บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเงียบสนิท ตงหยางหน้านิ่งเอาแต่นั่งตักข้าวใส่ปาก ไร้แม้บทสนทนา ทำเอาบรรยากาศพลอยอึดอัดอยู่เล็กน้อย ส่วนซิงเหยียนเธอเองก็ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะพูดหรือถามอะไร ทั้งๆ คนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะคือคนที่เธอต้องแต่งงานด้วย ดูเหมือนว่าบรรยากาศจะพาอึดอัดจริงๆ ตงฉินเหลือบสายตาขึ้นมองใบหน้านิ่งราวหุ่นยนต์ของพี่ชาย ก่อนที่ตัวเขาจะเป็นคนเอ่ยถาม “พี่ใหญ่ งานแต่งจะจัดขึ้นตอนไหน” เชื่อเถอะว่าคนที่ แทบสำลักอาหารที่ทานคือซิงเหยียน ส่วนตงหยางหน้านิ่งเขาชะงักก็จริงแต่ก็ทำนิ่งต่อ จนน้องชายต้องเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ “พี่ได้ยินที่ผมพูดหรือเปล่า ผมถามว่าพี่จะแต่งงานกับเหยียนเหยียนตอนไหน” ใบหน้าที่นิ่งยิ่งกลัวสายน้ำที่ไม่ไหวติงนั้น ช้อนสายตาขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่ตัวเขาจะวางช้อนและส้อมลงที่จานใบหรู หยิบแก้วน้ำขึ้นมาจิบดื่มด้วยท่าทางสง่า จากนั้นก็หันมามองใบหน้าสวยที่เอาแต่นั่งก้มหน้า “เดือนหน้า คงไม่ช้าไปใช่ไหมซิงเหยียน?” น้ำเสียงเยือกเย็น พร้อมสายตาที่แฝงความโหดร้ายทำเอาซิงเหยียนไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเขา เธอตอบเขาอย่างตะกุกตะกัก “มะ ไม่ช้าหรอกค่ะ เร็วไปด้วยซ้ำ” “ดี! ฉันจะสั่งคนให้มาดูแลเธอและพาเธอไปลองชุด” “อ้าว ทำไมพี่ไม่พาเหยียนเหยียน ไปละครับ” เสียงที่แทรกขึ้นนั้น ทำเอาสายตาคู่ที่ไม่เป็นมิตรหันมามองน้องชายเพียงคนเดียวของเขา ก่อนที่ประโยคอันแสนเจ็บปวดจะหลุดออกมาจากปากเจ้าของร่างสูง “ฉันไม่มีเวลาไปทำเรื่องไร้สาระหรอกนะ!” พรึ่บ พูดจบก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วสาวเท้ายาวออกจากโต๊ะอาหารทันที พร้อมทิ้งประโยคนั้นไว้ให้ซิงเหยียนจุกอก “เหยียนเหยียน เธออย่าสนใจคำพูดพี่ใหญ่เลย เขาก็เป็นแบบนี้แหละ” เธอรู้ว่าเขาเป็นแบบนั้น แต่เขาน่าจะคิดบ้างว่าเธอกำลังจะแต่งงานใช้ชีวิตคู่ หากไม่ชอบเธอแล้วทำไมถึงยอมแต่ง “พี่ฉิน ฉันไม่เป็นไรค่ะ ทานเถอะเดี๋ยวอาหารเย็นจะไม่อร่อย” เธอพยายามจะกลบเกลื่อน