# ประเทศจีน
ในความโชคร้ายก็เหมือนจะมีความโชคดีอยู่บ้าง หากจะย้อนกลับไปเมื่อสิบปีที่แล้ว ซิงเหยียน เด็กน้อยกำพร้าที่เกิดอุบัติทางรถยนต์พร้อมครอบครัว จนต้องสูญเสียพ่อแม่ในคราวเดียว ทว่าคู่กรณีในครั้งนั้น ดันเป็นตระกูลใหญ่ผู้ร่ำรวย “ฮือ แม่จ๋า พ่อจ๋า” เด็กน้อยวัยเพียงเก้าขวบ ณ ตอนนั้น นั่งกอดศพบิดาพร้อมมารดาของเธอ ร้องไห้ปิ่มจะขาดใจดวงตาของเด็กน้อยแดงก่ำด้วยความเศร้าโศก “หนู อย่าร้องไปเลย ฉันสัญญาว่าจะดูแลหนูแทนพ่อแม่ที่จากไป” เสียงทุ้มใหญ่วัยราวเจ็ดสิบ ที่สวมชุดสูทพร้อมบอดี้การ์ดมากมายที่ยืนข้างกายของกู้อูเกอ นักธุรกิจผู้มั่งคั่งร่ำรวย ดวงตากลมเล็กค่อยๆ เหลือบมองใบหน้าเขา พร้อมคำพูดที่ไร้เดียงสา “คุณลุง คุณลุงเป็นใคร” แน่นอนว่าเด็กน้อยที่ไร้เดียงสา ไม่เข้าใจถึงอุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิด รถหรูคันโปรดที่มีร่างของนักธุรกิจใหญ่นั่งมา ชนรถเครื่องของครอบครัวเด็กน้อย จนพ่อและแม่ต้องเสียชีวิต ส่วนตัวซิงเหยียนบาดเจ็บแค่เล็กน้อยเท่านั้น “ต่อไปฉันจะเป็นผู้ปกครองของเธอ เรียกฉันว่าคุณปู่สิ” “คุณปู่” “ดีมาก เหยียนเหยียน” อย่าว่าแต่บอดี้การ์ดที่รายล้อม ขนาดตำรวจก็ยังให้ความเคารพแก่เขา อุบัติเหตุครั้งนั้น ที่ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น เพราะบิดาไม่ทันระวังจึงทำให้รถที่ขับมาพร้อมครอบครัวเสียหลักแล้วฟุ้งชนเข้ากับรถหรูของประธานกู้ #สิบสองปีผ่านไป ทุกอย่างเหมือนจะสวยงามกับซิงเหยียน เพราะกู้อูเกอรักเด็กน้อยเสมือนหลานแท้ๆ เพราะตัวเองไม่มีหลานสาว มีเพียงหลานชายทั้งสองคน ตงหยาง และ ตงฉิน เท่านั้น เมื่อรับ ซิงเหยียนเข้ามาในบ้าน ก็เอ็นดูเธอเมตตาเธอ มอบหลายๆ อย่างให้เธอเทียบเท่าหลานชายทั้งสอง ทว่า หลี่น่า ลูกสะใภ้ไม่ค่อยจะปลื้มเด็กน้อยเท่าไหร่นัก เธอคิดเสมอว่า ซิงเหยียนจะเข้ามาเพื่อแบ่งสมบัติของลูกชายเธอ และสิ่งที่ทำให้ คุณนายหลี่เกลียดซิงเหยียนมากที่สุด ก็คงเป็นเรื่องที่ไม่คาดฝัน เมื่อหลายเดือนก่อน ลูกชายเพียงคนเดียวของอูเกอ เสียชีวิตจากการจมน้ำ เนื่องจากลงไปช่วย ซิงเหยียนที่ผลัดตกลงไป แน่นอนว่าเธอไหว้น้ำไม่เป็น มีเพียงคุณลุงที่เข้าไปช่วยและทำให้ท่านเองต้องจบชีวิต การเสียชีวิตของฟู่เฟย สร้างความเกลียดชังที่คุณนายหลี่มีให้ซิงเหยียนมากขึ้น เธอคิดว่าซิงเหยียนเป็นตัวกาลกิณี เป็นตัวซวย แถมยังเสี้ยมสอนให้ลูกชายคนโตที่จะขึ้นมาดำรงตำแหน่งของประธานบริษัท อย่าง ตงหยาง เกลียดเธอเข้าไส้เช่นกัน เว้นเสียแต่ ตงฉิน ที่เป็นมิตรกับเธออยู่ #บ้านตระกูลกู้ เสียงร่ำไห้สะอึกสะอื้นของซิงเหยียน เมื่อคนที่นอนหายใจโรยรินบนที่นอนกว้าง อูเกอแก่ชราตามวัยพร้อมด้วยโรคประจำตัวหลายอย่าง สายออกซิเจนที่สอดเข้าไปทางโพล่งจมูกเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก แววตาขุ่นมัวทอดมองมาที่ใบหน้าจิ้มลิ้มของ ซิงเหยียน พร้อมน้ำเสียงที่แห้งผากเปล่งออกมาเบาๆ “เหยียนเหยียน เธอต้องดูแลตัวเอง จากนี้ไป ต้องเข้มแข็ง” “คุณปู่คะ” อูเกอรู้ดีว่า ลูกสะใภ้พร้อมทั้งหลานชายคนโตไม่เมตตาซิงเหยียน นับตั้งแต่ที่ฟู่เฟยเสียก็จงเกลียดจงชังเธอตลอด “ตงหยาง!” “ครับคุณปู่” “แกต้องดำรงตำแหน่งประธานบริษัท และที่สำคัญไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ห้ามให้ซิงเหยียนไปอยู่ที่อื่น แกรับปากฉันสิ” สายตาตวัดมามองคนตัวเล็กที่นั่งคุกเข่าร้องไห้ ความรู้สึกขุ่นเคืองอัดแน่นเต็มอก ทว่า ก็ต้องรับปากคนที่ตนให้ความเคารพ “ครับ!!” คำสั่งเสียของอูเกอที่มีต่อผู้คนในบ้าน ไม่นานหมอประจำตัวก็กันทุกคนออกไป ผ่านไปไม่ถึงสิบนาที กู้อูเกอก็สิ้นใจอย่างสงบ สร้างความเศร้าที่เกาะกินหัวใจดวงน้อยของซิงเหยียนเป็นอย่างมาก