนเช่นนี้ได้อย่างไร”“หลานอะไร พวกเจ้าล้วนเป็นตัวภาระทั้งสิ้น ส่งเงินมาให้ข้า”เอ่ยจบซ่งหลี่เถียนที่ตีคนจนเจ็บมือก็หันไปหยิบไม้กวาดขึ้นหมายฟาดลงบนตัวซ่งไป๋ลู่ท
บทที่ 3.4 หลุดพ้นจากคนชั่วหลังจากที่ซ่งหลี่เถียนถูกตัดออกจากการเป็นผู้ดูแลสามพี่น้องตระกูลซ่ง ซ่งต้าลู่ก็ไม่ต้องออกไปทำงานหนักเช่นทุกวันอีก และเพราะอีกฝ่ายเอาที่ดินสิบหมู่ แม่หมูหกตัว แม่ไก่สิบตัวมาชดเชยเงินที่ยึดไปถึงสองปี ตอนนี้ซ่งต้าลู่จึงต้องเร่งทำเล้าหมู และเล้าไก่ อีกทั้งยังต้องวางแผนเร่งปลูกพืชผลให้ทันทั้งสิบหมู่ภายในเดือนนี้ แน่นอนว่าที่ดินมากมายถึงเพียงนั้นเขาที่เป็นเพียงเด็กหนุ่มวัยสิบสี่ปีจะทำคนเดียวไหวได้อย่างไร“ข้าได้ยินว่าท่านลุงกู้ฉิน กับพี่กู้เหยียนไม่มีที่ดิน ทุกวันเลยต้องขับเกวียนรับฝากของเข้าเมือง หากเราแบ่งที่ดินให้เขาสามหมู่แลกกับข้อตกลงให้เขาช่วยเราปลูกข้าวเจ็ดหมู่ พี่ใหญ่ท่านเห็นเป็นอย่างไรเจ้าคะ”ในเมื่อเขาทำคนเดียวก็ไม่หมด แบ่งให้กู้เหยียนช่วยทำย่อมดีกว่าปล่อยทิ้งร้าง อีกทั้งยังได้แรงงานของพวกเขาทั้งครอบครัวมาช่วยนี่นับว่าเป็นความคิดที่ดี“เช่นนั้นข้าจะลองไปคุยกับท่านลุงกู้ดู”“สมแล้วที่เป็นพี่รองของข้า”ซ่งไป๋ลู่ส่ายหน้าไปมากับคำเยินยอของน้องชายตัวน้อย มือเล็กปอกเปลือกลูกพลับแล้วร้อยเป็นพวง เอาไปแขวนตากแดด ส่วนที่ยังไม่สุกดีก็เอาดองใส่ไหเอาไว้“พี่ใหญ่ไม้ไ
บทที่ 3.5 หลุดพ้นจากคนชั่วหลังจากกินมื้อเช้าร่วมกัน สามพี่น้องตระกูลซ่งก็แยกย้ายกันออกจากบ้าน วันนี้ซ่งไป๋ลู่ยังคงให้ซ่งหานลู่เก็บผลท้อและนางเก็บผลบ๊วยเช่นเดิม ทว่ายามที่ซ่งต้าลู่มาขนของไปไว้ที่ตระกูลกู้ ซ่งไป๋ลู่ก็แยกผลท้อและบ๊วยออกมาอีกอย่างละหนึ่งตะกร้ากลับมาที่บ้านด้วย“พี่รองท่านเอาผลท้อกับบ๊วยกลับมาทำไมตั้งมากมาย”ซ่งหานลู่เอ่ยอย่างเสียดาย ผลไม้สองตะกร้านี้หากเอาไปขายย่อมซื้อเนื้อหมูกลับมาเพิ่มได้อีกสองจินแน่ๆ ซ่งไป๋ลู่มองสายตาของน้องชายแล้วยิ้มกว้างเอ่ยเสียงสดใส“ผลท้อกับบ๊วยบนเขาเหลือไม่มากแล้ว หากไม่แบ่งมาตอนนี้ยามฤดูหนาวมาถึงคงไม่มีบ๊วยดอง ท้อแห้งให้เจ้ากิน”ซ่งต้าลู่ที่เดิมทีก็สงสัยไม่ต่างจากน้องชายเมื่อได้ยินน้องสาวอธิบายมุมปากก็ยกยิ้มขึ้นมองแผ่นหลังเล็กที่เดินอยู่เบื้องหน้าด้วยความภาคภูมิใจเมื่อกลับถึงบ้านซ่งต้าลู่จึงเป็นคนเข้าครัว และให้ซ่งไป๋ลู่จัดการกับผลท้อและผลบ๊วยที่เก็บมาเหล่านั้น“พี่รองท่านทำบ๊วยดองเป็นด้วยหรือ”ซ่งไป๋ลู่ถึงกับยิ้มแห้งเมื่อได้ยินคำของเด็กชายตัวน้อย แน่นอนว่าหากเป็นซ่งไป๋ลู่คนเดิมคงทำเรื่องเหล่านี้ไม่ได้ แต่นางคือซ่งไป๋ลู่นักรีวิวนิยายที่ติดท็อป
