# ประเทศจีน
ในความโชคร้ายก็เหมือนจะมีความโชคดีอยู่บ้าง หากจะย้อนกลับไปเมื่อสิบปีที่แล้ว ซิงเหยียน เด็กน้อยกำพร้าที่เกิดอุบัติทางรถยนต์พร้อมครอบครัว จนต้องสูญเสียพ่อแม่ในคราวเดียว ทว่าคู่กรณีในครั้งนั้น ดันเป็นตระกูลใหญ่ผู้ร่ำรวย “ฮือ แม่จ๋า พ่อจ๋า” เด็กน้อยวัยเพียงเก้าขวบ ณ ตอนนั้น นั่งกอดศพบิดาพร้อมมารดาของเธอ ร้องไห้ปิ่มจะขาดใจดวงตาของเด็กน้อยแดงก่ำด้วยความเศร้าโศก “หนู อย่าร้องไปเลย ฉันสัญญาว่าจะดูแลหนูแทนพ่อแม่ที่จากไป” เสียงทุ้มใหญ่วัยราวเจ็ดสิบ ที่สวมชุดสูทพร้อมบอดี้การ์ดมากมายที่ยืนข้างกายของกู้อูเกอ นักธุรกิจผู้มั่งคั่งร่ำรวย ดวงตากลมเล็กค่อยๆ เหลือบมองใบหน้าเขา พร้อมคำพูดที่ไร้เดียงสา “คุณลุง คุณลุงเป็นใคร” แน่นอนว่าเด็กน้อยที่ไร้เดียงสา ไม่เข้าใจถึงอุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิด รถหรูคันโปรดที่มีร่างของนักธุรกิจใหญ่นั่งมา ชนรถเครื่องของครอบครัวเด็กน้อย จนพ่อและแม่ต้องเสียชีวิต ส่วนตัวซิงเหยียนบาดเจ็บแค่เล็กน้อยเท่านั้น “ต่อไปฉันจะเป็นผู้ปกครองของเธอ เรียกฉันว่าคุณปู่สิ” “คุณปู่” “ดีมาก เหยียนเหยียน” อย่าว่าแต่บอดี้การ์ดที่รายล้อม ขนาดตำรวจก็ยังให้ความเคารพแก่เขา อุบัติเหตุครั้งนั้น ที่ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น เพราะบิดาไม่ทันระวังจึงทำให้รถที่ขับมาพร้อมครอบครัวเสียหลักแล้วฟุ้งชนเข้ากับรถหรูของประธานกู้ #สิบสองปีผ่านไป ทุกอย่างเหมือนจะสวยงามกับซิงเหยียน เพราะกู้อูเกอรักเด็กน้อยเสมือนหลานแท้ๆ เพราะตัวเองไม่มีหลานสาว มีเพียงหลานชายทั้งสองคน ตงหยาง และ ตงฉิน เท่านั้น เมื่อรับ ซิงเหยียนเข้ามาในบ้าน ก็เอ็นดูเธอเมตตาเธอ มอบหลายๆ อย่างให้เธอเทียบเท่าหลานชายทั้งสอง ทว่า หลี่น่า ลูกสะใภ้ไม่ค่อยจะปลื้มเด็กน้อยเท่าไหร่นัก เธอคิดเสมอว่า ซิงเหยียนจะเข้ามาเพื่อแบ่งสมบัติของลูกชายเธอ และสิ่งที่ทำให้ คุณนายหลี่เกลียดซิงเหยียนมากที่สุด ก็คงเป็นเรื่องที่ไม่คาดฝัน เมื่อหลายเดือนก่อน ลูกชายเพียงคนเดียวของอูเกอ เสียชีวิตจากการจมน้ำ เนื่องจากลงไปช่วย ซิงเหยียนที่ผลัดตกลงไป แน่นอนว่าเธอไหว้น้ำไม่เป็น มีเพียงคุณลุงที่เข้าไปช่วยและทำให้ท่านเองต้องจบชีวิต การเสียชีวิตของฟู่เฟย สร้างความเกลียดชังที่คุณนายหลี่มีให้ซิงเหยียนมากขึ้น เธอคิดว่าซิงเหยียนเป็นตัวกาลกิณี เป็นตัวซวย แถมยังเสี้ยมสอนให้ลูกชายคนโตที่จะขึ้นมาดำรงตำแหน่งของประธานบริษัท อย่าง ตงหยาง