เวลานี่เธอคิดเพียงว่าไร้ที่พึ่งที่สุดท้ายไปแล้ว หนึ่งเดือนผ่านไป จบงานศพที่แฝงไปด้วยความเศร้ามากมายของตระกูล ในเวลาที่ไล่ๆ กันนั้น สูญเสียเสาร์หลักไปถึงสองคน จากนี้คนที่ขึ้นมาเป็นใหญ่คือลูกชายคนโตของตระกูลอย่าง ตงหยาง ชายหนุ่มที่ไร้แม้รอยยิ้มแฝงบนใบหน้านับจากวันที่สูญเสียบิดาคราวนั้น ตึก ตึก เสียงฝีเท้าที่สวมใส่รองเท้าคัทชูขัดมันเงาสีดำ สวมชุดสูทสีดำ ใบหน้าหล่อเหลาโดดเด่น ดวงตาสีน้ำตาลอ่อน ผิวขาวสุภาพ จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากหยักสวย ทว่า สีหน้าของเขานิ่งสงบราวกับผิวน้ำนิ่ง “คุณชายใหญ่มาแล้วค่ะ” เสียงแม่บ้านที่อยู่แถวนั้น เข้ามาบอกยังห้องโถงใหญ่ ตอนนี้มีคุณนายหลี่พร้อมด้วยตงฉินนั่งรอก่อนแล้ว และในนั้นยังมีซิงเหยียนที่ยืนสงบนิ่งไม่กล้าเข้ามานั่งที่โซฟาชุดหรู “ตงหยางเข้ามานั่งนี่สิลูก” ชายหนุ่มหน้านิ่งเดินเข้ามา พร้อมหย่อนสะโพกลงนั่งต่อหน้าทนายประจำตระกูล เวลานี่ถึงเวลาอันสมควรที่จะต้องเปิดพินัยกรรมที่คุณปู่เขียนไว้ แม้จะยังไม่ได้รับตำแหน่งท่านประธานอย่างเป็นทางการ แต่ตงหยางก็รู้ดีว่า ตำแหน่งนี้ก็คงไม่พ้นตนเองแน่นอน คนที่เข้ามารับฟังและเป็นพยานในครั้งนี้ มีบุคคลสำคัญของบริษัทสองท่าน รวมทั้งทนายประจำตระกูลด้วย “เอาละครับเท่าที่ทุกคนรู้ คุณท่านได้ร่างพินัยกรรมไว้ ก่อนที่ท่านจะเสีย วันนี้ถึงเวลาที่ผม ทนายประจำตระกูลต้องขอเปิดชี้แจงแก่ทุกท่านในที่นี้” ความเงียบบังเกิดขึ้น คนที่ใบหน้าชื่นมื่นที่สุดน่าจะเป็นคุณนายหลี่ ส่วนตงฉินรายนั้น เป็นคนเงียบๆ สีหน้าของเขาแม้จะไม่นิ่งเท่าพี่ชาย แต่เป็นคนที่มิตรไมตรีดี ระหว่างที่ทนายกำลังจะล้วงเอกสารขึ้นมาเปิดอ่าน สายตาฉายชัดถึงความรังเกียจที่มองไปอีกมุมของห้อง ใบหน้าเรียวงาม ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนจมูกโด่งเป็นสันปากอิ่มเอมสีชมพูระเรื่อ ผิวขาวเนียนดุจหยดขัดเงา ทว่า ภายในดวงตาของเธอนั้นฉายแววเศร้าหมองอยู่เต็มเปี่ยม แค่แว๊บเดียวตงหยางก็เสหลบสายตามามองทนายดังเดิม “พินัยกรรมฉบับนี้ ฉัน กู้อูเกอเป็นคนจาลึกไว้ ตงหยาง หลานชายคนโตของฉัน และ ตงฉิน ธุรกิจโรงแรมยี่สิบสามแห่ง แบ่งให้ ตงหยางและตงฉิน คนละห้าสิบเปอร์เซ็นต์” การอ่านพินัยกรรมเหมือนจะราบรื่น เพราะไม่เพียงจะแบ่งหุ่นของโรงแรมให้หลานชาย คนละครึ่งแล้ว ยังแบ่งหุ้นร้านเครื่องเพชรให้ลูกสะใภ้ดูแล ไม่เพียงเท่านั้นธุรกิจที่เหลือยังมีโรงงานผลิตเครื่องดื่ม และในพินัยกรรมนั้น มันดันมีซิงเหยียนเข้ามาร่วมด้วย รวมทั้งคฤหาสน์แห่งนี้ “เอ่อ...” “คุณทนาย หยุดทำไมละคะ อ่านต่อสิ” “จากนี้ อยากให้ทุกคนตั้งใจฟัง และเป็นสักขีพยานรวมกันนะครับ” “หมายความว่าอย่างไร?” “เรื่องต่อไปนี้ เป็นโรงงานและบริษัทเครื่องดื่มที่ส่งออกทั้งหมด หุ้นสามสิบเปอร์เซ็นต์ มอบให้ซิงเหยียน หลี่น่ายี่สิบเปอร์เซ็นต์ ส่วนตงหยางและตงฉิน คนละยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์” ยังไม่ทันที่ทนายจะได้อ่านจบ เสียงที่แทรกขึ้นด้วยความไม่พอใจกับวาระครั้งนี้ก็คือคุณนายหลี่ “อะไรกัน ฉันและลูกทำไมได้น้อยกว่านางเด็กรับใช้ คุณพ่อคิดอะไรกัน!!” “ใจเย็นๆ สิครับคุณหลี่ข้อความยังไม่จบเท่านั้น” สายตาดุจอาฆาตมองไปทางซิงเหยียนที่เอาแต่ก้มหน้ารับฟัง พร้อมด้วยสายตาของตงหยางที่มองอย่างเฉยชา แต่ไร้บทพูดใด “แม่ครับนั่งก่อนสิ รอให้ทนายได้อ่านจบก่อน” เสียงนุ่มละมุนดังขึ้น พร้อมดึงแขนแม่ให้นั่ง ตงฉินผู้ชายอบอุ่น ใบหน้าได้รูปคมเข้ม ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนอบอุ่น “ต่อนะครับ หุ้นของบริษัทจะมีผลก็ต่อเมื่อ ตงหยางสมรสกับซิงเหยียนเท่านั้น พร้อมด้วยตำแหน่งท่านประธานก็จะมีผลตามมาด้วย” “นี่มันบ้าชัดๆ!” “แม่ครับ” “คุณนายหลี่ฟังก่อน