ไม่อยากให้สิ่งที่น่าสมเพชที่สุดต้องไหลออกมาต่อหน้าตงฉิน หากจะถามว่าเธอรู้สึกอย่างไรนั้นมันก็คงเจ็บ การแต่งงานที่เขามองว่าไร้สาระ หากจะเป็นแบบนั้นไม่ต้องแต่งเสียดีกว่า เวลาผ่านไปค่อนข้างจะเร็วมาก อย่างที่ตงหยางพูดไว้ เขาจัดการส่งคนมาช่วยซิงเหยียนเพื่อพาไปร้านชุดเจ้าสาว มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่เธอจะต้องทำคือลองชุด เพราะเขาบอกเธอว่าที่เหลือเขาจัดการเอง ร้านอาหาร คนที่นัดไว้ว่าจะมาทานข้าวด้วยกันวันนี้ก็คือ ซูซ่าน เธอเป็นเพื่อนของซิงเหยียนตั้งแต่เรียนมัธยมจนกระทั่งมหาวิทยาลัย และที่นัดทานข้าวกันวันนี้เป็นเรื่องที่ซิงเหยียนเธออยากปรับทุกข์ในใจกับเพื่อนเท่านั้น “เหยียนเหยียน มานานแล้วเหรอ” เสียงที่โพล่งมาก่อนตัว จนซิงเหยียนที่นั่งอยู่ก่อนหน้าต้องเงยหน้าขึ้นมามอง พร้อมรอยยิ้มหวานส่งให้เพื่อน “ฉันพึ่งมาไม่นาน” ซูซ่านเลื่อนเก้าอี้แล้วนั่งฝั่งตรงข้ามของซิงเหยียน รอยยิ้มตาหยีแสดงความมีสุขเมื่อเห็นใบหน้าของเพื่อนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา “ทำไมอยู่ๆ อยากนัดมาทานข้าวละ หรือว่าเจ้าบ่าวของเธอไม่ว่างเลยนัดฉันแทน” ประโยคของซูซ่านทำเอาใบหน้าผ่องที่มีรอยยิ้มเมื่อครู่ ต้องหุบยิ้ม สีหน้าของเธอบึ้งตึงลงเล็กน้อย มันแสดงถึงความเศร้าที่เกาะกินในหัวใจ ที่นัดเพื่อนมาวันนี้ ก็เพราะเรื่องงานแต่งที่จะถึงไม่กี่วันข้างหน้า “ทำไมเธอทำหน้าแบบนั้น ดูเหมือนคนไม่มีความสุขเลยนะ” “ก็เพราะเรื่องแต่งงานนี้แหละที่ฉันนัดเธอออกมาทานข้าวด้วย อีกไม่กี่วันข้างหน้าก็เป็นวันมงคล แต่พี่หยางเขาไม่เคยสนใจเรื่องงานเลย ฉันไม่เข้าใจว่าทำไม คุณปู่ถึงอยากให้ฉันแต่งงานกับเขา” เสียงพ่นลมดังพรืดใหญ่ ซูซ่านรับรู้ถึงความรู้สึกเพื่อนที่มีต่อตงหยาง แม้ว่าชายหนุ่มคนนั้นจะไม่ได้มองซิงเหยียนอยู่ในสายตาก็ตาม ทว่า ความรักที่มันแอบเกิดขึ้นในใจสมัยซิงเหยียนตั้งแต่อยู่มอปลาย เหมือนจะมั่นคงตลอดมา “เหยียนเหยียน คุณปู่กู้คงอยากให้เธอสมหวังกับความรัก และท่านคงคิดดีแล้ว” “แต่พี่หยางเขาไม่เคยรักฉันสักนิด พี่หยางก็มองฉันเป็นศัตรูเสมอมา” “นั่นเพราะคุณนายหลี่ต่างหากละ เมื่อก่อนตงหยางก็ไม่ได้เกลียดเธอนี่เพียงแต่เขาไม่พูดเท่านั้น แต่ที่เกลียดเธอเพราะแม่เขาเป่าหูหรอก หาว่าเธอทำพ่อเขาตาย แต่เขาจะรู้ไหมความจริงคืออะไรกันแน่” “ช่างเถอะ เรื่องมันผ่านมาแล้ว ต่อให้เรื่องจริงเป็นแบบไหน พี่หยางเขาก็เกลียดฉันไปแล้วละ” ระหว่างที่นั่งคุยกันในร้าน เมนูของทางร้านก็ถูกเปิดออก ดวงตาคู่หวานของซิงเหยียนกวาดมอง ก่อนที่เธอจะสั่งเมนูที่อยากทาน ส่วนซูซ่านก็เช่นกัน บรรยากาศภายในร้านค่อนข้างที่จะสบายดูไม่แออัดจากผู้คนที่เข้ามาใช้บริการ หรือเพราะร้านนี้ถูกตั้งอยู่รอบนอกเมืองมีต้นไม้ให้ความร่มรื่น ต่างจากเขตเมืองที่ผู้คนแออัดจนรู้สึกว่าจะทานอะไรก็ไม่คล่องตัว หลังจากที่นั่งทานมื้อเที่ยงกันแล้ว ซิงเหยียนเธอก็เล่าให้ซูซ่านฟังเรื่องที่เธอพึ่งไปลองชุดโดยไม่มีว่าที่เจ้าบ่าวไปด้วย และสิ่งที่เขาพูดเมื่อหลายวันก่อนก็ทำเอาเธอเองแอบน้อยใจอยู่บ้าง หลังจากที่นั่งทานและพูดคุยกันอยู่สักพัก ซิงเหยียนเธอก็ขอแยกกับเพื่อนตรงนั้น โดยมีคนขับรถของทางบ้านมารอรับอยู่แล้ว ไม่ต้องลำบากนั่งแท็กซี่ แม้ว่าเธอเองจะเป็นแค่ผู้อาศัยเมื่อครั้งคุณปู่ยังอยู่ แต่ท่านก็ไม่เคยให้เธอนั่งรถคันอื่นสักครั้ง นอกจากรถที่บ้านเท่านั้น และยิ่งตอนนี้เธอมีฐานะเป็นถึงเจ้าของบ้านอีก บ้านตระกูลกู้ กว่าจะกลับมาถึงคฤหาสน์หรูได้ ก็เกือบหกโมงเย็นเข้าไปแล้ว ที่ช้าก็เพราะแวะซื้อของใช้ส่วนตัว แต่เมื่อมาถึงก็เห็นว่ารถประจำตัวของตงหยางจอดอยู่ เพียงสายตาเหลือบไปมองก็เหมือนจะแปลกใจอยู่บ้าง ปกติแล้วตงหยางจะไม่กลับบ้านเร็วขนาดนี้ ร่างเล็กบอบบางเดินเข้ามาในคฤหาสน์หรู พร้อมข้าวของส่วนตัวที่เธอซื้อเข้ามาใช้ เวลานี้เหล่าแม่บ้านหลายคนก็ต่างให้ความเคารพเธอ เพราะเธอคือเจ้าของบ้านคนใหม่ที่ไม่ใช่คุณนายหลี่ แต่หลายคนก็ยังมองเธอว่า เธอเป็นกิ้งก่าได้ทอง ฮุบสมบัติของตระกูล เธอมันก็แค่เด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยงเท่านั้น