บทที่ 4.1วาสนาดีไม่สู้ชีวิตดีซ่งไป๋ลู่มองตะกร้าผลท้อและผลบ๊วยตะกร้าสุดท้ายแล้วถอนหายใจยาว สามเดือนแล้วที่นางเข้ามาอยู่ในนิยายเรื่องนี้ แม้ไม่มีวาสนาได้ทะลุมิติเข้ามาเป็นบุตรีขุนนางใหญ่ หรือเชื้อพระวงศ์เช่นที่นักเขียนนิยมกัน แต่ชีวิตเช่นนี้ของนางก็ไม่นับว่ายากลำบากอะไร คิดดูแล้วหากนางต้องเข้ามาตบตีแย่งชิงความรักจากบุรุษ หรือต้องขบคิดประลองไหวพริบปะทะวาจา นางกลับรู้สึกว่าชีวิตเช่นนี้สบายมากกว่า เรียกว่าวาสนาดีไม่สู้มีชีวิตที่ดี“พี่รองลูกท้อกับลูกบ๊วยบนเขาไม่มีให้เก็บแล้ว ข้าจะยังมีเนื้อกินหรือไม่”ซ่งหานลู่ที่ยามนี้หายใจเข้าออกเป็นเนื้อหมูเอ่ยเสียงเศร้า ซ่งไป๋ลู่ถอนหายใจยาวเอ่ยเสียงจริงจัง“หากเจ้าอยากมีเนื้อกินทุกวัน ต่อไปก็ต้องช่วยข้าทำสวนเข้าใจหรือไม่”“ล้วนเชื่อฟังพี่รอง”เชื่อฟังพี่รองอะไรกัน ทั้งหมดล้วนเพื่อกระเพาะน้อยๆ ของเขาต่างหาก ซ่งไป๋ลู่มองเด็กชายวัยห้าขวบที่ตอนนี้มีเนื้อมีหนังขึ้นมาก แก้มแห้งตอบกลมยุ้ย ผิวพรรณกระจ่างสดใส เพียงมองเห็นก็รับรู้ได้ถึงสุขภาพที่ดีหลังจากที่รู้ว่าต่อไปซ่งไป๋ลู่จะไม่มีผลไม้มาฝากขายอีกแล้วกู้เหยียนก็มีสีหน้าสลดลง เพราะสามเดือนที่ผ่านมานี้นอกจาก
บทที่ 4.2 วาสนาดีไม่สู้ชีวิตดีเช้าวันต่อมาซ่งต้าลู่ก็ตื่นแต่ฟ้าสางหยิบจอบเดินไปยังลานหลังบ้านขึ้นแปลงผักอย่างขะมักเขม้น ซ่งไป๋ลู่จึงเข้าครัวทำอาหารเช้าง่ายๆ อย่างโจ๊กหมูและไข่ต้มไว้รอสองพี่น้อง ยามที่ตะวันเริ่มเคลื่อนตัวขึ้นไอเย็นของหยาดน้ำค้างระเหยไปจนหมด นางก็ยกผลท้อที่ฝานเป็นชิ้นออกไปตากแห้ง สัมผัสดูความชื้นแล้วตากแดดวันนี้อีกแค่วันเดียวก็สามารถเก็บลงโถเอาไปรวมกับของวันก่อนๆ ได้แล้ว“พี่ใหญ่ท่านหยุดมือแล้วมากินข้าวก่อนเถิด”ซ่งไป๋ลู่เดินไปเรียกเด็กหนุ่มที่ยามนี้มีกล้ามเนื้อมากขึ้นสมกับเป็นบุรุษแล้ว ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะฝีมือการบำรุงร่างกายเขาของนาง ซ่งต้าลู่ถูกแววตากลมใสจ้องมองร่างกายที่เปลือยท่อนบนสองแก้มก็ร้อนผ่าวรีบล้างตัวหยิบเสื้อตัวนอกมาสวมอย่างรวดเร็วรู้จักอายเสียด้วย