มีคนเดินเข้ามารับของในมือเธอ โดยที่เธอไม่ได้เรียกใช้ ทำเอาซิงเหยียนเองก็ไม่ชินเท่าไหร่นัก
“ไม่เป็นไร ของพวกนี้ฉันถือเองได้” “ไม่ได้หรอกค่ะ ตอนนี้คุณนายเหยียนเป็นถึงเจ้าของบ้าน แถมกำลังจะแต่งงานกับคุณชายใหญ่ ก็ต้องขึ้นมาเป็น คุณนายกู้เหยียน แบบนี้เราก็ต้องให้ความเคารพ” ที่เธอไม่พูดเพราะไม่คิดว่าคำนั้นจะต้องได้ใช้ต่างหาก ซิงเหยียนเธอยืนเงียบ ทว่า เธอคงไม่รู้ว่ามีคนที่ยืนมองเธออยู่ที่ด้านบน บริเวณชั้นสองที่เป็นชานระเบียงวนรอบตัวอาคารแห่งนี้ เมื่อมีเด็กรับใช้ในบ้านช่วยถือของ ซิงเหยียนเธอก็เดินขึ้นมาที่ชั้นบนของบ้าน เมื่อครั้งที่คุณปู่ยังอยู่เธอก็ถูกปรนนิบัติเหมือนหลานคนอื่นๆ ที่พักของเธอจึงอยู่ที่ชั้นนี้ด้วยเช่นกัน “หน้าระรื่นเชียว คงจะดีใจที่ถูกยกยอปอปั้นให้เป็นคุณนายเหยียนสินะ!!” น้ำเสียงทุ้มทรงอำนาจที่เปล่งออกมาอย่างหนักแน่น จนซิงเหยียนต้องระงับฝีเท้าที่จะเก้าไปข้างหน้า แม้ว่าจะไม่ได้มองว่าใครเป็นคนพูด แต่น้ำเสียงนี้เธอจำได้ขึ้นใจ “พี่หยาง!” “ตกใจ ดีใจ หรือเสียใจละ ที่เห็นหน้าว่าที่สามี” “เปล่าค่ะ เพียงแต่ฉันแปลกใจทำไมวันนี้พี่กลับบ้านเร็วได้” ตงหยางยังไม่ได้ตอบ แต่เขากับสาวเท้ามาที่เธอ ระยะห่างก่อนหน้าถูกขายาวสาวมาหยุดอยู่ไม่ถึงก้าวเท่านั้น “ฉันมีเรื่องที่จะคุยกับเธอ” “คุยเหรอคะ” “ฉันคิดว่าเราควรมีเรื่องต้องตกลงกันก่อนที่จะแต่งงาน” “?...” ประโยคของตงหยางสร้างความสงสัยให้ซิงเหยียนเป็นอย่างมาก ข้อตกลงก่อนแต่งงานอย่างนั้นเหรอ มันคืออะไรกันแน่ หญิงสาวผิวผ่องเดินตามชายหนุ่มร่างสูง รูปร่างที่สูงโปร่งนั้นสาวเท้ายาวเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัว เมื่อซิงเหยียนเข้ามาแล้ว เขาก็หันไปสั่งเธอให้ล็อกประตูให้แน่น แม้ว่าเธอจะดูกล้าๆ กลัวๆ ไปหน่อย แต่ก็ทำตามอย่างไม่ค้าน คงไม่มีอะไรที่จะต้องอับอายเพราะชายตรงหน้าคือคนที่เธอจะเข้าพิธีวิวาห์ด้วย “พี่หยาง มีอะไรที่อยากคุยกับฉันเหรอคะ” ชายหนุ่มมองมาทางซิงแม่พันธุ์ยียนแต่เชื่อไหมว่า ดวงตาที่เขาทอดมองมานั้นไร้เสน่หา แถมยังส่งความเฉยชามาจนเห็นได้ชัด เขาดูเหมือนว่า ซิงเหยียนที่ยืนอยู่นั้นไร้ซึ่งความหมาย ไม่มีตัวตนเสียแบบนั้น ปึก! แผ่นกระดาษสีขาวที่รองด้วยสันปกแข็งถูกวางลงที่โต๊ะทำงานของเขา เหตุการณ์นั้นทำเอาใบหน้าจิ้มลิ้มต้องเพ่งมองอยู่สักพัก แน่นอนว่าเธอไม่รู้ว่ามันคืออะไร ก่อนที่ชายหนุ่มรูปหล่อจะกล่าวขึ้นมา “เซ็นซะ สัญญาก่อนแต่งหวังว่าเธอคงจะเข้าใจ” คำว่าสัญญาก่อนแต่ง ทำเอาซิงเหยียนต้องทอดน่องเข้ามาใกล้ แล้วเอื้อมมือหยิบมันขึ้นมาอ่าน เธอพิจารณาข้อความที่อยู่ในแผ่นกระดาษนั้น พลางย่นคิ้วเรียวเล็กเข้าหากันอยู่บ่อยครั้ง “นี่มัน!!” “เธอเองก็รู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้เพื่ออะไร ฉันต้องดำรงตำแหน่งประธานอย่างเป็นทางการ ตำแหน่งจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อสมรสกับเธอเท่านั้น แถมหุ้นที่บริษัทเครื่องดื่มเธอก็มีเยอะกว่าคนอื่น บ้านหลังนี้ก็ยังเป็นของเธออีก ถามหน่อย ความยุติธรรมอยู่ตรงไหน” ซิงเหยียนละสายตาออกจากข้อความตรงหน้า เธอแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อย ก็ข้อความในนั้นมันสัญญาทาสชัดๆ “หากพี่จะให้ฉันเซ็นสัญญาแบบนี้ ทำไมเราต้องแต่งงานกันด้วยละคะ” “เธอปัญญาอ่อนหรือเปล่า ในพินัยกรรมก็ระบุชัดว่าฉันต้องดำรงตำแหน่งประธานก็ต่อเมื่อแต่งกับเธอ หากไม่แต่ง สิทธิ์ขาดต่างๆ ฉันก็ไม่มีอำนาจเว้นเสียแต่ว่า