เช้าวันที่สองของวันหยุดหลังจากที่ฉีหลินมานอนที่สวนสมุนไพร เธอตื่นขึ้นมาด้วยความขุ่นมัวในใจและความคับแค้นใจ ความฝันในวันนั้นยังตามหลอกหลอน คนเราจะร้ายกาจได้ขนาดนั้นเชียวหรือ
ฉีหลินคิดว่าหากมีใครมาทำเลวกับเธอเธอจะตอบสนองในแบบเดียวกันเพราะเธอถือว่าไม่อยากให้ใครทำเลวกับตัวเองก็อย่าไปทำเลวใส่ใคร เพราะถ้าหากกล้าที่จะทำจะต้องทำใจยอมรับผลที่ตามมาด้วย ไม่มีใครยอมถูกทำร้ายและโดนรังแกไปตลอดย่อมต้องหาทางตอบโต้และเอาคืนให้สาสมใจ
ในขณะที่ฉีหลินกินอาหารเช้าเสร็จแล้ววันนี้เธอสังเกตเห็นหินสีรุ้งที่ข้อมือมีสีเข้มขึ้นเหมือนกับว่ามันเปล่งประกายได้ เธอจึงใช้มืออีกข้างไปลูบที่หินสีรุ้ง
เมื่อฉีหลินลูบไปที่หินสีรุ้งในตอนนั้นเองมือข้างที่เธอใช้ลูบหินสีรุ้งนั้นได้จมหายเข้าไปในหินสีรุ้งก้อนนั้น ฉีหลินตกใจเป็นอย่างมากเธอรีบดึงมือกลับมาทันที
“นี่มันเรื่องอะไรกันนี่ หรือว่าเราจะตาฝาด แต่ไม่น่าจะใช่จะว่านอนไม่พอก็ไม่น่าใช่ เมื่อวานเรานอนแต่หัวค่ำแถมวันนี้ยังตื่นสายอีก ” ฉีหลินได้แต่พูดกับตัวเอง
แต่เพื่อความแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้คิดไปเองหรือมีอาการประสาทหลอนเธอจึงลูบที่หินสีรุ้งอีกครั้งและครั้งนี้ก็เป็นเช่นเดิม มือของเธอได้จมหายเข้าไปในหินสีรุ้งก้อนเล็กนั่นอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้
หลังจากพบเจอเหตุการณ์ที่น่าตกใจเธอตั้งสติและเอามือออกจากหินสีรุ้ง จากนั้นก็นั่งคิดหาเหตุผลว่าเพราะอะไรทำไมมือของเธอจึงจมเข้าไปในหินก้อนเล็ก ๆ ได้
ฉีหลินถอนหายใจออกมาจากนั้นเพ่งมองเข้าไปในหินสีรุ้งที่ข้อมือของตัวเธอเอง แต่เธอก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อเธอพบว่าภายในก้อนหินเล็ก ๆ นั้นกลับมีห้องโถงกว้างขนาดหลายสิบเมตรและไม่แน่ว่ามันอาจจะกว้างเท่ากับบ้านหลังใหญ่ ๆ ที่มีเนื้อที่ขนาด 1 ไร่ เลยทีเดียว
“ตายล่ะหว่า นี่เราไปเก็บก้อนหินอะไรมาเนี่ย จะเกิดอะไรขึ้นกับเราหรือเปล่านะ หรือเราต้องเอาไปคืนที่เดิม จะทำยังไงต่อดี"
ฉีหลินที่ตอนนี้เริ่มหวาดกลัวและทำตัวไม่ถูกว่าจะทำยังไงดี ทำไมหินก้อนเล็ก ๆ ขนาดเท่าหัวแม่มือแต่ภายในกลับกว้างขวางเสียขนาดนั้นไปได้ แบบนี้มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว หากเธอนำไปพูดให้คนอื่นฟังมีหวังได้ถูกคนกล่าวหาว่าเป็นบ้าไปแล้วแน่ ๆ
“หรือว่ามันจะเป็นเหมือนนิยาย ที่นิดาชอบอ่านและมาเล่าให้เราฟังกันนะหรือเจ้าสิ่งนี้จะเป็นมิติเหมือนในนิยาย ถ้ามันสามารถเอาของเข้าไปได้และเอาออกมาได้เหมือนในนิยายจะทำยังไง แบบนี้ต้องลองดู”
หลังจากที่นั่งพูดคนเดียวพูดเองเออเองได้สักพัก เธอก็คิดว่าจะลองนำเอาแก้วน้ำเข้าไปในหินสีรุ้งดูแต่เธอไม่รู้วิธีที่จะเอาแก้วน้ำเข้าไป แต่ก็เหมือนจะมีเรื่องบังเอิญอยู่บ้าง ในตอนที่เธอกำลังคิดหาวิธีเอาแก้วน้ำเข้าไปในหินสีรุ้งนั้น
แก้วน้ำก็หายไปทันทีเธอจึงเพ่งสายตาเข้าไปในหินสีรุ้งพบว่าแก้วน้ำที่หายไปจากมือของเธอตอนนี้ได้เข้าไปอยู่ในหินสีรุ้งเรียบร้อยแล้ว
“โอ๊ะ ทำได้จริง ๆ เหรอนี่ แบบนี้ก็ดีสิเอาไว้เก็บของมีค่าจะดีเสียยิ่งกว่าตู้เซฟอีกนะเนี่ย”
หลังจากค้นพบความลับของหินสีรุ้งแล้ว ฉีหลินจึงออกไปข้างนอกใช้วันหยุดยาว 5วันนี้ในการพักผ่อนและทำงานในสวนสมุนไพรของเธอ
วันสุดท้ายของวันหยุดยาวมาถึงฉีหลินเก็บของเพื่อที่จะกลับไปนอนที่ตัวเมืองและเริ่มงานในเช้าวันถัดไป วันหยุดยาวในครั้งนี้เธอรู้สึกว่าเธอสนุกกับมันมาก
ยังมีเรื่องของหินสีรุ้งอีกตอนนี้เธอเอาผลไม้หลายอย่างเข้าไปเก็บเอาไว้ในหินสีรุ้ง และยังเอาสมุนไพรหลายอย่างใส่เข้าไปด้วยหลังจากเวลาผ่านไปหลายวันเธอพบว่าผลไม้และสมุนไพรยังคงอยู่ในสภาพเดิมไม่เหี่ยวเฉา เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากสำหรับฉีหลิน
เช้าวันรุ่งขึ้นฉีหลินไปทำงานตามปกติและพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานด้วยความสนุกสนานเมื่อถึงเวลาเลิกงานเธอก็ไปเดินเที่ยวกับเพื่อนก่อนที่จะแยกย้ายกลับบ้านไปพักผ่อน
ในคืนนั้นเองฉีหลินได้ฝันอีกครั้งแต่ครั้งนี้เธอไม่ได้ฝันถึงครอบครัวเหล่านั้นที่โดนเอารัดเอาเปรียบ เธอฝันถึงชายชราคนหนึ่ง ที่ใส่ชุดฮั่นฝูสีขาวล้วนเหมือนหลุดออกมาจากซีรีส์จีน
ในฝันชายชราได้บอกกับฉีหลินว่าเวลาของเธอในที่แห่งนี้เหลือน้อยเต็มที ฉีหลินไม่เข้าใจว่าเหตุใดชายชราถึงพูดแบบนี้กัน ที่น่าแปลกใจคือเธอสามารถฟังภาษาจีนเข้าใจตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ชายชราบอกกับเธอว่าเธอมีเวลาเตรียมตัวเพียงแค่ 7 วันเท่านั้น ส่วนหินสีรุ้งที่ข้อมือของเธอเป็นของที่ชายชราตั้งใจมอบให้เธอโดยเฉพาะเพื่อเป็นการไถ่โทษต่อเธอ แต่ชายชราไม่ได้บอกเธอว่าเขาทำอะไรผิดต่อเธอ ถึงแม้ว่าฉีหลินจะถามชายชราหลายครั้งแล้วแต่เขาก็ไม่ตอบคำถามของเธอเลย
ชายชรายังบอกอีกว่าหินสีรุ้งก้อนนี้ไม่เพียงแต่ใช้เป็นมิติเท่านั้น สิ่งของที่เก็บเอาไว้จะไม่เน่าเสียแต่ไม่สามารถใส่สิ่งชีวิตเข้าไปในมิติได้
และหินสีรุ้งเมื่อนำไปแช่น้ำและนำน้ำที่แช่ไปรดพืชผักจะเร่งการเจริญเติบโตให้พืชผักได้อีกด้วย หากดื่มกินน้ำที่แช่หินสีรุ้งเป็นประจำจะทำให้ร่างกายแข็งแรงไม่เจ็บป่วยง่าย ๆ
“เอาล่ะนังหนู สิ่งที่ข้าสามารถบอกเจ้าได้ข้าก็บอกเจ้าไปจนหมดแล้ว เจ้ามีอะไรสงสัยอีกหรือไม่”
“หนูมีเวลากี่วันหรือคะคุณตา แล้วคุณตาจะพาหนูไปไหนหรือคะ แล้วที่ที่จะไปเป็นที่แบบไหน”
“เวลาของเจ้าในที่แห่งนี้ใกล้หมดแล้ว และเมื่อเจ้าจากไปทุกคนจะลืมเลือนเจ้าเหมือนเจ้าไม่เคยมีอยู่ในที่แห่งนี้ ส่วนเจ้าจะไปที่ไหน ข้าบอกเพียงได้ว่าเป็นโลกคู่ขนานและอยู่คนละห้วงมิติเวลากับที่แห่งนี้ ที่นั่นเจ้าจะมีครบทุกอย่างที่เจ้าปรารถนาจะมี แต่ที่แห่งนั้นครอบครัวของเจ้าล้วนยากจนและลำบาก ที่แห่งนั้นเป็นโลกล้าหลังในยุคของจีนโบราณที่ไม่มีอยู่จริง เอาล่ะไม่ต้องถามแล้ว เจ้าใช้เวลาที่เหลืออยู่เตรียมตัวเถอะ อีก 7 วันข้าจะมารับ ข้าบอกเจ้าได้เพียงเท่านี้ ที่เหลือขึ้นอยู่กับสติปัญญาของเจ้าแล้ว”
“อ้าว เดี๋ยว ๆ คุณตา เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไป อ้าวไปแล้ว แล้วจะทำยังไงล่ะเนี่ย พี่เหมียวจะเสียใจไหม นิดาล่ะ จะคิดถึงเราหรือเปล่า ไหนจะรฐาอีก ถ้าเราไม่เก็บก้อนหินนี่มาก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น หรือว่ามันเป็นโชคชะตากันแน่"
เมื่อทำอะไรไม่ได้ฉีหลินจำเป็นต้องทำตามคำแนะนำของชายชรา เธอลาพักร้อนในวันรุ่งขึ้นโดยบอกกับหัวหน้าว่ามีธุระด่วนที่ต้องไปทำซึ่งหัวหน้าก็อนุญาตให้เธอลาทันที
เธอได้ทำการโอนกรรมสิทธิ์สวนสมุนไพรให้กับสามีภรรยาที่ดูแลสวนให้เธอ ส่วนเงินในธนาคารเธอถอนออกมาและได้บริจาคให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เธอเติบโตมา
ส่วนเงินที่เหลือฉีหลินขับรถไปตามห้างสรรพสินค้า และเริ่มซื้อข้าวสาร เครื่องปรุงอย่างเช่นเกลือ น้ำตาล ไข่ไก่ เนื้อหมู เนื้อไก่ ฉีหลินซื้อข้าวสารจำนวนมากและยังซื้อซาลาเปาร้านประจำที่เธอกินประจำอีก 1,000 ลูก
ฉีหลินไม่รู้หรอกว่าเธอจะได้ไปอยู่ในที่แบบไหน มีข้าวสารย่อมดีกว่า มีข้าวกินดีกว่าไม่มี กับข้าวค่อยหาเอาข้างหน้า ฉีหลินขายของมีค่าทุกอย่าง รวมถึงรถของเธอด้วยเช่นกันหลังจากนั้นเธอได้บอกยกเลิกสัญญาเช่าคอนโดที่เธออาศัยมากว่า 5 ปี
เมื่อจัดการทุกอย่างฉีหลินนำเงินที่เหลือโอนให้สถานเด็กกำพร้าอีกรอบและเหลือเงินติดตัวเองไว้แค่พอสำหรับใช้จ่ายในอีกไม่กี่วันที่เหลือ เธอคิดว่าจะออกมาเช่าโรงแรมอยู่เพื่อรอเวลา
แต่ใครจะไปคิดเล่าว่าเธอจะอยู่ไม่ถึง 7 วันตามที่ชายชราบอก ทันทีที่เธอเดินออกจากคอนโด ยังไม่ทันข้ามถนนเลยด้วยซ้ำ ก็มีรถยนต์เสียหลักข้ามเกาะกลางถนนพุ่งมาชนเธอจนเกิดเสียงดังสนั่น
ร่างของฉีหลินลอยตามแรงกระแทกของรถ ร่างของเธอตกลงบนถนนท่ามกลางเสียงกรีดร้องของผู้คนและสติของเธอที่เริ่มลางเลือน เธอยังไม่ได้บอกลาใครแม้แต่คนเดียว
ไหนว่าอีก 7 วัน นอกจากจะไม่รักษาสัญญาและไม่รักษาเวลาแล้วยังให้เธอจากไปด้วยความเจ็บปวดอีกด้วย อ่า ช่างเป็นชายชราที่น่าโมโหเสียจริง ๆ หากเธอได้เจออีกครั้งกับชายชราคงต้องต่อว่าเขาสักหน่อยเป็นผู้ใหญ่ทำไมถึงไม่รักษาคำพูดเลย
สติของฉีหลินค่อย ๆ ลางเลือนและจากไปในที่สุด ชายชราที่มาช้าและไม่ทันการณ์ได้แต่ถอนหายใจ เขาทำได้แค่นำพาดวงวิญญาณของเธอไปส่งในที่อันห่างไกลให้สมกับที่ฉีหลินตั้งใจและคาดหวังอย่างไม่รู้ตัว
“ข้าส่งเจ้าได้แค่นี้ จากนี้ไปข้าขออวยพรให้เจ้าใช้ชีวิตให้ดี ให้สมกับที่เจ้าปรารถนานะข้าหวังว่าเจ้าจะผ่านพ้นความลำบากไปได้ พบกันใหม่ภพชาติต่อไปนะนังหนู ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
หวังฉีหลินในยุค 2021 จากไปแล้วอย่างไม่เต็มใจ จะให้เต็มใจได้ยังไง รู้อยู่ว่าตัวเองต้องตายไปแต่มันไม่เร็วไปหน่อยเหรอแถมยังตายแบบเจ็บปวดศพของเธอเองก็คงจะเละไม่มีชิ้นดี ยังดีที่เธอเตรียมของเอาไว้ครบแล้วโดยเฉพาะยารักษาโรคต่าง ๆ ยาสามัญขั้นพื้นฐานก็ซื้อมาจนครบแล้วเงินที่เหลือนี่ล่ะเธอยังไม่ได้บริจาคเลย แบบนี้จะใจร้ายกับเธอมากเกินไปแล้ว ตายก็ตายก่อนกำหนด ตายแบบอนาถศพไม่สวยไม่พอยังเหลือสิ่งที่อยากทำอยู่ เครื่องสำอางยังไม่ได้ซื้อเลยนะคิดแล้วมันน่าแค้นใจอย่าให้เจออีกนะตาแก่เบื้องบนตาแก่ที่ฉีหลินคาดโทษยืนดูเธอก่นด่าด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ใครจะไปรู้ได้ว่าจะมีเทพเกเรทะเลาะกันจนทำให้ไปเผลอทำเส้นชะตาคนอื่นขาดกัน ดีเท่าไหร่ว่าเป็นหวังฉีหลินที่เหลือเวลาอยู่ไม่เท่าไหร่ แต่หากเป็นคนอื่นไม่รู้จะแก้ไขยังไงดีแล้ว“เป็นเพราะพวกท่าน ท่าน ท่าน แล้วก็ท่าน ทำให้นางก่นด่าข้า พวกท่านอายุเท่าไหร่กันแล้วทำไมยังทะเลาะกันด้วยเรื่องไร้สาระอยู่อีก”“ท่านจะบ่นทำไม ไหน ๆ อีกไม่กี่วันนางก็จะตายอยู่แล้ว ท่านเองไม่ใช่รึไงที่ทำดวงวิญญาณนางหลุดลอยไปน่ะกว่าจะตามหานางพบกี่พั
หยางเทียนฉีที่ลูกชายไปตามถึงทุ่งนาพอรู้เรื่องเขารีบวิ่งกลับมาบ้านเพื่อดูอาการของลูกสะใภ้ทันที ลูกชายเขาก็บาดเจ็บสาหัสไปแล้วคนหนึ่ง ครั้งนี้ลูกสะใภ้ยังมาบาดเจ็บอีกทำไมถึงได้เกิดเรื่องร้าย ๆ ขึ้นกับครอบครัวของเขากัน“ฉีหลินเป็นอย่างไรบ้าง มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่พวกเจ้าพูดมาให้หมด วันนี้พวกเจ้าสองคนขึ้นเขาไปกับพี่สะใภ้ไม่ใช่หรือเหตุใดนางจึงตกลงไปในร่องเขาได้”“เพราะสะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองบ้านท่านลุงแย่งโสมที่พี่สะใภ้หาเจอและผลักนางตกลงไปในร่องเขาขอรับ ข้าวิ่งมาทันตอนที่พี่สะใภ้กำลังกลิ้งตกร่องเขาพอดี ”“มันจะเกินไปแล้ว ตอนที่ลูกใหญ่บาดเจ็บกลับมาจากรับจ้างในเมืองเงินค่าชดเชยพี่สะใภ้ก็เอาไปเข้าส่วนกลางจนหมดไม่ยอมจ่ายค่าหมอ ครั้งนี้ลูกสะใภ้ของนางยังมาแย่งของของคนอื่นอีก”“ท่านพี่เจ้าคะ ท่านจะทนอยู่แบบนี้อีกนานเท่าไหร่ ท่านพ่อท่านแม่ของท่านก็ตายไปนานแล้วคำสั่งเสียให้พวกท่านพี่น้องอยู่อย่างรักใคร่ปรองดองช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แต่ท่านดูสิ่งที่ครอบครัวพี่ชายท่านทำกับพวกเรา ส่วนแบ่งข้าวและธัญพืชแทบจะไม่พอกิน ท่านดูลูก ๆ ของเราอายุเพียงเท่านี้กลับต้องมาทำงานอย่างหนักแล้วท่านดูลูกสาวของพี่ชายท่านอายุตั