เขาลืมไปหรือไม่ว่ายามนี้นางคือน้องสาววัยสิบขวบของเขา ไม่ใช่หญิงสาววัยปักปิ่นที่ไหน“ข้าขึ้นร่องแปลงผักให้เจ้าเรียบร้อยแล้ว”“ขอบคุณท่านมาก หลังกินข้าวเช้าเสร็จข้าจะลงมือปลูกข้าวโพด”ข้าวโพดเป็นพืชที่ปลูกง่ายและดูแลไม่ยาก อีกทั้งยังเก็บเอาไว้ได้นาน หรือจะนำมาแปรรูปเป็นแป้งเก็บไว้ทำอาหารก็ได้หลากหลาย ดังนั้นซ
บทที่ 5.5 ทางรอดซ่งไป๋ลู่มองถุงเงินในมือแล้วยิ้มกว้าง ดวงตากลมเปล่งประกาย ครั้งนี้ไม่เพียงทำการค้าสำเร็จ นางยังสามารถเช่าพื้นที่เล็กๆ บนถนนอวิ๋นให้ว่านชุนได้อีกด้วย“อาไป๋ เมื่อครู่เจ้าบอกว่าอะไรนะ”“ข้าถามท่านป้าว่าท่านทำซาลาเปาเป็นหรือไม่เจ้าคะ”“ก็แค่ซาลาเปาข้าจะทำไม่เป็นได้อย่างไร ประโยคต่อมาของเจ้าต่างหากเจ้าว่าอย่างไรนะ”“อ๋อ... ข้าเพียงบอกว่าหาที่ตั้งร้านให้ท่านได้แล้วอยู่ที่...”“ที่ตั้งร้านหรือ!”ว่านชุนเบิกตากว้าง แม้นางจะเคยกล่าวว่าต้องการดูแลใส่ใจคนในบ้านแต่ส่วนลึกในใจยังคงปรารถนาการค้าเช่นอดีต ทว่านางแต่งงานแล้วเรื่องนี้อย่างไรก็ไม่อาจตัดสินใจได้ด้วยตนเอง“เพียงแต่อาจทำการค้าได้เพียงขายซาลาเปาเท่านั้น”“แค่ซาลาเปาก็พอแล้ว ชุนเอ๋อร์เจ้าจะได้ไม่เหนื่อยเกินไป”กู้ฉินที่เพิ่งนำวัวไปเข้าคอกเอ่ยบอก ว่านชุนพลันเบิกตากว้างเอ่ยถามเขาเสียงสั่น“ท่านพี่ ท่านหมายความว่าอย่างไร”ผู้เป็นสามีเดินเข้ามากุมมือของภรรยา สายตาคมกล้าจดจ้องดวงตาเรียวคลอหยาดน้ำตาของนาง“ชุนเอ๋อร์เป็นข้าที่ไม่ดี ทั้งที่เจ้าเสียสละความปรารถนาของตนเอง ยอมมาเป็นสตรีบ้านนอกใช้ชีวิตอย่างยากลำบากอยู่กับข้า แต่ข้ากลั
บทที่ 5.4 ทางรอดเช้าวันต่อมากู้ฉินต้องเข้าไปส่งของในเมือง อีกทั้งถั่วเหลืองแค่หมู่เดียวอาศัยแรงของซ่งต้าลู่และกู้เหยียนแค่สองคนก็เพียงพอดังนั้นสองสหายจึงลงงานตั้งแต่ฟ้าสาง และเพราะว่านชุนต้องตามกู้ฉินเข้าเมืองไปแทนกู้เหยียนดังนั้นมื้อเที่ยงจึงเป็นซ่งไป๋ลู่ที่ต้องลงครัวจัดการ“อาไป๋ เจ้าทำอาหารได้รสชาติดีไม่น้อย เช่นนี้ภายหน้าข้าก็ไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้องแล้ว”คำพูดนี้ของกู้เหยียนทำให้สหายสนิทที่นั่งข้างๆ ตวัดสายตามองอย่างไม่พอใจ แน่นอนว่าคนที่เห็นสายตาพิฆาตนี้มีเพียงซ่งไป๋ลู่เท่านั้น“เอ่อ... พี่กู้เหยียน พรุ่งนี้ท่านลุงกู้จะเข้าเมืองอีกหรือไม่”“ท่านป้าชุนจะเอาข้าวไปขายในเมือง