เธอไม่อยากแต่งเพราะต้องการยึดสมบัติของเรา!!” ยิ่งฟังยิ่งเจ็บช้ำในน้ำใจ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เขามองเธอแค่ตัวเงินตัวทองหวังสมบัติเขาเท่านั้น “แต่ในสัญญานี่มันเกินไปไหม” “ตรงไหนที่ว่าเกินไป” “พี่อยากมีลูกกับฉันภายในหนึ่งปีเพื่อบ้านคนละครึ่ง แต่ถ้าฉันท้องให้พี่ไม่ได้ก็ต้องออกไปจากที่นี่ หากฉันคิดหย่าก่อนที่จะท้อง หุ้นของบริษัทก็ต้องถูกโอนคืนให้พี่ ฉันถามหน่อยตรงไหนที่ยุติธรรมสำหรับฉันกัน” แน่นอนว่าคนเฉยชาอย่างเขาไม่ได้ตอบ ตงหยางหน้านิ่งทำหน้าซึนก่อนจะเดินไปนั่งที่เก้าอี้ของตัวเอง เมื่อเห็นว่าแววตาของซิงเหยียนแดงก่ำเหมือนคนกำลังร้องขอความยุติธรรม ชายหนุ่มจึงพูดขึ้น “คนอย่างเธอยังกล้าถามหาความยุติธรรมอีกเหรอ ที่ได้ทุกวันนี้ก็น่าจะมากพอ” “หนึ่งปี ฉันไม่ใช่แม่พันธุ์ที่พี่จะเอาไว้กำเนิดลูกนะ” “แต่ฉันคิดแบบนั้น” “พี่หยาง!!” “อ้อ มีอีกข้อเสนอ หากไม่อยากเซ็นสัญญาและไม่อยากแต่งงานกับฉันละก็ เซ็นโอนบ้านคืนให้ฉันซะ ส่วนหุ้นเธออยากขายเท่าไหร่ว่ามา” “พี่มันคนไร้หัวใจจริงๆ” ทางเลือกที่ดูเหมือนจะไม่ใช่ทางเลือก บ้านหลังนี้คุณปู่ยกให้เธอเพื่ออยากให้เธออยู่ เธอรู้ ส่วนหุ้นก็คงอยากให้เธอได้มีส่วนรับในทรัพย์สิน “ได้! ตอนนี้ฉันคือเจ้าของบ้านหลังนี้ ส่วนพี่ก็แค่คนอาศัย ฉันมีสิทธิ์ให้ใครอยู่หรือใครไปก็ได้” “ซิงเหยียน!!” เสียงที่โพล่งดังชัด แถมดวงตาของเขายังประกายกล้าโหดมองผ่านนัยน์ตาของซิงเหยียน จนเธอรู้สึกถึงแรงโกรธนั้น เธอรู้ดีว่าไม่ควรเล่นกับไฟแบบนี้ แต่เขาต่างหากที่บีบเคล้นเธอให้ทำ พรึ่บ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะสาวเท้ายาวมาอย่างว่องไว พร้อมคว้าร่างของซิงเยียนเข้ามาโอบรัด อีกมือก็บีบแก้มเธอจนปากเธอห่อได้รูป “ปะปล่อยนะ พี่หยาง ฉันเจ็บ” “คิดว่าเธอมีสิทธิ์ขนาดนั้นเลยหรือไง ฉันคงใจดีกับเธอมากไปแล้วสินะ” “ตงหยาง ปล่อยนะฉันเจ็บ” “การที่จะมีลูกเธอรู้ไหมว่าควรทำอย่างไร?” “พี่หยาง!!” ในหัวของคนร้ายกาจเช่นเขา คงคิดว่าหากซิงเหยียนท้องลูกของเขาได้ กรรมสิทธิ์ครึ่งหนึ่งก็เป็นของเขาเช่นกัน ทำไมต้องรอถึงวันแต่งงาน ครึก! เสียงผลักร่างของซิงเหยียนชนเข้าไปที่โต๊ะทำงาน ส่วนสะโพกของเธอชนเข้าอย่างจัง เหมือนจะรู้สึกถึงความเจ็บ ทว่ายังไม่ได้ร้องเสียด้วยซ้ำ ร่างสูงก็ตรงเข้ามา กดใบหน้าหล่อเหลาลงที่ซอกคอเธอ จนทำให้ซิงเหยียนตกใจสุดขีด เธอพยายามดิ้นสู้ แต่ถูกมือหนารั้งกดไว้ให้ไขว้หลัง เขาพรมจูบไปทั่วทุกสัดส่วนของซองคอขาวๆ “พี่หยางปล่อยฉันนะ” เธอร้องขอด้วยเสียงที่สั่นเครือ จริงอยู่ว่าหัวใจดวงน้อยแอบชอบเขาแต่สิ่งที่เธอคิดเสมอก็คือต้องได้รับความรักจากตงหยางบ้าง ชายหนุ่มผละใบหน้าคมคายขึ้นมาสบตาคนตัวเล็ก เหยียดรอยยิ้มอย่างผู้ชนะออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยเสียงเข้มอีกครั้ง “อยากให้ปล่อยงั้นเหรอ เซ็นสัญญานั่นซะ!!” “เราแต่งงานกัน ทำไมพี่ถึงอยากทำสัญญาละ มันหมายความว่าอย่างไร” “ก็เพราะฉันรู้ว่าเธอไม่สมควรที่จะได้อะไรนะสิ” “พี่หยาง”เขาไม่ได้อธิบายอะไรให้มากความหลังจากนั้นก็จับร่างเล็กของซิงเหยียนหันไปที่โต๊ะทำงาน พร้อมมือของเขาเอื้อมไปจับเอกสารมาวางต่อหน้าเธอ เขาจับมือซิงเหยียนเหมือนจะบังคับให้เธอเซ็นให้ได้“พี่หยาง นี่มันมัดมือชกเลยนะ พี่จะทำอะไร”“หนึ่งปี ฉันให้เวลาเธอหนึ่งปีเท่านั้น หลังจากที่เธอมีลูกให้ฉัน สมบัติที่เธอได้ก็ต้องยกให้ลูกทั้งหมด ส่วนเธอฉันจะให้เงินสักก้อนเพื่อไปตั้งหลัก!!”“พี่บ้าหรือเปล่า ฉันไม่เซ็น”“หากเธอไม่เซ็น ฉันจะจับเธอปล้ำตรงนี้!!”