เกลียดเธอเข้าไส้เช่นกัน เว้นเสียแต่ ตงฉิน ที่เป็นมิตรกับเธออยู่ #บ้านตระกูลกู้ เสียงร่ำไห้สะอึกสะอื้นของซิงเหยียน เมื่อคนที่นอนหายใจโรยรินบนที่นอนกว้าง อูเกอแก่ชราตามวัยพร้อมด้วยโรคประจำตัวหลายอย่าง สายออกซิเจนที่สอดเข้าไปทางโพล่งจมูกเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก แววตาขุ่นมัวทอดมองมาที่ใบหน้าจิ้มลิ้มของ ซิงเหยียน พร้อมน้ำเสียงที่แห้งผากเปล่งออกมาเบาๆ “เหยียนเหยียน เธอต้องดูแลตัวเอง จากนี้ไป ต้องเข้มแข็ง” “คุณปู่คะ” อูเกอรู้ดีว่า ลูกสะใภ้พร้อมทั้งหลานชายคนโตไม่เมตตาซิงเหยียน นับตั้งแต่ที่ฟู่เฟยเสียก็จงเกลียดจงชังเธอตลอด “ตงหยาง!” “ครับคุณปู่” “แกต้องดำรงตำแหน่งประธานบริษัท และที่สำคัญไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ห้ามให้ซิงเหยียนไปอยู่ที่อื่น แกรับปากฉันสิ” สายตาตวัดมามองคนตัวเล็กที่นั่งคุกเข่าร้องไห้ ความรู้สึกขุ่นเคืองอัดแน่นเต็มอก ทว่า ก็ต้องรับปากคนที่ตนให้ความเคารพ “ครับ!!” คำสั่งเสียของอูเกอที่มีต่อผู้คนในบ้าน ไม่นานหมอประจำตัวก็กันทุกคนออกไป ผ่านไปไม่ถึงสิบนาที กู้อูเกอก็สิ้นใจอย่างสงบ สร้างความเศร้าที่เกาะกินหัวใจดวงน้อยของซิงเหยียนเป็นอย่างมาก เวลานี่เธอคิดเพียงว่าไร้ที่พึ่งที่สุดท้ายไปแล้ว หนึ่งเดือนผ่านไป จบงานศพที่แฝงไปด้วยความเศร้ามากมายของตระกูล ในเวลาที่ไล่ๆ กันนั้น สูญเสียเสาร์หลักไปถึงสองคน จากนี้คนที่ขึ้นมาเป็นใหญ่คือลูกชายคนโตของตระกูลอย่าง ตงหยาง ชายหนุ่มที่ไร้แม้รอยยิ้มแฝงบนใบหน้านับจากวันที่สูญเสียบิดาคราวนั้น ตึก ตึก เสียงฝีเท้าที่สวมใส่รองเท้าคัทชูขัดมันเงาสีดำ สวมชุดสูทสีดำ ใบหน้าหล่อเหลาโดดเด่น ดวงตาสีน้ำตาลอ่อน ผิวขาวสุภาพ จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากหยักสวย ทว่า สีหน้าของเขานิ่งสงบราวกับผิวน้ำนิ่ง “คุณชายใหญ่มาแล้วค่ะ” เสียงแม่บ้านที่อยู่แถวนั้น เข้ามาบอกยังห้องโถงใหญ่ ตอนนี้มีคุณนายหลี่พร้อมด้วยตงฉินนั่งรอก่อนแล้ว และในนั้นยังมีซิงเหยียนที่ยืนสงบนิ่งไม่กล้าเข้ามานั่งที่โซฟาชุดหรู “ตงหยางเข้ามานั่งนี่สิลูก” ชายหนุ่มหน้านิ่งเดินเข้ามา พร้อมหย่อนสะโพกลงนั่งต่อหน้าทนายประจำตระกูล เวลานี่ถึงเวลาอันสมควรที่จะต้องเปิดพินัยกรรมที่คุณปู่เขียนไว้ แม้จะยังไม่ได้รับตำแหน่งท่านประธานอย่างเป็นทางการ แต่ตงหยางก็รู้ดีว่า ตำแหน่งนี้ก็คงไม่พ้นตนเองแน่นอน คนที่เข้ามารับฟังและเป็นพยานในครั้งนี้ มีบุคคลสำคัญของบริษัทสองท่าน รวมทั้งทนายประจำตระกูลด้วย “เอาละครับเท่าที่ทุกคนรู้ คุณท่านได้ร่างพินัยกรรมไว้ ก่อนที่ท่านจะเสีย วันนี้ถึงเวลาที่ผม ทนายประจำตระกูลต้องขอเปิดชี้แจงแก่ทุกท่านในที่นี้” ความเงียบบังเกิดขึ้น คนที่ใบหน้าชื่นมื่นที่สุดน่าจะเป็นคุณนายหลี่ ส่วนตงฉินรายนั้น เป็นคนเงียบๆ สีหน้าของเขาแม้จะไม่นิ่งเท่าพี่ชาย แต่เป็นคนที่มิตรไมตรีดี ระหว่างที่ทนายกำลังจะล้วงเอกสารขึ้นมาเปิดอ่าน สายตาฉายชัดถึงความรังเกียจที่มองไปอีกมุมของห้อง ใบหน้าเรียวงาม ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนจมูกโด่งเป็นสันปากอิ่มเอมสีชมพูระเรื่อ ผิวขาวเนียนดุจหยดขัดเงา ทว่า ภายในดวงตาของเธอนั้นฉายแววเศร้าหมองอยู่เต็มเปี่ยม แค่แว๊บเดียวตงหยางก็เสหลบสายตามามองทนายดังเดิม “พินัยกรรมฉบับนี้ ฉัน กู้อูเกอเป็นคนจาลึกไว้ ตงหยาง หลานชายคนโตของฉัน และ ตงฉิน ธุรกิจโรงแรมยี่สิบสามแห่ง แบ่งให้ ตงหยางและตงฉิน คนละห้าสิบเปอร์เซ็นต์” การอ่านพินัยกรรมเหมือนจะราบรื่น เพราะไม่เพียงจะแบ่งหุ่นของโรงแรมให้หลานชาย คนละครึ่งแล้ว ยังแบ่งหุ้นร้านเครื่องเพชรให้ลูกสะใภ้ดูแล ไม่เพียงเท่านั้นธุรกิจที่เหลือยังมีโรงงานผลิตเครื่องดื่ม และในพินัยกรรมนั้น มันดันมีซิงเหยียนเข้ามาร่วมด้วย รวมทั้งคฤหาสน์แห่งนี้ “เอ่อ...” “คุณทนาย หยุดทำไมละคะ อ่านต่อสิ” “จากนี้ อยากให้ทุกคนตั้งใจฟัง และเป็นสักขีพยานรวมกันนะครับ” “หมายความว่าอย่างไร?” “เรื่องต่อไปนี้ เป็นโรงงานและบริษัทเครื่องดื่มที่ส่งออกทั้งหมด หุ้นสามสิบเปอร์เซ็นต์ มอบให้ซิงเหยียน หลี่น่ายี่สิบเปอร์เซ็นต์ ส่วนตงหยางและตงฉิน คนละยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์” ยังไม่ทันที่ทนายจะได้อ่านจบ เสียงที่แทรกขึ้นด้วยความไม่พอใจกับวาระครั้งนี้ก็คือคุณนายหลี่ “อะไรกัน ฉันและลูกทำไมได้น้อยกว่านางเด็กรับใช้ คุณพ่อคิดอะไรกัน!!” “ใจเย็นๆ สิครับคุณหลี่ข้อความยังไม่จบเท่านั้น” สายตาดุจอาฆาตมองไปทางซิงเหยียนที่เอาแต่ก้มหน้ารับฟัง พร้อมด้วยสายตาของตงหยางที่มองอย่างเฉยชา แต่ไร้บทพูดใด “แม่ครับนั่งก่อนสิ รอให้ทนายได้อ่านจบก่อน” เสียงนุ่มละมุนดังขึ้น พร้อมดึงแขนแม่ให้นั่ง ตงฉินผู้ชายอบอุ่น ใบหน้าได้รูปคมเข้ม ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนอบอุ่น “ต่อนะครับ หุ้นของบริษัทจะมีผลก็ต่อเมื่อ ตงหยางสมรสกับซิงเหยียนเท่านั้น