ฉีหลินที่เดินออกจากบ้านมุ่งหน้ามายังลำธารท้ายหมู่บ้านที่ชาวบ้านส่วนใหญ่มานั่งซักผ้ากันอยู่บริเวณนี้ และแล้วคำภาวนาของฉีหลินก็เป็นผลสำเร็จ เมื่อนางเดินมาจวนจะถึงลำธารและสะใภ้ใหญ่บ้านสายหลักที่ซักผ้าเสร็จและกำลังจะกลับบ้านพอดีฉีหลินมองหลันเหลียนฮวาด้วยดวงตาเป็นประกาย นึกถึงโจโฉ โจโฉก็มา เหอะ ๆ ช่างดีจริง ๆ พอดีเลยกำลังคันไม้คันมืออยู่พอดี ฉีหลินเดินต่อไปโดยที่ไม่หลบเหลียนฮวาดังเช่นเมื่อก่อน ทำให้นางไม่พอใจเป็นอย่างมาก ในใจนางเหลียนฮวาคิดว่าฉีหลินไม่น่าจะลุกขึ้นมาได้“โอ้ดูสิ ข้าเจอใครเข้าให้แล้ว ยังไม่ตายอีกหรือ ถึงได้มาเดินลอยหน้าลอยตาแถวนี้ อยากเจ็บตัวอีกใช่หรือไม่”“ยังไม่ตาย รอเจ้าตายก่อน ใครกันที่อยากเจ็บตัว เจ้าหรือ ”“นี่ นังฉีหลินกล้าดียังไงมาตีฝีปากกับข้า ข้าเป็นใครแล้วเจ้าเป็นใคร สำนึกเอาไว้ด้วยนะ ข้าเป็นสะใภ้บ้านใหญ่เจ้าต้องให้ความเคารพนับถือข้า อย่าได้คิดมาตีตนเสมอข้า”“เจ้าเป็นใครก็หาได้เกี่ยวอันใดกับข้า ส่วนข้าเป็นใครย่อมไม่หนักส่วนไหนของเจ้า สะใภ้บ้านใหญ่แล้วยังไง ก็แค่พวกหน้าหนาแย่งชิงของของคนอื่นยังกล้ามาโอ้อวด”“ใครกันแน่ที่แย่งของของคนอื่น ไม่ใช่เจ้าหรอกรึ นอกจากจะแย
ฉีหลินเดินนำหน้าน้องสามีกลับมาถึงบ้านจากนั้นนางนำปลาไปให้แม่สามีเพื่อต้มน้ำแกงให้กับสามีของนาง และแวะดูลูกชายฝาแฝดของนางด้วยอย่าดูถูกว่าพวกเขาอายุยังน้อยแต่เป็นเด็กที่รู้ความมากทุกวันเด็กน้อยทั้งสองหลังจากที่ดูแลแปลงผักหลังบ้านช่วยท่านย่าแล้ว ก็จะมาอยู่เป็นเพื่อนท่านพ่อของพวกเขาที่ป่วยจนไม่สามารถลุกออกจากเตียงได้“ท่านแม่ ข้าจับปลามาได้ รบกวนท่านแม่ต้มน้ำแกงให้ท่านพี่ดื่มหน่อยนะเจ้าคะ ข้ากับน้องเล็กจะเข้าป่าไปเก็บผักเสียหน่อย”“เจ้าทำไมไม่นอนพักอีกหน่อย เจ้าหายดีแล้วหรืออาหลิน”“ข้าหายดีแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ ไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ ข้าสบายดี”“ท่านแม่ขอรับพวกเราไปด้วยได้หรือไม่ขอรับ” แฝดพี่“หากพวกลูกไปใครจะอยู่ช่วยงานท่านย่า ใครจะคอยดูแลท่านพ่อ เอาไว้ท่านพ่อของลูกหายดีเมื่อไหร่แม่จะพาเจ้าสองคนไปด้วยดีหรือไม่”“ตกลงขอรับ พวกข้าจะเชื่อฟังรอท่านแม่อยู่ที่บ้านและช่วยท่านย่าดูแลท่านพ่อขอรับ”“ดีมากจ้ะเอาไว้แม่กลับมาแล้วจะทำของอร่อยให้กินนะ”“ขอรับ พวกเราจะรอท่านแม่ทำของอร่อยนะขอรับ”“ดีมาก เด็กดี แม่ไปก่อนอาเล็กของลูกรอแล้ว "ฉีหลินพาเยว่เล่อสะพายตะกร้าไม้ไผ่ขึ้นหลังเดินออกจากบ้านทางปีกซ้ายข
ทางด้านพ่อลูกหยางเทียนฉีและหยางเฟยจินที่ดั้นด้นเข้ามาในป่าลึกตั้งแต่ยามอิ๋น ด้วยหวังว่าจะสามารถล่าสัตว์ป่าได้บ้างเพื่อที่จะนำไปขายเพื่อหาเงินเป็นทุนในการแยกบ้าน“ท่านพ่อ พักสักหน่อยเถอะขอรับ ”“เช่นนั้นก็นั่งพักแถวนี้เถอะ พ่อขอโทษนะที่ทำให้พวกเจ้าต้องลำบากไปด้วยเป็นเพราะพ่อไม่ดีเอง”“อย่าโทษตัวเองเลยขอรับ ท่านพ่อไม่คิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดีหรือขอรับ หากเราใช้โอกาสนี้ขอแยกบ้านแต่เนิ่น ๆ ข้าคิดว่าท่านลุงกับท่านป้าย่อมยินดีให้เราแยกบ้าน”“พวกเขาย่อมยินดีให้เราแยกบ้านแต่พวกเราจะต้องออกไปแต่ตัว ถ้าเกิดบ้านเรามีแต่ผู้ใหญ่ที่โตแล้วทุกคนพ่อจะไม่หนักใจเลย อย่าลืมว่ายังมีเจ้าแฝดอยู่ด้วยหากเราผลีผลามไปจะเป็นการพากันตกที่นั่งลำบากได้ ตอนนี้เราคงต้องเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า”“ขอรับ เราคงต้องเข้าป่าให้มากหน่อย พอขายสัตว์ที่ล่ามาได้ เราสมควรจะเก็บไว้เอง ต่อไปข้าจะไม่เอาเงินที่พวกเราหามาได้อย่างยากลำบากให้กับบ้านใหญ่อีกต่อไปแล้ว”“ท่านป้าจะยอมหรือท่านพ่อ ข้ากลัวว่าจะมีปากเสียงกันอีก วันนี้พวกเราไม่ไปทำงานในทุ่งนา ข้ากลัวว่าพวกเรากลับไปคงต้องได้ทะเลาะกันกับท่านป้าเป็นแน่”“นางอยากพูดอะไรก็ให้นางพูดไป อยา