เหตุการณ์เหมือนจะอึดอัดจนหายใจไม่ทั่วท้อง ไม่รู้ว่าเรื่องบ้าอะไรกันที่เธอต้องมาเจอ การแต่งงานที่มีสัญญาเป็นข้อผูกมัด แถมสัญญานั้นยังร่างเงื่อนไขบ้าๆ ของทายาทตระกูลดังไว้อีกซิงเหยียนเธอพยายามที่จะขัดขืนก็จริง แต่สิ่งที่เธอกลัวมากที่สุดคือ แววตาของตงหยางที่มองเธอด้วยความคาดคั้น“ระหว่างเซ็นสัญญา กับให้ฉันเล่นงานเธอจนเธอไม่เหลืออะไร เธอจะเอายังไงซิงเหยียน ใช้สมองน้อยๆ ของเธอคิดสิ ระหว่างที่เธอแต่งงานกับฉันหนึ่งปีเธอจะสุขสบาย แค่มีลูกให้ฉัน เธอก็จะได้เงินอีกมากมาย เพื่อไปใช้ชีวิตใหม่ ซิงเหยียนเธอคงไม่อยากเป็นบุคคลเร่ร่อนใช่ไหม”คำพูดทุกคำกรอกลงที่ข้างหูของเธอ จ
ตะลึงงันอยู่เล็กน้อย รอยสักอันน่าเกรงขามที่โชว์อยู่บนท่อนแขนเกร็ง ตาเธอจดจ้องจนไม่ละไปไหน ที่พึ่งเคยเห็นเพราะเขาไม่เคยใส่เสื้อแขนสั้นแม้จะอยู่ที่บ้านก็ตามที“เธอมองอะไร”แค่เขาตวัดสายตาดุมาใส่เธอ ซิงเหยียนก็ต้องรีบหลบ จากนั้นเธอก็ค่อยๆ เปล่งเสียงออกมาถาม“ค่ะคือ ทำไมพี่ถึงมีรอยสัก?”“ก็แค่รอยสัก ฉันรู้ว่าคุณปู่ไม่ชอบก็เลยไม่มีใครรู้ ส่วนเธอ จะรู้หรือเห็นมันก็ไม่สำคัญเท่าไหร่”เขาตอบคำถามของเธอ แค่นั้นโดยไม่ได้ใส่อารมณ์อะไร มันรู้สึกได้แค่ความว่างเปล่า ที่เขามีให้ซิงเหยียนร่างเล็กค่อยๆ ยันตัวเองลุกขึ้น หมายจะเดินไปถอดชุดในห้องน้ำ เธอรู้ดีว่าตรงนี้มีเขาอยู่ หากจะถอดก็คงไม่ได้สะดวก แต่พรึ่บมือหนารั้งไปที่เอวคอด ก่อนจะจับไหล่ของเธอ การกระทำของเขาเหมือนจะรูดซิปที่อยู่ด้านหลัง แต่เสียงของซิงเหยียนก็ต้องร้องขึ้น“พี่หยาง พี่จะทำอะไร”“ฉันรู้สึกว่าเธอ กำลังจะถ่วงเวลา ก็แค่ชุดราตรีชุดเดียวทำไมถึงถอดยากเย็นขนาดนั้น”ยังไม่ทันที่มือของเขาจะรูดซิปด้านลงหลง ซิงเหยียนก็ใช้แรงที่มีของเธอพลิกตัวกลับมาแล้วผลักอกเขาเข้าเต็มแรง“ฉันจะถอดเอง ยังไงเราก็แต่งกันแล้ว พี่ใจเย็นหน่อยได้ไหม” เขาพ่นลมแรงๆ ทำ
รับรู้ได้ว่าร่างเล็กที่นอนใต้ร่าง ทักท้วงขอลมหายใจที่ขาดหาย ตงหยางถอดถอนจูบอันเร่าร้อนนั้นออก พร้อมทั้งสบตาเธอที่นอนจ้องหน้าเขา“ทำไมไม่ขัดขืนซะละ หรือว่ารอเวลานี้มานาน”“พี่หยาง ฉันแต่งงานกับพี่ จะช้าหรือเร็วเรื่องแบบนี้ก็ต้องเกิด ฉันขัดขืนพี่ได้ด้วยเหรอ”เขายกยิ้มขึ้นเล็กน้อย เพราะมันเป็นเรื่องจริง หากจะว่าไปแล้ว ซิงเหยียนเธอคือผู้หญิงที่สวยน่ารัก หากเรื่องที่เกิดกับพ่อไม่ใช่เธอเป็นคนต้นเหตุ เขาเองก็คงไม่เกลียดเท่านี้“แล้วอย่ามาร้องหาความยุติธรรมทีหลังแล้วกัน!”อุณหภูมิในร่างไต่ระดับขึ้นตามอารมณ์กระตุ้น เสื้อผ้าจากที่เคยปกปิดร่างกายก็ลงไปกองอยู่ที่พื้น ไม่เพียงแค่เสื้อผ้าของซิงเหยียนหรอกนะ กางเกงที่เหลืออยู่ตัวเดียวบนร่างของตงหยางก็ถูกถอดแล้วกองอยู่ด้วยคืนเข้าหอที่ไร้ความหวานครั้งนี้ เธอรู้ดีว่าทุกการกระทำของเขา ทำลงไปเพื่อธุรกิจเบื้องหน้า แต่อย่างนั้นก็ยอมให้เขากระทำตามอำเภอใจ แม้จะเป็นครั้งแรกที่เจ็บปวด แต่ซิงเหยียนก็พยายามที่จะข่มอาการนั้นไว้ สิ่งที่เธอทำได้คือฝากรอยเล็บลงที่แผ่นหลังของตงหยางเท่านั้นรุ่งเช้า ลืมตาตื่นในยามเช้า ตอนนี้เธอรู้ดีว่าไม่ได้หลับนอนที่บ้านของตระกูลกู้