พร้อมด้วยตำแหน่งท่านประธานก็จะมีผลตามมาด้วย” “นี่มันบ้าชัดๆ!” “แม่ครับ” “คุณนายหลี่ฟังก่อน และที่สำคัญบ้านหลังนี้เป็นของ ซิงเหยียน แต่ถ้าตงหยางกับซิงเหยียนแต่งงานจะถูกแบ่งคนละครึ่งเมื่อทั้งคู่สมรสและมีลูกภายในหนึ่งปี หากฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งไม่ทำตามที่ระบุไว้ สิ่งที่จะมอบให้ต้องถูกยกให้อีกฝ่ายทันที” “นี่มัน!!” เสียงโพล่งดังชัด คุณนายหลี่มองด้วยความขุ่นเคือง ส่วนซิงเหยียนเธอไม่คิดว่าคุณปู่จะเขียนพินัยกรรมแบบนั้น อยู่ๆ จะให้แต่งงานกับ ตงหยาง ตอนนี้ใบหน้าของเขาไร้ซึ่งการแสดงออกใดๆ มีเพียงเสียงคัดค้านของมารดาเท่านั้น แต่อยู่ๆ รอยยิ้มหยักโค้งก็หักยิ้มที่มุมปาก พรึ่บ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ชำเลืองหางตาไปทางซิงเหยียนด้วยความแปลกประหลาดก่อนจะเปิดปากพูดครั้งแรก “ตกลง หากคุณปู่อยากให้ฉันแต่งงานกับเธอ ฉันจะแต่ง!!” “ตงหยาง ลูกบ้าไปแล้วหรือไง” เขาไม่ได้ฟังเสียใดๆ เมื่อพูดแบบนั้นก็เดินหันหลังออกจากห้องโถงใหญ่ทันทีหลังจากที่เปิดพินัยกรรมในวันนั้น ซิงเหยียนเธอไม่ค่อยได้เจอกับ ตงหยางสักเท่าไหร่นัก อย่างที่รู้กันว่าเขากำลังจะขึ้นดำรงตำแหน่งของท่านประธาน เรื่องวุ่นวายภายในบริษัทก็ย่อมมีมาก เพราะเขาต้องสานต่องานทุกอย่างจากพ่อและปู่ที่เสียไป โดยมีตงฉินเป็นผู้ช่วยอีกแรงบ้านตระกูลกู้“ป้าไฉค่ะ คุณป้าหลี่ท่านจะให้ตั้งโต๊ะมื้อค่ำเลยไหม”“ได้ยินว่า วันนี้คุณใหญ่คุณรองจะกลับมาทานมื้อค่ำที่บ้าน น่าจะให้ตั้งโต๊ะเลย”“งั้น หนูช่วยป้าดีกว่าค่ะ”“ไปนั่งเถอะ ตอนนี้เธอกำลังจะขึ้นมาเป็นคุณนายกู้เหยียน จะเข้ามาช่วยก็คงไม่เหมาะ”“ป้าก็รู้ว่า ที่พี่หยางต้องแต่งงานกับฉันก็เพราะพินัยกรรมเท่านั้น ไม่ได้ต้องการที่จะแต่งฉันเป็นเมียออกหน้าออกตาหรอกค่ะ”สายตาที่เศร้าสร้อยเมื่อพูดประโยคนั้นออกมา ทำเอาป้าไฉแม่บ้านวัยห้าสิบ ต้องลอบถอนหายใจ มองหน้าจิ้มลิ้มของเด็กสาวที่ตนเห็นมาตั้งแต่เด็ก พร้อมรอยยิ้มที่ฉีกออกเล็กน้อย“เหยียนเหยียน ป้ารู้ดีว่าที่คุณท่านทำพินัยกรรมออกมาแบบนั้น เพราะต้องการให้เธอได้อยู่ที่นี่ แต่ที่ป้าไม่เข้าใจ ทำไมต้องให้เธอแต่งกับคุณชายใหญ่ แทนที่จะให้แต่งกับคุณชายรอง”ก็นั่นนะสิ เธอเองก็ไม่เข้าใจ จริงอยู่ว่าเธ