มีคนเดินเข้ามารับของในมือเธอ โดยที่เธอไม่ได้เรียกใช้ ทำเอาซิงเหยียนเองก็ไม่ชินเท่าไหร่นัก“ไม่เป็นไร ของพวกนี้ฉันถือเองได้”“ไม่ได้หรอกค่ะ ตอนนี้คุณนายเหยียนเป็นถึงเจ้าของบ้าน แถมกำลังจะแต่งงานกับคุณชายใหญ่ ก็ต้องขึ้นมาเป็น คุณนายกู้เหยียน แบบนี้เราก็ต้องให้ความเคารพ”ที่เธอไม่พูดเพราะไม่คิดว่าคำนั้นจะต้องได้ใช้ต่างหาก ซิงเหยียนเธอยืนเงียบ ทว่า เธอคงไม่รู้ว่ามีคนที่ยืนมองเธออยู่ที่ด้านบน บริเวณชั้นสองที่เป็นชานระเบียงวนรอบตัวอาคารแห่งนี้เมื่อมีเด็กรับใช้ในบ้านช่วยถือของ ซิงเหยียนเธอก็เดินขึ้นมาที่ชั้นบนของบ้าน เมื่อครั้งที่คุณปู่ยังอยู่เธอก็ถูกปรนนิบัติเหมือนหลานคนอื่นๆ ที่พักของเธอจึงอยู่ที่ชั้นนี้ด้วยเช่นกัน“หน้าระรื่นเชียว คงจะดีใจที่ถูกยกยอปอปั้นให้เป็นคุณนายเหยียนสินะ!!”น้ำเสียงทุ้มทรงอำนาจที่เปล่งออกมาอย่างหนักแน่น จนซิงเหยียนต้องระงับฝีเท้าที่จะเก้าไปข้างหน้า แม้ว่าจะไม่ได้มองว่าใครเป็นคนพูด แต่น้ำเสียงนี้เธอจำได้ขึ้นใจ“พี่หยาง!”“ตกใจ ดีใจ หรือเสียใจละ ที่เห็นหน้าว่าที่สามี”“เปล่าค่ะ เพียงแต่ฉันแปลกใจทำไมวันนี้พี่กลับบ้านเร็วได้”ตงหยางยังไม่ได้ตอบ แต่เขากับสาวเท้ามาที่เธ
เขาไม่ได้อธิบายอะไรให้มากความหลังจากนั้นก็จับร่างเล็กของซิงเหยียนหันไปที่โต๊ะทำงาน พร้อมมือของเขาเอื้อมไปจับเอกสารมาวางต่อหน้าเธอ เขาจับมือซิงเหยียนเหมือนจะบังคับให้เธอเซ็นให้ได้“พี่หยาง นี่มันมัดมือชกเลยนะ พี่จะทำอะไร”“หนึ่งปี ฉันให้เวลาเธอหนึ่งปีเท่านั้น หลังจากที่เธอมีลูกให้ฉัน สมบัติที่เธอได้ก็ต้องยกให้ลูกทั้งหมด ส่วนเธอฉันจะให้เงินสักก้อนเพื่อไปตั้งหลัก!!”“พี่บ้าหรือเปล่า ฉันไม่เซ็น”“หากเธอไม่เซ็น ฉันจะจับเธอปล้ำตรงนี้!!”เหตุการณ์เหมือนจะอึดอัดจนหายใจไม่ทั่วท้อง ไม่รู้ว่าเรื่องบ้าอะไรกันที่เธอต้องมาเจอ การแต่งงานที่มีสัญญาเป็นข้อผูกมัด แถมสัญญานั้นยังร่างเงื่อนไขบ้าๆ ของทายาทตระกูลดังไว้อีกซิงเหยียนเธอพยายามที่จะขัดขืนก็จริง แต่สิ่งที่เธอกลัวมากที่สุดคือ แววตาของตงหยางที่มองเธอด้วยความคาดคั้น“ระหว่างเซ็นสัญญา กับให้ฉันเล่นงานเธอจนเธอไม่เหลืออะไร เธอจะเอายังไงซิงเหยียน ใช้สมองน้อยๆ ของเธอคิดสิ ระหว่างที่เธอแต่งงานกับฉันหนึ่งปีเธอจะสุขสบาย แค่มีลูกให้ฉัน เธอก็จะได้เงินอีกมากมาย เพื่อไปใช้ชีวิตใหม่ ซิงเหยียนเธอคงไม่อยากเป็นบุคคลเร่ร่อนใช่ไหม”คำพูดทุกคำกรอกลงที่ข้างหูของเธอ จ