“เจียวมิ่ง เรื่องที่ฉันสั่ง นายจัดการหรือยัง”“จัดการแล้วครับคุณชายใหญ่”“ดี!! เย็นนี่ฉันจะสั่งสอนพวกมันเอง”เสียงเข้มโพล่งขึ้น ดวงตาทอประกายกล้าอย่างโหดเหี้ยม เมื่อนึกถึงพวกคนพาลที่ใส่ร้ายโรงงานผลิตของเขา ช่วงที่คุณปู่ล้มป่วย#โกดังร้างแห่งหนึ่ง“ปล่อยกู พวกมึงเป็นใครจับตัวกูมาทำไม!”คนที่ถูกมัดแขนไขว้หลัง พร้อมผ้าสีดำปิดตา ทว่า เสียงร้องตะโกนด่าทอก็ยังไม่หยุด เขาเป็นนักเลงหางแถว ที่ว่าจ้างให้คนเข้าไปผสมเครื่องดื่มในโรงงาน จนล็อตนั้นไม่สามารถส่งออกได้แถมยังเสียหายหลายล้านบาทเมื่อก่อน เป็นผู้จัดการโรงงาน แต่เพราะติดการพนันจนโงหัวไม่ขึ้น เรื่องฉ้อโกงจึงเกิด เมื่อถูกจับได้จึงถูกดำเนินคดี แถมถูกไล่ออก และนั่นทำให้เขาไม่พอใจเป็นอย่างมากตึก ตึกเสียงฝีเท้าหนักกระแทกลงพื้น ชายคนนั้นเงียบเสียงก่อนจะเงี่ยหูฟัง แม้ว่าดวงตาถูกปิดสนิท แต่ก็พอเดาได้ว่าใครเป็นคนจับเขามาพรึ่บวินาทีที่ผ้าปิดตาเปิดออก ใบหน้าหล่อคม ความสูงราวร้อยเก้าสิบ ยืนเด่นเป็นสง่า ทว่าสีหน้าดันเฉยชาไร้ความรู้สึก“คุณตงหยาง ปล่อยผมไปเถอะครับ ผมขอโทษ”“ตอนนี้ คิดขอโทษไม่สายไปหน่อยเหรอ เรื่องที่แกทำมันทำให้ฉันเสียเวลา เสียเงินไป
เสียงพูดคุยดูน่าสนุกสนาน จนทำเอาร่างสูงที่ได้ยินเสียงต้องเดินเข้ามาภายในห้องอาหาร เมื่อเห็นใบหน้าจิ้มลิ้มนั่งยิ้มอยู่กับน้องชาย สายตาก็ฉายแววดุดันขึ้นมา“กี่ทุ่มกี่โมงกี่ยามแล้ว ทำไมถึงมานั่งยิ้มร่าอยู่ที่นี่”เสียงทุ้มนั้น มันเรียกสายตาของคนทั้งสองต้องหันไปที่ทางเข้าห้อง เมื่อเห็นว่ามีร่างสูงหน้านิ่งยืนอยู่ ตงฉินก็รีบทักพี่ชายทันที“พี่หยาง มาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่เห็นได้ยินเสียงรถ มานั่งก่อนสิ ผมเองก็พึ่งมาถึง เหยียนเหยียนก็เลยเป็นธุระตั้งโต๊ะให้”เขาฟาดสายตาไปมองคนที่นั่งตรงข้าม แต่ก็ไม่ได้สาวเท้าไปหา แต่สิ่งที่พูดขึ้นนั้น“ฉันเหนื่อย แกจะกินก็กิน ฉันจะขึ้นไปพัก”เขาพูดเท่านั้นก็เดินหันหลัง เพียงแค่เห็นสายตาที่ไม่เป็นมิตร ซิงเหยียนเธอก็พอจะรู้หน้าที่“พี่ฉิน ฉันต้องขึ้นข้างบนแล้ว พี่นั่งทานคนเดียวได้ใช่ไหม”“ไม่ต้องห่วงพี่หรอก ห่วงตัวเองเถอะ ดูหน้าเขาสิ เป็นมิตรกับใครที่ไหน”อาจจะจริงที่ตงฉินพูด เขาเองก็พอรู้นิสัยพี่ชายดี รู้ว่าพี่ชายนิสัยได้แม่มาเต็มๆระหว่างที่เท้าของซิงเหยียนเดินขึ้นบันได เธอเองก็ใช้ความคิดต่างๆ นานา ไม่รู้ว่า คนในห้องจะหาเรื่องอะไรเธออีกแอ็ดดเพียงแค่ประตูห้องเปิ
ยิ่งกว่าจุกอก ยิ่งกว่าโดนหักหน้า ไม่รู้ว่าจะสรรหาคำไหนแล้วที่จะพูดออกมา ความหมายคือหญิงสาวเป็นแค่ที่ระบายอารมณ์และเครื่องปั๊มลูกให้เขา แค่จะนอนร่วมเตียงอีกฝ่ายยังไม่ให้ ค่าของตัวเธอมันอยู่ที่ไหนกันอดกลั้นจนที่สุด ใบหน้าหวานแต่แววตาแฝงด้วยความเศร้า ไม่อยากจะร้องไห้เพื่อเรียกร้องความสนใจจากเขา ไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องสมเพช แค่พินัยกรรมที่เขียนระบุว่าให้แต่งงาน ก็คิดว่าทุกอย่างน่าจะดีกว่านี้เสียอีกซิงเหยียนหยิบได้แค่หมอนใบใหญ่ แล้วเดินมาที่โซฟาตัวยาวภายในห้อง ชุดนอนกระโปรงสีขาวลายลูกไม้น่ารัก สะบัดพลิ้วเวลาที่เธอสาวเท้าไปข้างหน้า เมื่อรู้ตัวเองว่าต้องนอนที่โซฟาก็วางหมอนใบใหญ่ลงไป แอบชำเลืองมองร่างสูงเล็กน้อยแต่ตงหยางไร้หัวใจเกินกว่าจะสนใจมองภรรยาด้วยซ้ำ แถมยังล้มตัวลงนอนอย่างไม่มีเยื้อใยอีกต่างหากเธอค่อยๆ นอนราบลงไปก่อนจะพลิกตัวนอนหันหลังให้เขา วินาทีนั้นไฟในห้องก็ถูกดับจนมืดมิด ความคิดชั่ววูบก็ลอยเข้ามาในหัวของซิงเหยียนเหยียนเหยียน ก่อนที่ปู่จะตายปู่อยากให้มีใครสักคนที่ดูแลเธอได้ หากปู่ไม่อยู่แล้ว ก็อยากให้เธอได้มีที่พึ่งคำนั้นลอยเข้ามาทำเอาน้ำตาของซิงเหยียนไหลลงมาอาบแก้ม คนที่ดูแลเธอ