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเงียบสนิท ตงหยางหน้านิ่งเอาแต่นั่งตักข้าวใส่ปาก ไร้แม้บทสนทนา ทำเอาบรรยากาศพลอยอึดอัดอยู่เล็กน้อย ส่วนซิงเหยียนเธอเองก็ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะพูดหรือถามอะไร ทั้งๆ คนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะคือคนที่เธอต้องแต่งงานด้วยดูเหมือนว่าบรรยากาศจะพาอึดอัดจริงๆ ตงฉินเหลือบสายตาขึ้นมองใบหน้านิ่งราวหุ่นยนต์ของพี่ชาย ก่อนที่ตัวเขาจะเป็นคนเอ่ยถาม“พี่ใหญ่ งานแต่งจะจัดขึ้นตอนไหน”เชื่อเถอะว่าคนที่ แทบสำลักอาหารที่ทานคือซิงเหยียน ส่วนตงหยางหน้านิ่งเขาชะงักก็จริงแต่ก็ทำนิ่งต่อ จนน้องชายต้องเอ่ยถามด้วยความอยากรู้“พี่ได้ยินที่ผมพูดหรือเปล่า ผมถามว่าพี่จะแต่งงานกับเหยียนเหยียนตอนไหน”ใบหน้าที่นิ่งยิ่งกลัวสายน้ำที่ไม่ไหวติงนั้น ช้อนสายตาขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่ตัวเขาจะวางช้อนและส้อมลงที่จานใบหรู หยิบแก้วน้ำขึ้นมาจิบดื่มด้วยท่าทางสง่า จากนั้นก็หันมามองใบหน้าสวยที่เอาแต่นั่งก้มหน้า“เดือนหน้า คงไม่ช้าไปใช่ไหมซิงเหยียน?”น้ำเสียงเยือกเย็น พร้อมสายตาที่แฝงความโหดร้ายทำเอาซิงเหยียนไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเขา เธอตอบเขาอย่างตะกุกตะกัก“มะ ไม่ช้าหรอกค่ะ เร็วไปด้วยซ้ำ”“ดี! ฉันจะสั่งคนให้มาดูแลเธอและพาเธอไปล
มีคนเดินเข้ามารับของในมือเธอ โดยที่เธอไม่ได้เรียกใช้ ทำเอาซิงเหยียนเองก็ไม่ชินเท่าไหร่นัก“ไม่เป็นไร ของพวกนี้ฉันถือเองได้”“ไม่ได้หรอกค่ะ ตอนนี้คุณนายเหยียนเป็นถึงเจ้าของบ้าน แถมกำลังจะแต่งงานกับคุณชายใหญ่ ก็ต้องขึ้นมาเป็น คุณนายกู้เหยียน แบบนี้เราก็ต้องให้ความเคารพ”ที่เธอไม่พูดเพราะไม่คิดว่าคำนั้นจะต้องได้ใช้ต่างหาก ซิงเหยียนเธอยืนเงียบ ทว่า เธอคงไม่รู้ว่ามีคนที่ยืนมองเธออยู่ที่ด้านบน บริเวณชั้นสองที่เป็นชานระเบียงวนรอบตัวอาคารแห่งนี้เมื่อมีเด็กรับใช้ในบ้านช่วยถือของ ซิงเหยียนเธอก็เดินขึ้นมาที่ชั้นบนของบ้าน เมื่อครั้งที่คุณปู่ยังอยู่เธอก็ถูกปรนนิบัติเหมือนหลานคนอื่นๆ ที่พักของเธอจึงอยู่ที่ชั้นนี้ด้วยเช่นกัน“หน้าระรื่นเชียว คงจะดีใจที่ถูกยกยอปอปั้นให้เป็นคุณนายเหยียนสินะ!!”น้ำเสียงทุ้มทรงอำนาจที่เปล่งออกมาอย่างหนักแน่น จนซิงเหยียนต้องระงับฝีเท้าที่จะเก้าไปข้างหน้า แม้ว่าจะไม่ได้มองว่าใครเป็นคนพูด แต่น้ำเสียงนี้เธอจำได้ขึ้นใจ“พี่หยาง!”“ตกใจ ดีใจ หรือเสียใจละ ที่เห็นหน้าว่าที่สามี”“เปล่าค่ะ เพียงแต่ฉันแปลกใจทำไมวันนี้พี่กลับบ้านเร็วได้”ตงหยางยังไม่ได้ตอบ แต่เขากับสาวเท้ามาที่เธ