# ประเทศจีนในความโชคร้ายก็เหมือนจะมีความโชคดีอยู่บ้าง หากจะย้อนกลับไปเมื่อสิบปีที่แล้ว ซิงเหยียน เด็กน้อยกำพร้าที่เกิดอุบัติทางรถยนต์พร้อมครอบครัว จนต้องสูญเสียพ่อแม่ในคราวเดียว ทว่าคู่กรณีในครั้งนั้น ดันเป็นตระกูลใหญ่ผู้ร่ำรวย“ฮือ แม่จ๋า พ่อจ๋า”เด็กน้อยวัยเพียงเก้าขวบ ณ ตอนนั้น นั่งกอดศพบิดาพร้อมมารดาของเธอ ร้องไห้ปิ่มจะขาดใจดวงตาของเด็กน้อยแดงก่ำด้วยความเศร้าโศก“หนู อย่าร้องไปเลย ฉันสัญญาว่าจะดูแลหนูแทนพ่อแม่ที่จากไป”เสียงทุ้มใหญ่วัยราวเจ็ดสิบ ที่สวมชุดสูทพร้อมบอดี้การ์ดมากมายที่ยืนข้างกายของกู้อูเกอ นักธุรกิจผู้มั่งคั่งร่ำรวย ดวงตากลมเล็กค่อยๆ เหลือบมองใบหน้าเขา พร้อมคำพูดที่ไร้เดียงสา“คุณลุง คุณลุงเป็นใคร”แน่นอนว่าเด็กน้อยที่ไร้เดียงสา ไม่เข้าใจถึงอุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิด รถหรูคันโปรดที่มีร่างของนักธุรกิจใหญ่นั่งมา ชนรถเครื่องของครอบครัวเด็กน้อย จนพ่อและแม่ต้องเสียชีวิต ส่วนตัวซิงเหยียนบาดเจ็บแค่เล็กน้อยเท่านั้น“ต่อไปฉันจะเป็นผู้ปกครองของเธอ เรียกฉันว่าคุณปู่สิ”“คุณปู่”“ดีมาก เหยียนเหยียน”อย่าว่าแต่บอดี้การ์ดที่รายล้อม ขนาดตำรวจก็ยังให้ความเคารพแก่เขา อุบัติเหตุ
หลังจากที่เปิดพินัยกรรมในวันนั้น ซิงเหยียนเธอไม่ค่อยได้เจอกับ ตงหยางสักเท่าไหร่นัก อย่างที่รู้กันว่าเขากำลังจะขึ้นดำรงตำแหน่งของท่านประธาน เรื่องวุ่นวายภายในบริษัทก็ย่อมมีมาก เพราะเขาต้องสานต่องานทุกอย่างจากพ่อและปู่ที่เสียไป โดยมีตงฉินเป็นผู้ช่วยอีกแรงบ้านตระกูลกู้“ป้าไฉค่ะ คุณป้าหลี่ท่านจะให้ตั้งโต๊ะมื้อค่ำเลยไหม”“ได้ยินว่า วันนี้คุณใหญ่คุณรองจะกลับมาทานมื้อค่ำที่บ้าน น่าจะให้ตั้งโต๊ะเลย”“งั้น หนูช่วยป้าดีกว่าค่ะ”“ไปนั่งเถอะ ตอนนี้เธอกำลังจะขึ้นมาเป็นคุณนายกู้เหยียน จะเข้ามาช่วยก็คงไม่เหมาะ”“ป้าก็รู้ว่า ที่พี่หยางต้องแต่งงานกับฉันก็เพราะพินัยกรรมเท่านั้น ไม่ได้ต้องการที่จะแต่งฉันเป็นเมียออกหน้าออกตาหรอกค่ะ”สายตาที่เศร้าสร้อยเมื่อพูดประโยคนั้นออกมา ทำเอาป้าไฉแม่บ้านวัยห้าสิบ ต้องลอบถอนหายใจ มองหน้าจิ้มลิ้มของเด็กสาวที่ตนเห็นมาตั้งแต่เด็ก พร้อมรอยยิ้มที่ฉีกออกเล็กน้อย“เหยียนเหยียน ป้ารู้ดีว่าที่คุณท่านทำพินัยกรรมออกมาแบบนั้น เพราะต้องการให้เธอได้อยู่ที่นี่ แต่ที่ป้าไม่เข้าใจ ทำไมต้องให้เธอแต่งกับคุณชายใหญ่ แทนที่จะให้แต่งกับคุณชายรอง”ก็นั่นนะสิ เธอเองก็ไม่เข้าใจ จริงอยู่ว่าเธ
