บทที่ 3.5 หลุดพ้นจากคนชั่ว
หลังจากกินมื้อเช้าร่วมกัน สามพี่น้องตระกูลซ่งก็แยกย้ายกันออกจากบ้าน วันนี้ซ่งไป๋ลู่ยังคงให้ซ่งหานลู่เก็บผลท้อและนางเก็บผลบ๊วยเช่นเดิม ทว่ายามที่ซ่งต้าลู่มาขนของไปไว้ที่ตระกูลกู้ ซ่งไป๋ลู่ก็แยกผลท้อและบ๊วยออกมาอีกอย่างละหนึ่งตะกร้ากลับมาที่บ้านด้วย
“พี่รองท่านเอาผลท้อกับบ๊วยกลับมาทำไมตั้งมากมาย”
ซ่งหานลู่เอ่ยอย่างเสียดาย ผลไม้สองตะกร้านี้หากเอาไปขายย่อมซื้อเนื้อหมูกลับมาเพิ่มได้อีกสองจินแน่ๆ ซ่งไป๋ลู่มองสายตาของน้องชายแล้วยิ้มกว้างเอ่ยเสียงสดใส
“ผลท้อกับบ๊วยบนเขาเหลือไม่มากแล้ว หากไม่แบ่งมาตอนนี้ยามฤดูหนาวมาถึงคงไม่มีบ๊วยดอง ท้อแห้งให้เจ้ากิน”
ซ่งต้าลู่ที่เดิมทีก็สงสัยไม่ต่างจากน้องชายเมื่อได้ยินน้องสาวอธิบายมุมปากก็ยกยิ้มขึ้นมองแผ่นหลังเล็กที่เดินอยู่เบื้องหน้าด้วยความภาคภูมิใจ
เมื่อกลับถึงบ้านซ่งต้าลู่จึงเป็นคนเข้าครัว และให้ซ่งไป๋ลู่จัดการกับผลท้อและผลบ๊วยที่เก็บมาเหล่านั้น
“พี่รองท่านทำบ๊วยดองเป็นด้วยหรือ”
ซ่งไป๋ลู่ถึงกับยิ้มแห้งเมื่อได้ยินคำของเด็กชายตัวน้อย แน่นอนว่าหากเป็นซ่งไป๋ลู่คนเดิมคงทำเรื่องเหล่านี้ไม่ได้ แต่นางคือซ่งไป๋ลู่นักรีวิวนิยายที่ติดท็อปชาร์ตมีผู้ติดตามหลายล้านคน และเหตุผลหลักที่นางสามารถครองค่าความนิยมเหล่านี้ไว้ได้นั่นก็เพราะนอกจากอ่านและวิเคราะห์นิยายแล้ว ทุกเรื่องที่นักเขียนกล่าวถึงนางยังสืบค้นข้อมูลอย่างละเอียดอีกด้วย ดังนั้นไม่เพียงแค่การแปรรูปถนอมอาหาร ลงครัวทำของกินทั้งคาวหวาน ทำการเกษตร แม้แต่ศิลปะการต่อสู้ง่ายๆ นางก็สมัครคอร์สลงเรียนมาหมดแล้ว
“ตอนที่ข้าล้มป่วยท่านเทพบนสวรรค์สอนข้ามา พี่รองของเจ้าคนนี้ถึงได้เก่งเช่นนี้อย่างไรเล่า”
“พี่รองท่านกำลังเล่านิทานหลอกเด็กหรือไง ข้าไม่ใช่เสี่ยวเหม่ยนะ”
เสี่ยวเหม่ยที่ซ่งหานลู่เอ่ยถึงคือกู้เหม่ย น้องสาวของกู้เหยียนนั่นเอง เพียงแต่อีกฝ่ายอายุสามขวบส่วนซ่งหานลู่อายุห้าขวบ ห่างกันเพียงสองปีเท่านั้น เจ้าก้อนแป้งของนางก็คิดว่าตนเองโตมากแล้วอย่างนั้นหรือ
“หากเจ้าไม่เชื่อพี่รองก็จนใจ”
ซ่งไป๋ลู่เอ่ยเสียงน้อยใจ ยกผลท้อแกะเมล็ดแล้วฝานเป็นแผ่นกลมๆ เดินเข้าไปในครัว ซ่งหานลู่คิดว่าตนเองทำให้พี่สาวน้อยใจก็รีบลงจากแคร่หน้าบ้านวิ่งตามอีกฝ่ายไปในทันที
“เชื่อขอรับ! พี่รองเอ่ยสิ่งใดข้าล้วนเชื่อทั้งสิ้น”
ซ่งไป๋ลู่แสร้งทำสีหน้าพอใจ เมื่อเห็นว่าทำให้พี่สาวคลายโทสะแล้วเด็กชายก็ถอนหายใจยาว เขาลืมไปได้อย่างไรว่าเนื้ออยู่ในมือพี่รอง หากนางไม่พอใจแล้วหยุดซื้อเนื้อมาทำอาหาร ท้องของเขาคงต้องทรมานแน่นอน
“พี่ใหญ่เตาว่างหรือไม่”
“อืม... ข้าต้มน้ำไว้ให้เจ้าแล้ว”
ซ่งไป๋ลู่ยิ้มกว้างเอาท้อแผ่นลงไปต้มพร้อมน้ำตาลกรวด ระหว่างรอก็เอาผลบ๊วยที่คัดมาอย่างดีและล้างจนสะอาดแล้วใส่ลงในไห เติมน้ำต้มสุกที่ผสมน้ำตาลและเกลือลงไป ปิดฝาเอาไว้แล้วยกไปวางที่มุมด้านหลัง
“ข้ายกเอง”
เป็นซ่งต้าลู่ที่เข้ามาช่วยยกไหหนักทั้งสามใบ ซ่งไป๋ลู่ยิ้มกว้างเด็กหนุ่มคนนี้ช่างดีเสียจริง หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเป็นพี่ชายร่วมสายโลหิตของเจ้าของร่างนางย่อมเลือกเขามาเป็นคู่ชีวิต ซ่งไป๋ลู่สลัดความคิดนี้ออกจากหัวก่อนจะหยิบท้อที่ต้มได้ที่แล้วออกมาใส่กระจาดไม้ไผ่สาน วางเรียงเอาไว้ตากแดดในวันพรุ่งนี้
“อาไป๋ อยู่หรือไม่”
เสียงของกู้เหยียนดังขึ้นที่หน้าประตูรั้ว ซ่งไป๋ลู่ไม่ทันออกมาเปิดประตู ซ่งหานลู่ก็วิ่งมาเปิดเสียก่อน
“พี่กู้เหยียนได้เนื้อหมูมาหรือไม่”
กู้เหยียนได้ยินคำถามของเจ้าซ่งน้อยก็ยิ้มกว้างขบขัน ส่งเนื้อหมูหนึ่งจินให้เขา ซ่งหานลู่รับแล้วรีบวิ่งเข้าไปในครัวทันที ขณะที่ซ่งต้าลู่และซ่งไป๋ลู่เดินสวนออกมาขนของเข้าไปเก็บในโรงครัว
“นมแพะของเจ้า”
กู้เหยียนเอ่ยพร้อมส่งถุงหนังสัตว์ที่ใส่นมแพะมาจนเต็มถุงให้ซ่งไป๋ลู่ ทว่ากลับเป็นมือหนาของสหายที่มารับแทน
“ขอบใจเจ้ามาก ผลท้อกับบ๊วยข้าขนไปไว้ที่บ้านเจ้าแล้ว”
“อ่อ...”