ทันทีที่เฟยจินไปตามหัวหน้าหมู่บ้านมาเพื่อเขียนสัญญาแยกบ้าน ในตอนที่บ้านหยางเกิดเรื่องทะเลาะวิวาทกันนั้นย่อมตกอยู่ในสายตาของชาวบ้านเมื่อหยางเฟยจินวิ่งหน้าตั้งไปที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน ขากลับมาพร้อมหัวหน้าหมู่บ้านจึงมีชาวบ้านตามมาเป็นพยานเป็นจำนวนมาก จะกล่าวว่ามาช่วยเป็นพยานก็คงจะไม่ใช่ทั้งหมดหากแต่เพื่อสนองต่อความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองเสียมากกว่าชาวบ้านหลายคนตามมาดูเพื่อสนองความต้องการของตัวเองและเพื่อให้ได้มีเรื่องนำไปซุบซิบนินทาในแต่ละวัน ในขณะที่รอหัวหน้าหมู่บ้าน หวังฉีหลินได้เริ่มมีปากเสียงกับหยางฮุ่ยเหอโดยมีพ่อสามีและน้องสาวของสามี ยืนมองอ้าปากค้าง ต่างคนต่างความคิด นี่เป็นลูกสะใภ้ตัวปลอมของเราแน่ ๆ ทำไมนางถึงได้กล้าที่จะมีปากเสียงกับพี่ชายของเขา แถมยังลงไม้ลงมือกับพี่สะใภ้และบรรดาลูกชายและลูกสะใภ้บ้านใหญ่อีกด้วย“ตกลงว่ายังไงเจ้าคะท่านลุง ท่านจะยอมคืนสินเดิมของท่านแม่และของข้าหรือไม่ หากไม่คืนข้าจะทุบตีภรรยาท่าน จนกว่าท่านจะยอมคืน”“หวังฉีหลิน มันจะมากไปแล้วนะ นี่เจ้าไม่เห็นหัวข้าที่เป็นผู้อาวุโสของบ้านหรืออย่างไร นอกจากเจ้าจะไม่ให้เกียรติภรรยาของข้าแล้วเจ้ายังมาลามปามข้า
บ้านใหญ่ตระกูลหยางหลังจากที่บ้านสายรองได้ทำการแยกบ้านออกไปแล้วนอกจากนี้นางหลินยังต้องคืนสินเดิมให้กับหวังฉีหลินกลับไปและยังมีที่ดินที่เป็นสินเดิมของนางฟางด้วย เรื่องนี้ทำให้นางหลินไม่พอใจเป็นอย่างมาก คนพวกนี้มีความกล้าตั้งแต่เมื่อไหร่กันเรื่องสินเดิมของนางฟางนั้นถูกแม่สามีของนางนำไปใช้จ่ายจนหมดตั้งแต่สมัยแม่สามีของนางยังมีชีวิตอยู่พอหวังฉีหลินแต่งเข้ามานางจึงลอกเลียนแบบแม่สามีของตนเองโดยทำการยึดเอาสินเดิมของหวังฉีหลินมาเก็บเอาไว้โดยอ้างว่าสินเดิมของทุกคนต้องนำมาเก็บรวมกันที่บ้านใหญ่ถึงแม้ว่าหวังฉีหลินจะไม่ได้เป็นลูกสะใภ้ของนางก็ตาม แล้วตอนนี้นางจะทำยังเช่นไรล่ะนอกจากจะต้องคืนของแล้วนางยังต้องมาเจ็บตัวเองไม่รู้ว่านังฉีหลินถูกวิญญาณร้ายที่ไหนเข้าสิงมาถึงได้กล้าลงมือกับนางขนาดนี้ ไม่ใช่แค่นางยังมีลูกสะใภ้และลูกชายของนางด้วยต่อไปนี้คงรังแกคนพวกนั้นไม่ได้อีกแล้วแต่ด้วยนิสัยของนางหลินย่อมต้องหาโอกาสแก้แค้นอยู่แล้วแต่จะแก้แค้นสำเร็จหรือไม่ก็ต้องดูด้วยว่านางหลินมีความสามารถที่จะแก้แค้นหรือให้สำเร็จหรือไม่“เจ็บใจจริง ๆ แล้วแบบนี้สินเดิมของข้าล่ะท่านแม่จะทำยังไง ของก็คืนให้นังฉีหลินไปหมดแล
เช้าวันใหม่หลังจากกินมื้อเช้าแล้วครอบครัวหยางสายรองเข้าเมืองโดยอาศัยเกวียนของหัวหน้าหมู่บ้านที่จะเดินทางเข้าเมืองเพื่อนำหนังสือแยกบ้านไปยื่นให้กับทางการทำการลงบันทึก และหยางเทียนฉีเองก็ต้องยื่นขอทะเบียนบ้านใหม่และแจ้งย้ายที่อยู่ไปในเสียคราวเดียวกัน“เทียนฉีเจ้าคิดดีแล้วหรือที่จะพาลูกเมียไปอยู่ที่ชายป่าหมอกทมิฬ”“ข้าคิดดีแล้วขอรับท่านลุงเมิ่ง มันอาจจะดีกว่าอยู่ที่นี่ขอรับ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้จะคิดทำอะไรอีก ที่ผ่านมาข้าทนมาพอแล้วขอรับ ทนแบกรับคำว่ากตัญญูเอาไว้บนบ่าจนลูกเมียต้องพลอยมาลำบากไปด้วย”“เจ้าคิดได้ก็ดีแล้วแต่ชายป่าหมอกทมิฬอันตรายมากนะ ข้ากลัวว่าสัตว์ป่าจะลงมาแล้วพวกเจ้าจะเป็นอันตราย”“ข้าคิดว่าจะทำกำแพงบ้านให้สูงหน่อยขอรับ”“ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้วข้าก็เอาใจช่วยและดีใจด้วยที่เจ้าหลุดพ้นจากตรงนี้ไปได้เสียที”“ขอรับ ขอบคุณท่านมาก”“พวกเจ้าพี่น้องอย่าได้เอาลุงใหญ่ของเจ้ามาเป็นเยี่ยงอย่างรู้หรือไม่ พี่น้องกันย่อมต้องรักใครปรองดองกัน”“ขอรับ ท่านลุงเมิ่ง”"เจ้าค่ะ ท่านลุงเมิ่ง"“ถึงพวกเจ้าจะย้ายไปแล้วหากมีอะไรให้ข้าช่วยก็มาบอกกับข้าได้ทุกเมื่อนะ หากมีอะไรที่ข้าช่วยได้