ท่านพ่อเห็นว่าเจ้าไม่ได้ขึ้นเขาไปเก็บลูกพลับจึงได้รับปากป้าชุนไปแล้ว แต่หากเจ้าจะเอาของไปขายข้าจะไปบอกท่านพ่อให้ไปแจ้งแก่ป้าชุน”“ข้าไม่ได้จะฝากของไปขาย เพียงอยากขอติดเกวียนไปด้วยเจ้าค่ะ”“น้องรอง เจ้าจะเข้าเมืองไปทำไม”ซ่งต้าลู่ลืมความขุ่นเคืองสหายหันมาสนใจน้องสาวของตนเองในทันทีที่ได้ยินว่านางจะเข้าเมือง“ข้าเพียงอยากลองเอากุหลาบแห้งไปขายเจ้าค่ะ”เพราะซ่งต้าลู่ปลูกกุหลาบและหอมหมื่นลี้ไว้ที่ริมรั้วเป็นจำนวนมาก
บทที่ 5.3 ทางรอดหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวโพดที่สวนหลังบ้านเสร็จ วันต่อมาซ่งต้าลู่ก็ออกจากบ้านไปช่วยงานที่บ้านตระกูลฉี ซ่งไป๋ลู่มองข้าวโพดแห้งกองโตแล้วก็หยิบมีดขนาดพอเหมาะกับมือเล็กแบกตะกร้าสานขึ้นบ่า“พี่รองท่านจะขึ้นเขาไปเก็บลูกพลับหรือขอรับ”“วันนี้ข้าจะไปตัดไม้ไผ่มาทำราวตากข้าวโพดก่อน”“เช่นนั้นข้าไปช่วยท่าน”ซ่งหานลู่เอ่ยอย่างแข็งขัน ท่าทางเช่นนี้ของเขาเรียกรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าคนเป็นพี่ในทันที“แต่เย็นนี้ท่านทำหมูตุ๋นน้ำแดงให้ข้ากินสักชามได้หรือไม่”รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งไป๋ลู่พลันหุบลง ถอนหายใจส่ายหน้า เจ้าเด็กน้อยผู้นี้หายใจเข้าออกก็เป็นเนื้อหมูไปเสียแล้ว“เจ้าคนตะกละ”“ข้าไม่ได้ตะกละ ข้าเป็นเพียงเด็กกำลังโตจึงจำเป็นต้องบำรุงให้มาก ภายหน้าสุขภาพจะได้แข็งแรง”ซ่งไป๋ลู่ได้ยินคำพูดของคนตัวเล็กก็ยกมือขึ้นบีบจมูกของเขาเบาๆ ไม่คิดว่าน้องเล็กของนางรู้จักเอาคำพูดนางมาล้อเลียนแล้วห้าเดือนมานี้ซ่งไป๋ลู่ขึ้นเขาบ่อยครั้ง และทุกครั้งก็จะขยับเข้ามาลึกขึ้นทีละนิด แน่นอนว่าทุกอย่างต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของนางและซ่งหานลู่เสมอ“พี่รองลูกพลับต้นนี้สุกแล้ว เราเก็บลงไปด้วยดีหรือไม่ขอรับ”ซ่งไป๋ลู่แหงน
บทที่ 5.2 ทางรอดวันถัดมาซ่งไป๋ลู่ตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อหุงข้าวหม้อใหญ่ ทว่าข้าวยังไม่ทันสุก คนจากบ้านตระกูลกู้ก็มาถึงแล้ว“อาไป๋!”