“คุณผู้หญิงไม่ต้องทำก็ได้ค่ะ”“ได้ไง ให้ฉันช่วยเธอเถอะ อยู่บ้านก็ไม่รู้จะทำอะไร”“แต่ตอนนี้คุณเป็นเมียคุณชายใหญ่ เป็นเจ้าของบ้าน มันไม่เหมาะสมที่จะมาช่วยแม่บ้านเช็ดถูนะคะ”สาวใช้ที่นับถือซิงเหยียนก็ยังไม่อยากให้ทำ แต่บางคนที่อยู่กับคุณนายหลี่ดันมองว่าร่างเล็กเข้ามายุ่งแถมยังเบ้ปากใส่ แต่หญิงสาวชินแล้วและไม่อยากจะมีปากเสียงกับแม่สามี ทว่าทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิด หลี่น่าเดินเข้ามา พร้อมสายตาเหยียดหยัน“หากเธอว่างนัก ก็รู้จักออกไปทำงานบ้างสิ หรือคิดว่าที่มีอยู่ไม่ต้องทำมาหากิน คิดจะเอาเปรียบลูกชายฉันเหรอ ตงฉินกับตงหยางมีหุ้นน้อยกว่าเธอ แต่ก็ยังออกไปทำงาน โธ่ๆ น่าสงสาร”การประชดของหลี่น่าพร้อมสายตาที่บ่งบอกว่าเธอเกลียดซิงเหยียนเข้าไส้ ส่วนหญิงสาวไม่รู้จะโต้ตอบอะไร ทำได้อย่างเดียวคือเงียบ ไม่ใช่ว่าคนที่เด็กกว่าไม่อยากตอบกลับเพียงแต่ไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวเท่านั้นตลอดทั้งวัน ซิงเหยียนคิดถึงคำพูดของหลี่น่า คุณปู่แบ่งหุ้นให้เธอมากว่าสองแม่ลูกจริง ขนาดตงหยางที่เป็นประธานก็ยังน้อยกว่า ทว่าหญิงสาวเป็นภรรยาเขา หุ้นผัวเมียรวมกันก็มากกว่าคนอื่นอยู่แล้วเมื่อความคิดเกิดขึ้น สิ่งแรกที่คิดได้คื
รุ่งเช้าหน้าที่ปกติของภรรยาคือตื่นเช้ามาก็ต้องเตรียมอาหารให้สามี ใบหน้าหวานดูชื่นมื่นเล็กน้อย เพราะเมื่อคืนเธอไม่ได้นอนที่โซฟาเหมือนเก่า แต่เป็นการนอนบนเตียงเดียวกันกับตงหยางร่างสูงเดินลงมาจากชั้นบนของบ้าน ใบหน้าที่นิ่งเรียบก็เป็นดังปกติเฉกเช่นทุกครั้ง หากจะถามว่าเขาเคยยิ้มไหม อาจจะเคยแต่น้อยคนนักที่จะเห็น“พี่หยางลงมาแล้วกินมื้อเช้าไหมคะ”เสียงหวานเอ่ยถามสามี เมื่อคืนเธอตั้งใจจะคุยเรื่องจะขอไปทำงาน แต่ทุกอย่างมันผิดพลาด คิดว่าเช้านี้น่าจะได้เล่าและได้คำตอบ แต่เสียงทุ้มที่ดังขึ้นพร้อมสีหน้าที่เย็นชาทำเอารอยยิ้มน้อยๆ ของซิงเหยียนหดหาย“ฉันมีประชุม!”เขาพูดเท่านั้นก็เรียกคนสนิทเข้ามาช่วยถือกระเป๋า เมื่อวานกับตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นคนละคนด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่เมื่อคืนเขายังพูดอ่อนหวานแถมยังกอดร่างเธอแน่นจนเช้า นั่นมันหมายความว่าอย่างไรกันเมื่อแผ่นหลังกว้างเดินออกไปจนลับตาสิ่งที่เธอทำได้คือถอนหายใจ แววตาเริ่มเศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัด สิ่งที่อยากบอกอยากเล่าดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจและไถ่ถามเธอเลยซิงเหยียนเดินเข้ามาในห้องอาหารสุดหรู เตรียมทุกอย่างเหมือนเดิม ไม่นานร่างสูงที่ดูสง่าไม่แพ้พี่ชายก็เดิ
คำพูดเหมือนจะปลอบใจซิงเหยียนมากกว่า หญิงสาวเห็นแววตาของตงฉินล่อกแล่กอยู่นิดหน่อย แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าตงหยางคงไม่เห็นเธอสำคัญอยู่แล้ว เพราะเขาพูดแบบนั้นตลอดตั้งแต่เล็กจนโต ทุกครั้งที่เธอนอนโรงพยาบาล จะมีแค่พี่ฉินเท่านั้นที่มาเยี่ยม ส่วนตงหยางไม่เคยถามไถ่กันเลยด้วยซ้ำ“แล้วพี่ไม่ไปทำงานหรือไง”“ยายบื้อ นี่มันจะหกโมงเย็นแล้ว ใครเขาทำงานถึงค่ำกันล่ะ”ก็คงจะมี ขนาดสามีเธอป่านนี้ก็ยังไม่เห็นว่าเขาจะมาเยี่ยมเลยสักครั้ง“เหรอคะ”“เอาละ ฉันจะเฝ้าไข้เธอเอง”“พี่ฉิน ฉันว่าพี่กลับไปเถอะ ฉันดีขึ้นมากแล้ว พอช่วยเหลือตัวเองได้ อีกอย่างที่นี่เขามีพยาบาล พี่เองก็ต้องพักผ่อน ฉันไม่อยากทำให้พี่ต้องลำบาก”ยิ่งพูดก็ยิ่งน่าสงสาร ตงฉินมองหน้าหญิงสาว แม้จะรักซิงเหยียนเหมือนน้องสาว แต่ก็แอบคิดว่าหากพี่ชายดูแลเธอไม่ได้ ตัวเองก็พร้อมที่จะยืนข้างๆ คนตัวเล็ก“ก็ได้ งั้นฉันจะฝากหมอซางไว้แล้วกัน เผื่อมีอะไรให้เขาโทร.หา หมอซางเป็นหมอประจำตัวเธอนะ”“เหรอคะ”ตงฉินลุกขึ้นพร้อมกับจะเอื้อมมือไปลูบที่หัวของซิงเหยียนเหมือนที่เคยกระทำเมื่อครั้งยังเด็ก แต่เธอกลับเอียงหัวออกไปเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะรังเกียจ แต่เพราะความเหมาะสมของ