เขาไม่ได้อธิบายอะไรให้มากความหลังจากนั้นก็จับร่างเล็กของซิงเหยียนหันไปที่โต๊ะทำงาน พร้อมมือของเขาเอื้อมไปจับเอกสารมาวางต่อหน้าเธอ เขาจับมือซิงเหยียนเหมือนจะบังคับให้เธอเซ็นให้ได้“พี่หยาง นี่มันมัดมือชกเลยนะ พี่จะทำอะไร”“หนึ่งปี ฉันให้เวลาเธอหนึ่งปีเท่านั้น หลังจากที่เธอมีลูกให้ฉัน สมบัติที่เธอได้ก็ต้องยกให้ลูกทั้งหมด ส่วนเธอฉันจะให้เงินสักก้อนเพื่อไปตั้งหลัก!!”“พี่บ้าหรือเปล่า ฉันไม่เซ็น”“หากเธอไม่เซ็น ฉันจะจับเธอปล้ำตรงนี้!!”เหตุการณ์เหมือนจะอึดอัดจนหายใจไม่ทั่วท้อง ไม่รู้ว่าเรื่องบ้าอะไรกันที่เธอต้องมาเจอ การแต่งงานที่มีสัญญาเป็นข้อผูกมัด แถมสัญญานั้นยังร่างเงื่อนไขบ้าๆ ของทายาทตระกูลดังไว้อีกซิงเหยียนเธอพยายามที่จะขัดขืนก็จริง แต่สิ่งที่เธอกลัวมากที่สุดคือ แววตาของตงหยางที่มองเธอด้วยความคาดคั้น“ระหว่างเซ็นสัญญา กับให้ฉันเล่นงานเธอจนเธอไม่เหลืออะไร เธอจะเอายังไงซิงเหยียน ใช้สมองน้อยๆ ของเธอคิดสิ ระหว่างที่เธอแต่งงานกับฉันหนึ่งปีเธอจะสุขสบาย แค่มีลูกให้ฉัน เธอก็จะได้เงินอีกมากมาย เพื่อไปใช้ชีวิตใหม่ ซิงเหยียนเธอคงไม่อยากเป็นบุคคลเร่ร่อนใช่ไหม”คำพูดทุกคำกรอกลงที่ข้างหูของเธอ จ
เขาไม่ได้อธิบายอะไรให้มากความหลังจากนั้นก็จับร่างเล็กของซิงเหยียนหันไปที่โต๊ะทำงาน พร้อมมือของเขาเอื้อมไปจับเอกสารมาวางต่อหน้าเธอ เขาจับมือซิงเหยียนเหมือนจะบังคับให้เธอเซ็นให้ได้“พี่หยาง นี่มันมัดมือชกเลยนะ พี่จะทำอะไร”“หนึ่งปี ฉันให้เวลาเธอหนึ่งปีเท่านั้น หลังจากที่เธอมีลูกให้ฉัน สมบัติที่เธอได้ก็ต้องยกให้ลูกทั้งหมด ส่วนเธอฉันจะให้เงินสักก้อนเพื่อไปตั้งหลัก!!”“พี่บ้าหรือเปล่า ฉันไม่เซ็น”“หากเธอไม่เซ็น ฉันจะจับเธอปล้ำตรงนี้!!”เหตุการณ์เหมือนจะอึดอัดจนหายใจไม่ทั่วท้อง ไม่รู้ว่าเรื่องบ้าอะไรกันที่เธอต้องมาเจอ การแต่งงานที่มีสัญญาเป็นข้อผูกมัด แถมสัญญานั้นยังร่างเงื่อนไขบ้าๆ ของทายาทตระกูลดังไว้อีกซิงเหยียนเธอพยายามที่จะขัดขืนก็จริง แต่สิ่งที่เธอกลัวมากที่สุดคือ แววตาของตงหยางที่มองเธอด้วยความคาดคั้น“ระหว่างเซ็นสัญญา กับให้ฉันเล่นงานเธอจนเธอไม่เหลืออะไร เธอจะเอายังไงซิงเหยียน ใช้สมองน้อยๆ ของเธอคิดสิ ระหว่างที่เธอแต่งงานกับฉันหนึ่งปีเธอจะสุขสบาย แค่มีลูกให้ฉัน เธอก็จะได้เงินอีกมากมาย เพื่อไปใช้ชีวิตใหม่ ซิงเหยียนเธอคงไม่อยากเป็นบุคคลเร่ร่อนใช่ไหม”คำพูดทุกคำกรอกลงที่ข้างหูของเธอ จ