และที่สำคัญบ้านหลังนี้เป็นของ ซิงเหยียน แต่ถ้าตงหยางกับซิงเหยียนแต่งงานจะถูกแบ่งคนละครึ่งเมื่อทั้งคู่สมรสและมีลูกภายในหนึ่งปี หากฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งไม่ทำตามที่ระบุไว้ สิ่งที่จะมอบให้ต้องถูกยกให้อีกฝ่ายทันที” “นี่มัน!!” เสียงโพล่งดังชัด คุณนายหลี่มองด้วยความขุ่นเคือง ส่วนซิงเหยียนเธอไม่คิดว่าคุณปู่จะเขียนพินัยกรรมแบบนั้น อยู่ๆ จะให้แต่งงานกับ ตงหยาง ตอนนี้ใบหน้าของเขาไร้ซึ่งการแสดงออกใดๆ มีเพียงเสียงคัดค้านของมารดาเท่านั้น แต่อยู่ๆ รอยยิ้มหยักโค้งก็หักยิ้มที่มุมปาก พรึ่บ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ชำเลืองหางตาไปทางซิงเหยียนด้วยความแปลกประหลาดก่อนจะเปิดปากพูดครั้งแรก “ตกลง หากคุณปู่อยากให้ฉันแต่งงานกับเธอ ฉันจะแต่ง!!” “ตงหยาง ลูกบ้าไปแล้วหรือไง” เขาไม่ได้ฟังเสียใดๆ เมื่อพูดแบบนั้นก็เดินหันหลังออกจากห้องโถงใหญ่ทันทีหลังจากที่เปิดพินัยกรรมในวันนั้น ซิงเหยียนเธอไม่ค่อยได้เจอกับ ตงหยางสักเท่าไหร่นัก อย่างที่รู้กันว่าเขากำลังจะขึ้นดำรงตำแหน่งของท่านประธาน เรื่องวุ่นวายภายในบริษัทก็ย่อมมีมาก เพราะเขาต้องสานต่องานทุกอย่างจากพ่อและปู่ที่เสียไป โดยมีตงฉินเป็นผู้ช่วยอีกแรงบ้านตระกูลกู้“ป้าไฉค่ะ คุณป้าหลี่ท่านจะให้ตั้งโต๊ะมื้อค่ำเลยไหม”“ได้ยินว่า วันนี้คุณใหญ่คุณรองจะกลับมาทานมื้อค่ำที่บ้าน น่าจะให้ตั้งโต๊ะเลย”“งั้น หนูช่วยป้าดีกว่าค่ะ”“ไปนั่งเถอะ ตอนนี้เธอกำลังจะขึ้นมาเป็นคุณนายกู้เหยียน จะเข้ามาช่วยก็คงไม่เหมาะ”“ป้าก็รู้ว่า ที่พี่หยางต้องแต่งงานกับฉันก็เพราะพินัยกรรมเท่านั้น ไม่ได้ต้องการที่จะแต่งฉันเป็นเมียออกหน้าออกตาหรอกค่ะ”สายตาที่เศร้าสร้อยเมื่อพูดประโยคนั้นออกมา ทำเอาป้าไฉแม่บ้านวัยห้าสิบ ต้องลอบถอนหายใจ มองหน้าจิ้มลิ้มของเด็กสาวที่ตนเห็นมาตั้งแต่เด็ก พร้อมรอยยิ้มที่ฉีกออกเล็กน้อย“เหยียนเหยียน ป้ารู้ดีว่าที่คุณท่านทำพินัยกรรมออกมาแบบนั้น เพราะต้องการให้เธอได้อยู่ที่นี่ แต่ที่ป้าไม่เข้าใจ ทำไมต้องให้เธอแต่งกับคุณชายใหญ่ แทนที่จะให้แต่งกับคุณชายรอง”ก็นั่นนะสิ เธอเองก็ไม่เข้าใจ จริงอยู่ว่าเธ
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเงียบสนิท ตงหยางหน้านิ่งเอาแต่นั่งตักข้าวใส่ปาก ไร้แม้บทสนทนา ทำเอาบรรยากาศพลอยอึดอัดอยู่เล็กน้อย ส่วนซิงเหยียนเธอเองก็ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะพูดหรือถามอะไร ทั้งๆ คนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะคือคนที่เธอต้องแต่งงานด้วยดูเหมือนว่าบรรยากาศจะพาอึดอัดจริงๆ ตงฉินเหลือบสายตาขึ้นมองใบหน้านิ่งราวหุ่นยนต์ของพี่ชาย ก่อนที่ตัวเขาจะเป็นคนเอ่ยถาม“พี่ใหญ่ งานแต่งจะจัดขึ้นตอนไหน”เชื่อเถอะว่าคนที่ แทบสำลักอาหารที่ทานคือซิงเหยียน ส่วนตงหยางหน้านิ่งเขาชะงักก็จริงแต่ก็ทำนิ่งต่อ จนน้องชายต้องเอ่ยถามด้วยความอยากรู้“พี่ได้ยินที่ผมพูดหรือเปล่า ผมถามว่าพี่จะแต่งงานกับเหยียนเหยียนตอนไหน”ใบหน้าที่นิ่งยิ่งกลัวสายน้ำที่ไม่ไหวติงนั้น ช้อนสายตาขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่ตัวเขาจะวางช้อนและส้อมลงที่จานใบหรู หยิบแก้วน้ำขึ้นมาจิบดื่มด้วยท่าทางสง่า จากนั้นก็หันมามองใบหน้าสวยที่เอาแต่นั่งก้มหน้า“เดือนหน้า คงไม่ช้าไปใช่ไหมซิงเหยียน?”น้ำเสียงเยือกเย็น พร้อมสายตาที่แฝงความโหดร้ายทำเอาซิงเหยียนไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเขา เธอตอบเขาอย่างตะกุกตะกัก“มะ ไม่ช้าหรอกค่ะ เร็วไปด้วยซ้ำ”“ดี! ฉันจะสั่งคนให้มาดูแลเธอและพาเธอไปล