เมื่อถูกสหายดักทางเช่นนี้กู้เหยียนก็ทำได้เพียงขานรับ
ก่อนจะนึกได้ว่าตนเองลืมสิ่งสำคัญไป“นี่เงินของเจ้า”
ครั้งนี้ซ่งต้าลู่ไม่กล้ารับแทนซ่งไป๋ลู่จึงเป็นฝ่ายยื่นมือมารับ คาดคะเนจากน้ำหนักแล้วเก็บถุงเงินใส่เสื้อในทันที
“อาไป๋ เจ้าสมควรนับเงินก่อน”
“ข้าเชื่อใจท่าน”
นางทำการค้ากับกู้เหยียน หากไม่แสดงให้อีกฝ่ายเห็นถึงความเชื่อใจย่อมร่วมงานกันได้ไม่นาน ทว่าคนที่ได้ยินประโยคนี้กลับร้อนผ่าวจนแก้มคล้ำสีแดงก่ำ ซ่งต้าลู่เห็นท่าทางเช่นนี้ของสหายก็หงุดหงิดใจนัก น้องรองของเขาเพิ่งสิบขวบ สิบขวบเท่านั้น!
“ฟ้ามืดแล้ว อาเหยียนกลับบ้านเถิด”
กู้ฉินเอ่ยเรียกลูกชาย เมื่อเป็นเช่นนี้ซ่งต้าลู่ก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งใจที่ไม่ต้องคิดหาวิธีไล่คนอีก
ยามที่สองพ่อลูกตระกูลกู้จากไปแล้ว สามพี่น้องตระกูลซ่งก็ลงมือกินมื้อเย็น และแน่นอนว่าก่อนนอนซ่งไป๋ลู่ก็จะยกแก้วไม้ไผ่ที่ใส่นมแพะอุ่นมาให้พวกเขาอีกคนละหนึ่งแก้ว และซ่งหานลู่ยังต้องดื่มในตอนเช้าอีกหนึ่งแก้ว
บทที่ 4.1วาสนาดีไม่สู้ชีวิตดีซ่งไป๋ลู่มองตะกร้าผลท้อและผลบ๊วยตะกร้าสุดท้ายแล้วถอนหายใจยาว สามเดือนแล้วที่นางเข้ามาอยู่ในนิยายเรื่องนี้ แม้ไม่มีวาสนาได้ทะลุมิติเข้ามาเป็นบุตรีขุนนางใหญ่ หรือเชื้อพระวงศ์เช่นที่นักเขียนนิยมกัน แต่ชีวิตเช่นนี้ของนางก็ไม่นับว่ายากลำบากอะไร คิดดูแล้วหากนางต้องเข้ามาตบตีแย่งชิงความรักจากบุรุษ หรือต้องขบคิดประลองไหวพริบปะทะวาจา นางกลับรู้สึกว่าชีวิตเช่นนี้สบายมากกว่า เรียกว่าวาสนาดีไม่สู้มีชีวิตที่ดี“พี่รองลูกท้อกับลูกบ๊วยบนเขาไม่มีให้เก็บแล้ว ข้าจะยังมีเนื้อกินหรือไม่”ซ่งหานลู่ที่ยามนี้หายใจเข้าออกเป็นเนื้อหมูเอ่ยเสียงเศร้า ซ่งไป๋ลู่ถอนหายใจยาวเอ่ยเสียงจริงจัง“หากเจ้าอยากมีเนื้อกินทุกวัน ต่อไปก็ต้องช่วยข้าทำสวนเข้าใจหรือไม่”“ล้วนเชื่อฟังพี่รอง”เชื่อฟังพี่รองอะไรกัน ทั้งหมดล้วนเพื่อกระเพาะน้อยๆ ของเขาต่างหาก ซ่งไป๋ลู่มองเด็กชายวัยห้าขวบที่ตอนนี้มีเนื้อมีหนังขึ้นมาก แก้มแห้งตอบกลมยุ้ย ผิวพรรณกระจ่างสดใส เพียงมองเห็นก็รับรู้ได้ถึงสุขภาพที่ดีหลังจากที่รู้ว่าต่อไปซ่งไป๋ลู่จะไม่มีผลไม้มาฝากขายอีกแล้วกู้เหยียนก็มีสีหน้าสลดลง เพราะสามเดือนที่ผ่านมานี้นอกจาก
บทที่ 4.2 วาสนาดีไม่สู้ชีวิตดีเช้าวันต่อมาซ่งต้าลู่ก็ตื่นแต่ฟ้าสางหยิบจอบเดินไปยังลานหลังบ้านขึ้นแปลงผักอย่างขะมักเขม้น ซ่งไป๋ลู่จึงเข้าครัวทำอาหารเช้าง่ายๆ อย่างโจ๊กหมูและไข่ต้มไว้รอสองพี่น้อง ยามที่ตะวันเริ่มเคลื่อนตัวขึ้นไอเย็นของหยาดน้ำค้างระเหยไปจนหมด นางก็ยกผลท้อที่ฝานเป็นชิ้นออกไปตากแห้ง สัมผัสดูความชื้นแล้วตากแดดวันนี้อีกแค่วันเดียวก็สามารถเก็บลงโถเอาไปรวมกับของวันก่อนๆ ได้แล้ว“พี่ใหญ่ท่านหยุดมือแล้วมากินข้าวก่อนเถิด”ซ่งไป๋ลู่เดินไปเรียกเด็กหนุ่มที่ยามนี้มีกล้ามเนื้อมากขึ้นสมกับเป็นบุรุษแล้ว ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะฝีมือการบำรุงร่างกายเขาของนาง ซ่งต้าลู่ถูกแววตากลมใสจ้องมองร่างกายที่เปลือยท่อนบนสองแก้มก็ร้อนผ่าวรีบล้างตัวหยิบเสื้อตัวนอกมาสวมอย่างรวดเร็วรู้จักอายเสียด้วย เขาลืมไปหรือไม่ว่ายามนี้นางคือน้องสาววัยสิบขวบของเขา ไม่ใช่หญิงสาววัยปักปิ่นที่ไหน“ข้าขึ้นร่องแปลงผักให้เจ้าเรียบร้อยแล้ว”“ขอบคุณท่านมาก หลังกินข้าวเช้าเสร็จข้าจะลงมือปลูกข้าวโพด”ข้าวโพดเป็นพืชที่ปลูกง่ายและดูแลไม่ยาก อีกทั้งยังเก็บเอาไว้ได้นาน หรือจะนำมาแปรรูปเป็นแป้งเก็บไว้ทำอาหารก็ได้หลากหลาย ดังนั้นซ