มีคนเดินเข้ามารับของในมือเธอ โดยที่เธอไม่ได้เรียกใช้ ทำเอาซิงเหยียนเองก็ไม่ชินเท่าไหร่นัก“ไม่เป็นไร ของพวกนี้ฉันถือเองได้”“ไม่ได้หรอกค่ะ ตอนนี้คุณนายเหยียนเป็นถึงเจ้าของบ้าน แถมกำลังจะแต่งงานกับคุณชายใหญ่ ก็ต้องขึ้นมาเป็น คุณนายกู้เหยียน แบบนี้เราก็ต้องให้ความเคารพ”ที่เธอไม่พูดเพราะไม่คิดว่าคำนั้นจะต้องได้ใช้ต่างหาก ซิงเหยียนเธอยืนเงียบ ทว่า เธอคงไม่รู้ว่ามีคนที่ยืนมองเธออยู่ที่ด้านบน บริเวณชั้นสองที่เป็นชานระเบียงวนรอบตัวอาคารแห่งนี้เมื่อมีเด็กรับใช้ในบ้านช่วยถือของ ซิงเหยียนเธอก็เดินขึ้นมาที่ชั้นบนของบ้าน เมื่อครั้งที่คุณปู่ยังอยู่เธอก็ถูกปรนนิบัติเหมือนหลานคนอื่นๆ ที่พักของเธอจึงอยู่ที่ชั้นนี้ด้วยเช่นกัน“หน้าระรื่นเชียว คงจะดีใจที่ถูกยกยอปอปั้นให้เป็นคุณนายเหยียนสินะ!!”น้ำเสียงทุ้มทรงอำนาจที่เปล่งออกมาอย่างหนักแน่น จนซิงเหยียนต้องระงับฝีเท้าที่จะเก้าไปข้างหน้า แม้ว่าจะไม่ได้มองว่าใครเป็นคนพูด แต่น้ำเสียงนี้เธอจำได้ขึ้นใจ“พี่หยาง!”“ตกใจ ดีใจ หรือเสียใจละ ที่เห็นหน้าว่าที่สามี”“เปล่าค่ะ เพียงแต่ฉันแปลกใจทำไมวันนี้พี่กลับบ้านเร็วได้”ตงหยางยังไม่ได้ตอบ แต่เขากับสาวเท้ามาที่เธ
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเงียบสนิท ตงหยางหน้านิ่งเอาแต่นั่งตักข้าวใส่ปาก ไร้แม้บทสนทนา ทำเอาบรรยากาศพลอยอึดอัดอยู่เล็กน้อย ส่วนซิงเหยียนเธอเองก็ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะพูดหรือถามอะไร ทั้งๆ คนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะคือคนที่เธอต้องแต่งงานด้วยดูเหมือนว่าบรรยากาศจะพาอึดอัดจริงๆ ตงฉินเหลือบสายตาขึ้นมองใบหน้านิ่งราวหุ่นยนต์ของพี่ชาย ก่อนที่ตัวเขาจะเป็นคนเอ่ยถาม“พี่ใหญ่ งานแต่งจะจัดขึ้นตอนไหน”เชื่อเถอะว่าคนที่ แทบสำลักอาหารที่ทานคือซิงเหยียน ส่วนตงหยางหน้านิ่งเขาชะงักก็จริงแต่ก็ทำนิ่งต่อ จนน้องชายต้องเอ่ยถามด้วยความอยากรู้“พี่ได้ยินที่ผมพูดหรือเปล่า ผมถามว่าพี่จะแต่งงานกับเหยียนเหยียนตอนไหน”ใบหน้าที่นิ่งยิ่งกลัวสายน้ำที่ไม่ไหวติงนั้น ช้อนสายตาขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่ตัวเขาจะวางช้อนและส้อมลงที่จานใบหรู หยิบแก้วน้ำขึ้นมาจิบดื่มด้วยท่าทางสง่า จากนั้นก็หันมามองใบหน้าสวยที่เอาแต่นั่งก้มหน้า“เดือนหน้า คงไม่ช้าไปใช่ไหมซิงเหยียน?”น้ำเสียงเยือกเย็น พร้อมสายตาที่แฝงความโหดร้ายทำเอาซิงเหยียนไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเขา เธอตอบเขาอย่างตะกุกตะกัก“มะ ไม่ช้าหรอกค่ะ เร็วไปด้วยซ้ำ”“ดี! ฉันจะสั่งคนให้มาดูแลเธอและพาเธอไปล