มีคนเดินเข้ามารับของในมือเธอ โดยที่เธอไม่ได้เรียกใช้ ทำเอาซิงเหยียนเองก็ไม่ชินเท่าไหร่นัก“ไม่เป็นไร ของพวกนี้ฉันถือเองได้”“ไม่ได้หรอกค่ะ ตอนนี้คุณนายเหยียนเป็นถึงเจ้าของบ้าน แถมกำลังจะแต่งงานกับคุณชายใหญ่ ก็ต้องขึ้นมาเป็น คุณนายกู้เหยียน แบบนี้เราก็ต้องให้ความเคารพ”ที่เธอไม่พูดเพราะไม่คิดว่าคำนั้นจะต้องได้ใช้ต่างหาก ซิงเหยียนเธอยืนเงียบ ทว่า เธอคงไม่รู้ว่ามีคนที่ยืนมองเธออยู่ที่ด้านบน บริเวณชั้นสองที่เป็นชานระเบียงวนรอบตัวอาคารแห่งนี้เมื่อมีเด็กรับใช้ในบ้านช่วยถือของ ซิงเหยียนเธอก็เดินขึ้นมาที่ชั้นบนของบ้าน เมื่อครั้งที่คุณปู่ยังอยู่เธอก็ถูกปรนนิบัติเหมือนหลานคนอื่นๆ ที่พักของเธอจึงอยู่ที่ชั้นนี้ด้วยเช่นกัน“หน้าระรื่นเชียว คงจะดีใจที่ถูกยกยอปอปั้นให้เป็นคุณนายเหยียนสินะ!!”น้ำเสียงทุ้มทรงอำนาจที่เปล่งออกมาอย่างหนักแน่น จนซิงเหยียนต้องระงับฝีเท้าที่จะเก้าไปข้างหน้า แม้ว่าจะไม่ได้มองว่าใครเป็นคนพูด แต่น้ำเสียงนี้เธอจำได้ขึ้นใจ“พี่หยาง!”“ตกใจ ดีใจ หรือเสียใจละ ที่เห็นหน้าว่าที่สามี”“เปล่าค่ะ เพียงแต่ฉันแปลกใจทำไมวันนี้พี่กลับบ้านเร็วได้”ตงหยางยังไม่ได้ตอบ แต่เขากับสาวเท้ามาที่เธ
เขาไม่ได้อธิบายอะไรให้มากความหลังจากนั้นก็จับร่างเล็กของซิงเหยียนหันไปที่โต๊ะทำงาน พร้อมมือของเขาเอื้อมไปจับเอกสารมาวางต่อหน้าเธอ เขาจับมือซิงเหยียนเหมือนจะบังคับให้เธอเซ็นให้ได้“พี่หยาง นี่มันมัดมือชกเลยนะ พี่จะทำอะไร”“หนึ่งปี ฉันให้เวลาเธอหนึ่งปีเท่านั้น หลังจากที่เธอมีลูกให้ฉัน สมบัติที่เธอได้ก็ต้องยกให้ลูกทั้งหมด ส่วนเธอฉันจะให้เงินสักก้อนเพื่อไปตั้งหลัก!!”“พี่บ้าหรือเปล่า ฉันไม่เซ็น”“หากเธอไม่เซ็น ฉันจะจับเธอปล้ำตรงนี้!!”เหตุการณ์เหมือนจะอึดอัดจนหายใจไม่ทั่วท้อง ไม่รู้ว่าเรื่องบ้าอะไรกันที่เธอต้องมาเจอ การแต่งงานที่มีสัญญาเป็นข้อผูกมัด แถมสัญญานั้นยังร่างเงื่อนไขบ้าๆ ของทายาทตระกูลดังไว้อีกซิงเหยียนเธอพยายามที่จะขัดขืนก็จริง แต่สิ่งที่เธอกลัวมากที่สุดคือ แววตาของตงหยางที่มองเธอด้วยความคาดคั้น“ระหว่างเซ็นสัญญา กับให้ฉันเล่นงานเธอจนเธอไม่เหลืออะไร เธอจะเอายังไงซิงเหยียน ใช้สมองน้อยๆ ของเธอคิดสิ ระหว่างที่เธอแต่งงานกับฉันหนึ่งปีเธอจะสุขสบาย แค่มีลูกให้ฉัน เธอก็จะได้เงินอีกมากมาย เพื่อไปใช้ชีวิตใหม่ ซิงเหยียนเธอคงไม่อยากเป็นบุคคลเร่ร่อนใช่ไหม”คำพูดทุกคำกรอกลงที่ข้างหูของเธอ จ
ตะลึงงันอยู่เล็กน้อย รอยสักอันน่าเกรงขามที่โชว์อยู่บนท่อนแขนเกร็ง ตาเธอจดจ้องจนไม่ละไปไหน ที่พึ่งเคยเห็นเพราะเขาไม่เคยใส่เสื้อแขนสั้นแม้จะอยู่ที่บ้านก็ตามที“เธอมองอะไร”แค่เขาตวัดสายตาดุมาใส่เธอ ซิงเหยียนก็ต้องรีบหลบ จากนั้นเธอก็ค่อยๆ เปล่งเสียงออกมาถาม“ค่ะคือ ทำไมพี่ถึงมีรอยสัก?”“ก็แค่รอยสัก ฉันรู้ว่าคุณปู่ไม่ชอบก็เลยไม่มีใครรู้ ส่วนเธอ จะรู้หรือเห็นมันก็ไม่สำคัญเท่าไหร่”เขาตอบคำถามของเธอ แค่นั้นโดยไม่ได้ใส่อารมณ์อะไร มันรู้สึกได้แค่ความว่างเปล่า ที่เขามีให้ซิงเหยียนร่างเล็กค่อยๆ ยันตัวเองลุกขึ้น หมายจะเดินไปถอดชุดในห้องน้ำ เธอรู้ดีว่าตรงนี้มีเขาอยู่ หากจะถอดก็คงไม่ได้สะดวก แต่พรึ่บมือหนารั้งไปที่เอวคอด ก่อนจะจับไหล่ของเธอ การกระทำของเขาเหมือนจะรูดซิปที่อยู่ด้านหลัง แต่เสียงของซิงเหยียนก็ต้องร้องขึ้น“พี่หยาง พี่จะทำอะไร”“ฉันรู้สึกว่าเธอ กำลังจะถ่วงเวลา ก็แค่ชุดราตรีชุดเดียวทำไมถึงถอดยากเย็นขนาดนั้น”ยังไม่ทันที่มือของเขาจะรูดซิปด้านลงหลง ซิงเหยียนก็ใช้แรงที่มีของเธอพลิกตัวกลับมาแล้วผลักอกเขาเข้าเต็มแรง“ฉันจะถอดเอง ยังไงเราก็แต่งกันแล้ว พี่ใจเย็นหน่อยได้ไหม” เขาพ่นลมแรงๆ ทำ