เขาไม่ได้อธิบายอะไรให้มากความหลังจากนั้นก็จับร่างเล็กของซิงเหยียนหันไปที่โต๊ะทำงาน พร้อมมือของเขาเอื้อมไปจับเอกสารมาวางต่อหน้าเธอ เขาจับมือซิงเหยียนเหมือนจะบังคับให้เธอเซ็นให้ได้“พี่หยาง นี่มันมัดมือชกเลยนะ พี่จะทำอะไร”“หนึ่งปี ฉันให้เวลาเธอหนึ่งปีเท่านั้น หลังจากที่เธอมีลูกให้ฉัน สมบัติที่เธอได้ก็ต้องยกให้ลูกทั้งหมด ส่วนเธอฉันจะให้เงินสักก้อนเพื่อไปตั้งหลัก!!”“พี่บ้าหรือเปล่า ฉันไม่เซ็น”“หากเธอไม่เซ็น ฉันจะจับเธอปล้ำตรงนี้!!”เหตุการณ์เหมือนจะอึดอัดจนหายใจไม่ทั่วท้อง ไม่รู้ว่าเรื่องบ้าอะไรกันที่เธอต้องมาเจอ การแต่งงานที่มีสัญญาเป็นข้อผูกมัด แถมสัญญานั้นยังร่างเงื่อนไขบ้าๆ ของทายาทตระกูลดังไว้อีกซิงเหยียนเธอพยายามที่จะขัดขืนก็จริง แต่สิ่งที่เธอกลัวมากที่สุดคือ แววตาของตงหยางที่มองเธอด้วยความคาดคั้น“ระหว่างเซ็นสัญญา กับให้ฉันเล่นงานเธอจนเธอไม่เหลืออะไร เธอจะเอายังไงซิงเหยียน ใช้สมองน้อยๆ ของเธอคิดสิ ระหว่างที่เธอแต่งงานกับฉันหนึ่งปีเธอจะสุขสบาย แค่มีลูกให้ฉัน เธอก็จะได้เงินอีกมากมาย เพื่อไปใช้ชีวิตใหม่ ซิงเหยียนเธอคงไม่อยากเป็นบุคคลเร่ร่อนใช่ไหม”คำพูดทุกคำกรอกลงที่ข้างหูของเธอ จ
มีคนเดินเข้ามารับของในมือเธอ โดยที่เธอไม่ได้เรียกใช้ ทำเอาซิงเหยียนเองก็ไม่ชินเท่าไหร่นัก“ไม่เป็นไร ของพวกนี้ฉันถือเองได้”“ไม่ได้หรอกค่ะ ตอนนี้คุณนายเหยียนเป็นถึงเจ้าของบ้าน แถมกำลังจะแต่งงานกับคุณชายใหญ่ ก็ต้องขึ้นมาเป็น คุณนายกู้เหยียน แบบนี้เราก็ต้องให้ความเคารพ”ที่เธอไม่พูดเพราะไม่คิดว่าคำนั้นจะต้องได้ใช้ต่างหาก ซิงเหยียนเธอยืนเงียบ ทว่า เธอคงไม่รู้ว่ามีคนที่ยืนมองเธออยู่ที่ด้านบน บริเวณชั้นสองที่เป็นชานระเบียงวนรอบตัวอาคารแห่งนี้เมื่อมีเด็กรับใช้ในบ้านช่วยถือของ ซิงเหยียนเธอก็เดินขึ้นมาที่ชั้นบนของบ้าน เมื่อครั้งที่คุณปู่ยังอยู่เธอก็ถูกปรนนิบัติเหมือนหลานคนอื่นๆ ที่พักของเธอจึงอยู่ที่ชั้นนี้ด้วยเช่นกัน“หน้าระรื่นเชียว คงจะดีใจที่ถูกยกยอปอปั้นให้เป็นคุณนายเหยียนสินะ!!”