รุ่งเช้าร่างกายอิดโรยจากศึกในเมื่อคืน ซิงเหยียนขยับเปลือกตาทีละน้อยก่อนจะค่อยๆลืมตาตื่น พร้อมกวาดมองโดยรอบบนเพดาน เธอพยุงร่างให้ลุกขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้าเพราะรู้สึกปวดตามตัวไปหมด“กี่โมงแล้วเนี่ย”น้ำเสียงเหือดแห้งถามตัวเองก่อนที่จะขยับไปหยิบมือถือที่โต๊ะโคมไฟข้างๆ เมื่อมองดูแล้วก็สายกว่าทุกวัน ทว่า เธอคงไปทำงานไม่ไหวจริงๆแค่มองเวลาก็คิดว่าต้องโทร.ลาป่วยที่แผนก ก่อนจะส่งข้อความบอกคุณหมอซางอีกคนเท้าของซิงเหยียนค่อยๆ หย่อนลงแตะที่พื้น ภายในห้องอันแสนว่างเปล่า แน่นอนว่าคนที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ก็คงออกไปทำงานแล้ว“พี่หยาง พี่มันไร้หัวใจจริงๆ”เธอบ่นให้เขาขณะที่เท้าน้อยๆ กำลังจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ เมื่อร่างเล็กแทรกตัวเข้าไปก็หยุดยืนส่องกระจกสะท้อนเงาตัวเอง“บ้าจริง!”ที่เปล่งออกมาแบบนั้น เพราะรอยคมเขี้ยวที่ฝังอยู่บนตัวเธอมันแดงเป็นจ้ำๆ ไปหมด แถมต้นแขนเล็กยังมีรอยช้ำจากแรงบีบของเขาอีก ไม่รู้ว่าจะเรียกโชคชะตานี้ว่าอย่างไร แต่สิ่งที่หญิงสาวทำได้คือ ทน!ซิงเหยียนจัดการตัวเองพร้อมทั้งลาป่วยที่แผนก แต่ก็ไม่ลืมบอกผู้บริหารอีกคน กลัวเขาจะผิดหวังในตัวเธอ ที่อุตส่าห์รับเข้ามาทำงานร่างเล็กพยุงร่างต
บ้านตระกูลกู้พรึ่บ!!“พี่หยาง” ร่างเล็กประคองร่างของสามีมาถึงห้อง ก่อนจะวางเขาลงบนเตียงกว้าง ตงหยางในเวลาแทบประคองสติไม่อยู่ เพราะเหล้าในงานที่ดื่มไปพอสมควรทำให้เขาเมาอยู่ไม่น้อย“พี่หยาง ถอดเสื้อก่อนไหม”ความหวังดีของเธอยังมีต่อเขา ซิงเหยียนเห็นว่าชุดที่ชายหนุ่มสวมใส่ค่อนข้างหนา เสื้อเชิ้ตสีขาวถูกทับด้วยเสื้อสูทอาจจะทำให้คนเมาขาดสติรู้สึกอึดอัดเธอพยายามพลิกตัวอีกฝ่ายพร้อมดึงเสื้อออกอย่างทุลักทุเล ก่อนที่มันจะหลุดออกจากนั้นก็เดินเอาไปเก็บ เมื่อมองร่างที่นอนแผ่หลาบนเตียงก็แทบถอนหายใจ วินาทีที่เปลือกตาของเขาปิด มองไม่เห็นดวงตาตุดัน ใบหน้าหล่อเกลี้ยงเกลา ตงหยางก็คล้ายคนที่ไม่ได้มีภัยอะไร ทว่าเวลาที่ดวงตานั้นเปิดออก ทำไมมันดูเยือกเย็นน่ากลัวแปลกๆระหว่างที่ซิงเหยียนกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่ออาบน้ำ ก่อนจะหยิบเสื้อคลุมในตู้พร้อมสาวเท้าเข้าห้องน้ำ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อมือถือเครื่องโปรดของเธอมีสายโทร.เข้าครืด ครืดโทรศัพท์“ฮัลโหล”(ซิงเหยียน พรุ่งนี้ซูจะชวนไปกินข้าวที่บ้านหลังเลิกงาน ว่างไหม)“ทำไมเขาไม่โทร.มาบอกเองล่ะคะ ทำไมต้องให้พี่ซางโทร.มา”(พี่ก็ไม่รู้ ได้ยินว่าแบตฯหมด เลยอยากบอกเธอไว้
เมื่อได้ยินชื่อคุณหมอหนุ่มหล่อใจดี แถมยังเมตตาเธอให้เข้าทำงาน ทำเอาซิงเหยียนยิ้ม เพราะหญิงสาวไม่คิดว่าจะได้เจอซูซางที่นี่“คุณหมอซาง ไม่เห็นบอกว่าจะมา”ในขณะที่เธอถาม ดวงตาที่ทอประกายความไม่พอใจก็ฉายขึ้น ตงหยางมองหน้าหมอหนุ่มแล้วหันมามองคนตัวเล็กที่ส่งยิ้มให้“สวัสดีครับคุณหยาง ยินดีที่ได้เป็นแขกในงานของคุณ”คุณหมอหนุ่มเอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้มไมตรีอย่างที่เขามี ทว่าคนอย่างตงหยางน่ะเหรอจะส่งยิ้มกลับไปให้“ขอบใจ!”