ในตอนที่ประมุขมารได้ตายไปพร้อมกับดวงจิตที่แตกสลาย แต่ทว่ากลับไม่ได้แตกสลายไปทั้งหมด ยังมีดวงจิตอีกเสี้ยวได้หลุดลอยไปเกิดใหม่ในอีกภพชาติหนึ่ง เกิดใหม่เป็นมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถระลึกชาติได้ ไม่มีความสามารถพิเศษอะไร เพียงใช้ชีวิตเรียบง่ายเพียงเท่านั้น นี่คือสิ่งที่ประมุขมารร่ำร้องขอความเมตตาจากสวรรค์ก่อนที่เข้าจะแหลกสลายไปหวังฉีหลินและเฟยเทียนกลับถึงหมู่บ้านป่าหมอก ทุกอย่างนางไม่คิดว่าจะง่ายดายถึงเพียงนี้ ในที่สุดประมุขมารก็คิดได้เสียที และหวังว่าพรที่นางและสามีร้องขอกับท่านมหาเทพนั้นจะทำให้ประมุขมารไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่ดี มีความสุขและมีภรรยาที่รักเขามากแล้วก็ขอให้ทั้งสองคนเป็นคู่ด้ายแดงทุกภพทุกชาติไป นี่เป็นสิ่งเดียวที่นางและสามีทำได้หลังจากที่หมดปัญหา หมดสงคราม ทุกคนก็ใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุข แคว้นหลงอยู่ในยุคที่เจริญรุ่งเรือง ประชาชนอยู่ดีกินดี และข่าวการกลับมาขององค์ชายแปดผู้หายสาบสูญ ตอนนี้ถูกแต่งตั้งเป็นชินอ๋อง ที่ดินศักดินาหมู่บ้านป่าหมอกและหมู่บ้านใกล้เคียงอีกสามหมู่บ้าน หวังฉีหลินทิ้งงานให้ลูกชายทั้งหลายแล้วหนีไปท่องเที่ยวกับสามี ทั้งสองคนออกไปท่องโลกกว้าง และมักจะนำผลไม้หรือพืช
หลังจากที่ประมุขมารได้รับสารท้ารบจากเฟยเทียน ทำให้เขาได้รู้ว่าต่อให้เวลาจะผ่านไปนานสักแค่ไหนบุรุษผู้กระหายสงครามและพร้อมจะทำลายศัตรูตรงหน้าให้ย่อยยับได้ทุกเมื่ออย่างแม่ทัพสวรรค์ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยถึงแม้ในชาติภพนี้เขาจะลงมาจุติในดินแดนของมนุษย์แต่ความสามารถของเขายังติดตัวมานั่นไม่ใช่เรื่องโกหก ถึงแม้มหาเทพจะไม่ค่อยชอบหน้าลูกเขยสักเท่าไหร่ แต่มหาเทพผู้รักลูกสาวยิ่งกว่าสิ่งใดย่อมไม่มีทางให้นางลำบากส่วนมารอย่างตัวเขาเล่าทำอันใดได้บ้าง เป็นเขาเองที่ไปตกหลุมรักนางข้างเดียว เป็นเขาเองที่ยึดมั่นถือมั่น เป็นเขาเองที่ไม่ยอมปล่อยวาง เขารู้ตัวเองดีด้วยพลังของตัวเขาเองยังไม่ฟื้นคืนกลับมาทั้งหมด ต่อให้สู้จนตัวตายก็ไม่สามารถเอาชนะทั้งสองได้ถึงแม้จะเอาชนะแม่ทัพสวรรค์ได้แล้วธิดามหาเทพจะชายตาแลเขาหรือก็ไม่ นางไม่เพียงไม่ชายตาแลหากแต่นางคงแก้แค้นเขาที่ทำให้สามีของนางต้องมีอันเป็นไป นอกจากจะไม่ได้ความรักแล้วสิ่งที่ได้กลับมาคือความเกลียดชังต่างหากที่นางจะหยิบยื่นให้เขาแล้วเหตุใดเขาถึงได้หน้ามืดตามัวเช่นนี้อยู่ถึงแสนปี ประชาชนเผ่ามารล้วนล้มตายไปตั้งเท่าไหร่ น้องชายคนเดียวของเขาที่เฝ้าเตือนสติเขาอยู่ตลอด
เวลาผ่านไปแล้วนับเดือน ตอนนี้กองกำลังที่ฉีหลินฝึกฝนขึ้นมาก็ออกจากด่านกักตนกันทุกคนแล้ว เวลานี้ฉีหลินกับสามีพร้อมด้วยเหล่าสัตว์เทพพร้อมไปเยือนเผ่ามารแล้วเฟยเทียนเองก็เห็นสมควรว่าไม่ควรปล่อยเวลาให้ยืดเยื้อไปมากกว่านี้ หลังจากจบปัญหานี้ได้เท่ากับภารกิจของภรรยาได้เสร็จสิ้นลงเช่นกัน ต่อจากนี้ไปพวกเขาสามีภรรยาจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเสียทีหลังจากกำหนดวันเคลื่อนพลได้แล้วฉีหลินก็ให้ทุกคนได้พักผ่อนให้เต็มที่ และเตรียมข้าวของที่จำเป็นใส่ลงในแหวนมิติให้เรียบร้อย ทั้งอาหารการกิน ยารักษาต่าง ๆ ทุกคนต่างเตรียมไปให้พร้อมสรรพ ด้วยศึกครั้งนี้อีกฝ่ายคือเผ่ามารไม่รู้ว่าจะมีฝีมือร้ายกาจขนาดไหน แต่พวกเขาเชื่อมั่นในตัวนายท่านและนายหญิงว่าจะนำพาพวกเขากลับบ้านมาอย่างปลอดภัยเฟยจิน เฮ่ออี และฮั่นเหวินไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการรบในครั้งนี้ ลูก ๆ ของเฟยเทียนทุกคนก็เช่นเดียวกัน ส่วนสัตว์เทพที่คอยดูแลความปลอดภัยที่หมู่บ้านป่าหมอกมีเพียงต้าเซี่ยกับเสี่ยวเสวียนอู่เพียงสองตัวเท่านั้นส่วนเสี่ยวหลาง เสี่ยวหู่ เสี่ยวเฮย เสี่ยวรุ่ยจื่อ และพี่ใหญ่อย่างจินหลงล้วนเข้าร่วมการรบในครั้งนี้ คนที่กระตือรือร้นมากที่สุดคื