น้ำเสียงทุ้มทรงอำนาจที่เปล่งออกมาอย่างหนักแน่น จนซิงเหยียนต้องระงับฝีเท้าที่จะเก้าไปข้างหน้า แม้ว่าจะไม่ได้มองว่าใครเป็นคนพูด แต่น้ำเสียงนี้เธอจำได้ขึ้นใจ“พี่หยาง!”“ตกใจ ดีใจ หรือเสียใจละ ที่เห็นหน้าว่าที่สามี”“เปล่าค่ะ เพียงแต่ฉันแปลกใจทำไมวันนี้พี่กลับบ้านเร็วได้”ตงหยางยังไม่ได้ตอบ แต่เขากับสาวเท้ามาที่เธ
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเงียบสนิท ตงหยางหน้านิ่งเอาแต่นั่งตักข้าวใส่ปาก ไร้แม้บทสนทนา ทำเอาบรรยากาศพลอยอึดอัดอยู่เล็กน้อย ส่วนซิงเหยียนเธอเองก็ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะพูดหรือถามอะไร ทั้งๆ คนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะคือคนที่เธอต้องแต่งงานด้วยดูเหมือนว่าบรรยากาศจะพาอึดอัดจริงๆ ตงฉินเหลือบสายตาขึ้นมองใบหน้านิ่งราวหุ่นยนต์ของพี่ชาย ก่อนที่ตัวเขาจะเป็นคนเอ่ยถาม“พี่ใหญ่ งานแต่งจะจัดขึ้นตอนไหน”เชื่อเถอะว่าคนที่ แทบสำลักอาหารที่ทานคือซิงเหยียน ส่วนตงหยางหน้านิ่งเขาชะงักก็จริงแต่ก็ทำนิ่งต่อ จนน้องชายต้องเอ่ยถามด้วยความอยากรู้“พี่ได้ยินที่ผมพูดหรือเปล่า ผมถามว่าพี่จะแต่งงานกับเหยียนเหยียนตอนไหน”ใบหน้าที่นิ่งยิ่งกลัวสายน้ำที่ไม่ไหวติงนั้น ช้อนสายตาขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่ตัวเขาจะวางช้อนและส้อมลงที่จานใบหรู หยิบแก้วน้ำขึ้นมาจิบดื่มด้วยท่าทางสง่า จากนั้นก็หันมามองใบหน้าสวยที่เอาแต่นั่งก้มหน้า“เดือนหน้า คงไม่ช้าไปใช่ไหมซิงเหยียน?”น้ำเสียงเยือกเย็น พร้อมสายตาที่แฝงความโหดร้ายทำเอาซิงเหยียนไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเขา เธอตอบเขาอย่างตะกุกตะกัก“มะ ไม่ช้าหรอกค่ะ เร็วไปด้วยซ้ำ”“ดี! ฉันจะสั่งคนให้มาดูแลเธอและพาเธอไปล