บทที่ 4.3 วาสนาดีไม่สู้ชีวิตดียามที่ซ่งต้าลู่กลับมาถึงบ้านก็พบว่าอาหารมื้อค่ำถูกจัดวางบนโต๊ะ ส่วนน้องทั้งสองคนหมดแรงนอนหลับอยู่บนเตียงเสียแล้ว“น้องรอง น้องเล็ก ลุกขึ้นมากินข้าวก่อนค่อยนอนต่อ”เสียงเอ่ยเรียกอย่างอ่อนโยนของซ่งต้าลู่ดังขึ้น คนที่หมดแรงหลับไปจึงลุกขึ้นมากินข้าวด้วยอาการกินไปหลับไปอย่างแท้จริง หลังกลืนข้าวคำสุดท้ายลงท้องก็หมุนตัวทิ้งกายลงนอนหลับต่อในทันทีซ่งต้าลู่มองน้องทั้งสองด้วยรอยยิ้มระคนรู้สึกผิด เป็นเพราะเขาทำหน้าที่พี่ชายได้ไม่ดี น้องทั้งสองจึงต้องยากลำบากเช่นนี้ ดังนั้นนอกจากจัดการเก็บถ้วยชาม และตักน้ำใส่ถังไม้ในบ้านจนเต็มทุกใบแล้ว ในยามฟ้าสางซ่งต้าลู่ยังเร่งตื่นก่อนผู้อื่น แบกถังไม้ไปตักน้ำมารดข้าวโพดที่น้องทั้งสองของเขาช่วยกันลงแรงปลูก รวมถึงหยิบจอบมาขึ้นแปลงเพิ่มไว้ให้พวกเขาอีกสองหมู่เมื่อซ่งไป๋ลู่ตื่นขึ้นมาก็พบว่าทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว ริมฝีปากเล็กก็ยิ้มกว้างเอ่ยขอบคุณซ่งต้าลู่จากใจจริง“พี่ใหญ่มากินข้าวเถิดเจ้าค่ะ”หลังจากกินมื้อเช้าเสร็จ ซ่งต้าลู่ยังคงออกจากบ้านไปทำงานเช่นเดิม ซ่งไป๋ลู่หยิบถุงเมล็ดพันธุ์ถั่วเหลืองมาคัดแยกแล้วพาน้องชายตัวน้อยลงแรงป
บทที่ 4.4 วาสนาดีไม่สู้ชีวิตดี“พี่ใหญ่ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากปรึกษาท่าน”ซ่งไป๋ลู่เอ่ยขึ้นหลังจากที่กินมื้อค่ำเสร็จ ซ่งต้าลู่ไม่ได้ขานรับ ทว่าท่าทีสบตานิ่งพร้อมรับฟังของเขาก็ทำให้ซ่งไป๋ลู่มั่นใจที่จะเอ่ยบอกความคิดของตนเอง“ตอนนี้ฝนเริ่มไม่ค่อยตกแล้ว ที่ดินที่ท่านป้าใหญ่ยกให้เราติดกับแม่น้ำ อีกทั้งมีทางน้ำสำหรับเข้านา หากข้าลอกร่องทำทางน้ำต่อมาที่บ้านเราจะได้ไหมเจ้าคะ ท่านจะได้ไม่ต้องลำบากไปตักน้ำที่ลำธารมาให้พวกเราใช้”ที่สำคัญนางกับน้องชายตัวน้อยจะได้ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับการหาบน้ำมารดพืชผลเหล่านั้นด้วย“หากเจ้าจะลอกร่องทำทางน้ำเพื่อใช้รดน้ำพืชผักนั้นย่อมได้ ทว่าน้ำที่ไหลผ่านทางลอก นำมาใช้ในบ้านไม่ได้”ซ่งต้าลู่เอ่ยตอบน้องสาว นางยังเด็กอาจไม่เข้าใจว่าการนำน้ำมาใช้ในบ้านนั้น ต้องตักน้ำจากต้นน้ำ อีกทั้งยังต้องตักอย่างระวัง ไม่เช่นนั้นจะได้น้ำที่ขุ่นและสกปรกไม่สามารถนำมาใช้ได้เรื่องความสะอาดของน้ำที่ใช้ซ่งไป๋ลู่ย่อมรู้ดี แต่การไปตักน้ำที่อยู่ห่างจากบ้านถึงสี่ลี้ก็นับว่ายากลำบากไม่น้อย ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยท่าทางดีใจ“แล้วถ้าเรามีถังกรองน้ำเล่าเจ้าคะ”สำหรับซ่งไ