กู้เหยียนที่เดินเข้ามาในครัวเอ่ยทักทายพร้อมกับวางตะกร้าผักกาดและไข่ไก่ลง“ได้ยินว่าเจ้าจะลงครัวทำอาหารเลี้ยงพวกเราข้าจึงเอาผักแล้วก็ไข่ไก่มาด้วย”ใบหน้าของเด็กหนุ่มมีรอยยิ้มกว้างก่อนจะเดินไปหยิบพัดมาช่วยพัดเตาเล็กที่ซ่งไป๋ลู่กำลังจุด เมื่อเห็นว่ามีคนมาช่วยซ่งไป๋ลู่ก็ยิ้มกว้างหันไปหยิบมีดมาหั่นผัก“อาไป๋ ส่งมีดมาให้ข้าจัดการเอง อาเหยียนพ่อของเจ้ากับอาต้าเข้าไปเก็บข้าวโพดกันแล้ว รีบตามไปช่วยงานเร็ว อย่าได้คิดกินแรงผู้อื่นเชียว”“ขอรับ อาไป๋ข้ารอกินอาหารฝีมือเจ้านะ”คนพัดเตาหันมาบอกเด็กหญิง ก่อนจะรีบออกไปจากห้องครัว ว่านชุนมองบุตรชายแล้วยิ้มขบขัน ซ่งไป๋ลู่ยังไม่ทันปักปิ่นลูกชายตัวดีก็รู้จักทำคะแนนแล้ว ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่รู้จักมองอนาคตจริงๆซ่งไป๋ลู่มองดูว่านชุนจัดการหั่นผักอย่างชำนาญแล้วเบิกตากว้าง แม้ว่าสตรีในยุคนี้เข้าครัวตั้งแต่ยังเด็ก แต่ท่าทางเชี่ยวชาญเช่นนี้ย่อมไม่ใช่สตรีในเรือนทั่วไปจะมี พริบตาทั้งผักที่ซ่งไป๋ลู่เตรียมไว้ และวัตถุดิบในตะกร้าที่ว่านชุ
บทที่ 5.1ทางรอดเมื่อเข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตผู้คนในหมู่บ้านอันฉีก็วุ่นวายกันมากขึ้น ซ่งต้าลู่ต้องออกจากบ้านไปทำงานหนักทุกวัน แน่นอนว่าเขาไม่ยินดีให้ซ่งไป๋ลู่ออกไปพบเจอความยากลำบากเหล่านั้น ในทุกวันซ่งไป๋ลู่จึงทำเพียงตื่นเช้าเข้าครัวทำอาหาร หลังจากนั้นก็จัดการปล่อยน้ำเข้าสวนหลังบ้าน ก่อนจะขึ้นเขาเก็บผลพลับ ที่เพิ่มเติมก็คือก่อนจะออกจากบ้านนางมักจะเก็บดอกกุหลาบและดอกหอมหมื่นลี้ที่ริมรั้วมาตากแห้งทิ้งไว้“พี่รองท่านจะเอาดอกไม้พวกนี้ไปทำอะไรหรือขอรับ”“เอาไว้ทำของดีให้เจ้ากินอย่างไรเล่า”ซ่งหานลู่ขมวดคิ้วเล็ก ดอกไม้เหล่านี้จะเอามาทำของกินได้อย่างไร ทว่าเมื่อพี่รองบอกว่าได้ย่อมต้องได้สามวันต่อมาหลังมื้อค่ำบนโต๊ะก็มีชาเหมยกุ้ยฮวาเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งกา“พี่รองนี่คือดอกกุหลาบที่ท่านเก็บวันนั้นหรือขอรับ”“ใช่แล้วเจ้าลองชิมดู”เอ่ยจบซ่งไป๋ลู่ก็รินชาร้อนใส่ถ้วยชาหินที่ดูไม่มีราคา ทว่าแท้จริงกลับมีราคาเท่ากับข้าวสารถึงสามสิบจิน“เป็นอย่างไรรสชาติดีหรือไม่”“ดีขอรับ ดีมากๆ นับเป็นของดีเช่นที่ท่านบอกจริงๆ”เสียงเล็กเอ่ยชมคนเป็นพี่พร้อมยิ้มกว้างจนดวงตาหยี ส่งถ้วยชาใบเล็กยื่นมาขอเพิ่มอีกถ้วย แน่