ไป๋อี้ถังผู้โสดสนิท ครองตัวเป็นผู้บริสุทธิ์ประหนึ่งนักพรตผู้ทรงศีล อีกทั้งรังเกียจสตรีมากเล่ห์ หลังจากออกจากด่านกักตนมา เขาก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาสั่งสอนลูกศิษย์ในสำนัก ไม่มีภรรยาและบุตรให้ดูแล เวลาทั้งหมดที่มีนอกจากฝึกฝนพลังปราณแล้ว เวลาส่วนที่เหลือเขาจึงเคี่ยวเข็ญลูกศิษย์ในสำนักศึกษาด้วยความเข้มงวดในเวลาต่อมา อาจารย์ใหญ่ไป๋อี้ถังจึงมีฉายาว่า อาจารย์ใหญ่จอมโหด หากใครไม่ทำการบ้านมาส่งก็จะโดนลงโทษให้ไปวิ่งรอบสถานศึกษา อีกทั้งยังจะต้องทำการบ้านในครั้งหน้ามากกว่าคนอื่นสองเท่าเท่านั้นยังไม่พอ ยังต้องเขียนจดหมายสำนึกผิดอีก 100 จบ และไปเก็บมูลทำความสะอาดคอกของสือเอ้อร์กับสืออีแทนคนงานในไร่ แถมยังต้องถูกเจ้าสือเอ้อร์กับสืออีกลั่นแกล้งจนหน้าทิ่มกองอึอีก ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครกล้าไม่ทำการบ้านอีกเลยวันนี้เป็นวันที่ไป๋อี้ถังว่างมาก มากที่สุด วันนี้เป็นวันหยุดของสถานศึกษา ไป๋อี้ถังจึงคิดว่าจะไปเดินเล่นที่ตลาดในเมือง และหาซื้อพู่กันกับแท่นฝนหมึกเพิ่มเพราะเท่าที่เขามีอยู่ตอนนี้ใช้ไปจนเกือบจะหมดแล้วจากนั้นเขาตั้งใจว่าจะชวนสหายทั้งสามของเขาไปด้วยกัน แต่กลับไม่มีใครไปเพราะแต่ละคนต้องการอยู่กับภรรยาแ
หลังจากที่เฟยเทียนกับฉีหลินเดินทางกลับมาถึงหมู่บ้านป่าหมอกพร้อมลูกชายและเหล่าสหาย หนึ่งเดือนให้หลังเฟยจินก็กลับมาพร้อมกับฮั่นเหวินและเฮ่ออี หลังจากเข้าเฝ้าฮ่องเต้และรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดน รวมถึงส่งรายชื่อหนอนให้กับเบื้องบนแล้ว ตัวเขาเองก็หมดหน้าที่ ตอนนี้สงครามสงบลงแล้ว ทั้งสามจึงได้ยื่นหนังสือขอลาพักกลับบ้านเกิดเพื่อเยี่ยมบิดามารดาไป๋อี้ถังและสหายทั้งสามจะเข้าด่านกักตนเพื่อฝึกฝนในอีก 3 วันข้างหน้า โดยผู้ที่จะรับหน้าที่สั่งสอนศิษย์ในสถานศึกษาก็คือราชครูไป๋หย่งเต๋อที่เดินทางตามหลังเฟยจินได้เพียง 7 วันนอกจากไป๋หย่งเต๋อแล้วยังมีไป๋เจิ้นกั๋วเจ้ากรมอาญา เดินทางมาพร้อมกับไท่ปิงองครักษ์ประจำตัว นับเป็นการรวมตัวกันระหว่างองครักษ์เลยก็ว่าได้ เซียวหลางตัดสินใจแต่งงานและติดตามไป๋อี้ถัง ม่อถูเองก็เช่นเดียวกัน มีเพียงไท่ปิงเท่านั้นที่มีหน้าที่ดูแลไป๋เจิ้นกั๋วที่เมืองหลวงไท่ปิงเองก็อยากจะมีชีวิตเฉกเช่นสหายทั้งสองบ้าง เขาเองก็คงต้องเร่งฝึกองครักษ์ขึ้นมาใหม่เพื่อจะได้ทำหน้าที่แทนเขา ส่วนตัวเขาเองจะตามมาตั้งรกรากที่หมู่บ้านป่าหมอกแห่งนี้ตามสหายทั้งสองคนวันนี้ฉีหลินเรียกประชุมหน่วยลับที่เป
เฟยเทียนพาภรรยามุ่งหน้ากลับหมู่บ้านป่าหมอกทันที หลังจากจัดการทั้งสองแคว้นเรียบร้อยแล้ว และด่านสุดท้ายของภารกิจในครั้งนี้ก็คือจัดการกับเผ่ามารให้เด็ดขาด หากไม่กำจัดประมุขเผ่ามารเสียตอนนี้ ไม่แน่ว่าวันข้างหน้าก็จะเกิดปัญหาเช่นนี้อีก มีเพียงกำจัดประมุขมารให้ได้เท่านั้นทุกคนจะได้ไม่เดือดร้อน ตอนนี้มีข่าวส่งว่าอ๋องมารน้องชายเพียงคนเดียวของประมุขมารได้หนีออกจากเผ่ามารไปตั้งรกรากที่อื่นแต่เดิมอ๋องมารก็ไม่เห็นด้วยกับประมุขมารเรื่องยึดดินแดนมนุษย์ แต่ไหนเลยประมุขมารผู้เป็นพี่ชายจะยอมฟัง ในเมื่อมันเป็นความแค้นใจที่มีต่อธิดามหาเทพและสามี ต่อให้อีกนับล้านปีประมุขมารก็วางความแค้นในใจลงไม่ได้“ไม่รู้ว่าเจ้าสามแสบจะทำเรื่องปวดหัวให้ท่านพ่อกับท่านปู่มากมายเพียงใด โดยเฉพาะลูกสาวของท่านพี่ ป่านนี้ไม่ใช่พี่อี้ถังปวดหัวจนผมขาวหมดหัวแล้วหรือเจ้าคะ”“ฮ่า ฮ่า ไม่ขนาดนั้นกระมัง ลูกสาวของเราออกจะน่ารัก อีกอย่างพี่อี้ถังก็ไม่ใช่ว่าจะรับมือไม่ได้เลยนี่นะ”“ท่านพี่ก็เข้าข้างนางตลอดล่ะเจ้าค่ะ อีกหน่อยนางก็เสียคนพอดี”“ไม่ใช่ว่านางกลัวท่านแม่อย่างเจ้าอยู่หรอกหรือ เอาน่าลูกยังเด็กอยู่ยังไม่รู้ความ มีพวกต้าเซี่ยอย