รับรู้ได้ว่าร่างเล็กที่นอนใต้ร่าง ทักท้วงขอลมหายใจที่ขาดหาย ตงหยางถอดถอนจูบอันเร่าร้อนนั้นออก พร้อมทั้งสบตาเธอที่นอนจ้องหน้าเขา“ทำไมไม่ขัดขืนซะละ หรือว่ารอเวลานี้มานาน”“พี่หยาง ฉันแต่งงานกับพี่ จะช้าหรือเร็วเรื่องแบบนี้ก็ต้องเกิด ฉันขัดขืนพี่ได้ด้วยเหรอ”เขายกยิ้มขึ้นเล็กน้อย เพราะมันเป็นเรื่องจริง หากจะว่าไปแล้ว ซิงเหยียนเธอคือผู้หญิงที่สวยน่ารัก หากเรื่องที่เกิดกับพ่อไม่ใช่เธอเป็นคนต้นเหตุ เขาเองก็คงไม่เกลียดเท่านี้“แล้วอย่ามาร้องหาความยุติธรรมทีหลังแล้วกัน!”อุณหภูมิในร่างไต่ระดับขึ้นตามอารมณ์กระตุ้น เสื้อผ้าจากที่เคยปกปิดร่างกายก็ลงไปกองอยู่ที่พื้น ไม่เพียงแค่เสื้อผ้าของซิงเหยียนหรอกนะ กางเกงที่เหลืออยู่ตัวเดียวบนร่างของตงหยางก็ถูกถอดแล้วกองอยู่ด้วยคืนเข้าหอที่ไร้ความหวานครั้งนี้ เธอรู้ดีว่าทุกการกระทำของเขา ทำลงไปเพื่อธุรกิจเบื้องหน้า แต่อย่างนั้นก็ยอมให้เขากระทำตามอำเภอใจ แม้จะเป็นครั้งแรกที่เจ็บปวด แต่ซิงเหยียนก็พยายามที่จะข่มอาการนั้นไว้ สิ่งที่เธอทำได้คือฝากรอยเล็บลงที่แผ่นหลังของตงหยางเท่านั้นรุ่งเช้า ลืมตาตื่นในยามเช้า ตอนนี้เธอรู้ดีว่าไม่ได้หลับนอนที่บ้านของตระกูลกู้
“เจียวมิ่ง เรื่องที่ฉันสั่ง นายจัดการหรือยัง”“จัดการแล้วครับคุณชายใหญ่”“ดี!! เย็นนี่ฉันจะสั่งสอนพวกมันเอง”เสียงเข้มโพล่งขึ้น ดวงตาทอประกายกล้าอย่างโหดเหี้ยม เมื่อนึกถึงพวกคนพาลที่ใส่ร้ายโรงงานผลิตของเขา ช่วงที่คุณปู่ล้มป่วย#โกดังร้างแห่งหนึ่ง“ปล่อยกู พวกมึงเป็นใครจับตัวกูมาทำไม!”คนที่ถูกมัดแขนไขว้หลัง พร้อมผ้าสีดำปิดตา ทว่า เสียงร้องตะโกนด่าทอก็ยังไม่หยุด เขาเป็นนักเลงหางแถว ที่ว่าจ้างให้คนเข้าไปผสมเครื่องดื่มในโรงงาน จนล็อตนั้นไม่สามารถส่งออกได้แถมยังเสียหายหลายล้านบาทเมื่อก่อน เป็นผู้จัดการโรงงาน แต่เพราะติดการพนันจนโงหัวไม่ขึ้น เรื่องฉ้อโกงจึงเกิด เมื่อถูกจับได้จึงถูกดำเนินคดี แถมถูกไล่ออก และนั่นทำให้เขาไม่พอใจเป็นอย่างมากตึก ตึกเสียงฝีเท้าหนักกระแทกลงพื้น ชายคนนั้นเงียบเสียงก่อนจะเงี่ยหูฟัง แม้ว่าดวงตาถูกปิดสนิท แต่ก็พอเดาได้ว่าใครเป็นคนจับเขามาพรึ่บวินาทีที่ผ้าปิดตาเปิดออก ใบหน้าหล่อคม ความสูงราวร้อยเก้าสิบ ยืนเด่นเป็นสง่า ทว่าสีหน้าดันเฉยชาไร้ความรู้สึก“คุณตงหยาง ปล่อยผมไปเถอะครับ ผมขอโทษ”“ตอนนี้ คิดขอโทษไม่สายไปหน่อยเหรอ เรื่องที่แกทำมันทำให้ฉันเสียเวลา เสียเงินไป
เสียงพูดคุยดูน่าสนุกสนาน จนทำเอาร่างสูงที่ได้ยินเสียงต้องเดินเข้ามาภายในห้องอาหาร เมื่อเห็นใบหน้าจิ้มลิ้มนั่งยิ้มอยู่กับน้องชาย สายตาก็ฉายแววดุดันขึ้นมา“กี่ทุ่มกี่โมงกี่ยามแล้ว ทำไมถึงมานั่งยิ้มร่าอยู่ที่นี่”เสียงทุ้มนั้น มันเรียกสายตาของคนทั้งสองต้องหันไปที่ทางเข้าห้อง เมื่อเห็นว่ามีร่างสูงหน้านิ่งยืนอยู่ ตงฉินก็รีบทักพี่ชายทันที“พี่หยาง มาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่เห็นได้ยินเสียงรถ มานั่งก่อนสิ ผมเองก็พึ่งมาถึง เหยียนเหยียนก็เลยเป็นธุระตั้งโต๊ะให้”เขาฟาดสายตาไปมองคนที่นั่งตรงข้าม แต่ก็ไม่ได้สาวเท้าไปหา แต่สิ่งที่พูดขึ้นนั้น“ฉันเหนื่อย แกจะกินก็กิน ฉันจะขึ้นไปพัก”เขาพูดเท่านั้นก็เดินหันหลัง เพียงแค่เห็นสายตาที่ไม่เป็นมิตร ซิงเหยียนเธอก็พอจะรู้หน้าที่“พี่ฉิน ฉันต้องขึ้นข้างบนแล้ว พี่นั่งทานคนเดียวได้ใช่ไหม”“ไม่ต้องห่วงพี่หรอก ห่วงตัวเองเถอะ ดูหน้าเขาสิ เป็นมิตรกับใครที่ไหน”อาจจะจริงที่ตงฉินพูด เขาเองก็พอรู้นิสัยพี่ชายดี รู้ว่าพี่ชายนิสัยได้แม่มาเต็มๆระหว่างที่เท้าของซิงเหยียนเดินขึ้นบันได เธอเองก็ใช้ความคิดต่างๆ นานา ไม่รู้ว่า คนในห้องจะหาเรื่องอะไรเธออีกแอ็ดดเพียงแค่ประตูห้องเปิ