คำสั้นๆและน้ำเสียงห้วนห้าว ทำเอาซิงเหยียนต้องเงยหน้าขึ้นมามองคนที่ตัวสูงกว่า แถมเขายังกระชับกอดเธอแน่นกว่าเดิม“วันนี้ซิงเหยียนสวยมากนะ”“ขอบคุณค่ะ”ก็คงเป็นธรรมเนียมของคนที่ชื่นชมตัวเอง ก็ต้องกล่าวของคุณ การยิ้มก็คงจะเป็นเรื่องธรรมดาอีก ทว่ามันดันสร้างความไม่พอใจให้คนข้างๆ“ซิงเหยียน เธอยิ้มมากไปแล้วนะ”เพียงแค่เขาพูดแบบนั้น ทำเอาซิงเหยียนหันมามองใบหน้าหล่อเหลาก่อนจะหุบยิ้ม มันรู้สึกทำตัวไม่ถูกกับสถานการณ์ตอนนี้ เธอรู้ดีว่าตงหยางไม่พอใจเท่าไรนักที่ร่างเล็กยิ้มให้คุณหมอหนุ่มแบบนั้น แต่ดูเหมือนซูซ่านเองก็รู้ หญิงสาวจึงรีบชวนพี่ชายไปหาของกินรองท้องทันที“พี่ซางเราไปมุมนั้นดีกว่า ปล่อ
“ฟังนะเหยียนเหยียน ทุกอย่างคือบททดสอบของชีวิต เธอไม่ได้ทำอะไรผิด ส่วนคุณชายก็แค่เชื่อคุณนายมากเกินไป สักวันเขาจะเข้าใจเธอเอง”“กว่าจะถึงวันนั้น ฉันอาจจะไม่ได้อยู่ที่บ้านนี้แล้วก็ได้”“แค่นี้ก็คิดจะยอมแพ้แล้วเหรอ เธอคิดว่าที่คุณท่านเขียนพินัยกรรมให้เธอแต่งงานกับคุณชายใหญ่เพราะอะไร ?”เธอเงียบ อันที่จริงไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าคุณปู่ทำแบบนั้นทำไม ทำไมถึงให้เธอแต่งงานกับคุณชายใหญ่ ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่เคยสนใจเธอสักครั้ง“สักวันเธอจะเข้าใจ”ป้าไฉผู้อาวุโสที่สุดของบ้านพูดขึ้น จากนั้นก็ก้มหน้าทำงานตามเดิม ส่วนซิงเหยียนก็แอบคิด คิดว่าเหตุผลอะไรได้ที่คุณปู่ต้องทำแบบนั้นหลังจากอาหารในมื้อค่ำเรียบร้อย ทุกคนก็รวมตัวกันที่โต๊ะอาหาร วันนี้เรียกว่ากินพร้อมหน้า แม้ว่าคุณนายหลี่จะเกลียดลูกสะใภ้แต่ก็ยังมาร่วมโต๊ะ ส่วนตงหยางรายนั้นไม่พูด แต่สิ่งที่ทำคือชำเลืองหางตามองซิงเหยียนบ่อยๆ“พี่ใหญ่ เรื่องที่จะจัดงานเลี้ยงต้อนรับคนที่ขึ้นตำแหน่งใหม่ ฝ่ายจัดงานไปถึงไหนแล้ว”“เรียบร้อยดี”สองพี่น้องคุยกันแต่ดูเหมือนคุณนายหลี่อยากจะรู้ด้วย ก็แน่ละเธอไม่ได้มีตำแหน่งใดในบริษัท หน้าที่หลักก็แค่เข้าไปดูร้านเพชรที่ตัวเองมีส่วน
สองวันผ่านไป“เป็นไงบ้างโรงพยาบาลดูวุ่นวายไหม”คำถามของคุณหมอหนุ่มรูปหล่อที่มีความสูงราวๆ ร้อยแปดสิบ ใบหน้าคมคายจมูกสันโด่ง ดวงตาดำขลับ รับกับผมสีเข้มเช่นกัน“นิดหน่อย แต่ฉันรู้สึกสนุกกับงานนะ ดีกว่าอยู่ที่บ้านเวลาผ่านเร็วด้วย”สองวันมานี้ ซิงเหยียนออกมาทำงานหลังจากที่ตงหยางออกไปแล้ว อีกทั้งโรงพยาบาลที่ซูซางสังกัดก็ไม่ได้ไกลจากคฤหาสน์อันโอ่อ่า แถมเธอยังเลิกงานตอนสี่โมงครึ่ง ส่วนรอบดึก ที่ต้องผลัดเปลี่ยนเวรกัน หญิงสาวบอกรุ่นพี่ว่าไม่สะดวก ขอทำงานแค่ช่วงเช้า และแน่นอนว่าเส้นสายของคุณหมอหนุ่มย่อมทำได้อยู่แล้วการทำงานของซิงเหยียน เป็นทั้งที่รัก และที่ชังของเพื่อนร่วมงานก็ว่าได้ เพราะคนในนั้นไม่มีใครรู้ว่าเธอแต่งงาน จึงทำให้คนบางกลุ่มมองว่าหญิงสาวเข้ามาเพราะหมอซาง และยังคอยจับตาทั้งคู่อีกด้วยเลิกงาน“ซิงเหยียนจะกลับแล้วเหรอ”เสียงเข้มเอ่ยถาม ในขณะที่ซิงเหยียนสะพายกระเป๋า เดินออกมาจากตัวอาคารมุ่งหน้ามาที่ถนนใหญ่“กลับแล้วค่ะ ว่าแต่พี่ซางไม่เข้าเวรหรือคะ”“วันนี้พี่ออกเวรแล้ว เอายังงี้เดี๋ยวพี่ไปส่ง”ข้อเสนอนั้นทำเอาซิงเหยียนชะงักไปเล็กน้อย แม้จะรู้สึกถึงความหวังดีและจริงใจที่พี่ชายเพื่อนม