หลังจากที่เปิดพินัยกรรมในวันนั้น ซิงเหยียนเธอไม่ค่อยได้เจอกับ ตงหยางสักเท่าไหร่นัก อย่างที่รู้กันว่าเขากำลังจะขึ้นดำรงตำแหน่งของท่านประธาน เรื่องวุ่นวายภายในบริษัทก็ย่อมมีมาก เพราะเขาต้องสานต่องานทุกอย่างจากพ่อและปู่ที่เสียไป โดยมีตงฉินเป็นผู้ช่วยอีกแรงบ้านตระกูลกู้“ป้าไฉค่ะ คุณป้าหลี่ท่านจะให้ตั้งโต๊ะมื้อค่ำเลยไหม”“ได้ยินว่า วันนี้คุณใหญ่คุณรองจะกลับมาทานมื้อค่ำที่บ้าน น่าจะให้ตั้งโต๊ะเลย”“งั้น หนูช่วยป้าดีกว่าค่ะ”“ไปนั่งเถอะ ตอนนี้เธอกำลังจะขึ้นมาเป็นคุณนายกู้เหยียน จะเข้ามาช่วยก็คงไม่เหมาะ”“ป้าก็รู้ว่า ที่พี่หยางต้องแต่งงานกับฉันก็เพราะพินัยกรรมเท่านั้น ไม่ได้ต้องการที่จะแต่งฉันเป็นเมียออกหน้าออกตาหรอกค่ะ”สายตาที่เศร้าสร้อยเมื่อพูดประโยคนั้นออกมา ทำเอาป้าไฉแม่บ้านวัยห้าสิบ ต้องลอบถอนหายใจ มองหน้าจิ้มลิ้มของเด็กสาวที่ตนเห็นมาตั้งแต่เด็ก พร้อมรอยยิ้มที่ฉีกออกเล็กน้อย“เหยียนเหยียน ป้ารู้ดีว่าที่คุณท่านทำพินัยกรรมออกมาแบบนั้น เพราะต้องการให้เธอได้อยู่ที่นี่ แต่ที่ป้าไม่เข้าใจ ทำไมต้องให้เธอแต่งกับคุณชายใหญ่ แทนที่จะให้แต่งกับคุณชายรอง”ก็นั่นนะสิ เธอเองก็ไม่เข้าใจ จริงอยู่ว่าเธ
# ประเทศจีนในความโชคร้ายก็เหมือนจะมีความโชคดีอยู่บ้าง หากจะย้อนกลับไปเมื่อสิบปีที่แล้ว ซิงเหยียน เด็กน้อยกำพร้าที่เกิดอุบัติทางรถยนต์พร้อมครอบครัว จนต้องสูญเสียพ่อแม่ในคราวเดียว ทว่าคู่กรณีในครั้งนั้น ดันเป็นตระกูลใหญ่ผู้ร่ำรวย“ฮือ แม่จ๋า พ่อจ๋า”เด็กน้อยวัยเพียงเก้าขวบ ณ ตอนนั้น นั่งกอดศพบิดาพร้อมมารดาของเธอ ร้องไห้ปิ่มจะขาดใจดวงตาของเด็กน้อยแดงก่ำด้วยความเศร้าโศก“หนู อย่าร้องไปเลย ฉันสัญญาว่าจะดูแลหนูแทนพ่อแม่ที่จากไป”เสียงทุ้มใหญ่วัยราวเจ็ดสิบ ที่สวมชุดสูทพร้อมบอดี้การ์ดมากมายที่ยืนข้างกายของกู้อูเกอ นักธุรกิจผู้มั่งคั่งร่ำรวย ดวงตากลมเล็กค่อยๆ เหลือบมองใบหน้าเขา พร้อมคำพูดที่ไร้เดียงสา“คุณลุง คุณลุงเป็นใคร”แน่นอนว่าเด็กน้อยที่ไร้เดียงสา ไม่เข้าใจถึงอุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิด รถหรูคันโปรดที่มีร่างของนักธุรกิจใหญ่นั่งมา ชนรถเครื่องของครอบครัวเด็กน้อย จนพ่อและแม่ต้องเสียชีวิต ส่วนตัวซิงเหยียนบาดเจ็บแค่เล็กน้อยเท่านั้น“ต่อไปฉันจะเป็นผู้ปกครองของเธอ เรียกฉันว่าคุณปู่สิ”“คุณปู่”“ดีมาก เหยียนเหยียน”อย่าว่าแต่บอดี้การ์ดที่รายล้อม ขนาดตำรวจก็ยังให้ความเคารพแก่เขา อุบัติเหตุ