บทที่ 5.1ทางรอดเมื่อเข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตผู้คนในหมู่บ้านอันฉีก็วุ่นวายกันมากขึ้น ซ่งต้าลู่ต้องออกจากบ้านไปทำงานหนักทุกวัน แน่นอนว่าเขาไม่ยินดีให้ซ่งไป๋ลู่ออกไปพบเจอความยากลำบากเหล่านั้น ในทุกวันซ่งไป๋ลู่จึงทำเพียงตื่นเช้าเข้าครัวทำอาหาร หลังจากนั้นก็จัดการปล่อยน้ำเข้าสวนหลังบ้าน ก่อนจะขึ้นเขาเก็บผลพลับ ที่เพิ่มเติมก็คือก่อนจะออกจากบ้านนางมักจะเก็บดอกกุหลาบและดอกหอมหมื่นลี้ที่ริมรั้วมาตากแห้งทิ้งไว้“พี่รองท่านจะเอาดอกไม้พวกนี้ไปทำอะไรหรือขอรับ”“เอาไว้ทำของดีให้เจ้ากินอย่างไรเล่า”ซ่งหานลู่ขมวดคิ้วเล็ก ดอกไม้เหล่านี้จะเอามาทำของกินได้อย่างไร ทว่าเมื่อพี่รองบอกว่าได้ย่อมต้องได้สามวันต่อมาหลังมื้อค่ำบนโต๊ะก็มีชาเหมยกุ้ยฮวาเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งกา“พี่รองนี่คือดอกกุหลาบที่ท่านเก็บวันนั้นหรือขอรับ”“ใช่แล้วเจ้าลองชิมดู”เอ่ยจบซ่งไป๋ลู่ก็รินชาร้อนใส่ถ้วยชาหินที่ดูไม่มีราคา ทว่าแท้จริงกลับมีราคาเท่ากับข้าวสารถึงสามสิบจิน“เป็นอย่างไรรสชาติดีหรือไม่”“ดีขอรับ ดีมากๆ นับเป็นของดีเช่นที่ท่านบอกจริงๆ”เสียงเล็กเอ่ยชมคนเป็นพี่พร้อมยิ้มกว้างจนดวงตาหยี ส่งถ้วยชาใบเล็กยื่นมาขอเพิ่มอีกถ้วย แน่
บทที่ 5.2 ทางรอดวันถัดมาซ่งไป๋ลู่ตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อหุงข้าวหม้อใหญ่ ทว่าข้าวยังไม่ทันสุก คนจากบ้านตระกูลกู้ก็มาถึงแล้ว“อาไป๋!”กู้เหยียนที่เดินเข้ามาในครัวเอ่ยทักทายพร้อมกับวางตะกร้าผักกาดและไข่ไก่ลง“ได้ยินว่าเจ้าจะลงครัวทำอาหารเลี้ยงพวกเราข้าจึงเอาผักแล้วก็ไข่ไก่มาด้วย”ใบหน้าของเด็กหนุ่มมีรอยยิ้มกว้างก่อนจะเดินไปหยิบพัดมาช่วยพัดเตาเล็กที่ซ่งไป๋ลู่กำลังจุด เมื่อเห็นว่ามีคนมาช่วยซ่งไป๋ลู่ก็ยิ้มกว้างหันไปหยิบมีดมาหั่นผัก“อาไป๋ ส่งมีดมาให้ข้าจัดการเอง อาเหยียนพ่อของเจ้ากับอาต้าเข้าไปเก็บข้าวโพดกันแล้ว รีบตามไปช่วยงานเร็ว อย่าได้คิดกินแรงผู้อื่นเชียว”“ขอรับ อาไป๋ข้ารอกินอาหารฝีมือเจ้านะ”คนพัดเตาหันมาบอกเด็กหญิง ก่อนจะรีบออกไปจากห้องครัว ว่านชุนมองบุตรชายแล้วยิ้มขบขัน ซ่งไป๋ลู่ยังไม่ทันปักปิ่นลูกชายตัวดีก็รู้จักทำคะแนนแล้ว ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่รู้จักมองอนาคตจริงๆซ่งไป๋ลู่มองดูว่านชุนจัดการหั่นผักอย่างชำนาญแล้วเบิกตากว้าง แม้ว่าสตรีในยุคนี้เข้าครัวตั้งแต่ยังเด็ก แต่ท่าทางเชี่ยวชาญเช่นนี้ย่อมไม่ใช่สตรีในเรือนทั่วไปจะมี พริบตาทั้งผักที่ซ่งไป๋ลู่เตรียมไว้ และวัตถุดิบในตะกร้าที่ว่านชุ
บทที่ 5.3 ทางรอดหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวโพดที่สวนหลังบ้านเสร็จ วันต่อมาซ่งต้าลู่ก็ออกจากบ้านไปช่วยงานที่บ้านตระกูลฉี ซ่งไป๋ลู่มองข้าวโพดแห้งกองโตแล้วก็หยิบมีดขนาดพอเหมาะกับมือเล็กแบกตะกร้าสานขึ้นบ่า“พี่รองท่านจะขึ้นเขาไปเก็บลูกพลับหรือขอรับ”“วันนี้ข้าจะไปตัดไม้ไผ่มาทำราวตากข้าวโพดก่อน”“เช่นนั้นข้าไปช่วยท่าน”ซ่งหานลู่เอ่ยอย่างแข็งขัน ท่าทางเช่นนี้ของเขาเรียกรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าคนเป็นพี่ในทันที“แต่เย็นนี้ท่านทำหมูตุ๋นน้ำแดงให้ข้ากินสักชามได้หรือไม่”รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งไป๋ลู่พลันหุบลง ถอนหายใจส่ายหน้า เจ้าเด็กน้อยผู้นี้หายใจเข้าออกก็เป็นเนื้อหมูไปเสียแล้ว“เจ้าคนตะกละ”“ข้าไม่ได้ตะกละ ข้าเป็นเพียงเด็กกำลังโตจึงจำเป็นต้องบำรุงให้มาก ภายหน้าสุขภาพจะได้แข็งแรง”ซ่งไป๋ลู่ได้ยินคำพูดของคนตัวเล็กก็ยกมือขึ้นบีบจมูกของเขาเบาๆ ไม่คิดว่าน้องเล็กของนางรู้จักเอาคำพูดนางมาล้อเลียนแล้วห้าเดือนมานี้ซ่งไป๋ลู่ขึ้นเขาบ่อยครั้ง และทุกครั้งก็จะขยับเข้ามาลึกขึ้นทีละนิด แน่นอนว่าทุกอย่างต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของนางและซ่งหานลู่เสมอ“พี่รองลูกพลับต้นนี้สุกแล้ว เราเก็บลงไปด้วยดีหรือไม่ขอรับ”ซ่งไป๋ลู่แหงน