หลังจากที่เปิดพินัยกรรมในวันนั้น ซิงเหยียนเธอไม่ค่อยได้เจอกับ ตงหยางสักเท่าไหร่นัก อย่างที่รู้กันว่าเขากำลังจะขึ้นดำรงตำแหน่งของท่านประธาน เรื่องวุ่นวายภายในบริษัทก็ย่อมมีมาก เพราะเขาต้องสานต่องานทุกอย่างจากพ่อและปู่ที่เสียไป โดยมีตงฉินเป็นผู้ช่วยอีกแรงบ้านตระกูลกู้“ป้าไฉค่ะ คุณป้าหลี่ท่านจะให้ตั้งโต๊ะมื้อค่ำเลยไหม”“ได้ยินว่า วันนี้คุณใหญ่คุณรองจะกลับมาทานมื้อค่ำที่บ้าน น่าจะให้ตั้งโต๊ะเลย”“งั้น หนูช่วยป้าดีกว่าค่ะ”“ไปนั่งเถอะ ตอนนี้เธอกำลังจะขึ้นมาเป็นคุณนายกู้เหยียน จะเข้ามาช่วยก็คงไม่เหมาะ”“ป้าก็รู้ว่า ที่พี่หยางต้องแต่งงานกับฉันก็เพราะพินัยกรรมเท่านั้น ไม่ได้ต้องการที่จะแต่งฉันเป็นเมียออกหน้าออกตาหรอกค่ะ”สายตาที่เศร้าสร้อยเมื่อพูดประโยคนั้นออกมา ทำเอาป้าไฉแม่บ้านวัยห้าสิบ ต้องลอบถอนหายใจ มองหน้าจิ้มลิ้มของเด็กสาวที่ตนเห็นมาตั้งแต่เด็ก พร้อมรอยยิ้มที่ฉีกออกเล็กน้อย“เหยียนเหยียน ป้ารู้ดีว่าที่คุณท่านทำพินัยกรรมออกมาแบบนั้น เพราะต้องการให้เธอได้อยู่ที่นี่ แต่ที่ป้าไม่เข้าใจ ทำไมต้องให้เธอแต่งกับคุณชายใหญ่ แทนที่จะให้แต่งกับคุณชายรอง”ก็นั่นนะสิ เธอเองก็ไม่เข้าใจ จริงอยู่ว่าเธ
# ประเทศจีนในความโชคร้ายก็เหมือนจะมีความโชคดีอยู่บ้าง หากจะย้อนกลับไปเมื่อสิบปีที่แล้ว ซิงเหยียน เด็กน้อยกำพร้าที่เกิดอุบัติทางรถยนต์พร้อมครอบครัว จนต้องสูญเสียพ่อแม่ในคราวเดียว ทว่าคู่กรณีในครั้งนั้น ดันเป็นตระกูลใหญ่ผู้ร่ำรวย“ฮือ แม่จ๋า พ่อจ๋า”เด็กน้อยวัยเพียงเก้าขวบ ณ ตอนนั้น นั่งกอดศพบิดาพร้อมมารดาของเธอ ร้องไห้ปิ่มจะขาดใจดวงตาของเด็กน้อยแดงก่ำด้วยความเศร้าโศก“หนู อย่าร้องไปเลย ฉันสัญญาว่าจะดูแลหนูแทนพ่อแม่ที่จากไป”เสียงทุ้มใหญ่วัยราวเจ็ดสิบ ที่สวมชุดสูทพร้อมบอดี้การ์ดมากมายที่ยืนข้างกายของกู้อูเกอ นักธุรกิจผู้มั่งคั่งร่ำรวย ดวงตากลมเล็กค่อยๆ เหลือบมองใบหน้าเขา พร้อมคำพูดที่ไร้เดียงสา“คุณลุง คุณลุงเป็นใคร”แน่นอนว่าเด็กน้อยที่ไร้เดียงสา ไม่เข้าใจถึงอุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิด รถหรูคันโปรดที่มีร่างของนักธุรกิจใหญ่นั่งมา ชนรถเครื่องของครอบครัวเด็กน้อย จนพ่อและแม่ต้องเสียชีวิต ส่วนตัวซิงเหยียนบาดเจ็บแค่เล็กน้อยเท่านั้น“ต่อไปฉันจะเป็นผู้ปกครองของเธอ เรียกฉันว่าคุณปู่สิ”“คุณปู่”“ดีมาก เหยียนเหยียน”อย่าว่าแต่บอดี้การ์ดที่รายล้อม ขนาดตำรวจก็ยังให้ความเคารพแก่เขา อุบัติเหตุ