กลับมาที่ห้องแล้วก็พาตัวของซิงเหยียนมานั่งลงที่ปลายเตียง จากนั้นก็รื้อกระเป๋าหายามาทาให้ เขานิ่งมากไม่พูดไม่จาไม่ถามเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยซ้ำว่าจริงหรือเปล่า แต่คนที่ถามดันเป็นซิงเหยียน“พี่คิดว่าฉันทำร้ายเธอหรือเปล่า”“แล้วเธอทำหรือเปล่า”ดวงตานิ่งราวกับว่าตงหยางไร้ความรู้สึกกับเรื่องที่เกิดขึ้น ส่วนซิงเหยียนไม่รู้จะพูดอะไร หากแต่พูดไปแล้วเขาอาจจะหาว่าเธอโกหกก็ได้“เงียบทำไมล่ะ เล่ามาสิ”“ฉันจะเล่าไม่เล่า มันก็ไม่มีความหมายหรอกเพราะคนชั้นต่ำอย่างฉันคำพูดมันไม่มีค่าอยู่แล้ว”“อย่าประชดสิ”“ไม่ได้ประชด...โอ๊ย”“เจ็บเหรอ”“ไม่เจ็บมั้งคะ รอยแดงขนาดนี้”“อย่าถือสาแม่เลย เธอก็รู้ว่าเขาเป็นคนแบบนี้”คนที่ผิดก็ยังถูกปกป้อง จริงอยู่ว่าหลี่น่าเป็นแม่ของเขา แต่ก็ไม่มีสิทธิ์ลงโทษเธอตามอำเภอใจ ในเมื่อความจริงตัวเองก็ไม่รู้ แต่ซิงเหยียนก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอนิ่งแล้วจ้องใบหน้าตงหยางผู้เป็นสามี“พี่หยาง!!”“มีอะไร”“สมมุติว่าวันหนึ่งเราต้องหย่ากัน...”นิ้วเรียวที่เกลี่ยยาบนแก้มนวลชะงักไป จากนั้นก็มองใบหน้าหวานอย่างหาคำตอบ“คิดจะหย่ากับฉันเหรอ”“...”ซิงเหยียนยังคงเงียบ แท้จริงก็ไม่อยากจะเอ่ยถามเรื่
สองสาวเดินออกมาจากบ้านพัก เดินชมบรรยากาศตามแนวทางเดิน ด้านล่างเป็นน้ำสีเขียวมรกต ไม่เพียงเท่านั้น ก็ยังเปลี่ยนกันถ่ายรูปเก็บไว้ จังหวะนั้นเสียงแจ้วๆ พูดไม่หยุดก็ดังขึ้น เธอหันไปมองก็เห็นสามีพาสาวหน้าขาวเดินชมบรรยากาศแทนที่จะเป็นซิงเหยียนที่เดินข้างเขาชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวสวมใส่แว่นตาสีดำสนิท เดินล้วงกระเป๋ากางเกง ใบหน้านิ่งเฉย แต่คนที่พูดไม่หยุดก็คงเป็นคุณหนูจาง“พี่หยาง นั่นภรรยาพี่นี่คะ”เขาเห็นแต่ที่ไม่อยากพูดอะไร เพราะบุคลิกก็เป็นคนแบบนั้นอยู่แล้ว“ท่านประธานกู้ แทนที่จะพาภรรยาเดินเล่น แต่กลับควงคุณหนูตระกูลดังเดินเล่นแทน แล้วบอกว่ามาฮันนีมูนไม่ทราบว่าฮันนีมูนกับใครกันแน่”เป็นเสียงของซูซ่านที่พูดประชด เธออดไม่ได้ที่จะว่าเขาแทนเพื่อน แต่ถูกซิงเหยียนสะกิดไว้ก่อน“เธอเดินเล่นกับเพื่อนได้ใช่ไหม แม่อยากให้ฉันดูแลลี่ถิง กลัวเธอจะเหงา”ซิงเหยียนมองแต่เธอไม่ได้พูด ความรู้สึกตอนนี้เริ่มไม่ดีเอามากๆ เขาบอกว่าจะมาฮันนีมูนกับเธอ แต่ดันเทคแคร์คนอื่น แบบนั้นมันไม่ให้ค่ากันเลยด้วยซ้ำจังหวะที่เธอเงียบ เสียงโพล่งมาจากทางด้านหลังก็ดังขึ้น“งั้นพี่พาพวกเธอเดินเที่ยวเองแล้วกัน”เสียงของห
สองพี่น้องชวนกันคุยขณะที่เท้าก็ไม่ได้หยุดนิ่ง ตงหยางที่เดินตามหลังภรรยาได้ยินทุกคำแต่ก็ไม่ได้พูด ส่วนคนที่อยากพูดด้วยก็เหมือนพยายามยิ้มให้เขาแต่คนหน้านิ่งอย่างตงหยางหรือจะมอง“ตงหยาง ดูสิแม่ได้ห้องเบอร์ไหน”ชายหนุ่มหันมามองแม่พร้อมเอื้อมไปหยิบบัตรคีย์การ์ด บ้านพัก เมื่อเห็นว่าหมายเลขไหนก็กวาดสายตามองตามแถวบ้าน แล้วชี้นิ้วให้แม่ดู“ด้านนั้นครับ”“เดินไปส่งแม่หน่อยได้ไหม”“คุณหนูจางคุณรู้จักใช่ไหม”เขารู้ว่าระดับคุณหนูตระกูลจางย่อมรู้อยู่แล้ว การที่แม่นอนห้องเดียวกับเธอก็ไม่มีอะไรน่าห่วง“เราสองคนเป็นผู้หญิงทั้งคู่ แกจะใจดำไม่เดินไปส่งหน่อยเหรอ”เขาเองก็เป็นคนไม่พูดมากและไม่อยากมีปัญหา เมื่อแม่บอกแบบนั้นก็สาวเท้านำปล่อยให้ซิงเหยียนยืนมอง สายตาของเธอแฝงความเศร้าเต็มเปี่ยม ทำไมกัน แม่สามีถึงรังเกียจเพียงนี้ แถมยังพาหญิงอื่นมาประเคนลูกชาย แค่เอาอีกฝ่ายมาร่วม ร่างเล็กก็มองออกแล้ว“เหยียนเหยียน แม่สามีเธอร้ายมาก แล้วยายคนนั้นก็ไม่รู้จักละอาย รู้ทั้งรู้ว่าพี่หยางแต่งกับเธอแล้วยังกล้ามา หน้าตาก็ดีทำไมหาผัวเองไม่ได้หรือไง”“ช่างเขาเถอะซู ฉันคงชินแล้วละ”“ซิงเหยียน เรื่องของเธอพี่ไม่อยากก้าวก่าย
หลายวันผ่านไปอาการของซิงเหยียนดีขึ้น และได้กลับมาทำงานที่แผนกบัตรที่โรงพยาบาลตามเดิม เพราะไม่อยากให้แม่สามีค่อนแคะเธอ เดี๋ยวจะหาว่าป่วยเพื่อไม่อยากทำงาน ส่วนตงหยางก็เข้าบริษัทเหมือนทุกครั้ง แทบจะไม่มีวันหยุดให้กับครอบครัว คำว่าฮันนีมูนคงไม่มีสำหรับภรรยาคนนี้“เหยียนเหยียน ช่วงวันหยุดเราไปพักผ่อนกันไหม”เสียงแจ้วเสนอ ในขณะที่ตัวของซูซ่านเข้ามาหาเพื่อนในช่วงพักกลางวัน คำว่าพักผ่อนทำให้เธอก็อยากไป แต่ไม่รู้ว่าจะมีปัญหากับคนที่บ้านหรือเปล่า“พักผ่อนเหรอ ที่ไหนล่ะ”“ฉันอยากไปทะเล ลมเย็นๆ น่าจะดีนะ”“ไม่รู้ว่าฉันจะไปด้วยได้หรือเปล่าน่ะสิ”“ทำไมล่ะ”“ก็...”“อย่าบอกนะว่ากลัวพี่หยางไม่ให้ไป”“บางทีเขาอาจไม่สนใจหรอก แต่ก็อยากบอกให้เขารู้ก่อน ไม่อย่างนั้นอาจจะมีเรื่องตามมาทีหลัง”ซูซ่านก็เหมือนจะเข้าใจเพื่อน เพราะมาเฟียหน้าตายอย่างตงหยางเป็นคนอารมณ์ร้อน หากไม่พอใจก็คงอาละวาด เสียงร่ำลือวงในเธอเองก็พอรู้ ว่าเขาร้ายขนาดไหน“งั้นเธอลองบอกเขาก่อน หากยังไงฉันจะได้ชวนพี่ซางไปด้วย”“อืม”เหมือนจะลำบากใจที่จะบอกว่าอยากไปพักผ่อนกับเพื่อน เธอไม่รู้ว่าตงหยางจะอนุญาตหรือปฏิเสธเพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แท
ซิงเหยียนตกใจอยู่เล็กน้อย ต้องแปลกใจว่าเขาไปไหนมาที่ไม่ไปเยี่ยมเธอตั้งแต่เมื่อวาน แต่พอเห็นร่างของหญิงสาวหน้าตาดียืนเคียงข้างแม่สามี ซิงเหยียนยิ่งรู้สึกใจแป้วขึ้นมา“แค่เป็นไข้หวัด ที่จริงเธอน่าจะกินยาก็หายแล้วนะ”“แม่ครับ หากกินยาหายจริง ซิงเหยียนคงไม่หมดสติหรอก ดีเท่าไรแล้วที่มีคนขึ้นไปพบ”เสียงคัดค้านของตงฉินทำเอาผู้เป็นแม่จิปากเหมือนไม่พอใจ ก่อนจะหันมาทางตงหยาง หมายจะบอกลูกชายให้ขึ้นไปอาบน้ำมากินข้าวเพราะตนมีแขก ทว่า“ไม่ใช่ธุระของนายแล้ว ฉันจะพาซิงเหยียนขึ้นห้องเอง”พูดจบก็รีบมาประคองเมียขึ้นไปที่ชั้นบนของบ้าน เมื่อมาถึงห้องก็ปล่อยร่างของซิงเหยียน ทว่าสิ่งที่เขาควรถามกลับไม่ถาม แต่สิ่งที่ไม่ควรถามดันพูดขึ้น“เธอป่วยแล้วทำไมต้องให้ตงฉินไปรับ ทำไมเรื่องที่เธอป่วยฉันไม่รู้”“พี่หยาง เมื่อวานพี่ฉินเขาบอกว่าโทร.หาพี่แล้ว แต่พี่ไม่รับ”“ทำไมต้องให้ตงฉินเป็นคนโทร. โทรศัพท์เธอไม่มีหรือไง”“ก็ฉันป่วย พี่ก็ได้ยินที่พี่ฉินบอก ฉันสลบและไปฟื้นที่โรงพยาบาล ตอนนี้โทรศัพท์ฉันก็ยังอยู่ที่บ้าน พี่ฉินพึ่งเอาไปให้เมื่อเช้า”“อ้อ ทุกอย่างเลยเป็นตงฉินสินะ ที่คอยใส่ใจเธอ”“ใช่ค่ะ”“ซิงเหยียน!”“พี่หยาง
“พี่ซาง สรุปฉันออกโรงพยาบาลได้ไหม”น้ำเสียงที่เอ่ยถามคล้ายจะหย่อนยานสักนิด ซิงเหยียนเหมือนคนอมทุกข์ ดวงตาของเธอก็ไม่ค่อยสดใสหรือเพราะหญิงสาวอาจจะป่วยอยู่เลยทำให้ทุกอย่างบนใบหน้าเศร้าตามไปด้วย“หากไม่มีไข้ เดี๋ยวเย็นๆ พี่จะเซ็นเอกสารให้ออก แต่จากนี้ถึงเที่ยงต้องรอดูอาการก่อน โอเคไหม”“ขอบคุณค่ะ”“การได้กลับไปนอนที่บ้านก็ยังอุ่นใจกว่าอยู่ที่นี่ จริงอย่างที่ตงฉินบอกว่าเธอไม่มีเพื่อน ไม่มีใคร คนที่บ้านคงมีแต่พี่ฉินที่เป็นห่วงเธอรวมทั้งป้าไฉด้วยบรรยากาศภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ดูเหมือนจะปกติ ที่บอกว่าปกติเพราะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เงียบอย่างไรก็เงียบอย่างนั้น ประกอบกับผู้คนในบ้านก็ไม่อยู่ จะมีก็แค่คุณนายหลี่เท่านั้นที่ไม่ค่อยได้ออกไปไหน เพราะอายุตอนนี้ก็เข้าวัยอาวุโสหกสิบกลางๆ“อาฟาง เมื่อคืนคุณชายใหญ่กลับบ้านมาหรือเปล่า ไม่ใช่ไปนอนเฝ้านางคนใช้ที่โรงพยาบาลหรอกนะ”“ไม่หรอกค่ะคุณนาย เพราะเมื่อคืนนี้รู้สึกว่าคุณชายใหญ่จะไม่ได้เข้าบ้าน แต่เมื่อเช้าเหมือนคุณชายรองรีบออกบ้านแต่เช้าค่ะ”“ตงฉินเลือดพ่อมันแรงจริงๆ บอกอะไรก็ไม่เชื่อฟัง เอาเถอะ ดีแล้วที่ตงหยางไม่กลับเข้าบ้าน”“แล้วเรื่องที่คุณซิงเหยียนป่ว