บทที่ 5.4 ทางรอดเช้าวันต่อมากู้ฉินต้องเข้าไปส่งของในเมือง อีกทั้งถั่วเหลืองแค่หมู่เดียวอาศัยแรงของซ่งต้าลู่และกู้เหยียนแค่สองคนก็เพียงพอดังนั้นสองสหายจึงลงงานตั้งแต่ฟ้าสาง และเพราะว่านชุนต้องตามกู้ฉินเข้าเมืองไปแทนกู้เหยียนดังนั้นมื้อเที่ยงจึงเป็นซ่งไป๋ลู่ที่ต้องลงครัวจัดการ“อาไป๋ เจ้าทำอาหารได้รสชาติดีไม่น้อย เช่นนี้ภายหน้าข้าก็ไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้องแล้ว”คำพูดนี้ของกู้เหยียนทำให้สหายสนิทที่นั่งข้างๆ ตวัดสายตามองอย่างไม่พอใจ แน่นอนว่าคนที่เห็นสายตาพิฆาตนี้มีเพียงซ่งไป๋ลู่เท่านั้น“เอ่อ... พี่กู้เหยียน พรุ่งนี้ท่านลุงกู้จะเข้าเมืองอีกหรือไม่”“ท่านป้าชุนจะเอาข้าวไปขายในเมือง ท่านพ่อเห็นว่าเจ้าไม่ได้ขึ้นเขาไปเก็บลูกพลับจึงได้รับปากป้าชุนไปแล้ว แต่หากเจ้าจะเอาของไปขายข้าจะไปบอกท่านพ่อให้ไปแจ้งแก่ป้าชุน”“ข้าไม่ได้จะฝากของไปขาย เพียงอยากขอติดเกวียนไปด้วยเจ้าค่ะ”“น้องรอง เจ้าจะเข้าเมืองไปทำไม”ซ่งต้าลู่ลืมความขุ่นเคืองสหายหันมาสนใจน้องสาวของตนเองในทันทีที่ได้ยินว่านางจะเข้าเมือง“ข้าเพียงอยากลองเอากุหลาบแห้งไปขายเจ้าค่ะ”เพราะซ่งต้าลู่ปลูกกุหลาบและหอมหมื่นลี้ไว้ที่ริมรั้วเป็นจำนวนมาก
บทที่ 5.5 ทางรอดซ่งไป๋ลู่มองถุงเงินในมือแล้วยิ้มกว้าง ดวงตากลมเปล่งประกาย ครั้งนี้ไม่เพียงทำการค้าสำเร็จ นางยังสามารถเช่าพื้นที่เล็กๆ บนถนนอวิ๋นให้ว่านชุนได้อีกด้วย“อาไป๋ เมื่อครู่เจ้าบอกว่าอะไรนะ”“ข้าถามท่านป้าว่าท่านทำซาลาเปาเป็นหรือไม่เจ้าคะ”“ก็แค่ซาลาเปาข้าจะทำไม่เป็นได้อย่างไร ประโยคต่อมาของเจ้าต่างหากเจ้าว่าอย่างไรนะ”“อ๋อ... ข้าเพียงบอกว่าหาที่ตั้งร้านให้ท่านได้แล้วอยู่ที่...”“ที่ตั้งร้านหรือ!”ว่านชุนเบิกตากว้าง แม้นางจะเคยกล่าวว่าต้องการดูแลใส่ใจคนในบ้านแต่ส่วนลึกในใจยังคงปรารถนาการค้าเช่นอดีต ทว่านางแต่งงานแล้วเรื่องนี้อย่างไรก็ไม่อาจตัดสินใจได้ด้วยตนเอง“เพียงแต่อาจทำการค้าได้เพียงขายซาลาเปาเท่านั้น”“แค่ซาลาเปาก็พอแล้ว ชุนเอ๋อร์เจ้าจะได้ไม่เหนื่อยเกินไป”กู้ฉินที่เพิ่งนำวัวไปเข้าคอกเอ่ยบอก ว่านชุนพลันเบิกตากว้างเอ่ยถามเขาเสียงสั่น“ท่านพี่ ท่านหมายความว่าอย่างไร”ผู้เป็นสามีเดินเข้ามากุมมือของภรรยา สายตาคมกล้าจดจ้องดวงตาเรียวคลอหยาดน้ำตาของนาง“ชุนเอ๋อร์เป็นข้าที่ไม่ดี ทั้งที่เจ้าเสียสละความปรารถนาของตนเอง ยอมมาเป็นสตรีบ้านนอกใช้ชีวิตอย่างยากลำบากอยู่กับข้า แต่ข้ากลั
บทที่ 5.4 ทางรอดเช้าวันต่อมากู้ฉินต้องเข้าไปส่งของในเมือง อีกทั้งถั่วเหลืองแค่หมู่เดียวอาศัยแรงของซ่งต้าลู่และกู้เหยียนแค่สองคนก็เพียงพอดังนั้นสองสหายจึงลงงานตั้งแต่ฟ้าสาง และเพราะว่านชุนต้องตามกู้ฉินเข้าเมืองไปแทนกู้เหยียนดังนั้นมื้อเที่ยงจึงเป็นซ่งไป๋ลู่ที่ต้องลงครัวจัดการ“อาไป๋ เจ้าทำอาหารได้รสชาติดีไม่น้อย เช่นนี้ภายหน้าข้าก็ไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้องแล้ว”คำพูดนี้ของกู้เหยียนทำให้สหายสนิทที่นั่งข้างๆ ตวัดสายตามองอย่างไม่พอใจ แน่นอนว่าคนที่เห็นสายตาพิฆาตนี้มีเพียงซ่งไป๋ลู่เท่านั้น“เอ่อ... พี่กู้เหยียน พรุ่งนี้ท่านลุงกู้จะเข้าเมืองอีกหรือไม่”“ท่านป้าชุนจะเอาข้าวไปขายในเมือง ท่านพ่อเห็นว่าเจ้าไม่ได้ขึ้นเขาไปเก็บลูกพลับจึงได้รับปากป้าชุนไปแล้ว แต่หากเจ้าจะเอาของไปขายข้าจะไปบอกท่านพ่อให้ไปแจ้งแก่ป้าชุน”“ข้าไม่ได้จะฝากของไปขาย เพียงอยากขอติดเกวียนไปด้วยเจ้าค่ะ”“น้องรอง เจ้าจะเข้าเมืองไปทำไม”ซ่งต้าลู่ลืมความขุ่นเคืองสหายหันมาสนใจน้องสาวของตนเองในทันทีที่ได้ยินว่านางจะเข้าเมือง“ข้าเพียงอยากลองเอากุหลาบแห้งไปขายเจ้าค่ะ”เพราะซ่งต้าลู่ปลูกกุหลาบและหอมหมื่นลี้ไว้ที่ริมรั้วเป็นจำนวนมาก
บทที่ 5.3 ทางรอดหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวโพดที่สวนหลังบ้านเสร็จ วันต่อมาซ่งต้าลู่ก็ออกจากบ้านไปช่วยงานที่บ้านตระกูลฉี ซ่งไป๋ลู่มองข้าวโพดแห้งกองโตแล้วก็หยิบมีดขนาดพอเหมาะกับมือเล็กแบกตะกร้าสานขึ้นบ่า“พี่รองท่านจะขึ้นเขาไปเก็บลูกพลับหรือขอรับ”“วันนี้ข้าจะไปตัดไม้ไผ่มาทำราวตากข้าวโพดก่อน”“เช่นนั้นข้าไปช่วยท่าน”ซ่งหานลู่เอ่ยอย่างแข็งขัน ท่าทางเช่นนี้ของเขาเรียกรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าคนเป็นพี่ในทันที“แต่เย็นนี้ท่านทำหมูตุ๋นน้ำแดงให้ข้ากินสักชามได้หรือไม่”รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งไป๋ลู่พลันหุบลง ถอนหายใจส่ายหน้า เจ้าเด็กน้อยผู้นี้หายใจเข้าออกก็เป็นเนื้อหมูไปเสียแล้ว“เจ้าคนตะกละ”“ข้าไม่ได้ตะกละ ข้าเป็นเพียงเด็กกำลังโตจึงจำเป็นต้องบำรุงให้มาก ภายหน้าสุขภาพจะได้แข็งแรง”ซ่งไป๋ลู่ได้ยินคำพูดของคนตัวเล็กก็ยกมือขึ้นบีบจมูกของเขาเบาๆ ไม่คิดว่าน้องเล็กของนางรู้จักเอาคำพูดนางมาล้อเลียนแล้วห้าเดือนมานี้ซ่งไป๋ลู่ขึ้นเขาบ่อยครั้ง และทุกครั้งก็จะขยับเข้ามาลึกขึ้นทีละนิด แน่นอนว่าทุกอย่างต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของนางและซ่งหานลู่เสมอ“พี่รองลูกพลับต้นนี้สุกแล้ว เราเก็บลงไปด้วยดีหรือไม่ขอรับ”ซ่งไป๋ลู่แหงน
บทที่ 5.2 ทางรอดวันถัดมาซ่งไป๋ลู่ตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อหุงข้าวหม้อใหญ่ ทว่าข้าวยังไม่ทันสุก คนจากบ้านตระกูลกู้ก็มาถึงแล้ว“อาไป๋!”กู้เหยียนที่เดินเข้ามาในครัวเอ่ยทักทายพร้อมกับวางตะกร้าผักกาดและไข่ไก่ลง“ได้ยินว่าเจ้าจะลงครัวทำอาหารเลี้ยงพวกเราข้าจึงเอาผักแล้วก็ไข่ไก่มาด้วย”ใบหน้าของเด็กหนุ่มมีรอยยิ้มกว้างก่อนจะเดินไปหยิบพัดมาช่วยพัดเตาเล็กที่ซ่งไป๋ลู่กำลังจุด เมื่อเห็นว่ามีคนมาช่วยซ่งไป๋ลู่ก็ยิ้มกว้างหันไปหยิบมีดมาหั่นผัก“อาไป๋ ส่งมีดมาให้ข้าจัดการเอง อาเหยียนพ่อของเจ้ากับอาต้าเข้าไปเก็บข้าวโพดกันแล้ว รีบตามไปช่วยงานเร็ว อย่าได้คิดกินแรงผู้อื่นเชียว”“ขอรับ อาไป๋ข้ารอกินอาหารฝีมือเจ้านะ”คนพัดเตาหันมาบอกเด็กหญิง ก่อนจะรีบออกไปจากห้องครัว ว่านชุนมองบุตรชายแล้วยิ้มขบขัน ซ่งไป๋ลู่ยังไม่ทันปักปิ่นลูกชายตัวดีก็รู้จักทำคะแนนแล้ว ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่รู้จักมองอนาคตจริงๆซ่งไป๋ลู่มองดูว่านชุนจัดการหั่นผักอย่างชำนาญแล้วเบิกตากว้าง แม้ว่าสตรีในยุคนี้เข้าครัวตั้งแต่ยังเด็ก แต่ท่าทางเชี่ยวชาญเช่นนี้ย่อมไม่ใช่สตรีในเรือนทั่วไปจะมี พริบตาทั้งผักที่ซ่งไป๋ลู่เตรียมไว้ และวัตถุดิบในตะกร้าที่ว่านชุ