ในท้องพระโรงตอนนี้เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้คร่ำคราญของบรรดาองค์หญิงและเหล่าสนมของฮ่องเต้ ส่วนเหล่าองค์ชายนั้นในใจต่างคิดว่าพวกเขาจบเห่แล้วคราวนี้ ยังไม่ทันได้ลงมือช่วงชิงตำแหน่งรัชทายาทแต่เสด็จพ่อกลับทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่ ตอนนี้คนของแคว้นหลงบุกมาจัดการพวกเขาถึงในวังหลวงแห่งนี้ เช่นนั้นที่ชายแดนก็คงจะพ่ายแพ้เช่นเดียวกัน“มีอะไรจะพูดหรือไม่ แต่เอาจริง ๆ ไม่ต้องพูดหรอกเสียเวลา ข้าเข้าใจ เสี่ยวเฮยจัดการด้วยล่ะ เอาให้สะอาด” ฉีหลิน“จัดการให้เรียบร้อยจะได้รีบไปจัดการต่อ ข้าอยากกลับบ้านคิดถึงลูก” เฟยเทียนฮ่องเต้แคว้นอู๋มองดูสองสามีภรรยาสั่งงานเจ้าบุรุษชุดดำด้วยความไม่เข้าใจ อะไรคือจัดการให้เรียบร้อย อะไรคือเอาให้สะอาด พูดจาให้คนฟังแล้วไม่เข้าใจก็ช่างเถอะ แต่ช่วยเห็นหัวเขาหน่อยจะได้หรือไม่“อ้อ เสี่ยวเฮย ช่วยปล่อยฮองเฮากับองค์ชายและองค์หญิงที่เกิดจากพระนางด้วย มีคนต้องการพบพวกเขา”“ได้ จะจัดการให้เดี๋ยวนี้”“ขอบใจ ท่านพี่ไปกันเถอะเจ้าค่ะ เรายังมีอะไรที่ต้องทำต่อ”“อืม เสี่ยวเฮยจัดการให้เรียบร้อยอย่าให้เล็ดลอดออกไปได้แม้แต่คนเดียวเข้าใจหรือไม่”เฟยเทียนเดินตามหลังภรรยาออกไปจากท้องพระโรง ท่าม
ในวันที่ฉีหลินกับเฟยเทียนตัดสินใจลักลอบเข้าวังหลวงแคว้นอู๋ ทางชายแดนแม่ทัพแคว้นอู๋ตัดสินใจนำทัพเข้าบุกแคว้นหลงทันทีโดยมีทัพมารเข้ามาแทรกแซงทำให้กำลังทหารของทางฝั่งแคว้นอู๋มีจำนวนเพิ่มมาหลายพันคนในเมื่อเผ่ามารมือยืดมือยาวถึงเพียงนี้ เสี่ยวเฮยเองก็ย่อมลิ้นยืดลิ้นยาวได้เช่นเดียวกัน ในตอนแรกที่เสี่ยวเฮยยังไม่ได้กลับไปอยู่ในร่างของมังกรทมิฬนั้น ย่อมไม่มีใครเกรงกลัวแต่หลังจากเผ่ามารเข้ามาแทรกแซงทำตัวเป็นกำลังเสริมให้กับแคว้นอู๋ เสี่ยวเฮยจึงเห็นว่าไม่ควรจะปิดบังตัวเองอีกต่อไป มันจึงได้กลับร่างเป็นมังกรทมิฬขนาดใหญ่กว่าที่เผ่ามารจะได้รู้ความจริงก็โดยกินไปจนเกือบหมดเสียแล้ว ยิ่งกลืนกินสิ่งชั่วร้ายไปมากเท่าไหร่ขนาดตัวของเสี่ยวเฮยก็ขยายขึ้นใหญ่มากเท่านั้น ตอนนี้ที่กำลังทหารของแคว้นอู๋เห็นเสี่ยวเฮยกำลังกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยอยู่นั้น ก็ตัดสินใจกันแล้วว่าจะหนีเอาตัวรอดถึงแม้ว่าแม่ทัพจะไม่สั่งถอยทัพแต่ใครก็ย่อมกลัวตาย ต่างคนต่างรักชีวิตของตัวเองเมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทิ้งอาวุธออกวิ่งทันทีส่วนเสี่ยวเฮยที่กินเผ่ามารไปแล้วยังรู้สึกว่าไม่อิ่มเท่าไหร่ ต่างจ้องมองไปที่กำลังทหารของแคว้นอู๋ด้วยสายตาวาววั
ในขณะที่ฉีหลินกับเฟยเทียนเข้าไปในแคว้นอู๋อย่างราบรื่น ตอนนี้พวกเขาหาที่พักในเมืองหลวงของแคว้นอู๋ได้เรียบร้อยแล้ว ทั้งสองคนปลอมตัวเป็นตายาย เปิดร้านขายบะหมี่ในตลาดนับว่าเป็นงานที่ท้าทายมากสำหรับเฟยเทียน งานขายบะหมี่นี้เขารับหน้าที่เป็นคนทำบะหมี่ ส่วนภรรยาอย่างฉีหลินนั้นทำหน้าที่เก็บเงิน ส่วนผู้ติดตามทำหน้าที่เสี่ยวเอ้อร์ พวกเขาเช่าร้านบะหมี่ต่อจากเจ้าของเดิมที่เก็บของเตรียมตัวย้ายไปอยู่กับลูกชายที่บ้านเกิดในระหว่างที่ท่านพ่อและท่านแม่ไปทำหน้าที่ทำภารกิจเพื่อความสงบสุข แต่ลูกน้อยทั้งสามคนที่หมู่บ้านป่าหมอกนั้นไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับ 3 คนแก่ที่บ้านสักเท่าไหร่ ไป๋อี้ถังเองยังไม่สามารถรับมือกับหลานน้อยทั้งสามคนได้ เขาไม่เคยคิดว่าเขาจะอับจนหนทางถึงขนาดนี้ เจ้าสามคนนี่เกิดมาเพื่อสร้างความปั่นป่วนจริง ๆ“ท่านยุงถัง อันนี้ฉือไร” ฟางเซียน“หนังสือวรยุทธ์เบื้องต้น” ไป๋อี้ถัง“ท่านยุงถัง ฉอน เซียนเอ๋อร์ยักเรียน”“ฟางเซียนลุงว่าตอนนี้เจ้าไปนอนกลางวันกับน้องชายทั้งสองของหลานดีหรือไม่ เอาไว้รอให้เจ้าโตกว่านี้ลุงจะสอนให้ทุกอย่างเลย ต้าเซี่ย มาพาคุณหนูของเจ้าไปนอนกลางวันได้แล้ว”“แต่เซียนเอ๋อร์ไม่