บทที่ 4.4 วาสนาดีไม่สู้ชีวิตดี“พี่ใหญ่ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากปรึกษาท่าน”ซ่งไป๋ลู่เอ่ยขึ้นหลังจากที่กินมื้อค่ำเสร็จ ซ่งต้าลู่ไม่ได้ขานรับ ทว่าท่าทีสบตานิ่งพร้อมรับฟังของเขาก็ทำให้ซ่งไป๋ลู่มั่นใจที่จะเอ่ยบอกความคิดของตนเอง“ตอนนี้ฝนเริ่มไม่ค่อยตกแล้ว ที่ดินที่ท่านป้าใหญ่ยกให้เราติดกับแม่น้ำ อีกทั้งมีทางน้ำสำหรับเข้านา หากข้าลอกร่องทำทางน้ำต่อมาที่บ้านเราจะได้ไหมเจ้าคะ ท่านจะได้ไม่ต้องลำบากไปตักน้ำที่ลำธารมาให้พวกเราใช้”ที่สำคัญนางกับน้องชายตัวน้อยจะได้ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับการหาบน้ำมารดพืชผลเหล่านั้นด้วย“หากเจ้าจะลอกร่องทำทางน้ำเพื่อใช้รดน้ำพืชผักนั้นย่อมได้ ทว่าน้ำที่ไหลผ่านทางลอก นำมาใช้ในบ้านไม่ได้”ซ่งต้าลู่เอ่ยตอบน้องสาว นางยังเด็กอาจไม่เข้าใจว่าการนำน้ำมาใช้ในบ้านนั้น ต้องตักน้ำจากต้นน้ำ อีกทั้งยังต้องตักอย่างระวัง ไม่เช่นนั้นจะได้น้ำที่ขุ่นและสกปรกไม่สามารถนำมาใช้ได้เรื่องความสะอาดของน้ำที่ใช้ซ่งไป๋ลู่ย่อมรู้ดี แต่การไปตักน้ำที่อยู่ห่างจากบ้านถึงสี่ลี้ก็นับว่ายากลำบากไม่น้อย ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยท่าทางดีใจ“แล้วถ้าเรามีถังกรองน้ำเล่าเจ้าคะ”สำหรับซ่งไ
บทที่ 4.3 วาสนาดีไม่สู้ชีวิตดียามที่ซ่งต้าลู่กลับมาถึงบ้านก็พบว่าอาหารมื้อค่ำถูกจัดวางบนโต๊ะ ส่วนน้องทั้งสองคนหมดแรงนอนหลับอยู่บนเตียงเสียแล้ว“น้องรอง น้องเล็ก ลุกขึ้นมากินข้าวก่อนค่อยนอนต่อ”เสียงเอ่ยเรียกอย่างอ่อนโยนของซ่งต้าลู่ดังขึ้น คนที่หมดแรงหลับไปจึงลุกขึ้นมากินข้าวด้วยอาการกินไปหลับไปอย่างแท้จริง หลังกลืนข้าวคำสุดท้ายลงท้องก็หมุนตัวทิ้งกายลงนอนหลับต่อในทันทีซ่งต้าลู่มองน้องทั้งสองด้วยรอยยิ้มระคนรู้สึกผิด เป็นเพราะเขาทำหน้าที่พี่ชายได้ไม่ดี น้องทั้งสองจึงต้องยากลำบากเช่นนี้ ดังนั้นนอกจากจัดการเก็บถ้วยชาม และตักน้ำใส่ถังไม้ในบ้านจนเต็มทุกใบแล้ว ในยามฟ้าสางซ่งต้าลู่ยังเร่งตื่นก่อนผู้อื่น แบกถังไม้ไปตักน้ำมารดข้าวโพดที่น้องทั้งสองของเขาช่วยกันลงแรงปลูก รวมถึงหยิบจอบมาขึ้นแปลงเพิ่มไว้ให้พวกเขาอีกสองหมู่เมื่อซ่งไป๋ลู่ตื่นขึ้นมาก็พบว่าทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว ริมฝีปากเล็กก็ยิ้มกว้างเอ่ยขอบคุณซ่งต้าลู่จากใจจริง“พี่ใหญ่มากินข้าวเถิดเจ้าค่ะ”หลังจากกินมื้อเช้าเสร็จ ซ่งต้าลู่ยังคงออกจากบ้านไปทำงานเช่นเดิม ซ่งไป๋ลู่หยิบถุงเมล็ดพันธุ์ถั่วเหลืองมาคัดแยกแล้วพาน้องชายตัวน้อยลงแรงป