บทที่ 5.1ทางรอดเมื่อเข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตผู้คนในหมู่บ้านอันฉีก็วุ่นวายกันมากขึ้น ซ่งต้าลู่ต้องออกจากบ้านไปทำงานหนักทุกวัน แน่นอนว่าเขาไม่ยินดีให้ซ่งไป๋ลู่ออกไปพบเจอความยากลำบากเหล่านั้น ในทุกวันซ่งไป๋ลู่จึงทำเพียงตื่นเช้าเข้าครัวทำอาหาร หลังจากนั้นก็จัดการปล่อยน้ำเข้าสวนหลังบ้าน ก่อนจะขึ้นเขาเก็บผลพลับ ที่เพิ่มเติมก็คือก่อนจะออกจากบ้านนางมักจะเก็บดอกกุหลาบและดอกหอมหมื่นลี้ที่ริมรั้วมาตากแห้งทิ้งไว้“พี่รองท่านจะเอาดอกไม้พวกนี้ไปทำอะไรหรือขอรับ”“เอาไว้ทำของดีให้เจ้ากินอย่างไรเล่า”ซ่งหานลู่ขมวดคิ้วเล็ก ดอกไม้เหล่านี้จะเอามาทำของกินได้อย่างไร ทว่าเมื่อพี่รองบอกว่าได้ย่อมต้องได้สามวันต่อมาหลังมื้อค่ำบนโต๊ะก็มีชาเหมยกุ้ยฮวาเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งกา“พี่รองนี่คือดอกกุหลาบที่ท่านเก็บวันนั้นหรือขอรับ”“ใช่แล้วเจ้าลองชิมดู”เอ่ยจบซ่งไป๋ลู่ก็รินชาร้อนใส่ถ้วยชาหินที่ดูไม่มีราคา ทว่าแท้จริงกลับมีราคาเท่ากับข้าวสารถึงสามสิบจิน“เป็นอย่างไรรสชาติดีหรือไม่”“ดีขอรับ ดีมากๆ นับเป็นของดีเช่นที่ท่านบอกจริงๆ”เสียงเล็กเอ่ยชมคนเป็นพี่พร้อมยิ้มกว้างจนดวงตาหยี ส่งถ้วยชาใบเล็กยื่นมาขอเพิ่มอีกถ้วย แน่
บทที่ 4.4 วาสนาดีไม่สู้ชีวิตดี“พี่ใหญ่ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากปรึกษาท่าน”ซ่งไป๋ลู่เอ่ยขึ้นหลังจากที่กินมื้อค่ำเสร็จ ซ่งต้าลู่ไม่ได้ขานรับ ทว่าท่าทีสบตานิ่งพร้อมรับฟังของเขาก็ทำให้ซ่งไป๋ลู่มั่นใจที่จะเอ่ยบอกความคิดของตนเอง“ตอนนี้ฝนเริ่มไม่ค่อยตกแล้ว ที่ดินที่ท่านป้าใหญ่ยกให้เราติดกับแม่น้ำ อีกทั้งมีทางน้ำสำหรับเข้านา หากข้าลอกร่องทำทางน้ำต่อมาที่บ้านเราจะได้ไหมเจ้าคะ ท่านจะได้ไม่ต้องลำบากไปตักน้ำที่ลำธารมาให้พวกเราใช้”ที่สำคัญนางกับน้องชายตัวน้อยจะได้ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับการหาบน้ำมารดพืชผลเหล่านั้นด้วย“หากเจ้าจะลอกร่องทำทางน้ำเพื่อใช้รดน้ำพืชผักนั้นย่อมได้ ทว่าน้ำที่ไหลผ่านทางลอก นำมาใช้ในบ้านไม่ได้”ซ่งต้าลู่เอ่ยตอบน้องสาว นางยังเด็กอาจไม่เข้าใจว่าการนำน้ำมาใช้ในบ้านนั้น ต้องตักน้ำจากต้นน้ำ อีกทั้งยังต้องตักอย่างระวัง ไม่เช่นนั้นจะได้น้ำที่ขุ่นและสกปรกไม่สามารถนำมาใช้ได้เรื่องความสะอาดของน้ำที่ใช้ซ่งไป๋ลู่ย่อมรู้ดี แต่การไปตักน้ำที่อยู่ห่างจากบ้านถึงสี่ลี้ก็นับว่ายากลำบากไม่น้อย ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยท่าทางดีใจ“แล้วถ้าเรามีถังกรองน้ำเล่าเจ้าคะ”สำหรับซ่งไ