คำพูดเหมือนจะปลอบใจซิงเหยียนมากกว่า หญิงสาวเห็นแววตาของตงฉินล่อกแล่กอยู่นิดหน่อย แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าตงหยางคงไม่เห็นเธอสำคัญอยู่แล้ว เพราะเขาพูดแบบนั้นตลอดตั้งแต่เล็กจนโต ทุกครั้งที่เธอนอนโรงพยาบาล จะมีแค่พี่ฉินเท่านั้นที่มาเยี่ยม ส่วนตงหยางไม่เคยถามไถ่กันเลยด้วยซ้ำ“แล้วพี่ไม่ไปทำงานหรือไง”“ยายบื้อ นี่มันจะหกโมงเย็นแล้ว ใครเขาทำงานถึงค่ำกันล่ะ”ก็คงจะมี ขนาดสามีเธอป่านนี้ก็ยังไม่เห็นว่าเขาจะมาเยี่ยมเลยสักครั้ง“เหรอคะ”“เอาละ ฉันจะเฝ้าไข้เธอเอง”“พี่ฉิน ฉันว่าพี่กลับไปเถอะ ฉันดีขึ้นมากแล้ว พอช่วยเหลือตัวเองได้ อีกอย่างที่นี่เขามีพยาบาล พี่เองก็ต้องพักผ่อน ฉันไม่อยากทำให้พี่ต้องลำบาก”ยิ่งพูดก็ยิ่งน่าสงสาร ตงฉินมองหน้าหญิงสาว แม้จะรักซิงเหยียนเหมือนน้องสาว แต่ก็แอบคิดว่าหากพี่ชายดูแลเธอไม่ได้ ตัวเองก็พร้อมที่จะยืนข้างๆ คนตัวเล็ก“ก็ได้ งั้นฉันจะฝากหมอซางไว้แล้วกัน เผื่อมีอะไรให้เขาโทร.หา หมอซางเป็นหมอประจำตัวเธอนะ”“เหรอคะ”ตงฉินลุกขึ้นพร้อมกับจะเอื้อมมือไปลูบที่หัวของซิงเหยียนเหมือนที่เคยกระทำเมื่อครั้งยังเด็ก แต่เธอกลับเอียงหัวออกไปเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะรังเกียจ แต่เพราะความเหมาะสมของ
รุ่งเช้าร่างกายอิดโรยจากศึกในเมื่อคืน ซิงเหยียนขยับเปลือกตาทีละน้อยก่อนจะค่อยๆลืมตาตื่น พร้อมกวาดมองโดยรอบบนเพดาน เธอพยุงร่างให้ลุกขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้าเพราะรู้สึกปวดตามตัวไปหมด“กี่โมงแล้วเนี่ย”น้ำเสียงเหือดแห้งถามตัวเองก่อนที่จะขยับไปหยิบมือถือที่โต๊ะโคมไฟข้างๆ เมื่อมองดูแล้วก็สายกว่าทุกวัน ทว่า เธอคงไปทำงานไม่ไหวจริงๆแค่มองเวลาก็คิดว่าต้องโทร.ลาป่วยที่แผนก ก่อนจะส่งข้อความบอกคุณหมอซางอีกคนเท้าของซิงเหยียนค่อยๆ หย่อนลงแตะที่พื้น ภายในห้องอันแสนว่างเปล่า แน่นอนว่าคนที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ก็คงออกไปทำงานแล้ว“พี่หยาง พี่มันไร้หัวใจจริงๆ”เธอบ่นให้เขาขณะที่เท้าน้อยๆ กำลังจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ เมื่อร่างเล็กแทรกตัวเข้าไปก็หยุดยืนส่องกระจกสะท้อนเงาตัวเอง“บ้าจริง!”ที่เปล่งออกมาแบบนั้น เพราะรอยคมเขี้ยวที่ฝังอยู่บนตัวเธอมันแดงเป็นจ้ำๆ ไปหมด แถมต้นแขนเล็กยังมีรอยช้ำจากแรงบีบของเขาอีก ไม่รู้ว่าจะเรียกโชคชะตานี้ว่าอย่างไร แต่สิ่งที่หญิงสาวทำได้คือ ทน!ซิงเหยียนจัดการตัวเองพร้อมทั้งลาป่วยที่แผนก แต่ก็ไม่ลืมบอกผู้บริหารอีกคน กลัวเขาจะผิดหวังในตัวเธอ ที่อุตส่าห์รับเข้ามาทำงานร่างเล็กพยุงร่างต
บ้านตระกูลกู้พรึ่บ!!“พี่หยาง” ร่างเล็กประคองร่างของสามีมาถึงห้อง ก่อนจะวางเขาลงบนเตียงกว้าง ตงหยางในเวลาแทบประคองสติไม่อยู่ เพราะเหล้าในงานที่ดื่มไปพอสมควรทำให้เขาเมาอยู่ไม่น้อย“พี่หยาง ถอดเสื้อก่อนไหม”ความหวังดีของเธอยังมีต่อเขา ซิงเหยียนเห็นว่าชุดที่ชายหนุ่มสวมใส่ค่อนข้างหนา เสื้อเชิ้ตสีขาวถูกทับด้วยเสื้อสูทอาจจะทำให้คนเมาขาดสติรู้สึกอึดอัดเธอพยายามพลิกตัวอีกฝ่ายพร้อมดึงเสื้อออกอย่างทุลักทุเล ก่อนที่มันจะหลุดออกจากนั้นก็เดินเอาไปเก็บ เมื่อมองร่างที่นอนแผ่หลาบนเตียงก็แทบถอนหายใจ วินาทีที่เปลือกตาของเขาปิด มองไม่เห็นดวงตาตุดัน ใบหน้าหล่อเกลี้ยงเกลา ตงหยางก็คล้ายคนที่ไม่ได้มีภัยอะไร ทว่าเวลาที่ดวงตานั้นเปิดออก ทำไมมันดูเยือกเย็นน่ากลัวแปลกๆระหว่างที่ซิงเหยียนกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่ออาบน้ำ ก่อนจะหยิบเสื้อคลุมในตู้พร้อมสาวเท้าเข้าห้องน้ำ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อมือถือเครื่องโปรดของเธอมีสายโทร.เข้าครืด ครืดโทรศัพท์“ฮัลโหล”(ซิงเหยียน พรุ่งนี้ซูจะชวนไปกินข้าวที่บ้านหลังเลิกงาน ว่างไหม)“ทำไมเขาไม่โทร.มาบอกเองล่ะคะ ทำไมต้องให้พี่ซางโทร.มา”(พี่ก็ไม่รู้ ได้ยินว่าแบตฯหมด เลยอยากบอกเธอไว้