รุ่งเช้าหน้าที่ปกติของภรรยาคือตื่นเช้ามาก็ต้องเตรียมอาหารให้สามี ใบหน้าหวานดูชื่นมื่นเล็กน้อย เพราะเมื่อคืนเธอไม่ได้นอนที่โซฟาเหมือนเก่า แต่เป็นการนอนบนเตียงเดียวกันกับตงหยางร่างสูงเดินลงมาจากชั้นบนของบ้าน ใบหน้าที่นิ่งเรียบก็เป็นดังปกติเฉกเช่นทุกครั้ง หากจะถามว่าเขาเคยยิ้มไหม อาจจะเคยแต่น้อยคนนักที่จะเห็น“พี่หยางลงมาแล้วกินมื้อเช้าไหมคะ”เสียงหวานเอ่ยถามสามี เมื่อคืนเธอตั้งใจจะคุยเรื่องจะขอไปทำงาน แต่ทุกอย่างมันผิดพลาด คิดว่าเช้านี้น่าจะได้เล่าและได้คำตอบ แต่เสียงทุ้มที่ดังขึ้นพร้อมสีหน้าที่เย็นชาทำเอารอยยิ้มน้อยๆ ของซิงเหยียนหดหาย“ฉันมีประชุม!”เขาพูดเท่านั้นก็เรียกคนสนิทเข้ามาช่วยถือกระเป๋า เมื่อวานกับตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นคนละคนด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่เมื่อคืนเขายังพูดอ่อนหวานแถมยังกอดร่างเธอแน่นจนเช้า นั่นมันหมายความว่าอย่างไรกันเมื่อแผ่นหลังกว้างเดินออกไปจนลับตาสิ่งที่เธอทำได้คือถอนหายใจ แววตาเริ่มเศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัด สิ่งที่อยากบอกอยากเล่าดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจและไถ่ถามเธอเลยซิงเหยียนเดินเข้ามาในห้องอาหารสุดหรู เตรียมทุกอย่างเหมือนเดิม ไม่นานร่างสูงที่ดูสง่าไม่แพ้พี่ชายก็เดิ
“คุณผู้หญิงไม่ต้องทำก็ได้ค่ะ”“ได้ไง ให้ฉันช่วยเธอเถอะ อยู่บ้านก็ไม่รู้จะทำอะไร”“แต่ตอนนี้คุณเป็นเมียคุณชายใหญ่ เป็นเจ้าของบ้าน มันไม่เหมาะสมที่จะมาช่วยแม่บ้านเช็ดถูนะคะ”สาวใช้ที่นับถือซิงเหยียนก็ยังไม่อยากให้ทำ แต่บางคนที่อยู่กับคุณนายหลี่ดันมองว่าร่างเล็กเข้ามายุ่งแถมยังเบ้ปากใส่ แต่หญิงสาวชินแล้วและไม่อยากจะมีปากเสียงกับแม่สามี ทว่าทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิด หลี่น่าเดินเข้ามา พร้อมสายตาเหยียดหยัน“หากเธอว่างนัก ก็รู้จักออกไปทำงานบ้างสิ หรือคิดว่าที่มีอยู่ไม่ต้องทำมาหากิน คิดจะเอาเปรียบลูกชายฉันเหรอ ตงฉินกับตงหยางมีหุ้นน้อยกว่าเธอ แต่ก็ยังออกไปทำงาน โธ่ๆ น่าสงสาร”การประชดของหลี่น่าพร้อมสายตาที่บ่งบอกว่าเธอเกลียดซิงเหยียนเข้าไส้ ส่วนหญิงสาวไม่รู้จะโต้ตอบอะไร ทำได้อย่างเดียวคือเงียบ ไม่ใช่ว่าคนที่เด็กกว่าไม่อยากตอบกลับเพียงแต่ไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวเท่านั้นตลอดทั้งวัน ซิงเหยียนคิดถึงคำพูดของหลี่น่า คุณปู่แบ่งหุ้นให้เธอมากว่าสองแม่ลูกจริง ขนาดตงหยางที่เป็นประธานก็ยังน้อยกว่า ทว่าหญิงสาวเป็นภรรยาเขา หุ้นผัวเมียรวมกันก็มากกว่าคนอื่นอยู่แล้วเมื่อความคิดเกิดขึ้น สิ่งแรกที่คิดได้คื
ยิ่งกว่าจุกอก ยิ่งกว่าโดนหักหน้า ไม่รู้ว่าจะสรรหาคำไหนแล้วที่จะพูดออกมา ความหมายคือหญิงสาวเป็นแค่ที่ระบายอารมณ์และเครื่องปั๊มลูกให้เขา แค่จะนอนร่วมเตียงอีกฝ่ายยังไม่ให้ ค่าของตัวเธอมันอยู่ที่ไหนกันอดกลั้นจนที่สุด ใบหน้าหวานแต่แววตาแฝงด้วยความเศร้า ไม่อยากจะร้องไห้เพื่อเรียกร้องความสนใจจากเขา ไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องสมเพช แค่พินัยกรรมที่เขียนระบุว่าให้แต่งงาน ก็คิดว่าทุกอย่างน่าจะดีกว่านี้เสียอีกซิงเหยียนหยิบได้แค่หมอนใบใหญ่ แล้วเดินมาที่โซฟาตัวยาวภายในห้อง ชุดนอนกระโปรงสีขาวลายลูกไม้น่ารัก สะบัดพลิ้วเวลาที่เธอสาวเท้าไปข้างหน้า เมื่อรู้ตัวเองว่าต้องนอนที่โซฟาก็วางหมอนใบใหญ่ลงไป แอบชำเลืองมองร่างสูงเล็กน้อยแต่ตงหยางไร้หัวใจเกินกว่าจะสนใจมองภรรยาด้วยซ้ำ แถมยังล้มตัวลงนอนอย่างไม่มีเยื้อใยอีกต่างหากเธอค่อยๆ นอนราบลงไปก่อนจะพลิกตัวนอนหันหลังให้เขา วินาทีนั้นไฟในห้องก็ถูกดับจนมืดมิด ความคิดชั่ววูบก็ลอยเข้ามาในหัวของซิงเหยียนเหยียนเหยียน ก่อนที่ปู่จะตายปู่อยากให้มีใครสักคนที่ดูแลเธอได้ หากปู่ไม่อยู่แล้ว ก็อยากให้เธอได้มีที่พึ่งคำนั้นลอยเข้ามาทำเอาน้ำตาของซิงเหยียนไหลลงมาอาบแก้ม คนที่ดูแลเธอ