บทที่ 4.3 วาสนาดีไม่สู้ชีวิตดียามที่ซ่งต้าลู่กลับมาถึงบ้านก็พบว่าอาหารมื้อค่ำถูกจัดวางบนโต๊ะ ส่วนน้องทั้งสองคนหมดแรงนอนหลับอยู่บนเตียงเสียแล้ว“น้องรอง น้องเล็ก ลุกขึ้นมากินข้าวก่อนค่อยนอนต่อ”เสียงเอ่ยเรียกอย่างอ่อนโยนของซ่งต้าลู่ดังขึ้น คนที่หมดแรงหลับไปจึงลุกขึ้นมากินข้าวด้วยอาการกินไปหลับไปอย่างแท้จริง หลังกลืนข้าวคำสุดท้ายลงท้องก็หมุนตัวทิ้งกายลงนอนหลับต่อในทันทีซ่งต้าลู่มองน้องทั้งสองด้วยรอยยิ้มระคนรู้สึกผิด เป็นเพราะเขาทำหน้าที่พี่ชายได้ไม่ดี น้องทั้งสองจึงต้องยากลำบากเช่นนี้ ดังนั้นนอกจากจัดการเก็บถ้วยชาม และตักน้ำใส่ถังไม้ในบ้านจนเต็มทุกใบแล้ว ในยามฟ้าสางซ่งต้าลู่ยังเร่งตื่นก่อนผู้อื่น แบกถังไม้ไปตักน้ำมารดข้าวโพดที่น้องทั้งสองของเขาช่วยกันลงแรงปลูก รวมถึงหยิบจอบมาขึ้นแปลงเพิ่มไว้ให้พวกเขาอีกสองหมู่เมื่อซ่งไป๋ลู่ตื่นขึ้นมาก็พบว่าทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว ริมฝีปากเล็กก็ยิ้มกว้างเอ่ยขอบคุณซ่งต้าลู่จากใจจริง“พี่ใหญ่มากินข้าวเถิดเจ้าค่ะ”หลังจากกินมื้อเช้าเสร็จ ซ่งต้าลู่ยังคงออกจากบ้านไปทำงานเช่นเดิม ซ่งไป๋ลู่หยิบถุงเมล็ดพันธุ์ถั่วเหลืองมาคัดแยกแล้วพาน้องชายตัวน้อยลงแรงป
บทที่ 4.2 วาสนาดีไม่สู้ชีวิตดีเช้าวันต่อมาซ่งต้าลู่ก็ตื่นแต่ฟ้าสางหยิบจอบเดินไปยังลานหลังบ้านขึ้นแปลงผักอย่างขะมักเขม้น ซ่งไป๋ลู่จึงเข้าครัวทำอาหารเช้าง่ายๆ อย่างโจ๊กหมูและไข่ต้มไว้รอสองพี่น้อง ยามที่ตะวันเริ่มเคลื่อนตัวขึ้นไอเย็นของหยาดน้ำค้างระเหยไปจนหมด นางก็ยกผลท้อที่ฝานเป็นชิ้นออกไปตากแห้ง สัมผัสดูความชื้นแล้วตากแดดวันนี้อีกแค่วันเดียวก็สามารถเก็บลงโถเอาไปรวมกับของวันก่อนๆ ได้แล้ว“พี่ใหญ่ท่านหยุดมือแล้วมากินข้าวก่อนเถิด”ซ่งไป๋ลู่เดินไปเรียกเด็กหนุ่มที่ยามนี้มีกล้ามเนื้อมากขึ้นสมกับเป็นบุรุษแล้ว ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะฝีมือการบำรุงร่างกายเขาของนาง ซ่งต้าลู่ถูกแววตากลมใสจ้องมองร่างกายที่เปลือยท่อนบนสองแก้มก็ร้อนผ่าวรีบล้างตัวหยิบเสื้อตัวนอกมาสวมอย่างรวดเร็วรู้จักอายเสียด้วย เขาลืมไปหรือไม่ว่ายามนี้นางคือน้องสาววัยสิบขวบของเขา ไม่ใช่หญิงสาววัยปักปิ่นที่ไหน“ข้าขึ้นร่องแปลงผักให้เจ้าเรียบร้อยแล้ว”“ขอบคุณท่านมาก หลังกินข้าวเช้าเสร็จข้าจะลงมือปลูกข้าวโพด”ข้าวโพดเป็นพืชที่ปลูกง่ายและดูแลไม่ยาก อีกทั้งยังเก็บเอาไว้ได้นาน หรือจะนำมาแปรรูปเป็นแป้งเก็บไว้ทำอาหารก็ได้หลากหลาย ดังนั้นซ
บทที่ 4.1วาสนาดีไม่สู้ชีวิตดีซ่งไป๋ลู่มองตะกร้าผลท้อและผลบ๊วยตะกร้าสุดท้ายแล้วถอนหายใจยาว สามเดือนแล้วที่นางเข้ามาอยู่ในนิยายเรื่องนี้ แม้ไม่มีวาสนาได้ทะลุมิติเข้ามาเป็นบุตรีขุนนางใหญ่ หรือเชื้อพระวงศ์เช่นที่นักเขียนนิยมกัน แต่ชีวิตเช่นนี้ของนางก็ไม่นับว่ายากลำบากอะไร คิดดูแล้วหากนางต้องเข้ามาตบตีแย่งชิงความรักจากบุรุษ หรือต้องขบคิดประลองไหวพริบปะทะวาจา นางกลับรู้สึกว่าชีวิตเช่นนี้สบายมากกว่า เรียกว่าวาสนาดีไม่สู้มีชีวิตที่ดี“พี่รองลูกท้อกับลูกบ๊วยบนเขาไม่มีให้เก็บแล้ว ข้าจะยังมีเนื้อกินหรือไม่”ซ่งหานลู่ที่ยามนี้หายใจเข้าออกเป็นเนื้อหมูเอ่ยเสียงเศร้า ซ่งไป๋ลู่ถอนหายใจยาวเอ่ยเสียงจริงจัง“หากเจ้าอยากมีเนื้อกินทุกวัน ต่อไปก็ต้องช่วยข้าทำสวนเข้าใจหรือไม่”“ล้วนเชื่อฟังพี่รอง”เชื่อฟังพี่รองอะไรกัน ทั้งหมดล้วนเพื่อกระเพาะน้อยๆ ของเขาต่างหาก ซ่งไป๋ลู่มองเด็กชายวัยห้าขวบที่ตอนนี้มีเนื้อมีหนังขึ้นมาก แก้มแห้งตอบกลมยุ้ย ผิวพรรณกระจ่างสดใส เพียงมองเห็นก็รับรู้ได้ถึงสุขภาพที่ดีหลังจากที่รู้ว่าต่อไปซ่งไป๋ลู่จะไม่มีผลไม้มาฝากขายอีกแล้วกู้เหยียนก็มีสีหน้าสลดลง เพราะสามเดือนที่ผ่านมานี้นอกจาก