บทที่ 4.2 วาสนาดีไม่สู้ชีวิตดีเช้าวันต่อมาซ่งต้าลู่ก็ตื่นแต่ฟ้าสางหยิบจอบเดินไปยังลานหลังบ้านขึ้นแปลงผักอย่างขะมักเขม้น ซ่งไป๋ลู่จึงเข้าครัวทำอาหารเช้าง่ายๆ อย่างโจ๊กหมูและไข่ต้มไว้รอสองพี่น้อง ยามที่ตะวันเริ่มเคลื่อนตัวขึ้นไอเย็นของหยาดน้ำค้างระเหยไปจนหมด นางก็ยกผลท้อที่ฝานเป็นชิ้นออกไปตากแห้ง สัมผัสดูความชื้นแล้วตากแดดวันนี้อีกแค่วันเดียวก็สามารถเก็บลงโถเอาไปรวมกับของวันก่อนๆ ได้แล้ว“พี่ใหญ่ท่านหยุดมือแล้วมากินข้าวก่อนเถิด”ซ่งไป๋ลู่เดินไปเรียกเด็กหนุ่มที่ยามนี้มีกล้ามเนื้อมากขึ้นสมกับเป็นบุรุษแล้ว ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะฝีมือการบำรุงร่างกายเขาของนาง ซ่งต้าลู่ถูกแววตากลมใสจ้องมองร่างกายที่เปลือยท่อนบนสองแก้มก็ร้อนผ่าวรีบล้างตัวหยิบเสื้อตัวนอกมาสวมอย่างรวดเร็วรู้จักอายเสียด้วย เขาลืมไปหรือไม่ว่ายามนี้นางคือน้องสาววัยสิบขวบของเขา ไม่ใช่หญิงสาววัยปักปิ่นที่ไหน“ข้าขึ้นร่องแปลงผักให้เจ้าเรียบร้อยแล้ว”“ขอบคุณท่านมาก หลังกินข้าวเช้าเสร็จข้าจะลงมือปลูกข้าวโพด”ข้าวโพดเป็นพืชที่ปลูกง่ายและดูแลไม่ยาก อีกทั้งยังเก็บเอาไว้ได้นาน หรือจะนำมาแปรรูปเป็นแป้งเก็บไว้ทำอาหารก็ได้หลากหลาย ดังนั้นซ
บทที่ 4.1วาสนาดีไม่สู้ชีวิตดีซ่งไป๋ลู่มองตะกร้าผลท้อและผลบ๊วยตะกร้าสุดท้ายแล้วถอนหายใจยาว สามเดือนแล้วที่นางเข้ามาอยู่ในนิยายเรื่องนี้ แม้ไม่มีวาสนาได้ทะลุมิติเข้ามาเป็นบุตรีขุนนางใหญ่ หรือเชื้อพระวงศ์เช่นที่นักเขียนนิยมกัน แต่ชีวิตเช่นนี้ของนางก็ไม่นับว่ายากลำบากอะไร คิดดูแล้วหากนางต้องเข้ามาตบตีแย่งชิงความรักจากบุรุษ หรือต้องขบคิดประลองไหวพริบปะทะวาจา นางกลับรู้สึกว่าชีวิตเช่นนี้สบายมากกว่า เรียกว่าวาสนาดีไม่สู้มีชีวิตที่ดี“พี่รองลูกท้อกับลูกบ๊วยบนเขาไม่มีให้เก็บแล้ว ข้าจะยังมีเนื้อกินหรือไม่”ซ่งหานลู่ที่ยามนี้หายใจเข้าออกเป็นเนื้อหมูเอ่ยเสียงเศร้า ซ่งไป๋ลู่ถอนหายใจยาวเอ่ยเสียงจริงจัง“หากเจ้าอยากมีเนื้อกินทุกวัน ต่อไปก็ต้องช่วยข้าทำสวนเข้าใจหรือไม่”“ล้วนเชื่อฟังพี่รอง”เชื่อฟังพี่รองอะไรกัน ทั้งหมดล้วนเพื่อกระเพาะน้อยๆ ของเขาต่างหาก ซ่งไป๋ลู่มองเด็กชายวัยห้าขวบที่ตอนนี้มีเนื้อมีหนังขึ้นมาก แก้มแห้งตอบกลมยุ้ย ผิวพรรณกระจ่างสดใส เพียงมองเห็นก็รับรู้ได้ถึงสุขภาพที่ดีหลังจากที่รู้ว่าต่อไปซ่งไป๋ลู่จะไม่มีผลไม้มาฝากขายอีกแล้วกู้เหยียนก็มีสีหน้าสลดลง เพราะสามเดือนที่ผ่านมานี้นอกจาก